ตัวอย่าง การวิเคราะห์หุ้นสักตัว..
ไม่มีประเด็นอะไรมาตั้งกระทู้ส่วนนี้ตั้งนานแนะครับ ก็อย่างที่เคยเล่าไว้แล้วนะครับ มีหลายเหตุผล ที่ทำให้อยากเก็บคอ งอเข่า ในเรื่องการวิแคะกราฟออกอากาศ
-----
วันนี้จริงๆ ก็ยังไม่มีประเด็นอะไรเป็นพิเศษ แต่คิดว่า อยากจะอัพบล็อกส่วนนี้หน่อย
ก็นึกว่า น่าจะเอาคอมเม้นท์บางอย่างที่เคยคอมเม้นท์ที่สินธรบางเรื่องก่อนหน้านี้มาลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวิเคราะห์หุ้นสักตัว
ตั้งแต่การวิเคราะห์หาหุ้น ไปจนถึงการติดตามดูพฤติกรรมตัวหุ้นผ่านทางราคา ที่ออกมาเป็นกราฟ
ขอบันทึกเอาไว้ เผื่อวันหน้า มีคนถาม จะได้ทำลิงค์ให้เค้ามาดูตัวอย่างเลย
**************************
จากกระทู้นี้ที่สินธรครับ //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9609417/I9609417.html
กระทู้ถามถึง QH ก็เลยลองวิเคราะห์ให้ดู แบบที่ว่า "หากเป็นผมมอง ผมจะมองยังไง?"
จะพบว่า หุ้นตัวนี้ ก็เหมือนหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด ที่ทิ้งดิ่งหนักหน่วงช่วงวิกฤติซับไพรม์ ลงมาต่ำสุด เหลือแค่ 0.6x กว่าตังค์เท่านั้น
สร้างรูปแบบ double bottom ที่ทำใด้สวยเอาเรื่อง เด้งกลับมาเต็มรูปแบบ เกือบไปเท่า high เก่า ก่อนหน้าวิกฤติซับไพรม
โดยรูปแบบราคาแล้ว ต้องถือว่าจบรูปแบบ 2ก้น+หัวและไหล่ ไปแล้วที่ 2.8
แต่ถ้าออกจากรูปแบบราคา
หันมาหามุมมองเทคนิคอื่นๆ อีก ก็เป็นไปได้ว่า หุ้นตัวนี้ ปัจจุบันจะยังคงอยู่ในคลื่นลูกที่ 5 ของกราฟระยะ week
เป้าหมายคลื่น5 ตามทฤษฎีคลื่นแบบคร่าวๆ ดูตัวเลข , แล้วเอาไปเที่ยบกับผลประกอบการณ์
แล้วดูความเป็นไปได้ทางตัวเลขผลประกอบการ และความเป็นไปได้ทางกราฟ
เป้าหมายความเป็นไปได้ของคลื่น 5 อีกความเป็นไปได้หนึ่ง
อย่าถามผมว่า 2 ความเป็นไปได้นี้ มันต่างกันยังไง เอาอะไรมาคิด เพราะนี่คือทฤษฎีคลื่น ก็ต้องไปเรียนรู้ตัวทฤษฎีนี้เอา
จะให้ผม มาบอกกันคร่าวๆ ถึงตัวทฤษฎีว่าทำไม ยังไง ฯลฯ
ก็จะผิดๆ ถูกๆ ไปเปล่าๆ , ให้อธิบายแบบลัดๆ ก็ไม่เป็น , ให้อธิบายตามที่คิด ก็ไม่ไหว ยาวเกิน ข้อแม้ของทฤษฎีเยอะไปหมด
สรุปง่ายสุด คือสนใจ ต้องไปหาเรียนรู้เอง เรียนแล้ว งงตรงไหน ถามมาถามกัน และพอตอบได้ก็จะช่วยตอบ (แต่อย่ามาถามว่า อะไรยังไง --ตอบไม่ถูกจริงๆ(โว๊ย 555)
ถ้าเรารู้สึกสนใจตัวแนวคิดนี้ ก็ไปหาเรียนรู้
สรุป ถ้าเชื่อเรื่องคลื่น คลื่น 5 จะไปเท่ายอดคลื่น 3 แล้วจบเลยก็ได้ หรือจะไปหาค่าตามตัวเลข fibonacci ก็ได้
