หวิว หวิว . .
.
เมื่อค่ำวาน จนถึงดึก จนถึงนอน จนกระทั่งวันนี้ทั้งวัน..
ผมมีเรื่องหนึ่งให้ครุ่นคิดอยู่ในใจตลอดทั้งวัน
เรื่องที่ครุ่นคิดนี้ ไม่ขอเล่า ณ ที่นี้ และมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับหุ้นโดยตรงด้วย
เพียงแต่มีบางแง่มุมของมัน ที่คล้ายๆ เรื่องหุ้นอยู่ในทีเหมือนกัน เพราะเปรียบไป เรื่องที่ว่า มันก็คล้ายๆ กับการลงทุน หรือการเก็งกำไรในรูปแบบหนึ่ง
ครุ่นคิดถึงมัน ก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นอกมั่นใจนัก ..ความรู้สึกที่ไม่ค่อยมั่นใจมากนักนี้ ผมเองก็ยังแยกแยะมันไม่ออก ว่ามันมาจากส่วนใด หรือมีสาเหตุประเด็นอะไรเป็นหลัก ของความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนี้
ความเป็นไปได้ของสาเหตุมัน มีเยอะแยะมากเลย..
แต่ผมเองก็สอบทานตัวเองตลอด ว่าตัวเองคิด พิจารณา กึ่งตัดสินใจบางประเด็นไปแล้ว อย่างมีสติ? คือกำหนดจิตตัวเองอยู่ ว่า ทำไปอย่างมีสติ ไม่ประมาทนะ ไม่ใช่ ทำไปเพราะใจเรากระโจนอยากไปตามแรงยั่วยุที่ไร้สัมปชัญญะ
ความรู้สึกรวมๆ นี้ ..อาจจะรวมเรียกได้ว่า ความรู้สึก หวิว หวิว . . ..ผมรู้สึกว่า มันคล้ายกับช่วงที่เรารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในตลาดหุ้น
ผมเชื่อว่า คนเล่นหุ้น ทุกคนล้วนต้องเคยเจอความรู้สึก หวิว หวิว นี้กันทุกคน ขณะที่ผมนึกถึงประเด็นนี้ในตอนอาบน้ำ
ผมก็คิดได้ว่า ถ้าเป็นหุ้น ผมจะใช้การ ปรับพอร์ต เป็นตัวช่วยประทั่ง และสอบทานความรู้สึก หรืออารมณ์ลึกๆ ในใจตัวเองอีกที
ผมมักให้คำแนะนำ ประมาณว่า ใช้สูตร 50/50 สิ.. หากเรามีหุ้นมากเกินไป แล้วเรารู้สึกไม่มั่นใจว่าทิศทางตลาด หรือตัวหุ้นที่เราถืออยู่ มันจะวิ่งต่อไปได้.. , เรากลัวว่า ราคามันจะลง..
เราก็อาศัยการปรับพอร์ตลดหุ้นที่มีอยู่ลงซ่ะ ผมมักจะให้คำแนะนำว่า สักครึ่งหนึ่ง มี 100 ก็ขายออกไป สัก 50 , แบบนี้เราจะสบายใจมากขึ้น และจะเริ่มมีสติ.. และสตางค์.. , ..ก็จะกลับมาอยู่กับเรามากขึ้น
ถ้าเรากลัวหุ้นลง แต่มีหุ้นอยู่มาก ก็ลดพอร์ตลงซ่ะหน่อย ถ้าเรามีหุ้นอยู่น้อย แต่เกรงว่าหุ้นจะขึ้น เราก็เพิ่มพอร์ตตัวเองให้มากขึ้นหน่อย
จริงๆ แล้ว มันจะมีขบวนการ ที่จะนำเราไปสู่จุดที่เราสบายใจ..
