วัฎจักเศรษฐกิจไทย (คอมเม้นท์ ช่วงที่ผ่านมา)

.

วันนี้ วันศุกที่ 27 พฤศจิกายน 2552
เป็นศุกร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน พฤศจิกายน


อันที่จริงๆ จากบล็อก กลุ่มเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และหุ้น คั้งล่าสุ้นนั้น
ผมก็ไม่คิดว่าจะมาอัพเดทกรูปบล้อกนี้อีก จนกว่าจะกลับมาจากเที่ยวลาว (ซึ่งจะเดินทางในสัปดาห์หน้า ..)

จะมียกเว้นก็ต่อเมื่อ ทิศทางตลาดหุ้น มันผิดเพี้ยนไปจากที่ดูไว้ถึงขั้นจำเป็นต้องมาอัพใหม่



ซึ่งจนถึง ณ วันนี้
มุมมองที่ดูไว้ ครั้งสุดท้ายที่ลงบล็อกนี้ คือวันที่ 10 พฤศจิกายนนั้น

จนถึงวันนี้ มุมมองก็ยังไม่ได้ผิดไป หรือว่า จะมีมุมมองอื่นใดๆ มาเพิ่มเติม


พูดง่ายๆ ว่ายังคงมุมมองเดิม จากเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อนนี้
ที่มองว่า นี่น่าจะเป็นการลงมาทำคลื่น C ใหญ่ เพื่อ จบ คลื่น 4 ขนาดใหญ่





แต่วันนี้ก็เลือกมาอัพบล็อกเพิ่มก่อนไปเที่ยว

ก็เพราะถือว่า วันนี้ มีข่าวสารที่สำคัญ ในวงการตลาดงิน ตลาดทุน และเศรษฐกิจโลก
คือเรื่องวิกฤติการเงิน ที่ดูไบ , ซึ่งนาทีนี้ ข่าวสารยังคลุมเครืออยู่มาก


และอีกส่วน ก็เพราะต้องการเก็บบันทึกที่คอมเม้นท์ไว้ในช่วงที่ผ่านมา มาลงบล็อกเท่านั้น
(เผื่อในอนาคตจะได้ใช้ - เผื่อเขียนหนังสือไง อิอิ)




**************************


มุมมองล่าสุดที่ลงไว้เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน


(วันนั้นคลื่น B ยังไม่จบเลยนะ )









คอมเม้นท์ที่คุยไว้ในวันนั้น



เมื่อ 10/11/2009 , 12:27:56 » Edit
--------------------------------------------------------------------------------

อ้อ แถมอีก แต่มองว่า ตลาดอาจจะเป็นการพักตัวคลื่น 4 ย่อย ของ B ใหญ่นะครับ
อาจจะมีเหวี่ยงกลับขึ้นข้างบนอีกรอบหนึ่ง อาจจมี newhigh ของเฉพาะรอบนี้ด้วย

แต่มองว่า ขึ้นไปตรงนั้น แล้วน่าจะจบ B ใหญ่ครับ


ตรงนี้มองแบบรวมๆ นะครับ
เพราะผมยังเน้น มองว่า การปรับฐาน น่าจะเกิดเป็น A-B-C ยังไม่น่าจบ

แต่ถ้าหากมองว่า การปรับฐานจบแค่ c เล็ก
ตรงนี้อาจจะเป็นแค่การย่อหลอก ให้ขายของ เพราะตลาดเข้าคลื่น 5 แล้ว
(อันนี้ แคะเผื่อไว้..)


แต่ผมยังเชื่อว่า การปรับฐานยังไม่จบครับ
กว่าจะจบ C=4 เร็วสุดก็น่าจะปลายเดือนนี้
หรืออาจจะล่าช้าไปจนถึงเดือนหน้าเลยก็ได้ครับ..





**********





เมื่อ 10/11/2009 , 16:25:33 » Edit
--------------------------------------------------------------------------------

ตลาดหุ้น ใจผมอยากจะให้พักฐานต่อไปอีกสัก 1 เดือน หรือกว่านั้นนิดหน่อยก็ได้
คือถ้าไม่ลงจบสิ้นเดือนนี้ ก็ไปลงจบคลื่น 4 แถวๆ กลางเดือนหน้า

แล้วปลายปี ต้นปีหน้า ก็มี january effect ให้เป็นเรื่องที่คนพูดถึง
เป็นการขึ้นคลื่น 5 ก็น่าจะวิ่งไปสัก 2-3 เดือน

หลังจากนั้น ก็จบรอบ ก่อนเข้าไตรมาสที่ 2 ปีหน้า
แล้วตลาดก็น่าจะพักตัวนาน ไม่น้อยกว่า 6เดือน
แล้วมาเริ่มตั้งฐานได้ แถวๆ ปลายไตรมาส 3 เข้าไตมาส 4

หลังจากนั้น น่าจะเป็นรอบเศรษฐกิจฟื้นตัวที่แท้จริง
และน่าจะกินเวลายาวต่อเนื่องหลายปีด้วย




หลังจากวันนั้นแล้ว ผมไม่ได้ วิแคะมุมมองดัชนนี้ ลงที่สาธารณะที่ไหนอีกเป็นชิ้นเป็นอัน
ส่วนใหญ่ จะคุยภาพรวมๆ มุมมองกว้างๆ มากกว่า ไม่ได้แคะเป็นชิ้นเป็นอัน