หรือจะไปหาค่าอื่นๆ เช่น previous high เมื่อกลางปี 08 ก็ได้
จะค่าไหนๆ ก็ได้ในนี้ ถ้าไปถึง แล้วจบ ถือว่าถูกหลักตามตัวทฤษฎีหมด
(จบเรื่องคลื่น) 1. รูปแบบราคา 2. ทฤษฎีคลื่น 3. ไปต่อกันที่เส้นแนวโน้ม เทรนย่อยๆ
เทรน เส้น และกรอบแนวโน้มย่อยๆ
ที่ว่าย่อยๆ นี้ เพี่ว่าเรามองจากภาพที่ใหญ่ ที่กว้างกว่า เมื่องมองแคบลง , มันจึงเป็นเทรนย่อยในความหมายนั้น
แต่ถ้าลดจากกราฟวีค , เหลือกราฟเดย์ หรือกราฟชั่วโมง อาจจะมี เทรน เส้น และกรอบที่ย่อยลงกว่านี้อีกก็ได้
ที่คุณมอสเขียนไว้ส่วนใหย๋ เป็นเรื่องของเทรนย่อยนี้
โดยหลักการ ถ้าเราวาดเส้นนี้เจอ ตั้งแต่ทีแรก แนวเส้นเหลืองหากลงมาทดสอบน่ารับ(ดูภาพรวมตลาดประกอบด้วย)
อาจจะเผื่อerror ไว้หน่อย เวลาคนขายตกใจ เจ้ามือไม่ผืนที่จะได้รับของถูก
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหลุดแนวรับที่ว่านี้ ต้อง "หยุดซื้อ" ถ้าเพิ่งซื้อที่แนวรับ แล้วหลุดจริงๆ ขาดทุน 3-4% ก็ขายไว้ก่อน
เราจะไม่ถือหุ้นที่ทำlow ยังไม่จบ ให้รอจนกว่า low จะจบ เด้งได้ จึงค่อยตาม (บ่อยครั้ง ผมทิ้งรอบเล็กๆ นั้นเลย)
จะรอจนกว่าจะเด้งจาก low ขึ้นมารอบใหม่ แล้วย่อตัวใหม่ แต่ต้องไม่มีnewlow (จะได้เส้นแนวนับเส้นใหม่)
จากนั้น ก็ติดตามกรอบราคาที่ว่านี้ ชนกรอบบนขาย ชนกรอบล่างซื้อ จนกว่าจะหลุดกรอบข้างใดข้างหนึ่ง
ถ้าหลุดกรอบล่าง ถอย หรือ รอ
ถ้าหลุดกรอบบน ถือ หรือ follow
สรุป สำหรับหุ้นตัวนี้ ปัจจุบัน ยังไม่เจอเส้นนัยยะที่สวยๆ ถูกใจผม
มองวิแคะตามภาพนี้ เส้นแนวรับ แนวต้าน ค่อนข้างเปะปะ
ให้สรุป ก็ต้องบอกว่า แนวรับระยะสั้น อยู่ที่กรอบ 3 เหลี่ยมเดิม คือ 2.3-2.2(เลขกลมๆ) , ถ้าหลุด 2.2 ให้รอไปที่ previous low 1.9 เลย
ส่วนแนวต้าน ให้ค่าความสำคัญที่ previous high ที่ทำไว้เมื่อปลายปีที่แล้ง คือ 2.8-2.9(เลขกลม-เผื่อ error)
หากผ่านไฮท์เดิมได้ มองเป้าถัดไป เป็นเลขจิตวิทยา (ไม่มีนัยยะทางกราฟ) คือที่ 3.0 บาทถ้วน ส่วน นัยยะสำคัญถัดไปจริงๆ คือ 3.2 และ 3.4 ตามลำดับ(fibonacceในreply 25)
-----จบ-----
เสริม .. แต่หุ้นตัวนี้นะครับ ถ้าผมดูเองจริงๆ ผมจบตั้งแต่ reply 22-23 แล้วครับ เพราะถือว่าเป็นหุ้นที่ไม่เข้าสเป๊กผม
*****************จบ******************
ถึงแม้ว่า วันนั้น จะมีออกตัว ว่าวิเคราะห์แบบคร่าวๆ แต่ก็ลงมุมมอง กระบวนความคิด เป้นลำดับขั้นครอบคลุมพอสมควร
