Group Blog
 
<<
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
13 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน

เพื่อความต่อเนื่อง
ไปอ่านตอนแรกได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้จ้ะ


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก


หลังจากเล่าไป 1 ตอนเต็ม ๆ
กะว่าจะให้ถึงสนามบินก็ยังไม่ถึงสนามบินซะที มัวแต่ตื่นเต้น กังวล หลากหลายความรู้สึกอยู่
วันนี้ล่ะ ภาพตัดเข้าสนามบินเลยแล้วกัน
เกือบไม่นอนละ เพราะเที่ยงบินเช้ามืด
นอนก็หลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะจัดกระเป๋าจนวินาทีสุดท้ายก่อนนอน
แถมตื่นนอนก็ต้องมาจัดเครื่องในห้องน้ำต่อ เพราะใช้ตอนตื่นก่อนบิน
ออกมาเรียก taxi ตอนตี 4 นั่งคุยกับ taxi แก้ตื่นเต้นตลอดทาง
ทั้งง่วง ทั้งตื่นเต้น

กว่า 4-5 ปีแล้วสินะที่ไม่ได้มาเหยียบย่างสนามบินเลย
เราเป็นพวกโรคจิตหน่อย ๆ
คือเราจะมาสนามบินก็ต่อเมื่อเราเดินทางเท่านั้น
แล้วก็ไม่มารับใคร หรือให้ใครมาส่งด้วย
มันจะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น รู้สึกพิเศษกับสนามบินจริง ๆ
เพราะถ้าเรามา แสดงว่าเราได้เดินทางจริง ๆ
การมาเหยียบสนามบินของเราจึงมีความหมายกับเรามาก ๆ
ความรู้สึกเลยสดใหม่ และจำขั้นตอนอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
อะไรอยู่ตรงไหน ต้องเดินหรือกรอกอะไรยังไงบ้าง ทำไม่เป็นเลย
ความรู้สึกเหมือนคนมาสนามบินครั้งแรกเสมอ ๆ เพราะนาน ๆ บินที






มาถึงก็มองหาเกตสายการบินของเรา
ถ้าจำไม่ผิด ไม่ต้อง check in เองนะ มีพนักงานทำให้
โหลดกระเป๋าเหลือ ๆ 16 กิโล ไอ้ที่หนักเนี่ย หนักไอ้เครื่องสารพัดแกงที่จะเอาไปฝากโฮสคนญี่ปุ่นและคนที่เจอรายทางกว่า 50 ซองนั่นแหละ
เพราะอย่างอื่นก็แทบไม่มีอะไรหนัก
เอาเดรสไปแค่ 4 ตัวเอง กะใส่ซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่ญี่ปุ่นและไปต่อที่เมกา
แล้วด้วยความที่เป็นหน้าร้อนทั้งญี่ปุ่นและเมกาเลยไม่ได้ติดเสื้อกันหนาวหรือเสื้อแขนยาวมาเลย
อ่อ ติดเสื้อแขนยาวบาง ๆ ขึ้นเครื่องมาตัวนึง เพราะหม่าม้าบอกว่าพกไปเถอะ ไม่หนัก ระวังบนเครื่องหนาว เลยติดมาก็ได้เอานาทีสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน
อ้อ ไปครั้งนี้ เราไปญี่ปุ่น 6 วันและไปเที่ยวเกาะเพื่อนกินที่เมกาอีก 6 วัน
เป็นครั้งแรกในชีวิตของเราทั้ง 2 ประเทศ กับน้ำหนักกระเป๋าเพียง 16 กิโล
ซึ่งเกินครึ่งเป็นของฝากทั้งน้าน จริง ๆ นะ