เพราะตั้งใจว่า ถ้าจะแคะเป็นชิ้นเป็นอัน ก็จะแค่แต่ที่ในบ้านตัวเองเท่านั้น



จะมีนิดหน่อย ก็ส่วนขยายมุมมองเพิ่มเติม
จากมุมมองเดิม ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ เมื่อวันที่ 12-12 พย. ที่ผ่านมาเท่านั้น

หลังจากนั้นไม่ได้แคะที่เพิ่มที่ไหนอีก
เพราะถือว่า ทุกอย่าง ยังเดินตามแนวทางที่ประมาณการไว้
จึงไม่ได้มาแคะเพิ่มวันต่อวัน

เอาเวลาไปทำอย่างอื่น และเตรียมใจไปเที่ยว (เห้อล่วงหน้าเป็นเดือนเชียว อิอิ)










สรุปว่า ถึงนาทีนี้ มุมมองผม ก็ยังคงเดิมอยู่ครับ
เป้าหมาย ที่ลงไว้ คือ 600+-20 ก็คงเดิม
ถ้าชี้ชัดให้มากขึ้น เป้าหมายที่มองอยู่
ก็คือ แนว 630+-เล็กน้อย , หรือ 580+- เล็กน้อย




อันนี้มาเอามาลงอีกที เผื่อว่ามีคนสนใจ

และหลักการดู ไม่ใช่แค่เพียงเป้าหมายเชิงตัวเลข
ต้องดู รูปแบบคลื่น ว่าครบหรือยัง หรือใกล้ครบหรือยัง
ถ้าคลื่นชัดแล้ว มีความชัดเจนมากพอ ก็ต้องเล่นตามกฎของคลื่นไป
(จะถึงเป้าหมาย หรือเลยเป้าหมายก็ได้)

หรือดู แพ็ทเทิ่นราคา + indicatorประกอบด้วย


ถ้าคนไม่ถนัด ดูกราฟ
ก็ดูแถวดัชนีเป้าหมาย ฝรั่งเริ่มกลับมาซื้อเป็นชิ้นเป็นอัน(เป็นแนวโน้มซื้อ)หรือยัง

หากว่า ..แรงขายมายังไง หุ้นก็ไม่ลง ดัชนีก็ไม่ลงแล้ว volume น้อยๆ หมื่นล้านต้นๆ
หรือไม่ถึงหมื่นล้าน สัก 4-5 วันติดต่อกัน

ถ้าได้แบบนี้ ก็เป็นไปได้ ที่ว่า การปรับฐานได้จบลงแล้ว..



ทั้งนี้ ถ้ามีข่าวร้ายถาโถม
ทำให้ดัชนีหลุด 580 แนวรับสุดท้ายของขาขึ้น พร้อมด้วย volume
ก็ให้หยุดซื้อ และกลับมาถือเงินสด ,

เพราะนั่นคือกรณีเลวร้ายที่สุด คือตลาดจบรอบใหญ่แล้ว (จะพักตัวนานเกิน 6 เดือน)





******************










ระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมภูมิใจ คอมเม้นท์ของตัวเองเป็นพิเศษ อยู่ 3-4 ชิ้น

ที่ว่าภูมิจ ก็คือผมเขียนเอง และขณะเดียวกัน ผมก็ได้เรียนรู้ตัวเอง และมุมมองตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย



อย่างอันนี้ เรื่องวัฎจักรเศรษฐกิจไทย ..
ไม่ค่อยมีใครสนใจคอมเม้นท์ผมอันนี้เท่าไหร่

อาจจะเป็นเพราะ เขียนอะไรที่ดูยาวนานเหลือเกิน
ถ้าผมไม่รู้จักตัวผมเอง ผมก็อาจจะบอกว่า ไอ่นี่มันเพ้อเจ้อว่ะ 555


เผอิญว่า ผมรู้จักตัวเองพอประมาณ
จึ้นรู้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ แต่อย่างน้อยๆ มันพิสูจน์ตัวเองมาในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา

เอามาลงบล็อกไว้ วันนี้ วันหน้าจะได้ไม่หาย
อีก 10 ปีข้างหน้า มาพิสูจน์กันดู ว่า มัน(ผม)เพ้อเจ้อหรือไม่ 555


จากกระทู้นี้
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8581687/I8581687.html

จากบล็อกอันนี้
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=m-ms&month=07-2008&date=02&group=3&gblog=17


วัฏจักรเศรษฐกิจไทย
ผมจำได้วาเคยพูดหลายครั้งแล้ว
..ว่าวัฏจักรเศรษฐกิจของไทย จะมีทุกๆ รอบ 10-12 ปี


ส่วนที่ว่าวัฏจักรเศรษฐกิจใหญ่ ที่จะมีในทุกรอบ 50-60 ปีนั้น
เป็นข้อมูลที่ผมเพิ่งได้รับรู้ มาไม่ถึงปีที่ผ่านมา (จำไม่ได้แน่ชัด)
จากคอลลั่ม ของคุณซูมแห่งไทยรัฐ


ถ้าย้อนถอยหลัง
วัฏจักรเศรษฐกิจรอบใหญ่ ก่อนหน้านี้
ก็คือ 2540 - 50 ถึง 60 ปี = 2490-2550
ผมก็เกิดไม่ทันซ่ะด้วย และก็จำไม่ได้ด้วย ว่าบันทึกทางเศรษฐกิจของไทยเคยมีบันทึกตรงนี้หรือเปล่า??

แต่ถ้าย้อน วัฏจักรย่อย ก่อนปี 2540
ก็คือวิกฤติ น้ำมันเมื่อปี 2528 อันนี้ มีจริงแน่(ผมยังเด็กอยู่)




มาเป็นอันนี้..