คิดว่า น่าจะพอเป็นประโยชน์กับใครก็ตาม ที่กำลังสนใจเรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์เทคนิคกราฟ
ในความเป้นจริง แล้ว แต่ละคน จะมีความเชื่อ และ/หรือ สนใจ ในเทคนิคกราฟเฉพาะในบางเครื่องมือเป็นพิเศษ
ซึ่งแต่ละคนไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหมือนกัน อยู่ที่ว่า เรานิยมชมชอบเครื่องมืชิ้นไหน? หากเครื่องมือนั้น ตอบสนองเงื่อนไข และเป้าหมายเราได้ ถือว่าโอเคหมด
อย่างผมเอง ที่ลงไว้วันนั้น ก็เป็นเพียง 3 เครื่องมือ ได้แก่ 1. รูปแบบราคา 2. ทฤษฎีคลื่นelliott+fibonacci 3. เส้นแนวโน้ม ซึ่งการเลือกใช้เครื่องมือพวกนี้ อยู่ที่กราฟเป็นหลัก คือเปิดกราฟปั๋บ มันจะมีอะไรเด่นๆ ให้เราสนใจ และจับตาดู เพื่อการวิเคราะห์ขึ้นมาเอง
คือไม่ใช่หุ้นทุกตัวจะใช้ 3 เครื่องมือนี้ หุ้นบางตัวอาจจะใช้เครื่องมือที่น้อย หรือมากกว่านี้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับกราฟที่เราเห็น ว่าอะไรมันจะ "โผล่" ออกมาให้สังเกตุ
บางคนอาจจะมีการวิเคราะห์เป็นรูปแบบตายตัว , ซึ่งก็ไม่ผิดอีกเหมือนกัน แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ได้มาจาก "การดูบ่อยๆ" ถ้าสนใจจะเรียนรู้เรื่องกราฟ จริงๆ ก็ต้องดูบ่อยๆ
แกะรอยการอ่านกราฟของคนอื่น แล้วก็มาอ่านเอง ถ้าเป็นไปได้ ในมุมเล็กๆ เราอาจจะวิเคราะห์ให้เพื่อนๆ ในก้วนเราฟังก็จะดี ถือว่าเป็นการลับความคิดตัวเอง , และการอ่านให้คนอื่นฟัง อธิบายให้คนอื่นฟังนี้มีประโยชน์มาก เพราะเราจะระวังตัวเป็นพิเศษ จะเกิดกระบวกการทบทวนตัวเองตลอด ทุกๆ วันนี้ ผมก็ยังคงมีมุมส่วนตัว เอาไว้วิเคราะห์ให้ญาติมิตรที่สนิทสนมฟังอยู่
แต่ก็ลดการคุยออกอากาศ ซึ่งแล้วแต่บางช่วงเวลา บางช่วง อย่างช่วงที่ผ่านมา รู้สึกเสี่ยงที่จะวิแคะออกอากาศในวงกว้าง ก็เก็บตัวเองไว้ในวงแคบ
แต่ที่ผมมีแน่นอน คือการอ่านกราฟอย่างสม่ำเสมอครับ
*******************
อีกอันหนึ่ง จากกระทู้คุณ ahcmos เหมือนกัน
เป็นการพูดเชิงให้กำลังใจกัน และชี้ให้เห้นว่า กว่าที่ใครสักคนในตลาดหุ้น จะค้นหาแนวทางลงทุนของตัวเองเจอ มันไม่ง่ายหรอก
ต้องเรียนรู้กันทั้งนั้น ต้องเอาเงิน เอาเวลามาเสี่ยง ต้องใช้ความพยายามมากเลยนะครับ กว่าที่ความคิดจะตกตะกอน
ผมเองวันนี้ ก็ไม่ใช่ว่าตัวเองจะเก่งนักหนา แต่ก็มั่นใจในตัวเองขึ้นมาก กว่าช่วง 2-3 ปีแรกที่เล่นเยอะ
