เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว
เพื่อความต่อเนื่องไปอ่านตอนแรกได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้จ้ะเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พักเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบินหลังจากกระหืดกระหอบขึ้นรถบัสราคา 1 พันเยนได้แล้วไม่มีแม้แต่เวลาจะใช้ free wifi ที่สนามบินส่งข่าวบอกที่บ้านเอาวะ ถ่ายรูปเล่าเรื่องไปพลาง ๆ ก็ถ่ายแบบปิดเสียงไปบรรยากาศบนรถเราถ่ายไม่เนียนเลย ประมาณว่าแอบถ่าย selfie แต่จริง ๆ อยากถ่ายคนญี่ป่นบนรถดูสิ เค้าจับได้ ฮาแล้วก็ถ่ายรูปเวลา 5 โมงกว่าหน้าร้อนบ้านเค้าไปเรื่อยเปื่อยเวลาที่เราเข้าเมืองเริ่มเป็นเวลาเร่งด่วนของชาวโตเกียวเวลารถติดตรงไหน คนขับก็จะเปิดคำพูดขอโทษประมาณว่า ขณะนี้รถติดทางข้างหน้า ขออภัยที่อาจจะล่าช้า ประมาณนั้นDisney จ้ะสองข้างทางที่ญี่ปุ่น เราว่าไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ในด้านตึกสูงแต่เขียวกว่ากันเยอะ แต่จิตสำนึกคนข้ามถนนที่ต่างกันคนละโลกวิวจากบนรถบัสอันตื่นตาตื่นใจของการมาครั้งแรกของเราค่ะรถบัสไปถึงใกล้ ๆ สถานีโตเกียวประมาณ 6 โมงครึ่งเรานัดโฮสคนแรกไว้ทุ่มครึ่ง ยังพอมีเวลาเดินเล่นอย่างแรกที่ต้องทำเลยคือ หาที่ฝากกระเป๋าซึ่งเราได้รับรู้มาว่า สถานีโตเกียว เป็นสถานีที่ใหญ่มากที่ฝากกระเป๋าเยอะ แต่มันดูเหมือน ๆ กันหมดแต่ตู้สำหรับฝากกระเป๋าใบใหญ่ 28 นิ้วของเรามีน้อยมาก และส่วนใหญ่จะเต็มโฮสของเราเลยแนะนำว่าให้ไปฝากที่ห้างไดมารู ชั้น 5 ที่เค้ามีให้ฝากกระเป๋าดีกว่าสนนราคาก็พอ ๆ กันคือ 500 เยนการผจญภัยหาห้างจึงเริ่มขึ้น พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเก่า 2 ล้อ มิใช่ 4 ล้อลากของเราซึ่งหนักอึ้ง (16 กิโลกว่า ๆ ของเรา ๆ ก็รู้สึกหนักอึ้งนะจ๊ะ เพราะว่ามีเป้บนหลังอีก 1 ใบและถึงผ้าใส่หมอนรองคอใบยักษ์ซึ่งเกะกะมากอีก 1 ใบ)จริง ๆ การผจญภัยเริ่มตั้งแต่หาสถานีโตเกียวเลยเพราะรถบัสไม่ได้จอดหน้าสถานี มันต้องเดินข้ามถนนและเดินไปอีกซักพักเพื่อเข้าทางด้านหลังของสถานีสิ่งประทับใจอย่างแรกของการมาเหยียบโตเกียวของเราก็คือคนต่อคิวขึ้นรถบัสอย่างเป็นระเบียบมาก และการต่อคิวต่าง ๆ จนชินตาแม้แค่ 5 นาทีของการมาเหยียบโตเกียวครั้งแรกของเราต่อมาก็คือฟุตบาท เพราะฟุตบาทบ้านเราเรียบร้อยมาก ใครมีกระเป๋าล้อลาก สามารถลากขึ้น ลงฟุตบาทเพื่อข้ามถนนได้อย่างสบาย ประทับใจโครต ๆอาจจะไม่มีภาพให้เห็น เพราะสภาพตอนนั้นคือ ตื่นเต้น ตกใจ กังวล พร้อมกับสัมภารกเต็มมือ เต็มหลัง ไม่เหลือมือให้ควักมือถือออกมาถ่ายเพื่อสนองความประทับใจนั้นได้เลยและแล้วก็มาถึงสถานีโตเกียวสิ่งแรกที่ต้องหาเลยก็ห้างจะต้องฝากกระเป๋าอย่างที่บอกซึ่งหาไม่ยาก เพราะห้างเชื่อมกับสถานีเลยแต่....