โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๙ ภ.ม. ภาิคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๙ ภ.ม.ภาคิโน

ฉันไม่เคยมาที่ศาลากลางจังหวัดลำพูนมาก่อน จึงมะงุมมะงาหราพอสมควร โชคดีที่เจอคุณป้าเจ้าหน้าที่ราชการคนหนึ่ง เลยสอบถามทางไปงานสัสดีจังหวัด ปรากฏว่าตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งนั่นเอง

กระดานไม้ที่ปูพื้นส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด เมื่อเท้าทั้งสองข้างในรองเท้าคอมแบทของฉันเหยียบลงทีละก้าว ห้องงานสัสดีจังหวัดเงียบสนิท ฉันพบนายทหารท่านหนึ่ง เมื่อแจ้งความจำนงแล้ว ท่านก็สำเนาเอกสาร ให้ผู้พันลงนาม ในเวลาไม่ถึงสิบนาที ฉันก็พาตัวเองมายืนรอรถตรงป้ายรถเมล์หน้าศาลากลางอีกครั้ง

ฉันพลิกนาฬิกาข้อมือ อีก ๑๐ นาทีจะสิบโมง

“ถ้าอยากรู้จักหมู่ให้มากกว่านี้... ก็โทรฯ แต่ถ้าไม่อยากรู้อะไร ก็ไม่ต้องโทรฯ”

ฉันลังเลอยู่ในใจ... ตอนนี้ที่หน่วยฝึกฯ ครูฝึกฯ และพลทหารใหม่ คงกำลังอยู่กลางสนามฝึก

ในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจ...





วินมอเตอร์ไซด์พาฉันมาถึงหน้าประตูบ้านในซอยเล็ก ๆ ของชุมชนกลางเมืองลำพูน ไม่ไกลจากศาลากลางจังหวัดมากนัก ฉันเปิดประตูรั้วเข้าไป บ้านปูนสองชั้นทาสีขาวทันสมัย พุ่มไม้รอบสนามหญ้าเขียวขจี ใต้ต้นมะม่วงมีม้าหินอ่อนซึ่งหญิงสาววัยห้าสิบปีเศษกำลังลุกขึ้นแล้วเดินตรงมา เราโอบกอดกันด้วยความสุข

“แม่เป็นไงบ้างครับ?”

“สบายดี ดำไปหรือเปล่า?” รอยยิ้มแห่งความห่วงใยนั้น สร้างความอบอุ่นให้ผมได้เสมอ

“ก็ฝึกทหารใหม่นะแม่ ต้องออกแดดอยู่กลางแจ้งพอ ๆ กับตอนผมฝึกนั่นแหละ”

ท่านพยักหน้า “แล้วเอกสารละ ได้มาหรือยัง?”

ฉันชูซองสีน้ำตาล ที่นายทหารคนนั้นอุตส่าห์หามาใส่ให้ แม่โอบหลังฉัน แล้วพากันเดินเข้าไปในบ้าน

“พ่อเป็นไงบ้างช่วงนี้?”

“ก็เรื่อย ๆ เห็นแกเล่าให้ฟังว่า เทอมหน้าจะได้เป็น รอง ผอ. แล้วนะ” แม่เล่าด้วยความดีใจ ฉันก็พลอยปลื้มไปด้วย

คุณพ่อและคุณแม่ของฉันรับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนในจังหวัดลำพูน แต่คุณแม่ฉันได้เกษียณก่อนกำหนดเมื่อหลายปีก่อน เพราะสุขภาพเริ่มไม่ค่อยเอื้ออำนวย แม่เป็นโรคปวดตามกระดูก หมอที่ตรวจบอกว่า เป็นอาการของคนวัยหมดประจำเดือน ซึ่งแคลเซียมจะร่อยหรอไปเรื่อย ๆ จึงให้แคลเซียมเม็ดมากินทดแทน หลังจากนั้นก็ดีขึ้นตามลำดับ มันได้ผลดีจนกระทั่งแม่ยอมที่จะทำอีกอาชีพหนึ่งแก้เหงาเวลาอยู่กับบ้าน

“นี่ไง แคตตาล็อกใหม่ ดูซะสิ เผื่ออยากได้ยาสีฟันไปใช้ในค่าย” แม่ยื่นวารสารปึกหนาส่งให้ ฉันทำตาปริบ ๆ อาชีพนักธุรกิจขายตรงทำให้แกต้องสร้างเครือข่ายกว้างขวาง แล้วก็เลยเผื่อแผ่มาถึงคุณพ่อและตัวฉันด้วย ดีเท่าไรแล้วที่คุณแม่ไม่ขอให้ฉันเอาไปขายในค่ายด้วย!

“โอย! ไม่เอาหรอก ขืนเอาของแพง ๆ อย่างนั้นไปใช้ในค่าย ก็โดนเขาล้อตายกันพอดี” ฉันนึกถึงเรื่องโทรศัพท์มือถือราคาแพงที่คุณแม่ซื้อให้มาเปรียบเทียบกัน “มีอะไรกินบ้างนะครับ?”