และถึงทุกวันนี้ จะเห็นว่า ตัวเองตกตะกอนทางความคิดแล้วประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเรียนรู้อยู่ไม่มีวันสิ้นสุดเหมือนกัน
ทั้งการเรียนรู้ และเถียงกับหัวใจตัวเอง เรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เทคนิคใหม่ๆ (ที่เจ้ามือขุดมาใช้)
รวมไปถึงการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ทางอ้อมของผู้อื่น และรวมไปถึง การเรียนรู้ผ่านมุมมอง คนที่เราชื่นชมและนับถือ(ผมเองก็มีครูดีๆ อยู่หลายคน)
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9603842/I9603842.html ---
มาตอบบางความเห้นนะครับ
" ความกล้ามันหายไปหมด พร้อมกันกับ เงินที่หายไป ไอ้ที่เหลืออยู่ ก็พยายามถนุถนอมเต็มที่ กลัวจะเสียอีก"
-----อันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ สำหรับคนที่อยู่ตลาดหุ้นมานานพอ ที่จะเจอวงจรตลาดในช่วงที่ "รุนแรงและเกรียวกราด"
ถ้าเราอยู่ในตลาดนานพอ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอครับ
"นี่เป็นเรื่องที่จะต้องผ่านไปให้ได้ครับ" เป็นทั้งบททดสอบคุณสมบัติของใจเรา ว่าเราจะเอาชนะตัวเองได้หรือเปล่า และเราจะสามารถเปลี่ยนวิกฤติ(ประสบการณ์) เป็นโอกาสได้หรือเปล่า
***
" จากเล่นหุ้นปั่น รายวัน ตอนนี้ นั่งมองหุ้นตัวเอง เป็นเดือน ยังไม่ค่อยวิ่ง หาหุ้นพื้นฐานเล่น เค้าเล่นกันยังไง นะ ถึงได้เข้าถูกจังหวะ และ ขายได้ถูกจังหวะ "
-----อันนี้ต้องถามตัวเองครับ ว่า ที่ว่า "หุ้นปั่น" นั้นมันยังไง (การเลิกเล่นหุ้นประเภทนี้ได้ถือว่าดีแล้วในความเห้นผม)
แต่ที่ว่า "หาหุ้นพื้นฐาน" นั้นมันยังไง? คำว่าหุ้นพื้นฐานถูกใช้ในหลายแง่มุม , ถ้าพูดถึงหุ้นพื้นฐานประเภท ที่ชาว VI เค้าเล่นกัน การถือหุ้นแล้วเห็นมันนิ่งๆ อย่าว่าแต่ 6 เดอืนเลย , 2 ปี ถ้าหุ้นนั้นยังดีอยู่ แต่ราคาไม่ไปไหน VI แท้ๆ เค้าก็รับได้ กินปันผล รอเวลา ที่"เพชรจะพ้นจากตรม"
แต่ถ้าคำว่า "หุ้นพื้นฐาน" แบบที่ราคาควรเคลื่อนไหวตามตลาดสม่ำเสมอ พวกนี้มักเป็นหุ้นตามตลาด , ในตลาดไทย มักอยู่ใน set50-100 พวกนี้ การเข้าซื้อขาย ต้องดุจังหวะสำคัญ
..ส่วนเรื่องการเข้าซื้อขาย ให้ถูกจังหวะ เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝนกันเอาครับ , ที่สำคัญ ต้องไม่ใจร้อนครับ
ลองคิดเล่นๆ นะ , เราเรียนหน้งสือ ตั้งแต่เด็กจนโต ป.1 ถึง ม. 6 , รวมเวลาไปแล้ว 12 ปี , ต่อ ป. ตรี อีก 4 ปี บางคนต่อ โท. อีก 2 ปี ใช้เวลาเรียนไปทั้งสิ้น เกือบๆ 20 ปี!!