หลังจากโหลดกระเป๋า ต้องไป passport control ก็ผ่านได้อย่างรวดเร็ว
แล้วเดินไม่ถูกว่าต้องเดินไปไหนอีกหว่า ก็เดิน ๆ ตาม ๆ เค้าไป
อ้าว เค้าไล่ให้ไปกรอกผู้โดยสารขาออกอะไรเนี่ยแหละ เลยกรอก ๆ แล้วก็ผ่าน ๆ ไป
แป๊บเดียวเสร็จ อะไรวะ มาเผื่อเวลาตั้งเกือบ 2 ชั่วโมง
ตอนนู้น ไปเกาหลี มาก่อนเวลาแค่ชั่วโมงกว่า พอดี final call พอดี
เพราะไปนอนตรงไอ้ passport control เนี่ยแหละ
คราวนี้ อุตส่าเผื่อเวลา ดั๊น ไม่มีคน ฮ่วย

มีเวลาตั้งชั่วโมงกว่า เดินไป เดินมาอยู่สนามบินอย่างโครตเบื่อ
เพราะไม่มีตังจะซื้ออะไรที่สนามบินอยู่แล้ว ขนมไทยที่สนามบินแพงโคด ๆ
ทุเรียกกวน แท่งละตั้งหลายร้อย ตูซื้อโลตัสไปฝากคนญี่ปุ่น แท่งเล็กกว่าหน่อย 15 บาทเอ๊ง
ทำอะไรดี ๆ นอนก็นอนไม่ได้ มันเพิ่งตื่น
เดินรอบสนามบินทั้ง 2 ด้านจนเบื่อ เบื่อเพราะไม่ได้ใช้เงินละมั้ง
บางคนแค่ duty free ก็เวลาช้อปปิ้งไม่พอแล้วไรงี้
ในที่สุดก็เดินมาถึง gate ที่รอเครื่องบินตามเวลาที่เค้าระบุให้ไปรอที่ gate
มีคนนั่งรออยู่เพียบ แต่ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง เกาหลี และญี่ปุ่น
มอง ๆ ดู แทบไม่มีคนไทยเลย สำหรับเครื่องไปญี่ปุ่นและไปต่อเมกาเที่ยวนี้
โดดเดี่ยวของแท้ตั้งแต่อยู่สนามบินเมืองไทย









พอขึ้นเครื่อง
ต้องผ่านชั้น business class
ฉันได้เรียนรู้ว่า ชั้น business class เค้าไม่บ้าหอบฟางกันเลย
หรือเพราะเค้าเดินทางบ่อยขนไม่รู้จะซื้ออะไรก็ไม่รู้
เพราะคนนั่งเต็ม แต่บนเคบินเก็บของบนหัว แต่ไม่มีสัมภาระอะไรวางกันเลย
เลยได้เรียนรู้ว่า คนยิ่งรวย ของยิ่งน้อย (หรือว่าเค้ามีกันหมดแล้วจนไม่รู้จะซื้อะไรแล้วก็ไม่รู้)

มาถึงที่นั่งริมหน้าต่างของเรา



เรามาถึงคนแรก มาแอบลุ้นคนข้าง ๆ กันว่าจะเจอผู้ใด
แล้วดวงก็ไม่แย่นัก เพราะได้นั่งข้างหนุ่มญี่ปุ่นจ้า
ดูหน้าตาแล้วยังไม่แก่มาก น่าจะประมาณ 40 ต้น ๆ ได้
อยากชวนคุยใจจะขาดตั้งแต่นั่งข้างกัน
แต่ตั้งแต่ฮีนั่งข้างเรา ฮีก็เอาแต่เสียบหูฟัง ดูทีวี ไม่มีโอกาสให้อิชั้นชวนคุยเลยแม้แต่น้อย
หรือไม่ ฮีก็หลับจ้า ฮ่วย
ไม่เปิดโอกาสให้ฉันชวนคุยเลยเหรอเฮีย
หรืออยากทำความรู้จักอ่ะค่า
แต่อย่ากระนั้นเลย หลับหรอ ชั้นแอบถ่ายรูปซะเลย
หน้าตาดีนะถึงแอบถ่าย ไม่งั้นไม่ถ่ายนะจ๊ะ อิอิ จุ๊บ ๆ



