Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
10 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
เจริญ วัดอักษร: กับนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน

บทความวิชาการนี้นำมาจากเวปไซน์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งทางกองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้รับมาจากผู้เขียน
ซึ่งเป็นผลงานรวบรวมบทความวิชาการ เพื่อความยั่งยืนของระบบพลังงานไทย
ในชื่อ: พลังงาน งานที่มีพลัง อันเป็นคำที่ยืมมาจากชื่อของชั้นเรียนหนึ่ง
ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕
บทความเกือบทั้งหมด เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อคอลัมน์พลังงานน่ารู้
ประจำนิตยสารโลกสีเขียว โดยเฉพาะในบทความแรกนี้ ผู้เขียนได้อุทิศให้กับ
การจากไปของเจริญ วัดอักษร นักสู้สามัญชนซึ่งหาญต่อสู้กับมาเฟียพลังงาน
การต่อสู้ของคุณเจริญ, ชาวบ่อนอก และบ้านกรูดทุกท่าน
ถือเป็นหลักกิโลเมตรที่สำคัญของการทำลายการผูกขาดพลังอำนาจความรู้
ซึ่งเคยถูกยึดกุมโดยองค์กรรัฐมาตลอด


พลังงาน: งานที่มีพลัง - เพื่อความยั่งยืนของระบบพลังงานไทย
เจริญ วัดอักษร: กับนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
เดชรัต สุขกำเนิด : เขียน
ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์



คำนำ
จากจุดเริ่มต้นในการคัดค้านโครงการพลังงานที่ทำลายวิถีชีวิตของชาวบ้าน เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทุกวันนี้ พลังงานกำลังเป็นงานที่เปี่ยมไปด้วยพลังจริงๆ

- เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ของภาคส่วนต่างๆ ที่ตั้งใจมุ่งมั่นจะปรับเปลี่ยนนโยบายพลังงานให้ตอบสนองต่อความยั่งยืน
และอยู่บนฐานของความพอเพียงในสังคมไทย

- เป็นพลังที่มุ่งสร้างสรรค์ทางเลือกใหม่ในเชิงนโยบาย และการปฏิบัติการ เพื่อให้ระบบพลังงานไทย
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชีวิตผู้คนมากขึ้น

- เป็นพลังที่มุ่งตรวจสอบความไม่โปร่งใส และการผูกขาดของธุรกิจพลังงานขนาดยักษ์ที่ยังแฝงเร้นอยู่ในระบบพลังงานไทย

แน่นอนว่า พลังแห่งความสร้างสรรค์ดังกล่าว มิได้เกิดขึ้นโดยปราศจากแรงหรือพลังต่อต้านจากผู้ที่ผูกขาดและกุมผลประโยชน์ในระบบพลังงานอยู่ ในทางตรงกันข้าม พลังแห่งความสร้างสรรค์นั้นจำเป็นต้องต่อสู้ ขับเคี่ยว และในบางครั้งก็ต้องร่วมไม้ร่วมมือกับอำนาจที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การผลักดันอย่างไม่ย่อท้อ ก็กลายเป็นกำลังสำคัญให้มีการตรวจสอบการตัดสินใจต่างๆ ของรัฐอย่างเข้มงวด จนกระทั่งมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อดึงให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกลับมาเป็นของแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง

ขณะเดียวกัน พลังแห่งความสร้างสรรค์ดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยผลักดันให้พลังงานหมุนเวียนได้ก้าวขึ้นมาสู่จุดที่มีกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ในปีพ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ประมาณ 7 ปีก่อนหน้านั้น รัฐบาลของเรายังไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำว่า ประเทศไทยของเราจะมีศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนถึง 1,000 เมกะวัตต์

เอกสารรวบรวมบทความวิชาการเล่มนี้ เป็นความพยายามเล็กๆ ในการจับภาพความเคลื่อนไหวแห่งพลังที่สร้างสรรค์สังคมไทยดังกล่าว เพื่อให้เกิดการชวนคิด ชวนคุย และการขยายผล ขยายพลังแห่งความสร้างสรรค์ต่อไป เอกสารเล่มนี้ แม้จะเป็นเพียงเล่มเล็ก ก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจจากหลายๆ ฝ่าย

คำว่า "พลังงาน: งานที่มีพลังงาน" เป็นคำที่ยืมมาจากชื่อของชั้นเรียนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2545. บทความเกือบทั้งหมด เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อคอลัมน์พลังงานน่ารู้ ประจำนิตยสารโลกสีเขียว ผู้เขียนต้องขอขอบคุณนิตยสารโลกสีเขียว ที่เปิดโอกาสให้ผู้เขียนต้องขบคิดและจับภาพความเคลื่อนไหวของงานที่มีพลัง ทุกๆ รอบ 2 เดือน

นอกจากนี้ ความตั้งใจเรียนอย่างกระตือรือล้น ของนิสิตชั้นปีที่ 3 ของภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร ในวิชาเศรษฐศาสตร์พลังงานชีวภาพ ก็เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ผู้เขียนรวบรวมบทความต่างๆ ขึ้นมาเป็นเอกสารเล่มนี้

ผู้เขียนขอขอบคุณทิพย์ กระติ๊บ แดนไท และคุณพ่อ-คุณแม่สำหรับแรงสนับสนุนด้วยดีเสมอมา และผู้เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชนที่ต้องต่อสู้ และใช้สิทธิ เพื่อปกป้องวิถีชีวิตของพวกเขาไว้อย่างสุดความสามารถ ด้วยกระบวนการทางปัญญา ที่นำพาให้สังคมไทยได้เรียนรู้และขบคิด ในค้นหาแนวทางการพัฒนาระบบพลังงานที่ยั่งยืนกว่าเดิม หนึ่งในจำนวนนั้นคือ คุณเจริญ วัดอักษร นักสู้แห่งบ้านบ่อนอก เพื่อต่อสู้เพื่อความถูกต้องจนชีวิตหาไม่

หวังว่า พลังแห่งความสร้างสรรค์จะมั่นคงและเพิ่มพูนตลอดไป เพื่อความงอกงามและร่มเย็นในสังคมไทย

พฤษภาคม 2550
ขอขอบคุณ : มูลนิธิโลกสีเขียว มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และสถาบันระบบสาธารณสุข


หากเอกสารเล่มนี้มีคุณความดีใดๆ ต่อสังคมไทย ผู้เขียนขออุทิศคุณความดีทั้งหมดนั้นแด่
คุณเจริญ วัดอักษรนักสู้แห่งบ้านบ่อนอก ผู้ร่วมจุดประกายนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
เพื่อความยั่งยืนในสังคมไทย

เจริญ วัดอักษร: กับนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน
(ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารโลกสีเขียว กันยายน-ตุลาคม 2547)

หากย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณ ๗ ปีก่อน (ประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๐) ผมคิดว่าคงมีคนไทยเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่า การวางแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้า หรือการรับซื้อไฟฟ้าเอกชนนั้นทำกันอย่างไร และการตัดสินใจดังกล่าวมีผลต่อค่าไฟฟ้าหรือค่า Ft ที่ผู้บริโภคต้องจ่ายอย่างไร รวมถึงคงไม่มีใครให้ความสนใจว่า กระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีความรอบคอบและถูกต้องมากน้อยเพียงใด

อาจกล่าวได้ว่าในห้วงเวลานั้น ภาคประชาชนของเราหรือสังคมไทยตกอยู่ในความมืดบอดของกระบวนการตัดสินใจสาธารณะที่ดำเนินการโดยรัฐ แม้ว่าการตัดสินใจนั้นจะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อตนเองก็ตาม ปัจจุบัน ความมืดบอดดังกล่าว เริ่มถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจที่กระจ่างชัดถึงกระบวนการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจดังกล่าว และความมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการเหล่านั้นไปสู่กระบวนการที่มีความรอบคอบ มีความเป็นธรรม และการเปิดให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง

รูปธรรมที่เห็นได้ชัดคือ การขึ้นค่าไฟฟ้าแต่ละครั้งจะต้องถูกสังคมตรวจสอบ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแบบเดิมไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมอีกต่อไป การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าและแผนพัฒนากำลังการผลิตของการไฟฟ้าฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์และเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาพลังงานทางเลือกกำลังขยายตัว และได้รับความสนใจจากสังคมไทยเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

พัฒนาการของความรู้และความเข้าใจทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับการต่อสู้ของคนเล็กๆ หรือคนที่ไม่มีอำนาจใดๆ ในสังคมไทย โดยเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีสำคัญเป็นอย่างมากต่อพัฒนาการดังกล่าวคือ ชาวบ่อนอก และชาวบ้านกรูด รวมถึงชาย ผู้หนึ่งจากบ้านบ่อนอกที่ชื่อว่า "เจริญ วัดอักษร"