บางคนเรียนจบแล้วแทบไม่ได้ใช้สิ่งที่ตัวเองเรียนในการประกอบการงาน บางคนเรียนไป เกือบ ยี่สิบปี เพื่อทำงาน หาเงิน เดือนละ 2-3 หมื่น
ถามว่าเวลาขนาดนี้ และต้องใช้เงินขนาดไหน ระหว่างนั้น เพื่อมีวิชาความรู้ ประกอบตัวไว้เป็นเครื่องมือหากินตลอดชีวิต
ตลาดหุ้น ถ้าเราใจเย็นๆ และมองไหลหน่อย และอย่างมีเป้าหมาย ค่อยๆ ทำไป การลงทุน ใช้เวลา+เงิน ในตลาดหุ้น , ถ้าใจรับ และจริงจังมากพอ ผมว่า 3-5 ปี ได้วิชาความรู้ เอามาใช้หาเงิน อาจจะมากกว่า เรียนมาตั้งเกือบ 20 ปี
เพียงแต่ต้องถามตัวเองว่า "นี่ใช่ที่ทางของเราหรือเปล่า? ถ้าเราคิดว่า 'ใช่' ต้องไม่ใจร้อนครับ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยๆ ทำ แต่ต้องทำอย่างจริงจัง อย่าคาดหวังผลเลิศเกินไป และไม่ต้องไปเทียบกับใครที่ไหน , และพยายามเรียนรู้หลายๆ แนวทาง เพื่อเรียนรู้ตัวเองด้วยครับ อาจจะยังหาแนวทางตัวเองไม่เจอก็ได้ อย่าไปยึดติดกับ "ชื่อเรียก" ของแนวทางลงทุนต่างๆ
พวก vi vs หรืออะไรอื่น พวกนี้ เราไปยึดกรอบมันตายตัวไม่ได้ มองโดยหลักกว้างๆ ก็พอ , อย่าไปลงรายละเอียดตามคนอื่น เพราะอันที่จริงแล้วแนวทางของแต่ละคน ก็เป็นแนวทางหนึ่งๆ นั้นเลย มันผสมผสานรายๆ ความคิด และประสบการณ์ของตัวเองอยู่ในนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องจริงจังกับมันจริงๆ ถือว่าทำปริญญาอีกใบ เพิ่งเข้าเรียนปี2 จะทำข้อสอบ ปี4 มันคงลำบาก ใจเย็นๆ มองตามเนื้อผ้า ยินดีในสิ่งที่ตัวเองมี ทำของเราไป เดี๋ยวดีเอง (แต่ขอวงเล็บว่า ต้องทำจริง และใจรักนะครับ) แบนี้ รับรองได้ว่า "เดี๋ยวดีเอง"
ปล. ผมเคยคุยกับคุณมอส รู้เลยว่าเป็นคนใจร้อนมากๆ นะครับ และน่าจะดื้อด้วย ประมาณว่า อยากเห็นผลลัพท์เร็ว , คอมเม้นท์ที่ผมมีกับคุณบ่อยๆ คือเรื่อง "ใจ-เย็นๆ" สังเกตุมั้ยครับ
ได้มากย่อมดีกว่าได้น้อย ได้น้อยดีกว่าไม่ได้เลย ไม่ได้เลยดีกว่าเสียหาย ขาดทุนน้อย ดีกว่าขาดทุนมาก
วันนี้เท่าที่ฟัง คือไม่ได้ขาดทุน แต่ "ได้ไม่ทันใจ" เท่านั้น
ได้ไม่ทันใจเพราะ 1. ลงทุนน้อยกว่าคราวที่เสีย 2. หุ้นเราขึ้นไม่เท่าตัวอื่นๆ หรือตลาด 3. ยังระแวงว่าตัวเองเลือกหุ้นผิด เข้า-ออกผิดจังหวะ
ข้อ 1. เป็นเรื่องของความโกรธ/ความกลัว(ไม่กล้า เพราะฝังใจความผิดพลาด) ข้อ 2. เป็นเรื่องของความโลภ(อยากได้มากกว่านี้ หรือไปเทียบกับคนอื่น) ---สองข้อแรกเป็นเรื่องของใจล้วนๆ ข้อ 3. เป็นเรื่องฝีมือ และการเรียนรู้ ---ข้อนี้เป้นสิ่งที่ฝึก ที่เรียนได้ , ค่อยๆ มั่นใจข้อ 3. เมื่อไหร่เดี๋ยวข้อ 1-2 จะดีตามมาเอง
