ดูหนังแผ่นควบ Curse of Golden Flower + เรื่องเล่าสาวโคโยตี้

.............................เช่าหนังมานอนดูอยู่กับบ้านแทนสำหรับหนังที่น่าดูที่บ้าน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ กับหนังสองเรื่องที่ดูติดกันมาสองคืนนี้ .. ศึกโค่นบัลลังก์วัง ( ดอก ) ทอง .. หรือ Curse of Golden Flower หนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้างมหากาฬเรื่องล่าสุดของ จาง อี้ โหมว มีดาราแม่เหล็กระดับ โจว หยุน ฟะ + กงลี่ และ เจ โชว์ มาประชันบทบาท แต่กระแสวิจารณ์ไม่ดีนัก ได้ชิงออสการ์แค่สาขาเดียวจากเครื่องแต่งกาย ตอนลงโรงก็ลังเลอยู่พักนึงก่อนจะตัดใจดูแผ่น ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆครับ มันคือหนังที่เหมาะดูแผ่นมากกกก ( ฮิ ) ไม่อยากจะวิจารณ์อะไร เกรงจะออกมาคล้ายๆคนอื่น ดูจบแล้วก็ชื่นชมในองค์ประกอบหนังหลายส่วนครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานโปรดักชั่นดีไซน์ ซึ่งเนรมิตความอลังการณ์ของพระราชวังได้น่าตื่นตาดี การเลือกใช้โทนสีที่มีความหมายกับตัวหนัง การดีไซน์หลายๆฉากสอดคล้องกับเรื่องราวได้ดี งานคอสตูมนั้นก็สุดยอดอยู่แล้ว และด้านการแสดงดาราดังๆที่มาก็ไม่ทำให้คนดูผิดหวัง

.............................แต่ยังไงก็ดีผมก็ยังคิดว่า จาง อี้ โหมว เอาหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ไม่อยู่ หัวใจของหนังคือบทและการเล่าเรื่องถูกกลบโดยงานภาพที่โดดเด่นกว่า รวมถึงฉากแอคชั่นที่น่าตื่นตา จริงๆแล้วธีมของหนังก็คือความเหลวแหลกของสถาบันครอบครัวที่ฉาบหน้าไว้ด้วยความสวยหรู ซึ่งก็มีคนทำออกมาเยอะแยะตาแป๊ะไก๋แล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ทำออกมาในสเกลใหญ่หน่อย โดยเล่าเรื่องครอบครัวราชวงศ์อันยิ่งใหญ่ของประเทศจีนยุคโบราณ เท่าที่ผมนึกออกเรื่องล่าสุดของแนวนี้ที่ทำได้ดีน่าจะเป็น The celebration ของ โธมัส วินเทอเบิร์ก และ American Beauty ของ แซม แมนเดส ... หนังมีฉากที่ลงทุนเห็นๆหลายฉาก แต่บางฉากก็ซีจีซะจนดูหลอกตา เมื่อพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมาของ จาง จะเห็นว่า เฮียจาง ดูจะถนัดกว่าในงานฟอร์มเล็กๆ

.............................หนังมีเซอร์ไพร๊ซ์ให้น่าประหลาดใจ แม้ผมจะโดนสปอยจากเพื่อนที่ไปดูโรงมาแล้วอย่างละเอียด ( ซึ่งเขาสวดยับ ) ส่วนตัวผมเห็นว่าหนังเรื่องนี้ยังมีข้อดีอยู่เยอะมาก เพียงแต่จุดเดียวที่ผมคาใจก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงในหนังว่ามันเกิดขึ้นไปได้อย่างไรในเมื่อลูกเลี้ยงนั้นหาความดีแทบไม่ได้ แถมยังอ่อนแอจนไม่น่าให้อภัย ขณะที่แม่เลี้ยงค่อนข้างแข็งกร้าวมาก ทำให้ความน่าเชื่อถือของความสัมพันธ์คู่นี้ดูเบาบางไป แถมหนังยังไม่เล่าความเป็นมาตรงจุดนี้เลยอีกด้วย ส่วนความสัมพันธ์ตัวละครคู่อื่นๆที่คาบขนานกันเล่าได้ซับซ้อนดีแต่ก็ไม่เกินความเข้าใจ อีกจุดนึงก็คือ รู้สึกตัวฮ่องเต้นี่จะชั่วผิดปกติไปสักหน่อย บทสรุปของหนังก็กระแทกใจดีพอประมาณ สรุปอยู่ที่สองดาวกว่าๆครับ

