Enter your search terms Submit search form Web www.inthedark.bloggang.com ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต
ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต
ผู้เขียน สุชาดา ตั้งทางธรรม สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นักเศรษฐศาสตร์ นักคิด นักเขียน และนักการศึกษาที่ได้รับการเคารพยกย่องอย่างสูงท่านหนึ่งของไทยได้จากไปแล้ว ๖ ปี แต่คุณงามความดีที่ท่านทำไว้ให้แก่บ้านเกิดเมืองนอนเป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในความทรงจำของบรรดาญาติมิตร ลูกศิษย์ลูกหา และบุคคลทั่วไปจำนวนมากที่มีโอกาสศึกษาชีวประวัติและผลงานของท่านอย่างไม่รู้ลืม
ท่านเป็นหนึ่งในคนไทยที่เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย เสี่ยงตายทำงานให้แก่ชาติบ้านเมืองจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้ประเทศเราสามารถประกาศสันติภาพให้โลกเห็นได้ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว
ท่านมีส่วนอย่างมากในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายหลังสงคราม และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ทั้งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตำแหน่งสุดท้ายของท่านก่อนที่จะต้องระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอนไปใช้ชีวิตเมืองนอกหลายปีต่อมาก็คือ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่านใช้ความรู้ความสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ และกล้าหาญ ยึดความถูกต้องเป็นหลักโดยไม่หวั่นเกรงอำนาจอิทธิพลใดๆ การกระทำและงานเขียนต่างๆ ของท่านแสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลและจุดยืนในการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง
เนื่องในวาระครบรอบ ๖ ปีแห่งการจากไปของท่านในวันที่ ๒๘ กรกฎาคมนี้ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะกลับมาทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ท่านได้กล่าวไว้เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้ร่มเย็นเป็นสุข ทั้งส่วนบุคคลและประเทศชาติโดยรวม
อาจารย์ป๋วยเป็นผู้ที่ คิดใหม่ ทำใหม่ ตัวจริง ในบทความเรื่อง เหลียวหลัง แลหน้า ที่เขียนเมื่ออายุครบ ๖๐ ปี ใน พ. ศ. ๒๕๑๙ ท่านกล่าวว่า ผมเสียดายที่รู้สึกว่าได้บกพร่องไปในการพิจารณาเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ คือดูแต่ความเจริญเติบโตของส่วนรวมเป็นใหญ่ ไม่ได้เฉลียวถึงความยุติธรรมในสังคม ข้อนี้จึงพยายามแก้ด้วยวิธีพัฒนาชนบทอย่างจริงจัง อาจารย์บางท่านบอกว่าถ้ามัวแต่เอาใจใส่เรื่องความยุติธรรมทางสังคม จะทำให้ประเทศในส่วนรวมเจริญช้าลง ฉะนั้นจึงควรพัฒนาเศรษฐกิจเสียก่อน ถึงคนมีจะมีมากขึ้น คนจนจะจนลงก็ตาม ในไม่ช้าความเจริญก็จะลงมาถึงคนจนเอง เราได้ใช้วิธีนี้มา ๒๐ ๓๐ ปีแล้วปรากฏว่าไม่ได้ผล
ท่านกล่าวว่า ความยุติธรรมในสังคมมีความหมายกว้างกว่าการกระจายรายได้หรือการกระจายทรัพย์สิน เพราะความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินอย่างเดียว ในระบบสังคมที่ผู้หญิงแพ้เปรียบผู้ชาย เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคมก็ต้องแก้ไขระบบ เครื่องมือหากิน ถ้าใครไม่มีก็ต้องหยิบยื่นให้ การศึกษา การอนามัย และอาชีพเป็นเรื่องที่จะต้องให้แก่มนุษย์ทุกคน ความยากจนทำให้มนุษย์เสื่อมค่าของความเป็นมนุษย์ เรามีหน้าที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งนั้นแล
ท่านให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ในบทความเรื่อง ศีลธรรมและศาสนาในการพัฒนาชาติ ที่เขียนในปี ๒๕๑๒ ท่านกล่าวว่า