หลังจากฮีตื่น เลยได้คุยกันนิดหน่อย
ตอนแรกก็ใช้ภาษาอังกฤษคุยกันว่าเป็นคนญี่ปุ่นเหรอ
จะกลับบ้านเหรอ มาทำอะไรเมืองไทยจ๊ะ
คุยไปคุยมา ฮีพูดขึ้นมาว่า คุยภาษาไทยได้ แป่ว
ก็คุยภาษาไทย ได้นิดนึง ฮีก็ทำหน้าเอ๋อ ๆ ไม่เข้าใจ
อ้าว กลับไปคุยภาษาอังกฤษกันเถอะ ไม่งั้นฮีก็จะพยักหน้าอย่างเดียว
คือฉันถามคำถามเปิด มิใช่คำถามปิดให้ตอบใช่ หรือ ไม่ใช่นะเออ

คุยไปคุยมาได้ความว่า
ฮีเป็นคนญี่ปุ่น มาทำงานที่ไทย 3 ปีแล้ว ที่อมตะนคร ชลบุรี
บ้านอยู่ชิบะ ลาหรือได้กลับบ้าน 1 อาทิตย์เนี่ยแหละ
แล้วก็ต่างคนต่างนอน เพราะเครื่องขึ้นมาได้ระยะนึงแล้ว
แล้วอิชั้นก็นอนไม่พอมาเป็นอาทิตย์ ก็กะมาหลับยาว ๆ บนเครื่่องเนี่ยแหละ
หลังจากหลับพิงหน้าต่างพร้อมหมอนรองคอได้ 45 นาที
ตื่นขึ้นมา ชิบหายละ ปวดหัวข้างที่พิงนั่นแหละ
ปวดมาก ปวดข้างเดียว พะอืดพะอม อยากจะอ้วกด้วย หัวก็ปวด มึนมาก
แล้วเค้ากำลังจะมาเสิร์ฟอาหาร เลยกินไม่ได้เลย เพราะอยากจะอ้วก
สงสัยเมาเครื่องบิน ไม่ได้ขึ้นนานไปหน่อย สงสัยต้องขึ้นให้บ่อยกว่านี้ซักปีละครั้งซะละมั้ง
ได้เบนโตะมา กินข้าวได้นิดหน่อย กับมิโสะ แล้วก็ชาเขียว ได้แค่นั้นจริง ๆ
ไม่อยากกิน แต่ไม่ไหว กลัวยิ่งไม่กินแล้วจะยิ่งหนัก เพราะตั้งแต่ตื่นมาตอนตี 3 ยังไม่มีอะไรลงท้องเลย
เลยไม่ได้สัมผัสเครื่องเคียงกับขนมบนเครื่องเลย









นั่งปวดอยู่ครึ่งชั่วโมง จะนอนก็นอนไม่ได้
ได้แต่ปวดอยู่อย่างนั้น
คิดไปสารพัด
ตายห่า นี่กรูปวดหัวไม่สบายตั้งแต่วันแรกเลยเหรอวะเนี่ย
แล้ววันที่เหลือกรูจะทำยังไงวะ
แล้ววันแรกควรจะมีพลังมากที่สุดสิ จะหาโฮสเจอรึเปล่าก็ไม่รู้
จะแบกเป้ แบกกระเป๋าได้ไหมวะ หลังจากลงเครื่อง
ทำไมซวยแบบนี้ ต้องมาปวดหัวตั้งแต่ยังไม่ถึงญี่ปุ่น
แล้วอีก 15 วันที่เหลืออยู่จะทำยังไง จะเที่ยวตามแพลนได้มั้ย
ฯลฯ วนอยู่ในหัวสารพัดเรื่องกังวล
ขนาดอาการปกติยังกังวลอยู่แล้วที่จะต้องเหนื่อยคนเดียว หลงคนเดียว
ตอนนี้ยิ่งปวดหัว ยิ่งคิด ยิ่งฟุ้นซ่านไปบ้าบอคอแตก

นึกขึ้นมาได้ว่า เออ ในเป้มีพาราอยู่นี่หว่า
เลยจัดไป 2 เม็ดแล้วพยายามจะนอน
นอนได้นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ คงเพราะฤทธิ์ยา ถึงอาการดีขึ้น
หายปวดหัวได้ก่อนเครื่องลง ขอบคุณค่ะ