คอลัมน์พลังงานน่ารู้จะขอร่วมรำลึกถึงคุณงามความดีของ "เจริญ วัดอักษร" ผู้จุดประกายความรู้และความเข้าใจกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านพลังงานให้กับสังคมไทย โดยการประมวลพัฒนาการของกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านพลังงานจากการต่อสู้ของภาคประชาชน และการวิเคราะห์ความท้าทายต่างๆ ที่รอพวกเราอยู่เบื้องหน้า ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกันสานต่อเจตนารมณ์ของคุณ "เจริญ วัดอักษร" ให้ดำรงและงอกงามในสังคมไทย

จุดเริ่มต้นของการต่อสู้
การต่อสู้ของชาวบ่อนอกและชาวบ้านกรูด เริ่มเป็นที่รับทราบของสังคมไทยตั้งแต่การปิดถนนเพชรเกษมประท้วงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๐

การต่อสู้ในครั้งนั้นก็คล้ายคลึงกับการต่อสู้ของภาคประชาชนในที่อื่นๆ คือ การแสดงจุดยืนของความไม่เห็นด้วยในการนำทรัพยากรของตน ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน น้ำ สัตว์น้ำ หาดทราย และอากาศบริสุทธิ์ ไปใช้เพื่อการผลิตไฟฟ้า เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้า และสร้างผลกำไรของคนอีกกลุ่มหนึ่ง
การต่อสู้ในเบื้องต้นจึงถือเป็นการต่อสู้กับการเอารัดเอาเปรียบในการจัดสรรทรัพยากรในสังคม ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ตนเองได้มีโอกาสสืบทอดวิถีชีวิตของตนเองต่อไป

จากความพยายามในการแสดงจุดยืนของชาวบ่อนอก-บ้านกรูด ไม่ว่าจะโดยการยื่นหนังสือต่อหน่วยราชการต่างๆ การติดป้ายประท้วง หรือการปิดถนนประท้วง ในช่วงระยะหนึ่ง ก็ทำให้ชาวบ่อนอก-บ้านกรูด ได้รับรู้ถึงปัญหาในกระบวนการนโยบายสาธารณะอีกระดับหนึ่ง นั้นคือ การครอบงำการตัดสินใจของภาครัฐ โดยอาศัยกระบวนการและข้ออ้างทางเทคนิคต่างๆ หรืออาจเรียกว่า เป็นการข่มกันในการใช้เหตุผลเพื่อการตัดสินใจ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อชาวบ้านแสดงความกังวลถึงผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมของตน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะอ้างถึงรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว เมื่อชาวบ้านถามถึงความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะอ้างถึงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า และเมื่อชาวบ้านถามถึงความเหมาะสมของสถานที่ตั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็อ้างถึงวิสัยทัศน์ของการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก ที่กำหนดให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นแหล่งพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก

ข้อเรียกร้องต่างๆ ของชาวบ่อนอกและบ้านกรูดจึงเป็นหมัน แต่แทนที่ชาวบ่อนอกและชาวบ้านกรูดจะหมดกำลังใจ ชาวบ่อนอกและบ้านกรูดกลับดิ้นรนยกระดับการต่อสู้ของตน มาสู่การต่อสู้กับการใช้เหตุผลข่มกันของภาครัฐ ซึ่งการต่อสู้ดังกล่าวจะกระทำได้ก็โดยผ่านการวิเคราะห์และตรวจสอบการใช้เหตุผลของภาครัฐ และการนำเสนอเหตุผลที่เหมาะสมกว่าสำหรับสังคมไทย

และนี่คือ จุดเริ่มต้นและพลังสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ และความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับกระบวนการนโยบายสาธารณะด้านพลังงานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทยของเรา

การเรียนรู้ในกระบวนการนโยบายสาธารณะ
ชาวบ่อนอกและชาวบ้านกรูดเริ่มต้นกระบวนการเรียนรู้ของตน โดยการนำคำตอบที่ได้รับจากหน่วยงานต่างๆ มาทำการวิเคราะห์ร่วมกัน โดยพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลของข้อกล่าวอ้างต่างๆ และสภาพความจริงที่พวกตนได้รับรู้ (เช่นความสมบูรณ์ของทรัพยากรในพื้นที่ หรือกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เกินพอ) ร่วมกับนักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ จนนำมาสู่ข้อค้นพบต่างๆ มากมายที่กำลังพลิกโฉมนโยบายสาธารณะด้านพลังงานในปัจจุบัน

ข้อค้นพบแรก ที่สั่นสะเทือนวงการสิ่งแวดล้อมเมืองไทยคือ ความไม่ถูกต้องของรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่พบปะการังที่บ้านกรูด หรือการไม่พบปลาวาฬที่บ่อนอกก็ตาม) ข้อค้นพบดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ต้องมีการแก้ไขรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมในสองโครงการนี้เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จนนำมาสู่การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖

ข้อค้นพบที่สอง คือการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าที่ผิดพลาด โดยมีการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินกว่าความต้องการ และกลายเป็นต้นทุนส่วนเกินที่ผู้บริโภคทุกคนจะต้องจ่ายผ่านทางค่า Ft ในแต่ละเดือน

ข้อค้นพบนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงทางวิชาการถึงความเหมาะสมของ วิธีการ และข้อสมมติต่างๆ ในการพยากรณ์ และกลายเป็นเวทีถกเถียงในระดับนโยบายที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๔ จนในที่สุดในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ รัฐบาลก็เลื่อนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งสองออกไป และมีการทบทวนการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า รวมถึงนโยบายการลดการใช้พลังงานในช่วงความต้องการสูงสุด (หรือที่รัฐมนตรีพลังงานท่านเรียกว่า Cut peak) ในปัจจุบัน ก็เป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการถกเถียงในเวทีนี้เช่น
กัน

ข้อค้นพบที่สองนี่ยังกลายเป็น "ภาพต่อ" หรือจิกซอว์ตัวสำคัญที่นำไปสู่ความเข้าใจเรื่องวงจรหายนะของการวางแผนภาคพลังงานไทยกล่าวคือ วงจรดังกล่าวเริ่มต้นจาก

(ก) การพยากรณ์เกินความเป็นจริง ซึ่งนำมาสู่
(ข) ภาระการลงทุนที่ไม่จำเป็น (คือหลีกเลี่ยงได้) และทำให้เกิด
(ค) การกระตุ้นให้มีการใช้พลังงานจากกำลังการผลิตที่ได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งก็จะย้อนมาสู่การใช้พลังงานที่ไม่ประสิทธิภาพ การพยากรณ์ที่เกินจริง และการลงทุนที่ไม่จำเป็นอีกต่อหนึ่ง

ข้อค้นพบนี้นอกจากจะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการวางแผนพลังงานของไทยแล้ว เมื่อผนวกกับข้อเท็จจริงเรื่องภาระที่ผู้บริโภคต้องจ่ายค่า take-or-pay จากโครงการท่อก๊าซไทย-พม่า ยังมีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า การลงทุนใดๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจ มาสู่ความจริงที่ว่า "การลงทุนที่ไม่จำเป็นถือเป็นภาระของระบบเศรษฐกิจ"

ข้อค้นพบที่สำคัญประการสุดท้าย คือการชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจในการวางแผนพลังงานของไทย มิได้เกิดมาจากการวิเคราะห์ทางเลือกอย่างรอบด้าน พลังงานทางเลือกทั้งหลายล้วนมิได้อยู่ในกรอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ในการวางแผนกำลังการผลิตแต่ละครั้ง

แม้ว่าในระยะเริ่มต้น ข้อเรียกร้องของชาวบ่อนอกและบ้านกรูดที่ให้พิจารณาถึงทางเลือกอื่นๆ ที่มีความยั่งยืนมากกว่าในการผลิตพลังงาน จะถูกจำกัดเป็นให้เป็นการถกเถียงทางเทคนิคว่า พลังงานทางเลือก มีความเป็นไปได้ทางปฏิบัติหรือไม่ อย่างไรก็ดี ต่อมาไม่นาน ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็ได้พัฒนามาสู่ความตื่นตัวในเชิงนโยบายการพัฒนาพลังงานทางเลือก และการพัฒนานโยบายพลังงานทางเลือกในปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ในที่สุด

การเรียนรู้ของชาวบ่อนอกและบ้านกรูด ร่วมกับภาคประชาสังคมต่างๆ ในสังคมไทย ได้ทำลายการผูกขาดทางวิชาการ (ซึ่งหมายถึง การข่มกันในการใช้เหตุผลของภาครัฐ) ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพลังงานลง และได้นำสังคมไทยเข้าสู่กระบวนการไตร่ตรองทางนโยบายอย่างครบถ้วนรอบด้านมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามการตัดสินใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่เพียงอย่างเดียว เหมือนที่ผ่านมา