ที่ฝากกระเป๋าอยู่ตรงไหนเราได้เรียนรู้ว่า ในห้างญี่ปุ่น พื้นที่แคบมากอาจจะเพราะเราลากกระเป๋าเดินทางด้วย แต่มันก็แคบกว่าห้างบ้านเราอย่างเห็นได้ชัดคือถ้าเราลากกระเป๋าเดินทางเดินตามแผนกต่าง ๆ ทางเดินจะเต็มคนที่เดินสวนมาต้องรอให้เราเดินไปก่อนเลยทีเดียวนี่คือชั้น 5 แผนกรองเท้าสตรีของห้างนะวนหาอยู่นานมาก จริง ๆ ห้างมันก็ไม่ใหญ่นะ แคบนิดเดียว เดินวนแป๊บเดียวก็หมดแต่ที่ฝากกระเป๋าอยู่ไหนเลยตัดสินใจถามคนญี่ปุ่นดีนะ ที่เค้าเห็นกระเป๋าเดินทาง ไม่อย่างนั้นคงคุยกันจนเมื่อยมือ เพราะเค้าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเบยพอไปถึง โอ้ว ถึงบางอ้อ มันเป็นเคาร์เตอร์เล็ก ๆ เล็กมาก ประมาณ 1 เมตรเท่านั้นแล้วก็มีวัยรุ่นต่อคิวอยู่เกือบ 10 คนได้ตอนแรกเราก็ไปต่อคิวหลังสุดนะ แต่มันช้าจังแถมไม่รู้ว่าต่อถูกคิวรึเปล่า แต่จริง ๆ มันก็มีแค่ไลน์เดียวนั่นแหละอย่ากระนั้นเลย ถามดีกว่าถามน้องวัยรุ่นคนแรก ไม่รู้เรื่องจ้ะแต่ดีนะ ที่เค้ามากันเป็นกลุ่ม เค้าก็ไปตามเพื่อนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาพูดเค้าบอกว่า ไม่ต้องต่อคิว เพราะคิวนี้คือคิวที่จะฝากกระเป๋าไปที่ไหนซักแห่งไม่ใช่ฝากไว้ที่เคาร์เตอร์นี้น้องเค้าก็เลยพาเราไปคุยกับเจ้าหน้าที่เลย ซึ่งก็แปลไปแปลมา ได้ความว่าฝากได้เลยชิ้นละ 500 เยน ตอนแรกกะว่าจะผูกได้ถุงผ้าไว้ด้วยเป็น 1 ชิ้นซะหน่อย แต่เค้าบอกว่าไม่ได้ ๆ คิดเป็นชิ้น เลยฝากแค่กระเป๋าเดินทางแค่ใบเดียวห้างจะปิด 2 ทุ่ม ให้มารับกระเป๋าก่อน 2 ทุ่มนะจ๊ะ ขอชื่อกับเบอร์โทรด้วยเราก็เลยให้ชื่อกับเบอร์โทรโฮสที่เราจะนอนด้วยคืนนี้ไป ซึ่งเราก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเค้าเลย ฮาถ้าเข้าใจไม่ผิด เคาร์เตอร์ที่เราฝากกระเป๋านี้คือบริษัทแมวดำ ที่คนไทยชอบใช้บริการฝากกระเป๋าไปสนามบิน หรือไปต่างเมืองเนี่ยแหละหลังจากฝากกระเป๋าเสร็จ เราก็ขอบคุณหนุ่มมหาลัยคนนั้นพร้อมกับเพรสรสลาบกับต้มยำกุ้งให้เค้าไปลองชิมกันกับเพื่อน ๆ เราได้เรียนรู้ว่า การที่เราหอบเอาขนมไทย ๆ มาก็เพื่อการนี้เนี่ยแหละน้ำใจจากคนญี่ปุ่น แลกกันกับน้ำใจคนไทย เด็ก ๆ ดูตื่นเต้นกันใหญ่ เพราะเพรสมันมีภาษาญี่ปุ่นด้วย แต่ที่ญี่ปุ่นไม่มีขาย 2 รสนี้นะจ๊ะแล้วเราก็เดินตัวปลิวกว่าเมื่อกี๊ ไปถ่ายรูปบรรยากาศในห้างดีกว่า ระหว่างรอโฮสแต่ไม่ค่อยตื่นตาเท่าไหร่ เพราะเราว่ามันแพงง่ะขนมที่นี่มีให้ชิมทุกตัวเลย ดีจัง เพราะเข้าใจนะ บางครั้งเห็นสวย ๆ แต่กินไม่อร่อยถ้าเป็นแบบนี้ในบ้านเรา หมดภายในครึ่งชั่วโมงล่ะมั้ง ให้ชิมฟรีแถมตักได้เองแบบนี้คงทำที่บ้านเราโดยไม่มีพนักงานไม่ได้หรอกหลังจากเดินรองห้างชั้นขนมแล้ว ก็ยังพอมีเวลาไปซื้อบัตร suica ที่ตู้ขายบัตร JR ในสถานีซะเลยเดินออกมาก็ต้องผงะกับฝูงชนที่เริ่มเลิกงาน เดินกันขวักไขว่พร้อมกับอาการงงกับการซื้อบัตร suica ดีนะที่มันเป็นภาษาอังกฤษใช้เวลาศึกษาประมาณนึง ก็เกรงใจคนข้างหลังนะ แต่คิดว่าเค้าเข้าใจว่าเราเป็นต่างชาติเพราะเสียงที่ออกมาจากเครื่องอันดังมาก ออกมาเป็นภาษาอังกฤษหลังจากซื้อบัตรเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาหา free wifi