ห้ามโทรฯมือถือขณะขับรถต้องเข้ม
ในที่สุดกฎหมายเรื่องการห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ ขณะขับรถก็ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่อยากขับ ไปคุยไปต้องมีอุปกรณ์เสริมหรือแฮนด์ฟรีที่ไม่ต้องใช้มือจับมือถือ แต่กฎหมายดังกล่าวยังมิได้มีผลบังคับใช้ทันที โดยจะมีผลบังคับใช้ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 90 วัน ซึ่งคิดว่าจะมีผลในกลางเดือน ก.พ. ปีหน้า 2551 เชื่อว่าการแก้ไขกฎหมายจราจรทางบกนี้ ทุก ๆ ฝ่ายคงจะเห็นชอบร่วมกัน เพราะอย่างที่ทราบกันว่าการขับรถไปคุยโทรศัพท์มือถือไปนั้นจะทำให้สมาธิในการขับรถเสียไปได้ และอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้โดยไม่คาดฝัน ระยะเวลา 90 วันกว่าที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ ทั่วประเทศ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ขานรับทันทีว่าจะทำการประชาสัมพันธ์ ให้ผู้ขับขี่รถยนต์ที่โทรฯไปขับไปเป็นนิสัยนั้นจะมีความผิดถูกปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท และให้ได้รับรู้ถึงกติกาของกฎหมายจราจรทางบกที่ได้แก้ไขใหม่ว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่รถยนต์อย่างไรบ้าง ถ้าการขับรถเสียสมาธิไปแป๊บเดียวอาจเกิดอุบัติเหตุสยองได้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง ไม่ใช่ผู้ที่โทรฯมือถือขณะขับรถจะได้รับอันตรายทั้งเสียชีวิตและทรัพย์สินเพียงฝ่ายเดียว ยังส่งผลเสียหายอย่างไม่คาดคิดแก่บุคคลอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมทางบนท้องถนนด้วย คงมีผู้สงสัยอย่างแน่นอนว่าการจับกุมผู้ขับขี่รถยนต์ โทรฯไปขับไปนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการจับกุมอย่างไร เพราะผู้ที่ขับไปคุยไปอยู่นั้นรถได้เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทางตำรวจจะมองเห็นได้อย่างไร รถยนต์บางคันก็ติดฟิล์มดำมืดที่กระจกรถ และคงไม่มีตำรวจไปตั้งด่านตรวจดูทุกท้องถนนเป็นแน่ อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวนี้ทางคณะกรรมาธิการฯที่ได้พิจารณาการแก้ไขกฎหมายนี้ได้ตั้งข้อสังเกตแนบท้ายร่าง พ.ร.บ. ถึงข้อห่วงใยในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยขอให้รัฐบาลสนับสนุนด้านงบประมาณจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือในการตรวจผู้กระทำผิด แทนการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ตรวจจับบนผิวจราจร และทางโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดเผยว่าอุปกรณ์กล้องที่จะจับผิดผู้ทำผิดนั้นสามารถที่จะมองเห็นเข้าไปในกระจกรถยนต์ที่ติดฟิล์มมืดได้ ซึ่งการจับคนทำผิดเรื่องนี้สามารถจับกุมได้อย่างมีหลักฐานชัดเจน ไม่มีใครปฏิเสธว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นผลดีต่อผู้ ใช้รถใช้ถนน เพราะหลายประเทศทั่วโลกต่างก็มีกฎหมายแบบนี้ออก มาบังคับใช้นานแล้ว บางประเทศถึงกับห้ามใช้แฮนด์ฟรีด้วย ที่สำคัญกฎหมายดังกล่าวจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ก็อยู่ที่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดเพียงใด เพราะมีความเป็นห่วงว่านาน ๆ ไปการบังคับใช้กฎหมายจะย่อหย่อนยานลงไป เหมือนอย่างเช่นที่กฎหมายบังคับให้ผู้ขี่รถจักรยานยนต์และผู้ที่ซ้อนท้ายต้องสวมหมวกกันน็อก ยังมีผู้ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนวิ่งบนถนนใหญ่อย่างกลาดเกลื่อน โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นแล้วก็มองผ่านเลยไปเฉย ๆ ยกเว้นการตั้งด่านตรวจเท่านั้นถึงทำการจับกุม ปัญหาดังกล่าวนี้ก็ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นผู้รักษากฎหมายไปพิจารณาเพื่อมิให้มองข้ามความปลอดภัยบน ท้องถนน.
ที่มาโดยเดลินิวส์ออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2550 |
|
1 comments |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2550 16:23:33 น. |
Counter : 1384 Pageviews. |
|
|
|