การทำลายการผูกขาดในการใช้เหตุผล และการมีส่วนร่วมกันในการไตร่ตรองนโยบายที่จะมีผลกระทบต่อสาธารณะอย่างรอบด้านคือ เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของกระบวนการนโยบายสาธารณะในสังคมประชาธิปไตย

ความเคลื่อนไหวในปัจจุบัน
วันนี้ วงล้อแห่งการเรียนรู้และการผลักดันนโยบายสาธารณะทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่คุณเจริญ วัดอักษร ชาวบ่อนอก-บ้านกรูด และคนเล็กคนน้อยทั้งหลายในสังคมไทยได้เริ่มผลักดันกันมา ยังคงหมุนต่อไป และกำลังก้าวเข้าสู่อีกขั้นตอนหนึ่งหรืออีกระดับหนึ่งของการต่อสู้ในกระบวนการนโยบายสาธารณะ

วันนี้ไม่มีใครเถียงกันแล้วว่า เราจำเป็นต้องปรับปรุงระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้โปร่งใส และเปิดให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นธรรม นักวิชาการสิ่งแวดล้อมทั้งหลายต่างจับมือกันในการปรับปรุงระบบดังกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง โดยรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง จนนำมาสู่ข้อสรุปร่วมกัน แต่ก็ยังไม่มีใครทราบว่า ภาคการเมืองจะตัดสินใจอย่างไร และการปฏิรูปดังกล่าวจะมีผลในทางปฏิบัติเมื่อไร

วันนี้ ไม่มีใครเถียงกันอีกแล้วว่าประเทศไทยจะต้องพัฒนาพลังงานทางเลือกของเราขึ้นมา (โดยเฉพาะในยุคน้ำมันแพง) และเรามีศักยภาพที่จะทำได้จริงตามที่ชาวบ่อนอก-บ้านกรูดเสนอกันไว้จริงๆ รัฐบาลเองก็ได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาพลังงานทางเลือกไว้อย่างชัดเจนเช่นกัน

อย่างไรก็ดี รูปธรรมในทางปฏิบัติจะเป็นเช่นไร ยังเป็นสิ่งต้องต่อสู้กันต่อไป การกำหนดแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (หรือ PDP2004) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ยังกำหนดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกไว้ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาล และการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกยังผูกติดกับการขยายตัวของโรงไฟฟ้าแบบเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (ฟอสซิล) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากไม่มีการขยายตัวของโรงไฟฟ้าแบบเดิมก็ไม่มีการขยายตัวของพลังงานทางเลือก

วันนี้ไม่มีใครเถียงกันอีกแล้วว่า การลงทุนที่เกินความจำเป็นจะเป็นภาระต่อเศรษฐกิจของประเทศ (นายกรัฐมนตรีเองก็ยังบอกว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ลงทุนเกินความจำเป็นไปสี่แสนล้านบาท) แต่การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าก็ยังเกินกว่าความเป็นจริงเสมอมา แม้กระทั่ง ล่าสุดในปีนี้ ก็ยังพยากรณ์คลาดเคลื่อนไป ๒๐๐ กว่าเมกะวัตต์ แต่การไฟฟ้าฯก็ปฏิเสธที่จะปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของตน

วันนี้ไม่มีใครเถียงกันอีกแล้วว่า การวางแผนพลังงานจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมกันในการพิจารณาอย่างรอบด้าน แต่แผนทางเลือกในการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าที่ภาคประชาชนเสนอเข้ามาผ่านทางสภาที่ปรึกษาฯ (ซึ่งน่าจะช่วยลดภาระในการลงทุนของสังคมไทยได้หลายแสนล้านบาท) ก็ยังไม่มีเวทีสำหรับการพิจารณาเปรียบเทียบกันอย่างจริงจัง กับแผนพัฒนากำลังการผลิตที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ทำขึ้นมา

ความท้าทายสำหรับอนาคต
จากวันนั้น เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มาถึงวันนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ กระบวนการเรียนรู้ที่คุณเจริญและคนเล็กคนน้อยทั้งหลายได้ร่วมพัฒนากันขึ้นมา ได้กลายเป็น "ชุดความคิด" ที่สามารถใช้อธิบายในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน โดยไม่ถูกใครๆ ในสังคม "ข่ม" ได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาครัฐจะไม่สามารถผูกขาดความคิดเห็น และข่มชุดความคิดของภาคประชาชนได้ แต่สิ่งที่ภาครัฐที่มีฐานความคิดเดิมทำได้และกำลังทำอยู่คือ การยึดกุมหรือการผูกขาดในทางปฏิบัติ โดยถือเป็นอำนาจหน้าที่และสิทธิขาดของภาครัฐเท่านั้น และนี่เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการต่อสู้ในกระบวนการนโยบายสาธารณะของภาคประชาชน นั่นคือ ความยากลำบากในการผลักดันชุดความคิดของตน (ซึ่งสามารถถกเถียงกับชุดความคิดเดิมได้อย่างทัดเทียมกันแล้ว) ให้ไปสู่ชุดของการปฏิบัติการจริงในวงกว้าง ภายใต้การกำกับดูแลร่วมกันของคนในสังคม

คำอธิบายนี้น่าจะใช้ได้กับกรณี พรบ. ป่าชุมชน พรบ.สุขภาพแห่งชาติ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งภาครัฐเองก็มิได้มีการถกเถียงต่อสู้ทางความคิดอีกแล้ว (เพราะคงจะปฏิเสธชุดความคิดเหล่านี้ไม่ได้) แต่ความคิดเหล่านี้ก็ยังถูกภาครัฐ "ดองเค็ม" เอาไว้เฉยๆ เพื่อไม่ให้มีผลทางปฏิบัติ หรือขยายตัวต่อไป

ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า การต่อสู้ในระดับของชุดความคิดจะจบลงอย่างถาวร ดังจะเห็นได้ว่า ทุกๆ ฤดูร้อน จะมีผู้แทนของหน่วยงานรัฐออกมาประกาศว่ามีการทำลายสถิติ ความต้องการไฟฟ้าสูงสด เพื่อหาความชอบธรรมในการขยายกำลังการผลิตใหม่ต่อไป แบบไม่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น การถูกปิดกั้นมิให้มีการขยายตัวในการปฏิบัติตามชุดความคิดใหม่ ยังถือเป็นการบอนไซชุดความคิดของภาคประชาชนโดยทางอ้อมอีกด้วย

การสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณเจริญ วัดอักษร ในห้วงเวลานี้ จึงเป็นการสืบทอดกระบวนการเรียนรู้ของชาวบ่อนอกและบ้านกรูด เพื่อต่อรองและแปรกลไกการปฏิบัติที่อยู่ในมือของภาครัฐที่มีฐานความคิดเดิม ให้มาอยู่ในการกำกับดูแลของสังคมให้มากที่สุด ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มพูนขีดความสามารถของภาคประชาชน (รวมถึงนักวิชาการ นักศึกษา และองค์พัฒนาเอกชน) ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติดังกล่าวแทนหรือร่วมกับภาครัฐ

การวางแผนพลังงานระดับท้องถิ่น การนำเสนอแผนทางเลือกในการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า การประเมินผลกระทบโดยภาคประชาชน การสร้างนโยบายพลังงานทางเลือก ล้วนเป็นตัวอย่างของปฏิบัติการทางสังคมที่จะแปรชุดความคิดไปสู่การปฏิบัติในวงกว้างยิ่งขึ้น และมีการดำเนินการกันอยู่อย่างจริงจังในปัจจุบัน

แม้ว่า ขั้นตอนที่ภาคประชาชนกำลังเผชิญอยู่นี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่คุณเจริญและชาวบ่อนอก-บ้านกรูดได้บุกเบิกมา ย่อมเป็นแสงสว่างนำทางพวกเรา ให้มองเห็นเป้าหมายและทิศทางที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว

ไปสู่สุคติเถิด "เจริญ วัดอักษร" ภารกิจที่เหลืออยู่ พวกเราจะสานต่อเอง

(บทความนี้เขียนขึ้นตั้งแต่ปี พศ. ๒๕๔๗)




Create Date : 10 กรกฎาคม 2550
Last Update : 10 กรกฎาคม 2550 13:44:27 น. 3 comments
Counter : 1439 Pageviews.