สรุปคือ ต้อง ฝึก ฝึก ฝึก และฝึกครับ
**********************
ส่วนอันสุดท้ายนี้เก็บมาจากกระทู้ของตัวเอง (ที่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้ตั้งเท่าไหร่)
รู้เหมือนกัน ว่าความเห้นบางอย่าง อาจจะไปขัดกับสไตล์ของคนอื่นๆ บางคน
แต่สิ่งที่เตือนเสมอๆ โดยเฉพาะ เรื่องการอย่าไปเล่นหุ้นปั่น และการอย่าไปเล่นเดย์เทมรดนั้น
ไม่ใช่เตือนเพราะอยากไปบิดสไตล์ใคร แต่เตือน เพราะเราผ่านมาแล้ว , และกล้าพูดว่า ผ่านมาอย่างเข้มข้นด้วย
สุดท้าย จึงได้ละเลิกการเล่นหุ้นปั่น และเดย์เทรดไป เพราะเห็นว่า ทำไป เล่นไปแล้ว "มันทำให้เราโตไม่ได้"
อย่าลืมว่าเราเป็นรายย่อย เราอยู่วงนอกของกลุ่มก้วนเจ้ามือ เราอยู่วงนอกของข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ
อย่างเก่ง ทำได้เต็มที่คือ หาเลี้ยงตัวเองไปวันๆ หนึ่ง หาค่ากับข้าว อาจจะหาเงินพอค่าผ่อนคอนโด แต่รวมๆ แล้ว เหนื่อยแสนเหนื่อย เครียดแสนเครียด ดิ้นรน แต่ได้ผลตอบแทนไม่ต่างอะไร กับคนทำงานออฟฟิต กินเงินเดือนน้อยนิด
รายย่อยๆ อย่างเราๆ เล่นหุ้นพวกนั้น(ปั่น) หรือ วิธีนั้น(เดย์เทรด) มันทำให้เรารวยไม่ได้ครับ พอร์ตเราไม่โตจากการเล่นแบบนั้นหรอกครับ ยืนยันฟันธง!!
เห็นคนอื่นกำไร อย่าไปเปรียบเทียบนะครับ เอาให้ดูเพื่อจะบอกว่า "เล่นหุ้นต้องถือ" นะครับ พอร์ตจึงจะโตได้
ประโยคข้างล่างนี้ เป็นประโยคที่เขียนเตือนตัวเองไว้
เล่นให้เป็นมืออาชีพหน่อย!! รู้จักรอ รู้จักโอกาส เล่นตามเงื่อนไข เล่นตามระบบ ตลาดไม่หนีไปไหน(ร้อก).. " จากกระทู้นี้..
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9589324/I9589324.html
ผมเป็นพวกเล่นหุ้นเป็นรอบนะครับ และจะมีทั้งมุมมอง แบบก่ะเล่นรอบเล็ก เล่นรอบขนาดกลาง และเล่นรอบขนาดใหญ่..
ผมจึงเป็นคนดูดัชนีตลาด ผสมผสานกับดูตัวหุ้น..
คือจะไม่เน้นดูตัวหุ้นเป็นหลัก โดยไม่สนภาพรวมตลาดเลย
แต่หลักๆ จะเน้นดูตลาดก่อน และจึงดูตัวหุ้น , แต่ถ้าเจอหุ้นเด็ดจริงๆ ในภาวะตลาดแย่ๆ ก็เล่นได้
หรือหากจะเล่นสวนภาวะตลาด(กรณีตลาดแย่) ก็ต้องมั่นใจว่า ตัวหุ้นที่เราเล็งไว้ มีประเด็นให้เล่น
ถึงอย่างไร ก็จะมีแนวรุก แนวรับ แนวถอยไว้ตลอด
*****
มีหลักคิดหลายหลัก ที่นึกออก 1-2 วันนี้
แล้วอยากเอามาลงไว้ตรงนี้ ก็อย่างเช่น..