พอลงเครื่อง
เอาละสิ ไปยังไง อะไร ที่ไหน อย่างไร
คำถามสารพัด ทำได้เพียงเดินตามชาวบ้านเค้าไป
ถ่ายรูปเท่าที่พอจะทำได้ เพราะไปถึงมันบ่าย 4 กว่าต้องไปหารถเข้าเมือง
พอเข้าเมืองรถก็จะติดพอดีเพราะเป็นเวลาเลิกงานของคนโตเกียว
ดังนั้น ทุกอย่างต้องรีบ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมา และไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไร ที่ไหน ยังไง
แต่กรูต้องรีบ!!!
รีบอย่างแรก
รีบเข้าห้องน้ำ
เพราะนั่งบนเครื่อง 6 ชั่วโมง ไม่ได้ลุกไปไหนเลย
เพราะแค่นี้เด็ก ๆ สำหรับเรา
เพราะเวลาเรานอนเป็น 10 ชั่วโมงที่บ้าน เราก็ไม่เคยตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกอยู่แล้น
แล้วบนเครื่องแม่ง ปวดหัวด้วย ไม่อยากลุก กลัวเป็นหนักกว่าเดิม
แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะลุกด้วย แค่นั่งเฉย ๆ ก็ปวดหัวมากพออยู่ละ

ดี๊ด๊า ได้ลองชักโครกไฮเทคเป็นครั้งแรก
เพราะเคยเข้าที่ terminal 21 กดทุกอย่าง แม่ง ไม่ทำอะไรซักอย่าง
ไม่รู้ว่าเค้าล็อคหรือว่าแจ็คพ็อตเข้าห้องที่มันเสียก็ไม่รู้ แต่กดชักโครกได้นะเออ
เลยจัดการลองชักโครกไฮเทคที่สนามบินนาริตะมันเนี่ยแหละ
เพราะไม่รู้ว่าจากนี้จะได้เข้าห้องน้ำรึเปล่า เพราะต้องไปกับสัมภาระกระเป๋าเดินทางใบโตมันคงไม่สะดวก

พอออกจากห้องน้ำ โดดเดี่ยวมาก
เพราะคนอื่นเค้าเดินไปกันหมดแล้ว
แล้วกรูไปทางไหนยังไงเนี่ย
ก็เดินดุ่ม ๆ มันไปสุดทาง ซึ่งมันไกลมากสำหรับเราผู้รู้สึกโดดเดี่ยวประหนึ่งเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางหิมะ ยังไงอย่างงั้น
พอดีมีคุณลุงฝรั่งคนนึงเดินผ่านขณะที่เรากำลัง selfie อยากส่งข่าวพร้อมเมลรูปให้หม่าม้าดูว่าเรามาถึงญี่ปุ่นอย่างปลอดภัยแล้ว
จริง ๆ เราเป็นคนไม่เซลฟี่เลยนะ เราชอบเราที่เราตัวเล็ก ๆ ยืนอยู่ในภาพที่วิวใหญ่ ๆ มากกว่า
แต่ทำไงได้ ทริปนี้มาคนเดียว เลยต้องตามกระแสกับเค้าหน่อย
แล้วที่สนามบินก็ใช้ free wifi กะเค้าไม่เป็นอีกต่างหาก
นึกว่าหาเจอแล้วใช้ได้เลย มารู้ทีหลังว่ามันต้องกด i agree เข้าไปลงทะเบียนในเว็ปก่อนใช้อีก
แหะ ๆ อยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่เคยใช้ free wifi กะเค้า ใช้แต่ไวไฟมีพาสของที่บ้านพอกดก็ใช้ได้เลย
ไปเมืองนอกก็เลยทำไม่เป็น ฮา ๆ