 
แด่....เจริญ วัดอักษร
เรื่องจากปก ไทยโพสต์ แทบลอยด์ ฉบับ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๗

นี่คงเป็นงานศพงานเดียว ที่มีคนใส่เสื้อเขียว สัญลักษณ์ของ กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก–กุยบุรี มาร่วมงานจำนวนมาก ไม่เว้นแม้ กรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยาของเจริญ วัดอักษร “นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่” ที่ใครบางคนให้คำนิยาม พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ เล่นดนตรีอยู่บนเวทีหน้าศพ ท่ามกลางผู้มาร่วมงานนับพัน จำนวนหนึ่ง เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน กฟผ. นำโดย ศิริชัย ไม้งาม และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แห่งชาติ ที่เป็นเจ้าภาพ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้าน คนธรรมดาสามัญ คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มสาว เด็กเล็ก ที่มาร่วมรำลึก และอาลัยผู้นำการต่อสู้ ผู้เสียสละชีวิตปกป้องท้องถิ่น แผ่นดิน ทะเล และธรรมชาติ ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเขา

“นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่”–ก็ไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าจะนิยามให้เห็นภาพ ก็ต้องบอกว่าเจริญ วัดอักษร คือนักสู้สามัญชน ผู้มาจากคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เรียนรู้อุดมการณ์อันล้ำเลิศ หรือถ้อยคำสวยหรูใด ๆ เพียงแต่มีหัวใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ สู้แล้วต้องสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองและชุมชน แบบคนที่เกิดมากับดิน และตายไปกับดิน



ผู้นำจากการต่อสู้

ที่จริงเจริญไม่ใช่คนบ่อนอก บ้านเกิดของเขาอยู่ที่ ต.เกาะหลัก อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ เป็นลูกคนที่ ๘ คนสุดท้องของพ่อชั้น แม่วิเชียร วัดอักษร ซึ่งมีอาชีพขายของในตลาด แต่พอดีพระครูวิทิตพัฒนวิธาน พี่ชายคนที่ ๒ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสี่แยกบ่อนอกตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ เจริญก็ตามมาอยู่ด้วย จากที่ไป ๆ มา ๆ ตอนโรงเรียนปิดเทอมก็มาอยู่ประจำจนกลายเป็นคนบ่อนอก โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่กินกับ “กระรอก” กรณ์อุมา ลูกสาวอดีตกำนันซึ่งรักกันมาตั้งแต่วัยรุ่น

พระครูกล่าวถึงน้องชายว่าเป็นคนดี ไม่เที่ยว เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เล่น เมื่อถามว่าทำไมเขาถึงเป็นผู้นำชาวบ้าน “เพราะเป็นคนใจเย็นมั้ง สุขุม ชอบพูดขำ ๆ แหย่คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง คนแก่รัก” บอกด้วยว่าเขาไม่ใช่คนก้าวร้าว “นอกจากตอนขึ้นเวทีเท่านั้น ดุเดือดหน่อย แต่อยู่ข้างล่างนี่ไม่มี พวกแม่ครัวรักทุกคนแหละ”

กระรอกเล่าว่าเจริญไม่ได้เป็นผู้นำตั้งแต่แรก ตอนแรกก็เพียงแต่เข้ามามีส่วนร่วมเป็นทีมงานคัดค้านโรงไฟฟ้า

“พอตอนหลังพวกเรามีการผลักดันเรื่องการเมืองท้องถิ่น เพราะจะได้เอาอำนาจตรงนี้ไปคานด้วย ที่ผ่านมาเป็นฝ่ายตรงกันข้ามเขายึดครองการเมืองท้องถิ่นตรงนี้ ที่สู้เรื่องโรงไฟฟ้ากันมาเรารู้ว่าการเมืองท้องถิ่นมีบทบาทในการกำหนดเหมือนกันว่าจะสร้างหรือไม่สร้าง เราก็เลยต้องช่วงชิงกลับมา แล้วเราก็ทำได้สำเร็จ พี่ชิน (สุชิน ช่อระหงส์) ก็เข้าไปเป็นประธาน (หมายถึงประธาน อบต. ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นนายก อบต.) แล้วพวกเราก็ไปเป็นทีมงานหลายคน เลยต้องมาคิดกันว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำ”

“ตอนแรกเจริญเขาก็พูดไม่เป็น แต่สมัยเริ่มการต่อสู้เวลาประสานสื่อมวลชน สมัยก่อนเจริญคนเดียวที่มีโทรศัพท์มือถือ ตอนนั้นเครื่องหนึ่งก็ ๓–๔ หมื่น แต่เราค้าขายเราต้องมี เราก็เลยเป็นผู้ประสานมาโดยตลอด แต่เวลาขึ้นเวทีเจริญยังพูดไม่ได้ จนถึงวันที่พี่ชินกับหลาย ๆ คนไปอยู่ อบต. เราก็ต้องมาคิดว่าเราจะชูใคร ทุกคนก็โหวตเอาเจริญนั่นแหละ เหมาะสมที่สุด หนูยังพูดเล่นว่าจะมีความสามารถได้ยังไงพูดยังไม่เป็น แล้วเขาจะขี้เล่น–ยังแกล้งบอกเขาว่าบุคลิกเหมือนลิงที่โดนหมามุ่ย ยุกยิก ๆ ไม่นิ่ง จะเป็นได้ยังไง เขาเป็นคนขี้เล่น ชอบอำ ดูแล้วไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ตอนหลัง”

เจริญกลายเป็นผู้นำที่ชาวบ้านรักและศรัทธา ท่ามกลางการต่อสู้นั่นเอง พระกบ เพื่อนร่วมอุดมการณ์บอกว่า “เจริญกับครูตุ้ยจะเป็นคนที่ชาวบ้านให้ความนับถือมาก เขาจะเคารพความคิดเห็นเวลาประชุม จะไม่เอาความเห็นเขาเป็นใหญ่ ถ้าคนไหนคิดว่ามาทำแล้วได้ดี เขาก็จะถอยไปโดยปริยาย เพราะเขาไม่ได้ทำงานเพื่อหวังผลการเมือง เราให้ความไว้เนื้อเชื่อใจกันมาก” นั่นอาจจะต่างกับภาพบนเวที ซึ่งพระกบเล่าว่าเจริญจะมีวิธีการพูดที่ชาวบ้านสะใจ “บนเวทีเขาจะเหมือนไม่กลัวใคร เพื่อแสดงให้ชาวบ้านมั่นใจ”

จะดูเจริญต้องดูจากกระรอก ผู้หญิงแกร่งคนนี้เข้มแข็งเกินคาด ปกติเธอไม่เคยออกหน้า แต่เมื่อสูญเสียสามี กระรอกตัดสินใจทันทีว่าต้องเอาศพเข้ากรุงเทพฯ และไปออกรายการทีวีพูดจาฉะฉานอย่างไม่กลัวใคร

“คู่นี้เขาใจเหมือนกัน ใจนักเลง ต่อสู้ ถ้าเทียบว่าให้กระรอกขึ้นเวทีแบบจินตนา (แก้วขาว) ก็พอ ๆ กันนั่นแหละ เพราะกระรอกเขามีนิสัยตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว ไม่กลัวใคร เด็ดเดี่ยวเหมือนผู้ชาย” พระกบเล่าให้ฟัง

“เจริญ กระรอก ตอนเป็นวัยรุ่นก็เก มีพรรคพวกเยอะ ไม่ใช่ผ้าพับไว้เสียทีเดียว ผมยังโตมาอีกอย่าง ร่างกายเราไม่แข็งแรงสมบูรณ์ หิ้วปิ่นโตตามแม่ไปวัดตั้งแต่เด็ก ๆ”

บอกว่าเจริญไม่สูบบุหรี่ไม่กินเหล้าจริง แต่สมัยรุ่น ๆ เรื่องเพื่อนแล้วยอมไม่ได้เหมือนกัน “พวกเยอะ คือเจริญไม่ได้ทำเอง แต่ถ้าเพื่อนเป็นอะไรนี่ไม่ทิ้งเพื่อน เจริญไม่ใช่หัวโจกนะ แต่หมายถึงเพื่อนไปมีเรื่อง เจริญหรือกระรอกจะไม่ยอม แม้กระทั่งในงานวัดยังไม่ยอมถ้าเพื่อนโดน–ขนาดเป็นงานของเจ้าอาวาสพี่ชายยังไม่ยอมเลย เพื่อเพื่อน เป็นคนแบบนั้น”

น่าจะเป็นเพราะนิสัยเช่นนี้เอง ที่เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขุมขึ้น เจริญจึงกลายเป็นที่รักศรัทธา พระกบซึ่งมาร่วมขบวนภายหลัง ก่อนจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ใกล้ชิด กล่าวตอนหนึ่งว่า “ผมรักเจริญมากกว่าพี่น้องผมอีก ตั้งแต่ทำงานกันมาเรายอมตายแทนกันได้” บอกว่าขนาดที่เจริญรู้ตัวเองว่าเป็นเป้าอยู่ตลอดมา ในช่วงสถานการณ์ร้อนแรงถ้าวันไหนพระกบมาประชุมแล้วต้องขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน เจริญก็จะขับรถส่องไฟตามหลังไปส่งจนถึงบ้าน “ถ้าผมยังไม่เปิดประตูบ้านเขาก็ยังไม่ไป”