เราอาจจะเห็น ภาพของ คลื่น
1-2-3(ยืดดตัว มี 1-2-3-4-5 ย่อยในนั้น)-4-5 ก็ได้นะครับ





สรุปแล้ว ถ้าว่ากันตามไอเดียข้างต้นนี้

เป้นไปได้ ว่าช่วงชีวิตของเรา (คนวัยทำงานยุคปัจจุบัน)
มีโอกาสว่า จะไม่ได้เห็นวิกฤติ้ขนาดใหญ่อีกแล้ว
เพราะถ้าว่ากันตามทฤษฎีนี้ เราประเทศไทย วิกฤติใหญ่ของเราอีกที น่าจะมีแถวๆ ปี 2590-2600


ยกเว้นก็แต่วัฏจักรเศรษฐกิจแต่ละรอบจะหดสั้นลง
(ซึ่งมีแนวโน้มความเป้นไปได้สูง อันเนื่องมาจากการพัฒนาที่เร็วเกินไป-ขาดสมดุลอย่างรุนแรง
และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของโลก ที่มีเศรษฐกิจผูกพันกันใกล้ชิดมากขึ้น
วิกฤติของประเทศหนึ่ง จึงกระทบกับประเทศอื่นอย่างรุนแรงมากขึ้น )




*********


มีพูดถึงเรื่องจของราคาสินค้าเกษตรด้วย


ซึ่งเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่ติดใจผมอยู่ และเห้นมีการเทคแอกชั่นกันทั่วโลก
คือผลจากภาวะโลกร้อน ทำให้อากาศแปรปวน

ภัยธรรมชาติ ร้อน หนาว ฝน ผิดปกติไปทั่วโลก


และเราก็คงได้เห็นข่าวว่า ประเทศรำรวยทางการเงิน แต่ขาดแคลดแผ่นดินเพาะปลูก

อย่างกลุ่มประเทศอาหรับ
มีการกว้างซื้อ ที่ดินในประเทศด้อยพัฒนาไปทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย

เป็นการใช้เงินทุ่มซื้อที่ดินในราคาที่พวกว่าราคาตลาด
ชนิดที่ว่า คนท้องถิ่นเจ้าของประเทศ สู้ราคาไม่ได้


ไทย ลาว เขมร เวียดนาม
โดนรุกล้ำแผ่นดินหมด

ทั้งแขก ทั้งฝรั่ง หรือแม้แต่เอเชียบางประเทศ
เค้าพูดถึง และมองเห็นวิกฤตขาดแคลนอาหาร อันมือเนื่องมาจากวิกฟติโลกร้อน


เค้ากระตื้อรือร้นกันแล้ว ทุ่มเงินแทรกซึม เพื่อได้สิทธิในที่ดินทำกิน เผื่อลูกหลานในอนาคตของเค้าแล้ว


ถ้าเราจะมองแบบสั้นๆ แค่ชีวิตเรา
ก็คงได้เห็นบ้าง ว่าหุ้นกลุ่มสินค้าเกษตร กำลังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติสนใจ


ถ้ามองให้ยาวๆ กว่านั้น เราต้องระวังรักษาผืนแผ่นดินไทยของเรา เก็บเอาไว้ให้ลูกหลานครับ




*********************









จากเรื่องนี้ เอาเรื่องหุ้น กับเรื่องธรรมะ มาคุยกัน

//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8587001/I8587001.html



จากประโยค ของคุณพี่ Big Jump ที่ว่า

"
คนที่ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้น .... ย่อมไม่สำเร็จในโลกิยะ "





คงขึ้นอยู่กับคำว่า "สำเร็จ" มั้งครับ


เพราะความสำเร็จทั้งทางโลก และทางธรรม มีระดับของมันเอง



ถ้าอยากจะสำเร็จทางธรรม คือจะเข้าขั้นบรรลุมัคผลนิพพาน
กรณีนี้ ต้องสละ ราคะ โมหะ โทสะ ออกให้หมด
สละกิเลสออกหมดแล้ว ยังขึ้นอยู่กับการปฎิบัติอีกต่างหาก
ว่าจะปฎิบัติได้ถึงระดับไหน


ความสำเร็จในทางโลก ก็มีระดับของเค้าเอง
สำเร็จในตลาดหุ้น หมายความว่าอย่าไรหล่ะ??
มีหมื่นล้าน , มีพันล้าน , มีร้อยล้าน หรือมีสิบล้าน


ถ้าเอาความสำเร็จแบบสุดขั้วในทั้ง 2 ด้าน มันย่อมเป้นไปไม่ได้
เพราะหลักการมันขัดกันเองอยู่แล้ว

แต่ถ้าเอาความสำเร็จในทางโลกระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ก็มีความสำเร็จในทางธรรมระดับหนึ่ง

แบบนี้ผมมองว่าเป็นไปได้..