เค้ารูปเซลฟี่มาดู ได้จังหวะที่คุณลุงแกมองกล้องแล้วยิ้มให้เราพอดี
เลยรีบเดินตามคุณลุงไป แล้วก็คุยกับคุณลุงด้วยเลย
คุณลุงก็บอกว่า แกอยู่ญี่ปุ่นมา 11 ปีแล้ว
แต่แกมาเปลี่ยนเครื่องไปโอกินาว่า ก็เลยถามคุณลุงว่าถ้าหนูจะออกจากสนามบินต้องทำยังไง
คุณลุงก็บอกให้ตามแกมา เพราะยังไงพวกเค้าก็ต้องไปผ่าน ต.ม. ด้วยกันอยู่ดี
ขอยืมภาพเครดิตใต้รูปนะ
พอดีรีบ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาจ้ะ




หลังจากผ่าน ต.ม. ผู้หญิงหน้าตาคิขุแต่บึงตึงไปได้ก็ไปเอากระเป๋า ซึ่งหาไม่ยากเลย
เพราะแทบจะเหลือไม่กี่ใบสำหรับพวกช้าอย่างเรา ฮา ๆ
แล้วก็รีบ รีบอีกแล้ว รีบยังไงของแก มาเอากระเป๋าเอาคนเกือบสุดท้าย
รีบหาทางออกจากสนามบิน กว่าจะหาทางได้ก็วนอยู่ในนั้นซะหลายรอบ
พอออกมาได้ ก็ไปซื้อตั๋วรถ keisei bus ราคา 1 พันเยน ไปลงที่สถานี่โตเกียว จุดนัดพบโฮสญี่ปุ่นของเรา
ตอนนั้นมัน 5 โมงแล้ว แม่เจ้าโว้ย รีบยังไงของแกเนี่ย เจอชั่วโมงเร่งด่วนชาวโตเกียวพอดี
เพราะกว่ารถจะไปถึงก็ 6 โมงครึ่ง ทุ่มนึง กำลังติดเลยสินะพี่โตเกียว
จำได้ว่าต้องซื้อตั๋วรถบัส แล้วก็ตั๋วรถใต้ดิน 3 day pass ราคา 1500 เยน แล้วก็ตั่ว suica เพราะเราไปที่ metro ไม่ผ่านอีก 2 วันที่เหลือ
แต่ด้วยความรีบ เพราะซื้อตั๋วรถบัสแล้ว อีก 5 นาทีมันกำลังออก ณ ชานชลา 31 ท้ายสุด สุดท้าย เดินไกลสุด ไม่งั้นต้องรออีก 40 นาที เวงละ
free wifi ก็ยังเพิ่งหาได้ จะส่งเมลบอกแม่ก็ไม่ทันละต้องรีบเข็นสัมภาระของจากสนามบินไปชานชลาที่ 31 ไกลสุด
จากรูปนี้ที่ไม่ได้ถ่ายเอง เดินไปทางซ้ายสุด ๆ ของสุด ๆ เกือบไม่ทันแน่ะ
เวลานั้นไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปอะไรเลย
สุดท้าย จะเมลส่งภาพให้แม่รูปเดียวยังไม่ทันเลย
แล้วอิชั้นต้องอาศัย free wifi ตามรถใต้ดินจะรอดมั้ยเนี่ย มาลุ้นกัน






แล้วก็ลืมซื้อบัตร suica จนได้ แต่ไม่เป็นไร ซื้อเอาที่สถานีก็ได้
แต่ดีนะที่ไม่ลืมซื้อตั๋วรถใต้ดิน 3 day pass เพราะมันซื้อได้เฉพาะที่สนามบินเท่านั้น
รถบัสญี่ปุ่นก็แสนจะตรงเวลา สร้างความสบายใจให้คนรอ และความสะพรึงให้กับคนที่มาไม่ทันได้ไม่แพ้กัน
อากาศด้านนอกสนามบินนาริตะเดือนสิงหาคน เดือนที่ร้อนที่สุดในญี่ปุ่น
เหมือนสนามบินสุวรรณภูมิก็ไม่ปาน
คือแดดร้อน เหมือนเมืองไทย นี่กรูอยู่ญี่ปุ่นจริง ๆ แล้วใช่มั้ย
รูปนี้ถ่ายตอนนั่งหอบอยู่บนรถบัสแล้ว แหมะ เกือบไม่ทัน รีบค่อด ๆ เหงื่อแตกทั้งตัวเลย