"เล่นหุ้น อย่าพยายามเอาชนะเจ้ามือ"
และ/หรือ
"เล่นหุ้น อย่าพยายามฝืนตลาด"
คำว่า "เล่นหุ้น" ของผม จะมีความหมายกลางๆ นะครับ
จะไม่ใช่คำในแง่บวก หรือแง่ลบ คือใช้ในแง่เป็นคำพูดที่เข้าใจกันได้โดยทั่วไป
*****
เล่นหุ้น "ห้ามหลอกตัวเอง"
คุณสมบัติ ของคนที่หลอกตัวเองเก่งๆ จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ยากครับ
คือไม่หลอกตัวเอง ก็คือมองตามเป็นจริง
ถ้าเราตั้งใจเล่นเก็งกำไร (สั้นหรือยาวก็ได้) หากมีสิ่งที่ผิดพลาด เพี้ยนไปจากที่ประเมินไว้ทีแรก หรือเราประเมินบ่กพร่องไปเอง
ถึงแม้จะขาดทุน ก็ต้องยอมขาย
ในทางกลับกัน แม้เราจะขายไปแล้ว แล้วหุ้นขึ้นต่อ หากเรา พบว่าเอาเองที่พลาดขายหมูไป
การซื้อคืนแพงกว่าเดิมนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายคอขาดบาดตาม ขอเพียงให้เห็นโอกาสที่จะมีกำไรตามเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ , พลาดก็แก้ไขได้ครับ
*****
จริงๆ เป็นหัวข้อที่ใหญ่ กว่าความเห็นข้างบน เรื่อง "ห้ามหลอกตัวเอง"
ถ้าเอาแบบลึกๆ ตรงประเด็นแล้ว เล่นหุ้น "ควรรู้จักตัวเอง" ครับ
ต้องรู้ว่าใจเรา ทำอะไรได้แค่ไหน ต้องรู้ว่าเงินเรา พร้อมแค่ไหน
รู้ให้ได้ 2 อย่างนี้ก่อนครับ จึงจะมีโอกาสอยู่รอดในตลาดได้ระยะยาวๆ
เมื่อรู้ 2 อย่างนี้แล้ว จึงจะมาสู่จุดที่เรา เราจะเลือกลงทุนแบบไหน สไตล์ไหน
แล้วก็พัฒนา การรู้การเข้าจังหวะซื้อขาย
ข้อนี้ เป็นเรื่องยาก ที่ใครๆ ก็อยากรู้ครับ แต่ขอบอกไว้นะครับ ข้อที่ยากจริงๆ คือรู้จักตัวเองให้ดีก่อนครับ
รู้ใจตัวเองว่า เป็นคนประมาณไหน เพราะเป็นเรื่องภายใน
เมื่อรู้ภายใน การเรียนรู้ทฤษฎีภายนอกจะไม่ยากครับ
*****
สำหรับมือใหม่(มือเก่ายกไว้)
"หุ้นปั่นอย่าเล่นครับ" ห้ามเด็ดขาด ..