...............................เรื่องเล่าสาวโคโยตี้ ( สองดาวกว่าๆ ) สร้างจากหนังสือเล่มดังที่ผมไม่ได้อ่าน ผมเลยไม่มั่นใจว่าจะถ่ายทอดออกมาเหมือนหนังสือหรือว่าแต่งใหม่กันหลายๆอย่าง หนังออกแนว ไต่บันไดดาวโดยมีมิตรภาพเพื่อนๆคอยค้ำจุน ซึ่งก็เป็นพล็อตที่ดาดมากๆ แต่หนังก็เล่าได้สนุกพอประมาณครับ มาตรฐานของหนังแผ่นเรื่องนี้อยู่ในระดับหนังโรงทีเดียว อารมณ์ว่าเป็นภาคต่อของ Coyoty Ugly ได้เลยครับ ผู้กำกับเล่าเรื่องได้ดีทีเดียวอย่างน้อยก็เป็นเรื่องเป็นราวอ่ะครับ ( ผิดกับหนังที่ทำลงวีซีดีเรื่องอื่นๆที่เคยดูมา ) แต่หนังก็ทำออกมาใสเกินไป จนผมมองไม่เห็นความแตกต่างของอาชีพโคโยตี้กับอาชีพอื่นๆเลย จุดนี้ข้อดีก็คือหนังคงได้เรตพีจี แต่สำหรับคนดูอย่างผมที่มุ่งหวังเห็นสิ่งที่ลึกกว่านั้นก็เลยผิดหวังไปเล็กน้อยตามระเบียบ หลายๆฉากดูเซ็ทจนดูหลอกตา นางเอกดลยา ที่เล่นเป็นนางรองจาก อสุจ๊าก มารับบทได้อย่างจืดชืดกว่าที่คิดไปหน่อย ส่วนเพื่อนๆนางเอกกลับเล่นได้ดูดีเป็นธรรมชาติกว่า

................................ผมเชื่อว่าหนังชีวิตโคโยตี้ควรจะมีมิติกว่าที่เป็น โดยเฉพาะด้านมืดของอาชีพนี้ แต่นี่เล่าซะยังกะเรื่องเล่าสาวออฟฟิศ หนังมองโลกในแง่บวกเกินไปนิ๊ดดด อย่างไรก็ดีผมชอบที่หนังเปิดเรื่องและปิดเรื่องในฉากเดียวกัน รวมถึงพัฒนาการของตัวละคร เสียดายอีกอย่างที่ผมไม่ชอบตรงตัวละครนำทั้งหมดล้วนเป็นคนดี น่าคบหา น่ารักน่าใคร่ หาข้อเสียในตัวแทบไม่ได้ แถมยังมีมิตรภาพและน้ำใจกันแบบเหลือเฟือเหลือเชื่อ ผมเชื่อว่าอาชีพอย่างโคโยตี้ไม่น่าจะมีนางเอกหรอกครับ ขนาดอย่างผมถ้าโดนจุดไฟยังลุกพรึ่บกันได้ง่ายๆ แล้วสาวๆกลางคืนแบบนี้จะใจเย็นกว่าผมได้จริงหรือ ? สรุปครับว่าทั้งสองเรื่องนี้เหมาะสำหรับเป็นความบันเทิงที่บ้านอย่างยิ่งครับ เช่ามาดู20-30บาท ยังไงก็คุ้มค่าเช่าครับ

Create Date : 12 เมษายน 2550		5 comments
Last Update : 12 เมษายน 2550 14:37:20 น.
Counter : 2058 Pageviews.
Share Tweet