ที่ผมพูด เพราะผมรู้จัก และพบเจอผู้ที่สำเร็จพอสมควร ทั้งทางโลกและทางธรรมอยู่ครับ
ร่ำรวยเงินทอง , ถือศีล ไม่ทำบาปทำกรรม ระวังใจสม่ำเสมอ ทำสัมมาอาชีวะ ไม่เอาเปรียบสังคม

โดยหลักของกรรม คนทำดีย่อมได้รับ ผลวิบากที่ดีย่อมได้วันใดวันหนึ่งข้างหน้า ใกล้หรือไกล



แต่ถ้าเอาแบบที่สำเร็จรวยเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน
ขณะเดียวกัน ก็ยังได้บรรลุนิพานด้วย มันก็ไม่น่าเป็นไปได้

เพราะคนใฝ่ทางธรรมจริงๆ เค้าไม่ได้โลภไปถึงขนาดนั้น
เค้ารู้ว่าสิ่งต่างๆ เป็นแค่สมมติ ที่มาชั่วคราว เพื่อที่จะจากไป
สังขารก็เป็นแค่รูปที่ไม่เที่ยงอะไร



สรุป โลกิยะ หรือ โลกุตระ ถ้าเอาแบบ ให้บรรลุที่หมายสุดท้าย ทั้ง 2 ด้านย่อมเป็นไปไม่ได้


แต่ถ้าเราในฐานะของคนธรรมดา คือยังไม่ได้หวัง ขั้นจะบรรลุนิพพาน
ก็ตั้งเป้าว่า จะสำเร็จทางโลกประมาณหนึ่ง
ส่วนทางธรรมก็จะดำรงอยู่ในทางธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนเอง

ถ้ามองเป้าประมาณนี้ ผมว่า มันไปด้วยกันได้


แม้แต่เป็นในตลาดหุ้นเองก็ตาม

อย่างน้อยๆ ผมก็พอรู้จักอยู่หลายคน
และผมเองก็ตั้งเป้าจะทำให้ได้อย่างนั้นด้วยเช่นกัน



**********



เอาตรงนี้ก่อน
เอาให้ได้ก่อน (ผมยังไม่ได้หรอก)

แต่อาจารย์ผม ถึงแกไม่ได้บอก แต่ผมแปลความเอาเอง
ว่าแกตั้งมั่นในเรื่องนี้มาก

มรรค 8
//www.learntripitaka.com/scruple/muck8.html




**********



คุณพี่ Big Jump ผมเองเป็นแค่มือใหม่หัดธรรมเท่านั้นเองครับ


ผมน่าจะถือว่าโชคดี ที่มีรุ่นพี่ที่รู้จัก ที่นับถือหลายคน
ที่เข้าข่ายสำเร็จทั้งทางโลก และเป็นคนมีศีลมีธรรมกำกับ

เผอิญเดี๋ยวนี้อ่านหนังสือธรรมะเยอะหน่อย
จะทำ จะพูดอะไร ใช้หลักธรรมกำกับไว้
ก็พูดได้คล่อง ฟังดูมีเหตุผล (ยกความดีให้ธรรมะ)



เรื่องปู่วอแรนต์ ถ้าเอาหลักทางพุทธมาจับ
ผมว่าแกก็เข้าข่ายเดินทางสายกลางนะครับ

หรือถ้าเอาเรื่องมรรค 8 มาจับ
ผมว่าปู่แกก็น่าจะถือว่าเข้าข่าย ดำรงตนอยู่ในมรรค 8 เป็นอย่างดี แหละครับ

ผมเองไม่ได้ศึกษาประวัติของปู่แกเท่าไหร่หรอกนะครับ

แต่ถ้าใครได้อ่านหนังสือธรรมะ และศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
จะรู้ว่า เป็น How to ชั้นยอดของโลกเลยนะครับ


ดูอย่างมรรค 8 นี้
พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นพันๆ ปีแล้ว

แต่ย้อนกลับไปดูแนวคิดทางการบริหารต่างๆ นานาดูสิครับ
อย่างทุกวันนี้ ที่ดังๆ ก็เช่น csr , จะเห็นว่าเนื้อหาหนังสือ mba ทั้งเล่ม
หรือ หลายๆ เล่ม ลวน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้สั่งสอนมาเนินนานแล้วครับ


คนที่เกิดเป็นชาวพุทธนี่โชคดีสุดๆ แล้วครับ
เราเกิดมาสังกัดในศาสนานี้ เรามีโอกาสศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ง่ายกว่าคนศาสนาอื่น

เพราะฉะนั้น ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธแล้ว ควรศึกษาธรรมะแท้ๆ ดู
ไม่ใช่ธรรมะผิดๆ เพี้ยนๆ ครึ่งๆ กลางๆ

คนเรายุคนี้ ยังเข้าใจศาสนาพุทธคลาดเคลื่อนอยู่มากครับ
ไปมองเป็นของโบร่ำโบราณ
ทั้งๆ ที่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น เป็นประชาธิปไตรที่สุด
เคารพสิทธิ์มนุษยชนที่สุด เปิดกว้างที่สุด และเป็นธรรมที่สุด



ผมเองพูดเหมือนคนรู้มากๆ
แต่จริงๆ ก็เป็นเพียงผู้ฝึกหัด ผู้สนใจ ผู้ใฝ่ใจ ใฝ่รู้เท่านั้นครับ

..แต่เมื่อได้ศึกษาแล้ว เทียบกับความรู้ต่างๆ ที่เราเคยเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก
หรือจะปรัชญาแขนงไหนๆ

ก็พบว่า ..
ไม่มีวิชาไหน ที่กว้างขว้าง สูงส่ง ลึกซึ้ง ไม่จำกัดกาล เทียบเท่าธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆ ครับ




กลับเข้าเรื่อง
สิ่งที่ปู่วอแรนต์สำเร็จ

แกเป็นบุคคล ผู้มีความสำเร็จสูงสุด ในอันดับต้นๆ ของโลก อย่างที่เรารู้ๆ กัน
ส่วนทางธรรม สำหรับคฤหัส , คือ ทาน-ศีล-ภวานา
ถ้าเอาทางคริสต์มาจับ ผมว่า แกก็น่าจะมีความสำเร็จ คือทำได้ครบถ้วนตามคติของชาวคริสต์

