Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
11 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว

เพื่อความต่อเนื่อง
ไปอ่านตอนแรกได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้จ้ะ


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน



หลังจากกระหืดกระหอบขึ้นรถบัสราคา 1 พันเยนได้แล้ว
ไม่มีแม้แต่เวลาจะใช้ free wifi ที่สนามบินส่งข่าวบอกที่บ้าน
เอาวะ ถ่ายรูปเล่าเรื่องไปพลาง ๆ ก็ถ่ายแบบปิดเสียงไป
บรรยากาศบนรถ


Image Hosted by PicturePush


เราถ่ายไม่เนียนเลย ประมาณว่าแอบถ่าย selfie แต่จริง ๆ อยากถ่ายคนญี่ป่นบนรถ


Image Hosted by PicturePush


ดูสิ เค้าจับได้ ฮา

Image Hosted by PicturePush
แล้วก็ถ่ายรูปเวลา 5 โมงกว่าหน้าร้อนบ้านเค้าไปเรื่อยเปื่อย
เวลาที่เราเข้าเมืองเริ่มเป็นเวลาเร่งด่วนของชาวโตเกียว
เวลารถติดตรงไหน คนขับก็จะเปิดคำพูดขอโทษประมาณว่า ขณะนี้รถติดทางข้างหน้า ขออภัยที่อาจจะล่าช้า ประมาณนั้น

Disney จ้ะ

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

สองข้างทางที่ญี่ปุ่น เราว่าไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ในด้านตึกสูง

แต่เขียวกว่ากันเยอะ

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

แต่จิตสำนึกคนข้ามถนนที่ต่างกันคนละโลก
วิวจากบนรถบัสอันตื่นตาตื่นใจของการมาครั้งแรกของเราค่ะ


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

รถบัสไปถึงใกล้ ๆ สถานีโตเกียวประมาณ 6 โมงครึ่ง
เรานัดโฮสคนแรกไว้ทุ่มครึ่ง ยังพอมีเวลาเดินเล่น
อย่างแรกที่ต้องทำเลยคือ หาที่ฝากกระเป๋า
ซึ่งเราได้รับรู้มาว่า สถานีโตเกียว เป็นสถานีที่ใหญ่มาก
ที่ฝากกระเป๋าเยอะ แต่มันดูเหมือน ๆ กันหมด

Image Hosted by PicturePush

แต่ตู้สำหรับฝากกระเป๋าใบใหญ่ 28 นิ้วของเรามีน้อยมาก และส่วนใหญ่จะเต็ม
โฮสของเราเลยแนะนำว่าให้ไปฝากที่ห้างไดมารู ชั้น 5 ที่เค้ามีให้ฝากกระเป๋าดีกว่า
สนนราคาก็พอ ๆ กันคือ 500 เยน
การผจญภัยหาห้างจึงเริ่มขึ้น พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเก่า 2 ล้อ มิใช่ 4 ล้อลากของเราซึ่งหนักอึ้ง
(16 กิโลกว่า ๆ ของเรา ๆ ก็รู้สึกหนักอึ้งนะจ๊ะ เพราะว่ามีเป้บนหลังอีก 1 ใบและถึงผ้าใส่หมอนรองคอใบยักษ์ซึ่งเกะกะมากอีก 1 ใบ)
จริง ๆ การผจญภัยเริ่มตั้งแต่หาสถานีโตเกียวเลย
เพราะรถบัสไม่ได้จอดหน้าสถานี มันต้องเดินข้ามถนนและเดินไปอีกซักพักเพื่อเข้าทางด้านหลังของสถานี
สิ่งประทับใจอย่างแรกของการมาเหยียบโตเกียวของเราก็คือ
คนต่อคิวขึ้นรถบัสอย่างเป็นระเบียบมาก และการต่อคิวต่าง ๆ จนชินตาแม้แค่ 5 นาทีของการมาเหยียบโตเกียวครั้งแรกของเรา
ต่อมาก็คือฟุตบาท
เพราะฟุตบาทบ้านเราเรียบร้อยมาก
ใครมีกระเป๋าล้อลาก สามารถลากขึ้น ลงฟุตบาทเพื่อข้ามถนนได้อย่างสบาย ประทับใจโครต ๆ
อาจจะไม่มีภาพให้เห็น เพราะสภาพตอนนั้นคือ ตื่นเต้น ตกใจ กังวล พร้อมกับสัมภารกเต็มมือ เต็มหลัง ไม่เหลือมือให้ควักมือถือออกมาถ่ายเพื่อสนองความประทับใจนั้นได้เลย