ชีวิตที่พร้อมสละ

กระรอกยืนเคียงข้างเจริญมาตลอดในการต่อสู้ เจริญออกหน้า เธออยู่ข้างหลัง แต่ก็ปรึกษาหารือกัน

“เป็นคนที่มีความคิดตรงกัน มีนิสัยคล้ายกันในเรื่องความคิด อุดมการณ์ แต่ถ้าเรื่องนิสัยทั่วไปเจริญเขาจะสุขุม ถ้าเทียบกันหนูจะใจร้อนกว่า ความรอบคอบเขาจะมีมากกว่า แต่เรื่องความคิดโดยรวมแล้วเหมือนกัน”

เธอไม่เคยคัดค้านแม้รู้อยู่แก่ใจว่า สักวันจะต้องมีวันนี้

“เรารู้แล้วว่าเราเล่นอยู่กับอะไร ตั้งแต่ประท้วงโรงไฟฟ้า การสูญเสียมันต้องมี ต้องเตรียมว่าสักวันหนึ่งมันต้องพลาด เรื่องนี้ต้องเกิด ทางกลุ่มก็เตรียมรองรับตรงนี้ สมมติเจริญล้มเราจะต้องมีคนต่อไป ก็ไม่ได้มีผลกระทบกับขบวนเท่าไหร่ แต่ว่าทางด้านจิตใจก็เสียใจเสียดายกัน แต่การทำงานไม่มีผลกระทบ และการทำงานหนูคิดว่าต้องเข้มแข็งกว่าเดิมเมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้น”

ผัวเมียคู่นี้เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกแล้ว ถึงขั้นตกลงกันว่าจะไม่มีลูก

“เราคุยกันมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่มีลูก คือเรื่องลูกเป็นอุปสรรค เอาง่าย ๆ เวลาคุยกันก็จะมองพี่หน่อย (จินตนา แก้วขาว ผู้นำชาวหินกรูด) เป็นอันดับแรก พี่หน่อยนี่หญิงเหล็กจริง ๆ ขนาดมีภาระเยอะแยะแต่แกก็สู้ เราดีกว่าพี่หน่อยร้อยเท่าพันเท่าที่ไม่มีลูก ถ้ามีลูกเราคงไม่มาถึงจุดนี้”

“คือรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดไวอย่างนี้ เราจะได้ไม่ต้องมีภาระอะไรไว้ให้ใคร ไม่ต้องมีห่วง พะวงหน้าพะวงหลัง”

“ตั้งแต่แรกที่จับตรงนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าชนกับอะไร เล่นอยู่กับอะไร ก็คุยกันมาตลอดกับเจริญว่าไม่แกก็ข้า–แต่สงสัยจะเป็นแกก่อน อะไรอย่างนี้ ก็คุยกัน เพราะบทบาทเขาจะเด่นกว่าเรา เรากับเขาทำงานร่วมกัน แต่การออกหน้าจะเป็นเขาเป็นหลัก ปกติจะเป็นคนที่ไม่ชอบพูดคุยกับนักข่าว พูดไมค์ไม่เป็น”

แม้หลังจากโรงไฟฟ้าถอยไปแล้ว เธอกับเจริญก็รู้ว่าสักวันต้องมีความขัดแย้งเรื่องอื่น โดยเฉพาะที่ดินสาธารณะ ซึ่งก็เป็นกลุ่มอิทธิพลกลุ่มเดียวกันนั่นเอง

“เรื่องที่ดินสาธารณะนี่จริง ๆ มีมานานแล้ว ควบคู่กันมาตั้งนานแล้วกับโรงไฟฟ้า แต่ก็คุยกันว่าเฮ้ย เจริญโรงไฟฟ้านี่เป็นปัญหาเร่งด่วนนะ มันต้องได้รับการแก้ไขก่อน ถ้าจับทั้ง ๒ เรื่องไม่ไหว โดยเฉพาะเรื่องที่ดินมันเป็นอิทธิพลท้องถิ่นเราก็พอจะรู้อยู่ว่าใคร เพราะเราโตมาในชุมชนเราก็น่าจะรู้อะไรเห็นอะไรมาบ้าง เรื่องที่สาธารณะเอาให้จบโรงไฟฟ้าก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน”

“จริง ๆ มันเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ช่วงประท้วงโรงไฟฟ้าเรื่องออกโฉนดที่ดิน ๕๓ ไร่ยังไม่ได้ข่าว แต่ว่าปัญหาเรื่องการบุกรุกมีควบคู่กันมา มันเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลเชื่อมโยงกับเรื่องโรงไฟฟ้า คนที่มีอิทธิพลในพื้นที่ร่วมกัน ผลประโยชน์เกี่ยวพันกัน”

แม้แต่หลังกรณีโรงไฟฟ้า กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอกก็ยังไม่รีบรุกเรื่องนี้ จนกระทั่งมีการออกโฉนดที่ดิน ๕๓ ไร่

“เรารู้ข่าวมาจากกำนันฉอยว่าจะมีการออกโฉนดอีก ๗ วัน ก็ปรึกษากันก่อน เจริญบอกว่ากำนันฉอยโทร.มาคุย ก็คุยกันว่าจะปล่อยให้ออกโฉนดกันก่อนจะได้ชัดเจน หนูบอกว่าขั้นตอนแค่นี้มันก็เอาคนติดคุกได้แล้ว ถ้าปล่อยให้เลยไปถึงขั้นนั้นแก้ไขยาก ถ้าไปคัดค้านให้เพิกถอนตอนนี้มันง่ายกว่าปล่อยให้ออกมาเป็นโฉนด สรุปก็คือทำเลย”

ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามีอันตราย “ความจริงก็คิด คือจับเรื่องนี้เราก็บอกกันว่าเล่นเรื่องนี้นะตายเร็ว คุยกันมาตั้งแต่แรก เพราะเรารู้ว่ากลุ่มที่มีอิทธิพลที่ผ่านมาเขาเป็นยังไงกัน เคยคุยกับเจริญว่าคนพวกนี้ไม่มีสมอง มันไม่คิดอะไรหรอกคนพวกนี้ คิดแต่จะได้ เรื่องอะไรที่เราคาดไม่ถึงมันก็ทำได้ทุกเรื่องแหละไอ้พวกนี้”

“ก็ไม่รู้จะระวังยังไง เราก็คนทำมาหากิน เราเซฟตัวเองไม่ได้ จะอยู่กับที่ก็ไม่ได้ ไปไหนมาไหนอาวุธเราก็พกไม่ได้ แล้วคนจ้องจะทำกับคนที่ระวังมันเทียบกันไม่ได้ เจริญเองเขาก็ทำงานส่วนรวมหลายเรื่อง อย่างวิทยุชุมชนเขาก็ทำ อยู่กับที่ไม่ได้ ต้องเดินทาง เขาเป็นคนระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย การต่อสู้เราใช้เงินของเราตลอด ไปกรุงเทพฯ ทำไมต้องไปรถทัวร์ ปกติถ้าไปหลายคนคำนวณแล้วว่าค่าน้ำมันรถคุ้มกว่าจะไปนั่งรถทัวร์ก็เอารถไป แต่เดินทางคนเดียวสองคนไปรถทัวร์ดีกว่า ประหยัด”

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราจะพูดกัน ถ้าตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคล–ก็พูดกันมาตลอด ช่วงเดือนที่แล้วก็ยังคุยกันอยู่ว่าจะบวชหลาน เป็นเจ้าภาพ หลาย ๆ คนก็บอกดีแล้วจะได้เก็บซองเอามาทำทุนกันบ้าง ที่ผ่านมามึงสองคนช่วยคนเยอะมาก ลูกมึงก็ไม่มีกัน มึงจะได้เก็บตรงนี้เอามาทำทุนต่อกัน ก็บอกว่าไม่เอาหรอก ตั้งใจแล้วว่าบวชไม่เก็บซองใคร เพราะเราบวชหลานไม่ใช่บวชลูก เอาหลานมาบวชแล้วมานั่งเก็บเงินก็เท่ากับเราหาเงิน มันเป็นกิจกรรมหาเงินไม่ใช่ความตั้งใจของเรา”