หุ้นปั่น สำหรับผม ก็ดูกันตรงที่ไม่มีพื้นฐาน นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป
นอกจากเจ้ามือ และกลุ่มก้วน ผมยังไม่เห็นรายย่อยที่ไหนรวยได้จากหุ้นพวกนี้จริงๆ สักคน
คุณอาจจะกำไรจากการเล่นครั้งหนึ่ง แต่กำไรที่เปรียบเสมือนเงินร้อนนี้ จะทำให้คุณฮึกเฮิม และเล่นเกินตัว และเล่นอย่างประมาทในครั้งต่อไป
ผลสุดท้าย คุณจะคือกำไร พร้อมกลับจะขาดทุนกลับมาให้เจ็บใจ
คุณอาจจะชนะบ้าง แพ้บาง นั่นทำให้คุณอยากพิสูจน์ ว่าคุณมีฝีมือ
แต่ผลสุดท้าย ก็เข้าทำนองเดิม คือกำไร 3 ครั้ง อาจจะไม่เท่ากับขาดทุนครับเดียว
เพราะฉะนั้น มือใหม่ จงอย่าเล่นหุ้นปั่นครับ
*****
สำหรับมือใหม่ (มือเก่ายกไว้)
"เดย์เทรดห้ามเล่น"
คนที่เล่นเดย์เทรดแล้ว รวย ผมก็ยังไม่เจอกับตัวสักที (เห็นแต่เล่าๆ กัน ไม่เคยเจอตัวจริงสักคน)
เล่นเดย์เทรด เพราะเราไม่มีเงินสำรอง สำหรับซื้อจริงๆ ซื้อเช้าต้องขายเย็น
นอกจากจะต้องสู้กับเจ้ามือและกลุ่มก้วนเค้า ที่รู้ทันเราแล้ว , เรายังต้องสู้กับรายย่อยมืออาชีพคนอื่นๆ อีก
ในเกมส์นี้ ก็บอกได้ว่า อย่างเก่ง ทำได้แค่หาค่ากับข้าวไปวันๆ แต่ทำให้รวยไม่ได้ ทำให้พอร์ตโตไม่ได้
พอร์ตจะโต และยืนnewhigh ได้ ต้องเล่นถือครับ , จะถือสั้น หรือกลาง หรือยาว ก็ว่ากันไป (แล้วแต่ความถนัดและความพอใจ)
แต่แบบที่ซื้เช้า ขายเย็น ไม่มีวันทำให้พอร์ตโตได้ครับ
อีกอย่าง การที่เราเดย์เทรด เรารู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีเงินจ่ายค่าหุ้นนั้นๆ มันจะทำให้เรา เสียวิจารณญาณที่ดี ในการเทรดด้วยครับ
*****
เรื่องที่คุณ tuxpower ว่าไว้ก็เป็นสไตล์หนึ่งครับ
ในตลาดหุ้น ใครเล่นหุ้นสไตไหนแล้วกำไร เป็นที่พอใจ ก็ถือได้ว่า ดีสำหรับคนนั้นๆ แหละเนอะ
มันจึงไม่มีหลักตายตัวว่าแบบไหนทำแล้วดีที่สุด เพราะดีของคนหนึ่ง อาจจะไม่ดีสำหรับอีกคน
จะมีก็แต่หลักที่ว่า แบบไหนไม่ควรทำอย่างยิ่งเท่านั้นเอง..
*****
บล็อกวันนี้ ก็ขอสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ครับ *************260853 --- 2341*************
Create Date : 26 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 27 สิงหาคม 2553 0:04:49 น. |
|
18 comments
|
Counter : 995 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ทองดี IP: 58.8.175.78 วันที่: 26 สิงหาคม 2553 เวลา:22:46:51 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 26 สิงหาคม 2553 เวลา:22:56:43 น. |
|
|
|
โดย: ผัดหมี่ (ThePhenix ) วันที่: 27 สิงหาคม 2553 เวลา:8:15:01 น. |
|
|
|
โดย: หนมเม็ด IP: 124.122.57.161 วันที่: 29 สิงหาคม 2553 เวลา:0:51:36 น. |
|
|
|
โดย: ทองดี IP: 58.8.177.4 วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:22:09:45 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:12:39:39 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:2:05:52 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:2:20:55 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:2:33:27 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:2:42:20 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:2:52:55 น. |
|
|
|
โดย: บุญทับ วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:2:58:20 น. |
|
|
|
โดย: ต้นตา IP: 124.122.92.8 วันที่: 19 กันยายน 2553 เวลา:14:23:41 น. |
|
|
|
โดย: รูบี้ IP: 115.87.146.79 วันที่: 25 กันยายน 2553 เวลา:10:15:26 น. |
|
|
|
โดย: ทองดี IP: 61.90.18.225 วันที่: 28 กันยายน 2553 เวลา:21:45:57 น. |
|
|
|
โดย: หนมเม็ด IP: 124.121.165.4 วันที่: 4 ตุลาคม 2553 เวลา:17:44:22 น. |
|
|
|
โดย: ทองดี IP: 58.8.177.129 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:49:12 น. |
|
|
|
|
|
|
มวลเมฆ
คือเนินเขาทำด้วยไอน้ำ
เนินเขา คือมวลเมฆสร้างด้วยศิลา..(รพินทรฯ)
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|