แต่ถ้าเอาคติพุทธมาจับ ทาน-ศีล-ภวานา แล้ว
เรื่องทานแกก็น่าจะผ่านแน่ๆ
เรื่องศีล ก็ต้องมาดูว่า ระดับศึล5 ของฆราวาส แกทำได้ครบหรือบริสุทธิ์ขนาดไหน
แต่ถ้าไปเรื่องภาวนา , ทางคริสต์ คงไม่ได้สอนฝึกเจริญสติมั้งครับ
ศาสนาส่วนใหญ่ มักสอนเรื่องสวดมนต์ซึ่งก็ถือว่าเป็นภาวนาแบบหนึ่ง
แต่เท่าที่ผมเข้าใจ การสวดมนต์ ยังถือเป็นภาวนาอย่างอ่อน

การภาวนาอย่างอุกฤต เข้าใจว่าจะมีแต่ทางการเจริญสติวิปัสนากรรมฐานเท่านั้นครับ (สติปัตฐาน4)

สรุป ในมุมมองของผม
คุณปู่วอแรนต์ นั้น เข้าข่าย ของผู้ที่สำเร็จ
ในทางโลก หรือทางโลกิยะ มากกว่าครับ

แต่แกเอง สิ่งที่เคยฟังแกพูด สิ่งที่แกทำให้คนอื่นเห็น
ผมว่าแกก็เข้าข่ายว่าสำเร็จในธรรม ในการเดินทางสายกลางด้วยระดับหนึ่งเช่นกันครับ

ผมเชื่อว่าคุณปู่แกเป็นคนมีธรรมะในหัวใจด้วยแน่นอน
(แต่น่าจะเป็นหลักธรรมตามคำสอนทางทางศาสนาคริสต์น่ะครับ)






ทั้งหมดนี้ในความรู้อันน้อยนิดของผมนะครับ



ออกตัวอีกครั้งนะครับ
ความเข้าใจของผม ในทางธรรมนั้น ยังน้อยนิดมากจริงๆ
(ผู้ที่รู้จริงมาอ่านเจอ อาจจะขำเอาได้ ใครมีอะไรก็เชิญชี้แนะได้ครับ)


แต่เมื่อชวนคุยมา ผมเองอยู่ในขั้นตอนการสนใจเรียนรู้
ก็อาศัยการบรรยายออกไป เป็นการลับความคิดเห็นตัวเองเช่นกันครับ





******************







เรื่องเดย์เทรด และความหวั่นไหวกับคอมเม้นท์ของผู้อื่น

//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8568496/I8568496.html

จริงๆ เรื่องเดย์เทรด มีหลายคนว่า
ของแบบนี้ มันต้องให้เรียนรู้ถูก-ผิดเอง
เรียกว่า ต้องให้เจ็บ จึงจะจำ..

ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ ..
คนเรา ถ้าเค้าจะทำแล้ว คนอื่นจะห้ามยังไงก็ไม่ฟังหรอก

แต่คนเรา ก็มีทั้งแบบที่เตือนไป ก็ปล่าประโยชน์ คือยังไงเค้าก็ไม่ฟังหรอก
ต้องเห็นโลงศพก่อน จึงจะหลั่งน้ำตา
..บางคนเห็นโลงศพแล้ว ยังไม่หลั่งน้ำตาก็มี


แต่บางคน ถ้าเราไปสะกิจใจเค้าได้บ้าง
ได้เตือนเค้า , ถ้ามันสะกิจใจกันได้บ้าง

จากที่เจ็บมาก ก็จะเจ็บน้อย
จากที่ใช้เวลานาน กว่าจะได้ลองถูกลองผิด จนรู้ดี
ก็อาจจะใช้เวลาสั้นลงในการลองผิดลองถูก



และแม้เป็นคนที่เห็นโลงศพแล้วยังไม่หลั่งน้ำตา
ถ้าเราพูดได้โดนใจเค้า , เค้าอาจจะดวงตาเห็นธรรมก็ได้



เพราะฉะนั้น อะไรที่เห็นว่า มันไม่ดี ถ้าเราๆ ท่านๆ
พอจะเตือนกันและกันได้ ด้วยปราถนาดีเป็นที่ตั้ง ก็น่าจะถือว่าเป็นสิ่งดี
(ถ้าเค้าไม่รับฟังก็ช่างเค้า , ถ้าเค้ารับฟัง ก็เหมือนได้เตือนสติเพื่อนอีกสักคนที่กำลังเป็นทุกข์อยู่



************



ดีแล้ว..