“ก็ยังพูดเล่นในหมู่ญาติพี่น้องกัน ไม่เป็นไรหรอกเรื่องซองไม่ต้องรีบ เดี๋ยวไม่กูตายก็เจริญตาย เดี๋ยวเขาก็มาช่วยซองกันเอง พูดมาตลอดในช่วงที่ผ่านมาเนี่ย เจริญก็บอกถ้าข้าตายซองที่มาช่วยแกก็ตั้งมูลนิธิข้าก็แล้วกันนะ หนูยังพูดเล่นว่าตั้งทำห่าอะไรเป็นหนี้เขาเยอะแยะก็เอามาช่วยใช้หนี้สิ ถ้าแกตายข้าก็ลำบากสิ ก็พูดเล่นกันอย่างนี้”

เรื่องที่พูดเล่นกันของผัวเมียใจเด็ดคู่นี้กลายเป็นจริง ซึ่งตอนนี้กระรอกบอกว่าคนที่รับรู้เจตนารมณ์ของเจริญก็จะช่วยกันตั้งมูลนิธิให้เขา มีการประชุมเบื้องต้นกันแล้ว และคงจะเอาทุนจากมูลนิธินี้ไปเคลื่อนไหวต่อ

“ตอนอยู่ด้วยกันมาก็คุยกัน ถ้าข้าตายแกก็คงอยู่ได้ เพราะข้ารู้ว่าแกเข้มแข็ง รู้อุปนิสัยซึ่งกันและกัน

ยังไงแกก็ต้องสานงานต่อ–แกอย่าทิ้งชาวบ้านนะ สืบสานภารกิจตรงนี้ให้สำเร็จลุล่วง–เขาก็พูดอยู่”





โดย: Darksingha วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:46:58 น.  

 
อำนาจทมิฬที่น่ากลัว

อย่างน้อยเราก็เชื่อว่าเธอคงสานต่อภารกิจของเจริญได้ เพราะผู้หญิงคนนี้เข้มแข็งจริง ๆ มีความเด็ดเดี่ยวภายใต้ความเป็นผู้หญิงชาวบ้านธรรมดากล้าตัดสินใจและมีไหวพริบ อย่างที่เธอเล่าว่าครั้งหนึ่งเจริญเคยถูกข่มขู่ เธอก็ไปตามสืบเองจนรู้ว่าเป็นใคร

“ช่วงนั้นมีครั้งหนึ่งเราไปเคลื่อนขบวนที่จังหวัด เสร็จเราก็กลับบ้าน เป็นขบวนชาวบ้านกลับมา ระหว่างทางก็มีโทรศัพท์เข้ามาขู่เจริญ–พวกมึงไปด่านายกูทำไม ก็ออกชื่อ นายสุรเกียรติ เพ็ชรศรี ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงไฟฟ้า แล้วก็บอกว่าระวังตัวให้ดีกูจะฆ่าพวกมึง กูรู้นะพวกมึงอยู่กันในวัด ทำนองนี้–เจริญก็บอกให้หนูฟัง หนูก็บอกมันตรวจสอบได้ว่าเป็นใคร เจริญเขาก็ล็อกเบอร์ ไปแจ้งความว่าถูกขู่ฆ่า ความจริงวันนั้นมีรถตำรวจอำนวยความสะดวกให้เราพอมีการขู่ รถตำรวจก็ยังนำขบวนเรากลับไปแจ้ง ตอนแจ้งความถามเจ้าหน้าที่ว่าจะติดตามเรื่องได้เมื่อไหร่ เราก็พอจะมีความรู้อยู่ว่าเบอร์มันพอจะเช็กได้ เจ้าหน้าที่ก็เออ อา เออ–อ้างกฎระเบียบ พูดจนเรารู้สึกรำคาญ นึกในใจยังไงกูพึ่งมึงไม่ได้แน่ ไม่เป็นไรเดี๋ยวจัดการเอง”

“ชวนเจริญไปที่เทเลวิซ ไปเสียเงินสิรู้อยู่แล้วว่าเบอร์อะไร เจริญบอกเสียดายเงิน ความที่เขาประหยัด เราก็แหม แกนี่ประหยัดเรื่องไม่เข้าเรื่อง แกไม่อยากรู้แต่ข้าอยากรู้ แกไปส่งข้าหน่อยเดี๋ยวข้าจัดการเอง ก็เข้าไปฟอร์มเสียค่าโทรศัพท์ของตัวเอง แล้วบอกว่าพอดีเพื่อนกันฝากมาเสียเบอร์นี้ จำชื่อจริงนามสกุลจริงไม่ได้รู้แต่ชื่อเล่นจำเบอร์เขาได้ เขาก็คงเชื่อเราปรินท์ใบเสร็จออกมาให้ ประมาณ ๑,๖๐๐ เป็นน้องอดีต ส.จ.ทศจริง ๆ เขาทำงานให้โรงไฟฟ้า ชื่อ นามสกุล พอเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าน้องอดีต ส.จ.ทศ ก็กลับไปโรงพัก–เนี่ย ได้ชื่อแล้ว ตำรวจก็พูดแบบเก้อ ๆ เก่งนะ อะไรอย่างนี้ ถามเขาว่าแล้วจะรู้เรื่องได้เมื่อไหร่ หายไปหลายวันเจริญเล่าให้ฟังว่าร้อยเวรโทร.มาบอกว่าเรียกน้องอดีต ส.จ.ทศไปแล้วยอมรับสารภาพ เปรียบเทียบปรับไปแล้ว ๕๐๐ บาท เราก็ตกใจร้อง–หะ เจริญมันขู่ฆ่าพวกเราเนี่ยนะโดนปรับ ๕๐๐ บาท เราเสียไปตั้ง ๑,๖๐๐ มันคุ้มกันมากเลยนะ จริง ๆ เรื่องนี้มันต้องถึงศาล คดีขู่ฆ่า เราก็พูดกับเจริญแต่ไม่ได้ใส่ใจจะไปติดตามเรื่อง”

อดีต ส.จ.ทศ เป็นอดีต ส.จ.รุ่นเก่าแล้ว แต่ใคร ๆ ก็รู้จัก โรงไฟฟ้าก็รู้จักจึงดึงไปร่วมงานด้วย ช่วงนั้นมีชาวบ้านหลายรายแจ้งความว่าถูกข่มขู่คุกคามโดยคนของอดีต ส.จ.ทศ

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขบวนการเราเยอะมาก แต่ถามว่ามีความคืบหน้าอะไรไหม แทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย เหมือนวันนั้นที่สื่อมวลชนถามว่าไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่เหรอถึงเอาเจริญไปที่โน่น เลยบอกว่าเรามีบทเรียนหลาย ๆ เรื่องในช่วงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ในส่วนท้องถิ่นเขาทำงานให้เรายังไง เราจึงต้องไปหาความช่วยเหลือจากที่อื่น คือไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเขาไม่ใส่ใจงานด้วยตัวเขาเอง หรือเขาโดนอะไรบีบลงมาหรือเปล่า”

แน่นอนเธอมองเหมือนทุกคนว่าถ้าไม่ใช่อิทธิพลใหญ่ก็คงไม่สามารถออกโฉนด ๕๓ ไร่ทับที่ดินสาธารณะ

“เอาง่าย ๆ นะ เราชาวบ้านไปติดต่อ สมมติมี สค.๑ แค่ไร่เดียว ไปหาที่ดินว่าเราจะออกโฉนด สมมติที่เราไม่ได้ไปทับซ้อนที่หลวง แค่อยู่ใกล้เคียงกับป่าชายเลน จะได้รับการปฏิเสธทันทีว่าไม่ได้ ติดป่าชายเลน ถามว่าที่ตรงนี้ สค.๑ แค่ ๖ ไร่ ออกเป็นโฉนด ๕๓ ไร่ มันเลยเถิดกันไปถึงไหน แล้วมันบ่งบอกถึงอะไร–ถึงการฉ้อฉล การร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐ กลไกรัฐ กลุ่มนายทุน เรามองด้วยตัวเราเองว่า ถามว่าที่ ๕๓ ไร่ที่เกินมาถึงจะไม่ทับที่หลวง สมมติ สค.ตรงนี้ถูกต้องตามกฎหมาย ที่บอกว่าคนสมัยก่อนแจ้งเรื่องครอบครองสิทธิ์กลัวเรื่องภาษีก็ไม่ใช่ว่าหัวไร่ปลายนาจะเกินกันขนาดนี้ ๖ ไร่อย่างมากหัวไร่ปลายนาก็เพิ่มมาเป็นสัก ๑๐ ไร่”