สมมติว่าเรา เทียบว่า มีหุ้นอยู่ 100% , กลัวว่าหุ้นจะตก เราก็ควรเลือกที่จะทยอยลดพอร์ตตัวเองลง , อาจจะ สักทีละ 10-20% ก็ได้ ..ทุกๆ ครั้งที่เราเริ่มปรับพอร์ต เราจะเริ่มมีความรู้สึกใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ มันแทบจะผุดขึ้นมาในนาทีนั้นๆ เลยก็ว่าได้ , จะเรียกว่า สติ กับ สัมปชัญญะ มันค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แล้วตัวอารมณ์ ตัวหลง ตัวความกลัว ตัวความโกรธ ตัวความไม่แน่ใจต่างๆ นานา มันจะเริ่มลดน้อยลง
การค่อยๆ เริ่มปรับพอร์ตทีละนิดๆ , จากภาวะที่ใจเราหวิวๆ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใจเราจะเริ่มเป็นกลางมากยิ่งขึ้น เริ่มมองเห็นสภาพตลาดตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
เมื่อเราค่อยๆ เริ่มปรับพอร์ตไปถึงจุดๆ หนึ่ง (ไม่ควรใช้การโยนซื้อ หรือขาย ไม้เดียว 100% นะ) เราจะเริ่มรู้สึกได้ ว่าเรากำลังมาถูกทางแล้ว.. ยิ่งลดพอร์ต เรายิ่งสบายใจ , บางครั้ง เราอาจจะจบที่พอร์ต เหลือหุ้น 50% ตามแผนก็ได้ บางครั้ง ยิ่งเราขาย เรายิ่งมั่นใจว่าทำได้ถูกต้อง.. , บางที มันก็จบด้วยการล้างพอร์ต หรือล้างหุ้นตัวนั้นๆ ออกจากพอร์ตเราไปเลย..
..และก็มีเหมือนกัน ทีบางครั้ง เราขายไปแล้วสักพัก เราเริ่มรู้สึกว่า เรากำลังทำผิด อยู่ เมื่อเราเริ่มตระหนักรู้อย่างนี้.. โดยธรรมชาติ เราก็จะหยุดขายไปเองโดยปริยาย บางครั้ง เราก็อาจจะต้องยอมเสียค่านายหน้า หรือเสียส่วนต่างสักเล็กน้อย เพื่อซื้อหุ้นกลับก็ได้
นี่คือข้อดี ของการใช้การปรับพอร์ตสู้ตลาดหุ้น สู้กับภาวะจิตใจ หวิว หวิว . . ของเรา..
เล่นหุ้นจำเป็นต้องมีสติ.. สติแตกเล่นหุ้นไม่ได้นะครับ (สติแตก=เล่นมั่ว)
เมื่อไหร่ ที่เราเริ่มรู้ตัวว่า สติเราเริ่มแตก เราก็ต้องรีบเรียกสติให้กลับคืนมา.. , เดี๋ยวนี้ผมมีวิธีเรียกสติตัวเองเก่งขึ้น ..แต่ในตลาดหุ้น การปรับพอร์ต ก็ช่วยทำให้คนที่ยังไม่ค่อยได้ฝึกสติตัวเอง ได้กลับมามีสติมากขึ้น
ส่วนผมตอนนี้ เดี๋ยวก็ต้องไปถามสติ ไปเรียกสติตัวเอง สอบทานจิตใจตัวเองต่อเหมือนกัน กับเรื่องที่ยังรู้สึก หวิว หวิว . . อยู่.. , ไปถามหน่อย.. ว่าใจ.. ว่าจิต.. ว่าสติ.. ว่าสัมปชัญญะ .. จะมีความคิดเห็น และจะให้คำตอบกับเราว่ายังไง?? (ในเรื่องที่ใจเรายัง หวิว หวิว . . อยู่นี้.. นาทีนี้เริ่มดีขึ้น , จากการได้เขียน)
เดี๋ยวนี้ ผมมีเครื่องมือดี .. อย่าลืมว่า.. ความมีสติ คือความไม่ประมาท..
สวัสดีครับ ..
Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2553 23:46:46 น. |
|
15 comments
|
Counter : 377 Pageviews. |
|
|
|
..สำหรับตลาดหุ้น
"ความมีสติ คือความมีสตางค์" ..นะครับ ..