ได้เวลาผจญภัยเพียงลำพังจริง ๆ แล้วสิ


ติดตามอ่านแต่ละตอนได้ตามลิงค์ด้านล่างนะคะ


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 1 การเลือกที่พัก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในสนามบินและบนเครื่องบิน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 3 เย็นวันแรกที่สถานีโตเกียว


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 4 นัดเจอและเข้าไปนอนบ้านคนไม่รู้จักฟรี ๆ คืนแรก



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 5 วัฒนธรรมภายในบ้านคนญี่ปุ่นที่เราไปค้างด้วย


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 6 ขึ้นรถไฟใต้ดินชั่วโมงเร่งด่วนเป็นครั้งแรก


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 7 ประทับใจกับจิตสำนึกของเด็กญี่ปุ่นที่เราไม่เคยถูกสอน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 8 เทศกาลน่ารักที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 9 เจอหนุ่มในฝันบนรถใต้ดิน



เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 10 พาไปเดินเล่นในสวนพร้อมพาช้อปย่าน KICHIJOJI


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 11 ให้คนญี่ปุ่นพาเที่ยวเข้าไปในยิมที่เด็กม.ปลายกำลังแข่ง


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 12 ไต้ฝุ่นเข้า เลยต้องเข้าดองกี้แทนตลาดนัดแบกะดิน


เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แถมไปคนเดียว ตอนที่ 13 วันสุดท้ายในโตเกียว วัดเซ็นโซจิและสวนอุเอโนะ



Create Date : 13 กันยายน 2557
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 19:15:42 น. 3 comments
Counter : 3636 Pageviews.

 
เกาะปีกเที่ยวด้วยคนค่า


โดย: mariabamboo วันที่: 14 กันยายน 2557 เวลา:19:30:48 น.  

 
อ่านแล้วลุ้นดีค่ะ เก่งจังไปคนเดียวเลย
วันพฤหัสนี้กำลังจะไปโตเกียวครั้งแรกค่ะ แต่ไปกัน 4 คน คงจะได้ไปเอ๋อๆ หลงๆแน่ๆ 555

ปล.หมอนรองคอเอาไปเองใช่มั้ยคะ?


โดย: Bonjour_KiTTy วันที่: 15 กันยายน 2557 เวลา:22:17:55 น.  

 
มาตาม จขบ.ไปเที่ยวด้วยจ้ะ
แบคแพคแบบคนเดียว มันเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลยนะคะสำหรับเรา (เราเข้ามาอ่านหลายวันแล้วนะ แต่เราไม่มีเวลามาเม้นท์ด้วยเลยจ้ะ)
ต่อไปนี้จะขอตามติดแบบชิดกระเป๋าลีลีเลยนะ อิอิ

ญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ใฝ่ฝันอยากจะไปแบคแพคสักครั้งมากๆเลยค่ะ (ตามมาเก็บข้อมูลลีลีค่ะ)

ชอบแพลนที่ลีลีตั้งใจ การไปในสถานที่ที่อยากจะไปจริงๆ น่ะค่ะ เช่นตลาดนัดมือสองของญี่ปุ่น(เราพอรู้มาว่าจขบ.ชอบกระเป๋ากับชุดเดรสใช่ไหมคะ) ไปครั้งนี้ได้มาเยอะแน่ๆเลย อิอิ
แล้วก็สวนสาธารณะใช่ไหมเอ่ย เดี๋ยวจะรอดูรูปนะจ้ะ

ปล. เราชอบโปสการ์ดจากลีลีมากนะคะ


โดย: nobuta wo produce วันที่: 21 กันยายน 2557 เวลา:1:41:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนูลีลี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 94 คน [?]




ไม่อินกับการเขียนบล็อคมาตั้งแต่บล็อคสุดท้ายปี 2561 แล้วค่า
Friends' blogs
[Add หนูลีลี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.