ดีแล้วที่รู้ทันตั้งแต่วันนี้
ดีกว่าไปรู้พรุ่งนี้ รู้เดือนหน้า
ยิ่งรู้ช้า ยิ่งสาย ยิ่งหนัก

เจ็บปวดที่ผ่านมาก็เขียนแปะไว้หน้าคอมฯ ..อย่าเผลอใจไปอีก




***********



คนเดย์เทรดรวย ขอบอกว่า ไม่มีจริงๆ นะครับ
ที่พอจะทำได้ ก็ได้แค่ค่ากับข้าว ได้ค่าน้ำมัน ค่านมลูกบ้างไปวันๆ
..แต่กว่าจะได้ ระดับพอหาค่ากับข้าง ก็ต้องบอกว่า มีต้นทุนเพื่อเรียนวิชาก่อนพอควร

ถึงพอมีวิชาหาค่ากับข้าวแล้ว
ก็ยังไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าจะได้เสมอๆ
ก็ยังมีกำไร-ขาดทุน สลับกันไปอยู่ดี
..แต่หลงจ่อง ก็พอกล่อมแกล้มหากินได้เท่านั้น




**********



อย่าคิดแค้น ว่าที่ผ่านมาขาดทุนหนัก จะเอาคืนเร็วๆ
ให้ตรวจสอบตัวเอง สังเกตุตัวเอง
ว่าที่ผ่านมา ทำผิดพลาดตรงไหน
จำได้แล้ว จะให้ดี จดไว้ด้วย เอาไว้เตือนความจำตัวเอง

ความสามารถในการเตือนตัวเอง
คือความสามารถในการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง
คือความสามารถในการพัฒนาตัวเองครับ


ผมพูดไม่ใช่ว่าตัวเองเก่งแล้ว
..ทุกวันนี้ยังคงเตือนตัวเองอยู่เสมอๆ
ข้อคิด ทั้งคับแค้นใจตัวเอง ทั้งดีใจในบางครั้งก็หลงตัวเอง
มีเขียนแปะเตือนตัวเองอยู่ ..กี่ปีแล้วก็ยังทำอยู่
เพราะผมรู้ว่ายังต้องพัฒนาตัวเองอยู่..


นี่มาให้กำลังใจนะ..
สู้ๆ นะ.. , ตลาดหุ้นมีเป็น 100 วิธีที่จะเอากำไรจากมันนะ
แต่ในทางกลับกัน มันมีเป็น 1,000 วิธี ที่จะเสียขาดทุนให้มันด้วย


ทางที่ถูก คุณมอสเอง ก็เคยผ่าน ผมก็เคยเห็นว่าเอามาให้ดู
เพียงแต่คุณมอส ยังไม่เชื่อ ยังไม่ปักหลักกับทางที่ถูกเท่านั้นเอง



ที่ยังไม่ปักหลักกับทางที่ถูก ที่เคยทำได้มา
อาจจะเพราะ ทางที่ถูก มันให้ผลตอบแทนเราไม่สวยหรู

ได้น้อย และใช้เวลามากกว่า..
ยิ่งเราใจร้อน ร้อนใจ ก็ยิ่งอึดอัด



อยากจะบอกว่า ที่ผ่านมา ให้ผ่านไป
ให้เราตั้งหลักจากที่เรามีอยู่นี้

วงเงินที่เค้าให้มา กับที่เรามีอยู่จริง
ต้องสำรวจ เตือนตัวเองให้ได้

ถ้าเรามี 1 แต่เค้าให้มา 5
เราไปเล่น 5
แต่จริงๆ เรามีแค่ 1
มันร้อนใจ มันเล่นไม่ได้หรอก
ซื้อไป สุดท้ายก็รู้ว่าต้องขาย
ปิดตลาด ยังไงก็ต้องขาย
เพราะรามี 1 ใช้ไป 5 , หามาจากไหน อีก 4 เป้นไปไม่ได้
..เงินร้อนก็หนักแล้ว

นานๆ ทีเล่นได้บ้าง ก็เกิดโลภขึ้นมาอีก
กำไร 1-2 พันไม่ขาย
อยากได้ 4-5 พัน
กำไร 4-5 พัน ไม่ขาย อยากได้ 1-2 หมื่น
นานๆ ที กำไร 1-2 หมื่นไม่ขาย วันนี้อยากได้ 4-5 หมื่น
..อันนี้เกิดความโลภบังตา อันเนื่องมาจากร้อนใจ
(อยากได้คืนที่ขาดทุนไปเมื่อวันก่อน)

เล่นไปทั้งเงินร้อน ทั้งใจร้อน เล่นไม่ได้หรอกนะ



.


เล่นหุ้น อยากกำไร ต้องมี "ใจเย็น" ร่วมอยู่ด้วย
"หลักการถูก" + "ใจเย็น" = ได้กำไรแน่นอน



อ่านความคิดเห็นใดๆ ให้รู้ตัวก่อนเลย
เราอ่านเอาความรู้ หรืออ่านเอาความสับสน?
..ถ้าอ่านแล้วเราสับสน ..อย่าอ่าน
..ถ้าอ่านแล้วเสียหลักการที่ดี ..อย่าอ่าน
..ถ้าอ่านแล้วเกิดความโลภตาม ..อย่าอ่าน




อย่าใจร้อน ใจเย็นๆ (ย้ำอีก)
ที่ผ่านมาให้ผ่านไป , พอร์ตคุณมอส ขนาดก็พอสมควรนะ
เป็นขนาดพอร์ตที่มีพลังนะ เล่นระยะกลาง-ยาว ก็พอหากินได้ไม่ลำบาก
(ถ้าคนพอร์ตเล็กๆ นี่เค้าเล่นยากนะ เล่นหากินลำบากมากๆ ต้องดิ้นรนมา
-ส่วนคนพอร์ตใหญ่มากๆ ก็เล่นยากเหมือนกัน เลือกหุ้นได้จำกัดตัว)

สรุปคือ พอร์ตขนาดคุณมอส เลข 7 หลักต้นๆ
ถ้าใจเย็นๆ หน่อย , มีงานประจำอยู่แล้ว
ลองคิดหาเอา ปีละสัก 20% , แบบนี้ถ้าคุณมอส ว่างเป้าหมายแบบที่ไม่สูง หรือต่ำจนเกินไป
ไม่ยากหรือง่ายจนเกินไป ..ก็จะเกิดการพัฒนาแนวทางที่เป็นเหตุผลของตัวเองได้