มนุษย์เราเกิดมามีร่างกายและปัญญา สมอง ไม่เสมอกัน เมื่อเริ่มต้นก็เกิดความอยุติธรรมเสียแล้วเช่นนี้ ก็เป็นหน้าที่ของสังคมที่จะขจัดปัดเป่าความไม่เสมอภาคนั้นให้น้อยที่สุดที่จะกระทำได้ ดั่งที่ประธานาธิบดีแมกไซไซกล่าวไว้ว่า ใครเกิดมามีน้อย ควรจะได้รับให้มากจากกฎหมาย ธรรมข้อนี้ก็คือความเมตตากรุณานั่นเอง ความเมตตากรุณาเป็นธรรมะสำคัญของสังคม เพราะสมรรถภาพอย่างเดียวอาจจะทำให้เกิดความอยุติธรรม ต้องอาศัยความเมตตากรุณาด้วย สังคมนั้นจึงจะเจริญพัฒนาโดยสมบูรณ์
ในบทความเดียวกัน ท่านยังกล่าวว่า นักเศรษฐศาสตร์มักจะเพ่งเล็งแต่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าเป็นเช่นนี้จะนับว่ามีการพัฒนาสมบูรณ์มิได้ จำต้องพิจารณาเลยไปถึงพัฒนาการทางสังคมด้วย ซึ่งหมายถึงการศึกษา สาธารณสุข สาธารณูปการ และนอกจากนั้น นักเศรษฐศาสตร์ควรคำนึงถึงหลักใหญ่แห่งชีวิต คือความงาม ศิลปะ กวีนิพนธ์ และดนตรี ต้องอยู่ในข่ายแห่งการพัฒนาขั้นสำคัญ
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ ท่านไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเดียว หากแต่ให้ความสำคัญอย่างมากกับความเท่าเทียมกันในสังคมด้วย ท่านมองปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นองค์รวม เห็นความสำคัญของการศึกษา สาธารณสุข และศิลปวัฒนธรรม
ท่านยังเป็นห่วงเกษตรกรและคนยากจนทั้งในเมืองและชนบท ในหนังสืออนุสรณ์ ม . จ. สิทธิพร กฤดากร ในปี 2514 ท่านกล่าวว่า สำหรับนักเศรษฐศาสตร์อย่างผม ผู้มีหน้าที่ในเรื่องเศรษฐกิจการเงินเบื้องต้น เราได้รับประโยชน์เหลือล้นจากข้อสะกิดใจจากท่านสิทธิพร นักบุกเบิกเกษตรว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง อนาคตของเกษตรกรไทยเป็นเรื่องที่จะต้องทะนุถนอมอย่างระมัดระวัง
ในบทความเรื่อง การหางานให้ชาวชนบททำ ที่เขียนเมื่อปี ๒๕๑๙ ท่านเสนอให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาชนบท เสนอให้มีการจัดรูปที่ดิน ปฏิรูปที่ดิน การนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ในการเกษตร การใช้เครื่องมือจักรกลอย่างเหมาะสม การสังคมสงเคราะห์ การฝึกอบรมและให้การศึกษาด้วย
บทความเรื่อง แนวใหม่ในการพัฒนาประเทศ ที่เขียนก่อนหน้านั้น ๒ ปี คือในปี ๒๕๑๗ แสดงให้เห็นว่าท่าน คิดใหม่ ทำใหม่ มานานแล้ว ท่านกล่าวว่า
ไม่ว่าปัญหาทางเศรษฐกิจก็ดี ปัญหาทางสังคมก็ดี หรือปัญหาทางการเมืองเกี่ยวกับประชาธิปไตยก็ดี ถ้าหากว่าเราจะคิดแนวใหม่แล้ว คิดจะแก้ด้วยแนวใหม่แล้ว เราจะต้องอาศัยใช้พลังใหม่ของเราให้เป็นประโยชน์จริงๆ เราจะต้องอาศัยความเคารพระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง และไม่ว่าประชาชนจะมีการศึกษาต่ำเพียงใด จะยากจนสักเพียงใด ผมเห็นว่าหลักสำคัญในการที่จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุขก็คือ การเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์แต่ละคนนั้น ถ้าหากขาดสิ่งนั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะมีพลังใหม่ มีแนวใหม่ เราก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาชาติไทยเราให้เจริญได้
ท่านเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะมีการศึกษาต่ำหรือยากจนเพียงใด นอกจากนี้ยังเห็นความสำคัญในการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของตน ในบทความเดียวกันท่านกล่าวว่า
เราจะต้องพยายามที่จะดูแลให้รัฐบาลต่อไปนี้ กระจายอำนาจออกไปให้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่การปกครองท้องถิ่นต่างๆ โดยให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้นสามารถที่จะมีสิทธิอิสระและการดำเนินงานได้