เพื่อส่งข่าวบอกที่บ้านและโฮสว่าเรามาถึงแล้วfree wifi ก็ค่อนข้างโอเคเลยนะ ถ้าอยู่ในสถานีใหญ่ ๆ มันหาง่ายมาก แต่มันก็ดับง่ายมาก ถ้าเราเดินออกมาเพียงนิดเดียวแค่ว่าเดินจะแตะบัตรออก wifi หาไม่เจอแล้วเราก็ส่งข่าวบอกที่บ้านกับโฮสแล้ว เราก็ลั้นลา ไปดูไฮไลท์ของสถานี่โตเกียวที่เราลิสมาดีกว่านั่นก็คือ First Avenue Tokyo Station ตรง Tokyo character street! มันเป็นชั้นของร้านขายตัวการ์ตูน ตกแต่งน่ารัก ๆ ซึ่งจริง ๆ เราเป็นคนไม่อ่านการ์ตูน แล้วก็ไม่ค่อยบ้าของกิ๊ฟช็อปเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าของพวกเรามันแพงเกินจริงแต่เราไปถ่ายรูปเอามาลงบล็อคเผื่อทุกคนจ้าสาว ๆ ต่อคิวอะไรยาวเหยียดอ้อ เค้ามีเซลนี่เอง คิวยาวมาก ทั้งในร้านและก็เลยออกมานอกร้านไม่มีใครบ่น คุยเสียงดัง หรือ แซงคิว ต่อคิวกันอย่างอดทนและมีมารยาทมากกกคิวนี้ยังเด็ก ๆ เดี๋ยวตอนหน้าเอารูปการต่อคิวร้านอาหารมาให้ดูประทับใจมากกกวันนี้รูปเยอะไปละ ขอจบตอนนี้ไว้ตรงนี้ก่อนดีกว่า ช่วงนี้ห่างหายจากการอัพบล็อค เพราะประสบอุบัติเหตุที่ข้อมือนิดหน่อยทำให้พิมพ์ไม่ได้เลย เจ็บมาก นี่ก็ฝืนพิมพ์นะเนี่ย ไว้อีกซัก 1-2 เดือนหายดีก่อนจะมาเล่าให้เยอะกว่านี้นะปล. บล็อคเราจะเต็มไปด้วยการแอบถ่ายคนญี่ปุ่นที่เราเดินผ่านนะคะ ไม่ใช่อะไรหรอก เราชอบคนญี่ปุ่นมาก โดยเฉพาะหนุ่มญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าหนุ่ม ๆ ซาลาริมังอายุ 20-30 ญี่ปุ่น หน้าตาดีครึ่งนึงเลย คือเวลาเดินมาเป็นกลุ่มคน ครึ่งนึงจะหน้าตาดี เอ๊ะ หรือว่าสเป๊กหนุ่มในหัวเราเป็นแบบหนุ่มญี่ปุ่นก็ไม่รู้ เราเลยรู้สึกเพลิดเพลินมาก คือเรารู้สึกว่าหนุ่มออฟฟิศญี่ปุ่นแต่งตัวดีมาก เนี้ยบมาก เสื้อ กางเกงเข้ารูปรองเท้า ทรงผมเป๊ะ เราอยู่ที่นี่ 5 วัน เราแทบไม่เคยเห็นหนุ่มออฟฟิศญี่ปุ่นอ้วนเลย มีแต่รูปร่างผอมบาง แต่อาจจะไม่สูงมาก แต่เราก็กรี๊ดมาก กรี๊ดทุกวัน เช้า กลางวัน เย็นที่เดินผ่านหนุ่มญี่ปุ่น ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรูปในมือถือ 5 วันในโตเกียวคนเดียวครั้งแรกของเราจึงมาประมาณ 3 พันกว่ารูป แหะ ๆติดตามอ่านแต่ละตอนได้ตามลิงค์ด้านล่างนะคะเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พักเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรกเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วยเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรกเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJIเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่งเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 12 ไต้ฝุ่นเข้า เลยต้องเข้าดองกี้แทนตลาดนัดแบกะดินเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 13 วันสุดท้ายในโตเกียว วัดเซ็นโซจิและสวนอุเอโนะ
คนไทยก็นิสัยน่ารักมุ้งมิ้ง ไม่แพ้ใครในโลกนะ ขอบอก
อิอิ
ปล. เราก็ชอบหนุ่มๆญี่ปุ่นจ้ะ
เสพเป็นงานหลัก
อร้ายยย (มือป้องหน้า 55) ^^