จริงๆ คุณมอสก็ได้ลองถูก ลองผิดมาเยอะแล้ว
ทางที่สำเร็จก็เคยผ่านมาแล้ว ทางที่ผิดพลาดก็เคยผ่านมาแล้ว


ถ้าเราลดความร้อนใจเราลงได้
ว่างเป้าหมาย ให้เป็นเหตุ เป็นผลมากขึ้น
ผมเชื่อว่า คุณมอส ก็น่าจะผ่านไปได้
ไปเจอหนทางที่ยั่งยืนกว่า สบายใจกว่า อย่างที่ตัวเองตั้งหวังไว้ครับ



ผมแนะนำให้คุณมอส ลองปรับเป้าหมาย ผลกำไร ให้ได้ สัก 20% ต่อปี
แล้วลองดูสิ ว่าหนทางที่จะทำให้ได้ตามเป้านี้ คุณมอสมีอยู่ในใจหรือเปล่า??

ผมเชื่อว่า คนที่ผ่านการเรียนรู้มาเยอะแล้วอย่างคุณมอส
มีของอยู่แล้ว อยู่กับตัว , เพียงแต่จะมองเห็นของดีที่มีอยู่กับตัว
แล้วเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองหรือเปล่า?

อย่าไปไข้วคว้า ของไม่ดีที่อยู่ที่เรายังไม่มี (..ไม่ดี จะไปคว้าทำไม?)
เอาของดี ของเรามาใช้ให้เป็นรูปธรรมดีกว่าครับ




เอาใจช่วยเน้อ สู้ๆๆ




****************



จะเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น
และความสับสน จากการฟังคนอื่นพูดคุย มากเกินไป

ก็แก้ด้วยการฟังคนอื่นให้น้อยๆ ลง เอาเวลามาโฟกันที่เรื่องหุ้นดีกว่า(ดีกว่าฟังผมโม้ 555)


//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8585776/I8585776.html

จะเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้นได้

1. ต้องทำงานหนัก , ถ้าเป้นนักลงทุนพื้นฐาน ก็ต้องศึกษาข้อมูลลงลึก
วิเคราะห์ สังเคราะห์ หุ้นที่เราสนใจให้ดี และก็ยังต้องติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
(ไม่ใช่วิเคราะห์ก่อนซื้อแล้วจะจบเลย)

ถ้าเป็นนักลงทุนอาศัยเทคนิค ก็ต้องเรียนรู้เทคนิคให้เข้าถึงในเครื่องมือที่เราเลือก
(ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกเครื่องมือ , เพราะแต่ละเครื่องมือ ล้วนใช้ได้ ขึ้นอยู่กับสไตล์ของเครื่องมือและผู้ใช้งาน)


2. นอกจากทำงานหนักแล้ว ยังต้องมีวินัยที่ดีด้วย ต้องอดทนต่อความผันผวนที่เราเห้นรายวัน
ซึ่งอันที่จริง การดูหุ้นทุกๆ วัน - ทั้งวัน เป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
(แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนของแต่ละคนอีก)

สรุปคือ วินัยที่ดี มาจากการทำการบ้านที่ดี , และการมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราพิจารณาไว้ดีแล้ว


3. ปฎิเสธไม่ได้เลย ในตลาดหุ้น เก่งแล้วยังต้องมีเฮงด้วย

แต่ผมก็ขอยืนยันว่า เก่งนั้น ต้องมาก่อนเฮง
ถ้าเราทำงานหนัง มีวินัย อดทน หรือมีความเก่งในระดับหนึ่งแล้ว ความเฮงมันจะเข้ามาเราเราได้ง่ายขึ้น


หาใช่ว่าเฮงมากก่อนเก่ง
ถ้าเฮงมาก่อน นั้นเรียกว่า การเสี่ยงโชคแล้ว



********




อันที่จริง อยากแนะนำว่า
ให้ลดพอร์ตปัจจุบันนี้ที่เล่นอยู่ลงสักครึ่งหนึ่ง
หรือเหลือ 1 ใน 3 ก็ได้ ..


แล้วค่อยๆ ตั้งหลักเล่นหุ้น
โดยจะใช้แนวทางไหนก็ได้
(สมมติว่า มีแนวพื้นฐานเป็นหลัก หรือแนวเทคนิคเป็นหลัก 2 แนว)

เลือกแนวที่เราคิดว่า เราเข้าใจมากกว่า
หาหนังสือแนวทางนั้นๆ มาอ่าน

อ่านเฉพาะหนังสือ หรือทฤษฎีที่เรียนรู้
แล้วเล่นตามทฤษฎีนั้นๆ

โดยในช่วงนั้น ห้ามเล่นเวปบอร์หุ้นเด็ดขาด!!