และแล้วก็มาถึงสถานีโตเกียว
สิ่งแรกที่ต้องหาเลยก็ห้างจะต้องฝากกระเป๋าอย่างที่บอก
ซึ่งหาไม่ยาก เพราะห้างเชื่อมกับสถานีเลย
แต่....
ที่ฝากกระเป๋าอยู่ตรงไหน
เราได้เรียนรู้ว่า ในห้างญี่ปุ่น พื้นที่แคบมาก
อาจจะเพราะเราลากกระเป๋าเดินทางด้วย แต่มันก็แคบกว่าห้างบ้านเราอย่างเห็นได้ชัด
คือถ้าเราลากกระเป๋าเดินทางเดินตามแผนกต่าง ๆ ทางเดินจะเต็ม
คนที่เดินสวนมาต้องรอให้เราเดินไปก่อนเลยทีเดียว
นี่คือชั้น 5 แผนกรองเท้าสตรีของห้างนะ
วนหาอยู่นานมาก จริง ๆ ห้างมันก็ไม่ใหญ่นะ แคบนิดเดียว เดินวนแป๊บเดียวก็หมด
แต่ที่ฝากกระเป๋าอยู่ไหน
เลยตัดสินใจถามคนญี่ปุ่น
ดีนะ ที่เค้าเห็นกระเป๋าเดินทาง ไม่อย่างนั้นคงคุยกันจนเมื่อยมือ เพราะเค้าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเบย
พอไปถึง โอ้ว ถึงบางอ้อ มันเป็นเคาร์เตอร์เล็ก ๆ เล็กมาก ประมาณ 1 เมตรเท่านั้น
แล้วก็มีวัยรุ่นต่อคิวอยู่เกือบ 10 คนได้
ตอนแรกเราก็ไปต่อคิวหลังสุดนะ แต่มันช้าจัง
แถมไม่รู้ว่าต่อถูกคิวรึเปล่า แต่จริง ๆ มันก็มีแค่ไลน์เดียวนั่นแหละ
อย่ากระนั้นเลย ถามดีกว่า
ถามน้องวัยรุ่นคนแรก ไม่รู้เรื่องจ้ะ
แต่ดีนะ ที่เค้ามากันเป็นกลุ่ม เค้าก็ไปตามเพื่อนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาพูด
เค้าบอกว่า ไม่ต้องต่อคิว เพราะคิวนี้คือคิวที่จะฝากกระเป๋าไปที่ไหนซักแห่ง
ไม่ใช่ฝากไว้ที่เคาร์เตอร์นี้
น้องเค้าก็เลยพาเราไปคุยกับเจ้าหน้าที่เลย ซึ่งก็แปลไปแปลมา ได้ความว่าฝากได้เลย
ชิ้นละ 500 เยน ตอนแรกกะว่าจะผูกได้ถุงผ้าไว้ด้วยเป็น 1 ชิ้นซะหน่อย แต่เค้าบอกว่าไม่ได้ ๆ คิดเป็นชิ้น เลยฝากแค่กระเป๋าเดินทางแค่ใบเดียว
ห้างจะปิด 2 ทุ่ม ให้มารับกระเป๋าก่อน 2 ทุ่มนะจ๊ะ ขอชื่อกับเบอร์โทรด้วย
เราก็เลยให้ชื่อกับเบอร์โทรโฮสที่เราจะนอนด้วยคืนนี้ไป ซึ่งเราก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเค้าเลย ฮา
ถ้าเข้าใจไม่ผิด เคาร์เตอร์ที่เราฝากกระเป๋านี้คือบริษัทแมวดำ ที่คนไทยชอบใช้บริการฝากกระเป๋าไปสนามบิน หรือไปต่างเมืองเนี่ยแหละ
หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จ เราก็ขอบคุณหนุ่มมหาลัยคนนั้นพร้อมกับเพรสรสลาบกับต้มยำกุ้งให้เค้าไปลองชิมกันกับเพื่อน ๆ
เราได้เรียนรู้ว่า การที่เราหอบเอาขนมไทย ๆ มาก็เพื่อการนี้เนี่ยแหละ
น้ำใจจากคนญี่ปุ่น แลกกันกับน้ำใจคนไทย เด็ก ๆ ดูตื่นเต้นกันใหญ่ เพราะเพรสมันมีภาษาญี่ปุ่นด้วย แต่ที่ญี่ปุ่นไม่มีขาย 2 รสนี้นะจ๊ะ