อาจารย์ป๋วยเห็นความสำคัญของมนุษย์ จึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการศึกษา ในบทความเรื่อง การศึกษา ที่เขียนไว้เมื่อปี ๒๕๐๘ ถ้าเราไม่สามารถเจียดเงินมาเพื่อการศึกษา ก็ไม่น่าจะสามารถเจียดเงินไปสำหรับเรื่องอื่น เพราะปัญหาอื่น ๆ เช่น ภัยคอมมิวนิสต์ อันธพาล อาชญากรรม วัยรุ่น การปกครองประชาธิปไตย หรือแม้แต่การเศรษฐกิจและการผลิตต่ำ ปัญหาเหล่านี้จะป้องกันแก้ไขไม่ได้ถ้าเราไม่ยอมลงทุนในสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือคน
ท่านยึดมั่นในหลักการ ไม่ประนีประนอมกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในบทความ จะมานั่ง ( หรือยืน) ทำบัญชีกันทำไม? ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ ท่านกล่าวว่า
พรหมวิหาร อุเบกขา คือความวางใจเฉยอยู่ ตั้งใจเป็นกลางนั้น จะเป็นธรรมะที่ดีได้บางโอกาสก็จริง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่มีหน้าที่ตรวจตราสอดส่องการบริหารราชการ ถ้าเจอข้อทุจริตแล้วจะหลบตัวอาศัย อุเบกขา เป็นร่มโพธิ์พร้อมกับเปล่งสุภาษิตว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี นั้นแหละเป็นลักษณะกังฉิน เพราะนอกจากจะแสดงความขลาดแล้ว ยังเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง การยอมรับความชั่วนั้นเป็นความชั่วอยู่ในตัว
อาจารย์ป๋วยรักสันติและความเป็นธรรม ใน บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี ที่เขียนในปี ๒๕๑๕ ท่านกล่าวว่า
ถ้ายึดมั่นในหลักประชาธรรมแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี การใช้อาวุธขู่เข็ญประหัตประหารกันเพื่อประชาธรรมนั้น แม้จะสำเร็จ อาจจะได้ผลก็เพียงชั่วครู่ชั่วยาม จะไม่ได้ประชาธรรมถาวร เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งแพ้ ก็ย่อมคิดใช้อาวุธโต้ตอบ เมื่ออาวุธปะทะกันแล้ว จะรักษาประชาธรรมไว้ได้อย่างไร
ประชาธรรมคือธรรมเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม ประชาธรรมย่อมสำคัญที่ประชาชน ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการประชาธรรมก็ย่อมไม่มีทางที่ใครจะหยิบยื่นให้
ทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของงานเขียนที่อาจารย์ได้ฝากไว้ให้เราช่วยกันคิดต่อไป หากผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองได้มีโอกาสอ่านงานของท่านและยึดถือเป็นแนวทางในการทำงานด้วยแล้ว ก็เชื่อว่าสังคมไทยจะก้าวไกลและคนไทยจะอยู่เย็นเป็นสุขกว่านี้แน่นอน
ในวันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม นี้ ตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ ๒๐๐๐ น. คณะทำงานป๋วยเสวนาคารร่วมกับสถาบันปรีดี พนมยงค์ และมูลนิธิ ๑๔ ตุลาคมจะจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการรำลึกถึงอาจารย์ ที่วัดปทุมคงคา เขตสัมพันธวงศ์ ในงานจะมีการแสดงทางวัฒนธรรม ปาฐกถา และอภิปรายในหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจเพื่อสืบสานแนวทางสันติประชาธรรมของอาจารย์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางต่อไป จึงขอเชิญทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมงาน
---------------------------------------------------------
ผู้เขียน สุชาดา ตั้งทางธรรม สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
..................................................................................................
นำขึ้นเว็บ //www.semsikkha.org เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๘