ลองดูสัก 1-2 เดือน เลิกยุ่งกับ สินธร หรือเวปบอร์ดหุ้นทุกๆ ที่
โฟกันแต่ตลาดหุ้น ข้อมูลดิบต่างๆ นานา ที่เราเห้นสำคัญ
ใช้แค่ข้อมูลดิบนี้ สังเคราะห์ร่วมกับแนวทางที่เราจะใช้ลงทุน(พื้นฐาน หรือเทคนิค)


โฟกัสลงไปแต่เรื่องหุ้นจริงๆ


ไม่ต้องสนข้อมูลของใครๆ เลย
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนที่เราชื่นชอมแค่ไหนก็ตาม
หรือจะเป็นคนที่เราเกลียดก็ตาม

พูดง่ายๆ คือปิดกั้นความเห็นคนอื่นออกไปให้เด็ดขาด



ใช้แค่..
1. ตัวคุณมอสเองเป็นผู้ตัดสินในทุกๆ เรื่อง
2. ข้อมูลดิบ ข่าวสารดิบ เพื่อใช้ประเมินตลาด หรือเลือกตัวหุ้น
3. ทฤาฎี หรือวิชาการที่คุณมอนเห็นว่าตัวเองพอเข้าใจ ซึ่งเลือกแล้วว่าเราจะทดลองแนวทางนั้นๆ


ใช้แค่นี้พอ ..
ลดพอร์ตลงด้วยนะ (อย่าใช้หมด เพราะนี่คือการทดสอง-ค้นหาตัวเอง)
ใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือชิ้นเดียว ในการตัดสินใจ
ได้หรือเสีย ..เราจะพบว่า เราเองเป็นคนเดียวที่คิด และตัดสินใจ

เราจะค้นพบว่า เราคิดแบบไหนเล่นได้
เราคิดแบบไหนเล่นเสีย


ลองดูนะ ไปหาหนังสือ หรือทฤษฎีที่ชอบมาก่อนก็ได้
ตั้งเกรท์เลย กำหนดเงื่อนเวลาก็ได้ (ถ้ากลัวว่าจะลงแดงที่ไม่ได้คุยกับผู้คนเรื่องหุ้น-ก็กำหนดให้สั้นหน่อย)
เช่นอาจจะ 1 เดือน , 2 เดือน , 3 เดือน หรือ 4เดือน 6 เดือนเป้นต้น
(ผมเห็นว่าไม่ควรน้อยกว่า 2 เดือนนะ)

กำหนดเงื่อนเวลา
ฝช้ตัวเองเป็นเครื่องมือเดี่ยว
ผลงานในรอบ(สมมติ) 3 เดือนนั้น เทียบกับผลงานตลาด
เทียบกับเป้าหมายที่เราตั้งเกณท์ไว้ในใจ


แล้วดูว่า ตัวเองทำได้ดี หรือเลวแค่ไหน

ลองตามนี้ น่าจะตัดความสับสนต่างๆ นานา ได้หมด
มีสมาธิ มีสติมากขึ้น เกิดการพิจารณาเป้าหมายอย่างเห็นเหตุเป็นผล
แล้วก็จะเริ่มเห็นสัจจะธรรม ว่าตลาดหุ้นที่ผันผวนนั้น เป็นเรื่องที่รับมือได้
และอาจจะเห็นไปได้ด้วยซ้ำ ว่าความผันผวนที่มีสตินั่นคือโอกาส


ลองดูนะครับ ค่อยๆ ใจเย็นๆ (ไม่จำเป็นต้องรีบทำพรุ่งนี้)
แต่ก็อย่าให้นานเกินไป ตั้งสติ เตรียมตัว แล้วกำหนดเงื่อนเวลา เงื่อนไขกับตัวเอง

แล้วลองดูตามที่ว่ามานะครับ



สู้ๆๆ




*********




เหมือนพระเอกหนังจีน ที่ต้องหนีไปฝึกวิชาในถ้ำก่อนสักพัก
ฝึกได้ไหมฟ้า หรือเก้าอิมแล้ว ..
..ค่อยออกมาท่องยุทธจักรใหม่ก็ได้











(มีอีก 1-2 คอมเม้นท์ ที่ผมชอบ เดี๋วว่างๆ ค่อยหามาลง)


Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2552 16:21:54 น. 4 comments
Counter : 3041 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับบทความและการวิแคะดีๆครับ ติดตามบทความเสมอทั้งในนี้และในสินธร


โดย: ทองดี IP: 61.90.18.29 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:48:45 น.  

 
มาอ่านครับ
ขอบคุณครับ
กำลังใจจากพี่ๆ
ผมยินดีเสมอครับ



โดย: ahcmos IP: 124.122.61.30 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:54:08 น.  

 
วันนี้เข้ามาทักทายค่ะ
เข้ามาที่นี่ทีไร ใจเย็นลงได้ทุกครั้ง
ที่นี่มีน้ำใจเสมอ อ่านแล้วยิ่งสงบลงได้
แนวทางที่เผื่อแผ่ให้มานี่นับว่า ชัดเจน
ตรงไปตรงมาดีค่ะ
ชอบและรู้สึกขอบคุณที่มีน้ำใจ มาลงเรื่องราวที่มีข้อคิดมาได้อย่างสม่ำเสมอค่ะ
ขอให้เจ้าของห้องนี้มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: ต้นตา (ต้นตา ) วันที่: 28 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:40:37 น.  

 

หวัดดีคุณ ทองดี
คุณahcmos
และคุณตันตาครับ

:D:D:D:D:D


โดย: หนมเม็ดเอง IP: 124.121.162.14 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:28:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

บุญทับ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




กฎของเราก็คือ
เรามีความสุขสนุกสนาน
ได้มากเท่าที่เราต้องการ
แต่ต้องไม่ทำร้ายจิตใจใคร
..แม้แต่คนเดียว


จากหนังสือ ฟ้ากว้าง..ทางไกล



มวลเมฆ คือเนินเขาทำด้วยไอน้ำ เนินเขา คือมวลเมฆสร้างด้วยศิลา..(รพินทรฯ)
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
27 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add บุญทับ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.