แล้วเราก็เดินตัวปลิวกว่าเมื่อกี๊ ไปถ่ายรูปบรรยากาศในห้างดีกว่า ระหว่างรอโฮส
แต่ไม่ค่อยตื่นตาเท่าไหร่ เพราะเราว่ามันแพงง่ะ
ขนมที่นี่มีให้ชิมทุกตัวเลย ดีจัง
เพราะเข้าใจนะ บางครั้งเห็นสวย ๆ แต่กินไม่อร่อย
ถ้าเป็นแบบนี้ในบ้านเรา หมดภายในครึ่งชั่วโมงล่ะมั้ง ให้ชิมฟรีแถมตักได้เองแบบนี้
คงทำที่บ้านเราโดยไม่มีพนักงานไม่ได้หรอก


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

หลังจากเดินรองห้างชั้นขนมแล้ว ก็ยังพอมีเวลาไปซื้อบัตร suica ที่ตู้ขายบัตร JR ในสถานีซะเลย
เดินออกมาก็ต้องผงะกับฝูงชนที่เริ่มเลิกงาน เดินกันขวักไขว่

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


พร้อมกับอาการงงกับการซื้อบัตร suica ดีนะที่มันเป็นภาษาอังกฤษ
ใช้เวลาศึกษาประมาณนึง ก็เกรงใจคนข้างหลังนะ แต่คิดว่าเค้าเข้าใจว่าเราเป็นต่างชาติ
เพราะเสียงที่ออกมาจากเครื่องอันดังมาก ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ

หลังจากซื้อบัตรเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาหา free wifi เพื่อส่งข่าวบอกที่บ้านและโฮสว่าเรามาถึงแล้ว
free wifi ก็ค่อนข้างโอเคเลยนะ ถ้าอยู่ในสถานีใหญ่ ๆ มันหาง่ายมาก แต่มันก็ดับง่ายมาก ถ้าเราเดินออกมาเพียงนิดเดียว
แค่ว่าเดินจะแตะบัตรออก wifi หาไม่เจอแล้ว
เราก็ส่งข่าวบอกที่บ้านกับโฮสแล้ว เราก็ลั้นลา ไปดูไฮไลท์ของสถานี่โตเกียวที่เราลิสมาดีกว่า
นั่นก็คือ First Avenue Tokyo Station ตรง Tokyo character street!
มันเป็นชั้นของร้านขายตัวการ์ตูน ตกแต่งน่ารัก ๆ ซึ่งจริง ๆ เราเป็นคนไม่อ่านการ์ตูน แล้วก็ไม่ค่อยบ้าของกิ๊ฟช็อปเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าของพวกเรามันแพงเกินจริง
แต่เราไปถ่ายรูปเอามาลงบล็อคเผื่อทุกคนจ้า



Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush


สาว ๆ ต่อคิวอะไรยาวเหยียด
อ้อ เค้ามีเซลนี่เอง คิวยาวมาก ทั้งในร้านและก็เลยออกมานอกร้าน
ไม่มีใครบ่น คุยเสียงดัง หรือ แซงคิว ต่อคิวกันอย่างอดทนและมีมารยาทมากกก

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

Image Hosted by PicturePush

คิวนี้ยังเด็ก ๆ เดี๋ยวตอนหน้าเอารูปการต่อคิวร้านอาหารมาให้ดู
ประทับใจมากกก


วันนี้รูปเยอะไปละ ขอจบตอนนี้ไว้ตรงนี้ก่อนดีกว่า
ช่วงนี้ห่างหายจากการอัพบล็อค เพราะประสบอุบัติเหตุที่ข้อมือนิดหน่อย
ทำให้พิมพ์ไม่ได้เลย เจ็บมาก นี่ก็ฝืนพิมพ์นะเนี่ย ไว้อีกซัก 1-2 เดือนหายดีก่อนจะมาเล่าให้เยอะกว่านี้นะ

ปล. บล็อคเราจะเต็มไปด้วยการแอบถ่ายคนญี่ปุ่นที่เราเดินผ่านนะคะ ไม่ใช่อะไรหรอก เราชอบคนญี่ปุ่นมาก โดยเฉพาะหนุ่มญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าหนุ่ม ๆ ซาลาริมังอายุ 20-30 ญี่ปุ่น หน้าตาดีครึ่งนึงเลย คือเวลาเดินมาเป็นกลุ่มคน ครึ่งนึงจะหน้าตาดี เอ๊ะ หรือว่าสเป๊กหนุ่มในหัวเราเป็นแบบหนุ่มญี่ปุ่นก็ไม่รู้ เราเลยรู้สึกเพลิดเพลินมาก คือเรารู้สึกว่าหนุ่มออฟฟิศญี่ปุ่นแต่งตัวดีมาก เนี้ยบมาก เสื้อ กางเกงเข้ารูปรองเท้า ทรงผมเป๊ะ เราอยู่ที่นี่ 5 วัน เราแทบไม่เคยเห็นหนุ่มออฟฟิศญี่ปุ่นอ้วนเลย มีแต่รูปร่างผอมบาง แต่อาจจะไม่สูงมาก แต่เราก็กรี๊ดมาก กรี๊ดทุกวัน เช้า กลางวัน เย็นที่เดินผ่านหนุ่มญี่ปุ่น ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรูปในมือถือ 5 วันในโตเกียวคนเดียวครั้งแรกของเราจึงมาประมาณ 3 พันกว่ารูป แหะ ๆ


ติดตามอ่านแต่ละตอนได้ตามลิงค์ด้านล่างนะคะ


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วย


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรก


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดิน



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJI


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 12 ไต้ฝุ่นเข้า เลยต้องเข้าดองกี้แทนตลาดนัดแบกะดิน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 13 วันสุดท้ายในโตเกียว วัดเซ็นโซจิและสวนอุเอโนะ



Create Date : 11 ตุลาคม 2557
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 19:15:24 น. 1 comments
Counter : 6947 Pageviews.

 
น่ารักตรงที่มีขนมเพรสจากเมืองไทย(ที่มีตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่น) หอบหิ้วไปฝากเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ระหว่างทางด้วยนี่ล่ะจ้ะ

คนไทยก็นิสัยน่ารักมุ้งมิ้ง ไม่แพ้ใครในโลกนะ ขอบอก
อิอิ

ปล. เราก็ชอบหนุ่มๆญี่ปุ่นจ้ะ
เสพเป็นงานหลัก
อร้ายยย (มือป้องหน้า 55) ^^


โดย: nobuta wo produce วันที่: 24 ตุลาคม 2557 เวลา:19:57:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.