“ขั้นตอนของเขาที่เราไปคัดค้านมันเลยเถิดขนาดว่าจะแจกโฉนดแล้ว มันบ่งบอกถึงอะไร แสดงว่าขบวนการของมันไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่ว่านายทุนคนหนึ่งมีเงินมหาศาลแล้วจะเข้าไปทำด้วยตัวเขาเองได้ มันบ่งบอกถึงความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐหลาย ๆ ส่วน อย่างเจ้าพนักงานที่ดินที่เขามีอำนาจในการเซ็น ที่ ๕๓ ไร่ เขารู้อยู่เต็มอกเพราะเอกสารสิทธิ์ นสล.มันอยู่กับเขา ก่อนหน้าจะมาถึงขั้นตอนนี้ก็มีการรังวัด กำนันเขาก็ค้าน ตัวหนูเองก็เห็นบันทึกถ้อยคำที่แนบระหว่างมารังวัดว่ากำนันไม่ยอมชี้เขต บันทึกต่อว่ากำนันบอกว่าเท่าที่รู้มาเป็นที่สาธารณะ เอกสารตัวนี้ก็แนบไปด้วย แล้วถามว่าที่ดินจังหวัดเขาไม่อ่านตรงนี้เหรอ แสดงว่ามันเตรียมพร้อมไว้ทุกอย่างแล้ว ถามว่าที่ ๕๓ ไร่

เจ้าพนักงานที่ดินถ้าเทียบแล้วเขาก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย ถ้าไม่มีระดับผู้ใหญ่กว่าเขาออกคำสั่ง

ประเมินได้เลยว่าเขาก็ไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงตรงนี้ ให้ได้เป็น ๑๐๐ ล้านก็ไม่กล้าเสี่ยง เขารู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องต้องติดคุก ถ้าเขาไม่มั่นใจว่าขบวนการนี้เขาปลอดภัย ต้องมีคนมารับรองเขาเขาถึงกล้าทำ”

เธอยืนยันว่านี่เป็นเรื่องที่ต้องเรียกร้องให้เอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ “ถึงเจริญจะไม่เสียชีวิตความตั้งใจของเราก็มีอยู่แล้ว เราไม่ต้องการว่าคุณถอนโฉนดจบ ไม่ใช่ ขั้นตอนนี้คุณสามารถเอาผิดได้ทั้งขบวน แล้วเรื่องนี้มันเกิดในประเทศไทยตั้งหลายแห่ง ทำไมถึงปล่อยให้เกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ก็มีความตั้งใจว่าให้มันยุติตรงนี้เป็นบทเรียนเป็นบรรทัดฐานของคนพวกนี้ ให้ขบวนชั่วร้ายมันหยุดตรงนี้เป็นที่สุดท้าย เพราะกี่ที่ ๆ คัดค้านก็เพิกถอนแล้วจบ ไม่ได้สาวถึงอะไร”

ถามว่ามั่นใจจะจับคนร้ายได้ไหม กระรอกตอบอย่างน่าฟัง

“ตลอดเวลาก็จะมีคนตั้งคำถามอย่างนี้กับเรา คือยังไม่มีความคิดว่าจะมีความหวังตรงนั้น แต่ว่ามีความหวังว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีความตั้งใจจริงพยายามทำงานให้เรามากแค่ไหน แล้วความหวังว่าจะจับผู้ร้ายได้ไหมถึงจะตามมาได้ เราจะไปหวังตรงนั้นไม่ได้ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่มีความหวังให้เราว่าเขาปฏิบัติงานจริงเขาตั้งใจทำงานจริง”

เธอบอกว่าการที่นายกรัฐมนตรีขึงขังจริงจังก็ดูมีความหวังขึ้นบ้าง “อาจจะมีความหวัง เห็นว่าเขามีความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่า ๑๐๐% ต้องติดตามดูด้วยว่ามันเป็นแพะหรือเปล่า คือตลอดเวลาเจ้าหน้าที่จะมาจี้ถามเราว่าเป็นใคร คือบอกตรง ๆ เลยว่าไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร ถ้าเราบอกว่าเป็นนาย ก. นาย ข. ถ้ามันไม่ใช่ เราก็รู้อยู่ประเทศไทยก็จับแพะกันอยู่”

“ถ้าจับไม่ได้มันก็เป็นการประจานผลงานของเจ้าหน้าที่ เพราะเห็นมากันแทบจะหมดกรมตำรวจแล้วถ้ายังทำไม่ได้ก็คงบ่งบอกถึงอะไร”

อย่างไรก็ดี กระรอกเกรงว่าอาจมีการตัดตอนไม่ให้ถึงผู้บงการ และถึงอย่างไรการต่อสู้ระหว่างชาวบ้านกับผู้มีอิทธิพลก็ต้องมีต่อไป

“ยังไงหนูก็ไม่ยอม หนูยืนยันได้เลยว่าหนูจะเดินหน้าต่อ”

แต่ไม่มีเจริญแล้วจะต่อสู้ไหวไหม “ต้องไหว ถ้าเกิดจะมีการสูญเสียตามขึ้นมาอีกก็สู้ ต้องสู้ให้ถึงที่สุด”

เธอบอกว่าชาวบ้านก็สงสาร อาจจะมีบ้างบางคนที่กลัว แต่เชื่อว่าไม่มีผลต่อทั้งขบวน

“ดูง่าย ๆ จากการที่เจริญตาย พอหนูประกาศว่าจะต้องเรียกร้อง จะไปส่วนกลาง ไม่เรียกร้องพี่น้อง แต่ถ้าใครอยากจะไปร่วมก็ไป ถ้าไม่มีใคร คนเดียวฉันก็ไป สรุปแล้วพอสว่างชาวบ้านก็มา ที่เข้ากรุงเทพฯ ได้แค่นั้นคือเราติดต่อรถได้แค่นั้น แล้วมันก็สายมากแล้ว ก็เลยบอกว่าที่เหลือก็คอยในพื้นที่เราจะไปกันแค่นี้ก่อน ชาวบ้านพอรู้ข่าวก็ไปกระจายข่าว กระรอกมันจะไปกรุงเทพฯ นะ”

เธอตัดสินใจทันทีในคืนนั้นหลังจากเจริญเสียชีวิต

“ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ชันสูตรเรามองเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ ยืนมองอยู่แต่ไม่พูดอะไร การชันสูตรศพเนี่ยถามว่ามันเป็นคดีความขนาดนี้ทำไมไม่เสนอเราว่าศพคุณเจริญต้องส่งนิติเวชนะ ผ่าพิสูจน์วิถีกระสุน เราไม่จบกฎหมายเรายังรู้เลย ก็บอกเขาว่าจะเอาศพกลับบ้านคืนนี้ขอให้ทำให้เสร็จ เขาก็ถ่ายรูปแล้วก็ยืนมอง ถามเจ้าหน้าที่อาบน้ำศพโดนตรงไหนบ้าง กี่รู อะไรอย่างนี้ ทำงานแบบซังกะตาย เรามองแล้วมันไม่ผ่านสำหรับเรา ในการทำงานตรงนี้เรามีเซนส์สัมผัสได้ เราเจอมาเยอะ เราก็กลับมาที่วัดก็ตัดสินใจเลยว่าเราต้องดำเนินการให้มากกว่านี้”

อย่างไรก็ดีที่บอกว่าจะเอาไปเผาหน้าทำเนียบฯ นั้นเป็นคำพูดที่ออกมาจากความรู้สึกเท่านั้น

“ถ้าคนอื่นเป็นตัวหนูก็คงมีความรู้สึกไม่แตกต่าง มันเกิดการสูญเสีย อยากจะหาอะไรที่มันมาทดแทนให้มันสมค่า แต่จริง ๆ ก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ยังไงก็ต้องเอาเรื่องนี้ปรึกษาหารือกับชาวบ้าน เพราะที่ผ่านมาเราต้องยึดมติชาวบ้าน”



ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

ถามว่าจะเอาศพไว้กี่วัน พระครูบอกว่าต้องถามชาวบ้าน “เหมือนศพสาธารณะ เราจะมาตัดสินใจว่าเออ ๗ วันต้องเผานะ ไม่ใช่ เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะคุยกันว่าจะเอายังไง เราไม่ได้เข้าไปตัดสินใจอะไรเลย”

ต่อมาเมื่อถามกระรอก เธอบอกว่ามีการหารือกันเบื้องต้นแล้วจะสวดศพ ๑๕ วัน แล้วก็ตั้งศพไว้โดยสวดทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละครั้ง เพื่อให้ชาวบ้านได้พักทำมาหากินบ้าง เพราะตอนนี้ทุกคนก็มาช่วยงานจนไม่ได้ไปไหน

เบื้องหลังการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาเกือบ ๑๐ ปี คนข้างนอกไม่ได้รับรู้ว่า เจริญ กระรอก และแกนนำคนอื่น ๆ ต้องเสียสละมากเพียงไหน นอกจากจะไม่ได้ทำมาหากินเพราะต้องทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวแล้ว หลาย ๆ เรื่องก็ต้องควักกระเป๋าตัวเองออกมาใช้จ่ายด้วย

ก่อนจะเข้ามาเป็นแกนนำ เจริญกับกระรอกทำไร่สนและไร่ว่านหางจระเข้อยู่ในที่ดิน ๗๐ ไร่ของพ่อกระรอกซึ่งเป็นอดีตกำนัน นอกจากนั้นก็เลี้ยงไก่พันธุ์เนื้อและรับซื้อพืชไร่ โดยมีภาระหนี้สินอยู่ก่อนแล้วเพราะเอาที่ดินไปเข้าธนาคารกู้เงินมาทำทุน

แต่พอเคลื่อนไหวจนไม่มีเวลาทำมาหากิน ที่ดินก็ถูกยึดไป ๒๙ ไร่–บ้านไร่ที่เคยถูกผู้ประสงค์ร้ายลอบเผานั่นเอง นอกจากนี้ยังมีที่ดินของพ่อเจริญที่เกาะหลัก ก็โดนยึดไปอีกแปลงหนึ่ง

หลังโรงไฟฟ้าถอยไป เจริญกับกระรอกก็ไปทำร้านอาหารและที่พักริมทะเล บนที่ดินของพ่อเธอ จุดนี้คนที่ไปพักจะเห็นปลาวาฬลอยตัวขึ้นมาในทะเล ซึ่งเคยเป็นปราฏการณ์ที่ฮือฮาเมื่อปี ๒๕๔๔ จึงมีคนตั้งชื่อให้ว่า “ครัวชมวาฬ”

“รายได้โดยรวมก็ถือว่าอยู่ได้ ไม่ได้เน้นเรื่องธุรกิจ สมมติบ้านหลังละ ๕๐๐ เจอเพื่อนกันก็ ๒๐๐ นอนฟรี ลักษณะอย่างนี้ตลอด”

ปัจจุบันนี้ปลาวาฬก็ยังมีให้เห็น “แต่ช่วงหลังมีเรือคราดหอย เขาถูกรบกวนเลยไม่ค่อยได้เห็น ยังเห็นอยู่แต่ไม่ถี่เหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะปี ๒๕๔๔ เหมือนเขาตั้งใจมาให้เห็น ที่จริงก่อนนั้นเขาก็อยู่มาก่อนแต่ไม่ถี่ ทุกคนบอกเขามาช่วยเรา”

ธุรกิจนี้เป็นทุนที่ช่วยการเคลื่อนไหวในระยะหลัง แต่เจริญก็ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ประหยัด เข้ากรุงเทพฯ ถ้าไปคนเดียวสองคนคำนวณแล้วไม่คุ้มก็ไม่เอารถไป จนมาถูกยิงเมื่อลงจากรถทัวร์หลังไปร้องเรียนต่อกรรมาธิการ

“ตอนเช้ามีเงินอยู่ ๒ หมื่น เจริญเขาจะเป็นคนไม่พกเงิน ไม่เก็บเงิน เวลาเขาจะไปไหนทีหนูจะเป็นคนให้เขา ไปใกล้ก็ติดตัวไปพันหนึ่ง คือประหยัด ล่าสุดเขาจะไปกรุงเทพฯ ก็บอกเจริญว่าวันนี้มีเงินอยู่ ๒ หมื่นนะ เจริญเอาไป ๒,๕๐๐ นะ ที่เหลือจะไปเคลียร์ค่าของ แล้วก็จะไปใช้หนี้เขาบางส่วน เจริญก็บอกเฮ้ยให้ทำไมตั้งเยอะ พันเดียวก็พอ หนูก็บอกไม่เป็นไรหรอกเผื่อมีธุระต้องทำ ถ้าไม่ได้ใช้แกก็เอากลับมาคืนข้า ปกติสนิทกันก็จะพูดแกพูดข้า แล้วแต่ว่าอารมณ์ไหน ที่เขากลับมา... (อึ้งไปนิดหนึ่ง) ที่เขาค้นตัวก็เหลือเงินกลับมา ๒ พันกว่าบาท ก็แทบจะเสียแค่ค่ารถอย่างเดียว ไม่ได้ไปใช้จ่ายอย่างอื่น”

เงินของกลุ่มก็มีแต่ไม่มากนัก “ช่วงหลังก็จะมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง คือเรามาระดมทุนกัน ใช้จ่าย ตอนนี้ก็เหลือ ๓ หมื่นกว่าบาท ในเรื่องกิจกรรมของกลุ่ม เราก็จะมีงานมวลชนของเรา สมมติใครตายเราก็จะไปร่วมเป็นเจ้าภาพในนามของกลุ่ม แล้วแต่ว่าใครจะช่วย แต่ที่ผ่านมามันไม่เพียงพอหรอก ชาวบ้านก็รับรู้ว่าไม่เพียงพอ ภาระอยู่กับเรา อย่างร้านค้าขายเครื่องสังฆทาน ก็โทร.สั่ง จะบอกกับเขา ถ้าผมสั่งหรือกระรอกสั่งของถวายพระ พวงหรีด ก็จัดให้ แล้วลงบัญชีไว้นะ พอผมมีเงินหรือกระรอกมีเงินจะมาเคลียร์”

ไม่ใช่แค่เจริญคนเดียวที่ประสบปัญหา พระกบเล่าว่าแกนนำแทบทุกคนก็เป็นอย่างนี้ อย่างเช่น “โจ” จารึก หอมจันทร์ ก็มาช่วยงานส่วนรวมจนครอบครัวมีปัญหา

“โจเขาคนไม่มีเงิน แย่กว่าผมอีก เดิมเขารับจ้าง หนี้สินที่เคยเป็นหนี้ ธ.ก.ส.ไม่กี่หมื่น พอมาทำงานตรงนี้ครอบครัวก็กระจัดกระจาย ที่ของเมียก็ใกล้โดนยึด ไม่มีเวลาทำงาน ช่วงค้านโรงไฟฟ้าใกล้จะสำเร็จ กิจกรรมเราทำถี่มาก แทบไม่มีเวลาทำมาหากิน แกนนำต้องวางแผนกันทุกวัน ผมก็อ้างกับแฟนผมว่าเราเป็น อบต. เรารับเงินเดือนชาวบ้านเดือนละ ๔ พันบาท จะให้มาเอางานบ้านเป็นหลักผมไม่เอา เพราะฉะนั้นจะมาเอาผมเป็นตัวหลักในครอบครัวไม่ได้”

“ผมยังดีแฟนยังค้าขายเก่ง โจเขาฐานะพื้นฐานไม่ดีอยู่แล้ว ทำไร่ก็ขาดทุน” พระกบซึ่งเป็นเจ้าของร้านชำบอกว่าปัจจุบันโจต้องไปเป็นเด็กรถสายระนอง–กรุงเทพฯ แต่ก็ยังช่วยงานอยู่เสมอ เช่น มีธุระที่กรุงเทพฯ ต้องไปประชุมหรือไปงานเรื่องอะไร ถ้าโจอยู่กรุงเทพฯ เจริญก็จะให้โจไปแทน แต่ถ้าโจอยู่ระนอง เจริญก็จะไปเอง “ถ้ามาเมื่อคืนจะเห็นแกอ่านกลอนให้เจริญ แกชอบแต่งกลอน–หัวใจ เรื่องกลอน คำคม คำพูดที่เขาเขียนเป็นคำพูดที่เจริญพูดกับผมตลอด เจริญเป็นคนที่ไม่ทิ้งเพื่อน เรารู้ใจกัน คนเราจะรู้ใจกันตอนลำบาก”

ที่จริงเจริญกับกระรอกไม่ได้แต่งงานกัน แต่อยู่ด้วยกันด้วยใจ มีคนบอกว่าหลังจบเรื่องโรงไฟฟ้าชาวบ้านจะจัดพิธีแต่งงานให้ทั้งคู่เป็นการฉลอง แต่ก็ไม่ได้แต่งในที่สุด

“จริง ๆ แล้วเรื่องแต่งงานมันเป็นความคิดเห็นตรงกันมาตั้งแต่แรกว่าไม่ต้องการจะมีพิธี” กระรอกบอก “แต่พอดีพี่ ๆ น้อง ๆ เขาก็บอกเดี๋ยวถือโอกาสฉลองกัน บางคนเขาเป็นช่างตัดเสื้อเขาก็แซว–เฮ้ย เมื่อไหร่จะได้ตัดชุดให้ เราก็จะยิ้มตลอด แต่คงไม่ทำ มันไม่ได้อยู่ในความตั้งใจของเรา แต่ชาวบ้านเขามีความตั้งใจอยากให้เกิดตรงนี้”...
ที่มา //www.skyd.org/html/sekhi/61/022-JR4.html


โดย: Darksingha วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:48:09 น.  

 
ขอให้อุดมการณ์ถูกสานต่อนะครับ
อย่างไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ
แต่ก็น่ากลัวเหมือนกัน อำนาจเงินมันใหญ่มากเลย


โดย: sak (psak28 ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:10:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.