“แม่ผัดข้าวทิ้งไว้ เดี๋ยวไปทอดไข่ดาวให้นะ ลูกรอแป้ปนึง”

ท่านหายเข้าไปในครัว ฉันนั่งลงตรงตั่งไม้ในห้องนั่งเล่น พลางหวนย้อนถึงวันแรกที่ฉันต้องเข้าไปประจำการในค่ายทหาร คือ วันที่ ๑ พฤศจิกายน เมื่อปีที่แล้ว คุณแม่ท่านนั่งอยู่บนตั่งตำแหน่งเดียวกันกับที่ฉันกำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ ฉันตรงเข้าไปกราบเท้า คุณแม่ดึงตัวขึ้นไปกอด น้ำตาไหลอาบลงสองแก้ม แล้วละล่ำละลักอวยพรให้ฉันโชคดี ส่วนคุณพ่อขับรถไปส่งฉันที่สนามกีฬากลางจังหวัดลำพูน เพื่อรายงานตัวและเข้าประจำการยังค่ายทหารต่าง ๆ ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสอง จนกระทั่งแกเลี้ยวรถเข้าสนามกีฬานั่นแหละ

“พ่อไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้...” สายตาของแกยังคงมองไปข้างหน้า

“ผมก็ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันครับ”

“มันคือความจริงต่างหาก” คราวนี้แกดับเครื่องตรงลานจอดรถข้างอาคารโรงยิม “พ่อเชื่อว่าลูกต้องทำได้ ลูกพ่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ที่ผ่านมา พ่ออาจจะบังคับให้ลูกต้องเป็นโน่นเป็นนี่ รวมทั้งเป็นผู้ชายเต็มตัว... แต่...ลูกก็พิสูจน์แล้วว่า ลูกได้ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของลูกเอง แล้วพ่อกับแม่ก็ดีใจ ที่มันเป็นทางเลือกที่ดี”

ฉันโผเข้าหาพ่อแล้วกอดแน่น ๆ ท่านลูบศีรษะฉันด้วยความเอ็นดู ฉันปาดน้ำตาแล้วผละออกมา คุณพ่อหัวเราะ เอามือตบบ่าฉันแรง ๆ

“ไปได้แล้ว พ่อขออวยพรให้ลูกโชคดี ไม่ว่าลูกจะทำสิ่งใดก็ขอให้ประสบความสำเร็จนะ รักษาสุขภาพด้วย”

ความทรงจำทั้งหลายผุดขึ้นมาราวกับน้ำพุท่วมท้น ก่อนหน้าที่ฉันตัดสินใจเป็นทหาร ฉันกับคุณพ่อมีปัญหากันอย่างหนัก เนื่องจากตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันเที่ยวบ่อย ดื่มหนัก แม้ว่าผลการเรียนจะอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่ท่านก็ไม่เคยพึงพอใจ แถมท่านไปได้ยินเรื่องที่ฉันเป็นกะเทย คบเพื่อนประเภทเดียวกัน และเพื่อนแต่งหญิงทั้งหลาย ท่านก็เริ่มหนักใจที่ลูกชายคนเดียวของท่านเบี่ยงเบนทางเพศ แน่ละ... เรื่องพรรค์นี้ พ่อที่ไหนจะยอมรับได้ จนกระทั่งเรียนจบ ฉันจึงค่อยตระหนักว่า แท้ที่จริงแล้ว เรื่องที่ฉันเข้าใจมาตลอดว่า การเรียนจบปริญญาตรีจะทำให้ท่านภาคภูมิใจ เป็นสิ่งที่คิดผิด เพราะท่านหวังให้ฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมต่างหาก เป็นสิ่งที่คาดหวัง และฉันก็ไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักครั้ง

ดังนั้น เหตุการณ์ต่อมา... ก็คือเรื่องราวของการเป็นทหารตลอด ๑ ปีมานี้นั่นเอง

ฉันขอบคุณคุณแม่ที่ยกจานข้าวผัดพร้อมไข่ดาว แตงกวาริมขอบจานจัดแต่งอย่างสวยงาม รสชาติฝีมืออาจจะไม่เยี่ยมยอด แต่ทุกครั้งที่ฉันกลับบ้าน มื้ออาหารเหล่านี้ช่างอร่อยแสนวิเศษเป็นที่สุด

“ที่ค่ายเป็นไงบ้าง?” ท่านมักเริ่มต้นด้วยประโยคเช่นนี้ เพื่อให้ฉันเล่าเรื่องราวช่วงที่เราไม่ได้พบกัน

“ก็ฝึกทหารใหม่นะแม่ คนเข้าใหม่ก็เยอะพอ ๆ กับตอนที่ผมฝึกนะครับ มาจากหลายที่หลายทาง แต่ก็ดีหน่อย ได้เจอเพื่อนเก่า เพราะผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหมด เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ปิ๊ก ด้วยไงแม่ แม่จำ ปิ๊ก ได้ไหม?”

“อ๋อ ปิ๊กนะเหรอ” แหงละ... ท่านรู้จักดีทีเดียว เพราะตอนพบญาติ ผู้ฝึกฯ รุ่นฉันสั่งให้คู่บัดดี้กันต้องนั่งด้วยกัน คุณพ่อคุณแม่ฉันเลยสนิทกับครอบครัวของปิ๊กพอสมควร แล้วปิ๊กเนี่ย คือดาวตลกของวงพบญาติเลยทีเดียว

และแล้วฉันก็นึกขึ้นได้...

“แม่รู้จัก คนนามสกุล แม่นในรบ บ้างไหม?”

“ไม่เคยได้ยินเลย ใครเหรอ?”

“เด็กใหม่อ่ะแม่” ฉันเคี้ยวข้าวตุ่ย ๆ แล้วกลืนลงไป “เป็นหลานเสธ. แต่เห็นว่า พ่อกับแม่อยู่แถวนิคมฯ ลำพูนนี่แหละ แกอยู่หมู่ที่ผมเป็นครูฝึกฯ พอดี”

“ต้องลองถามพ่อ พ่อเขาพอรู้จักคนกว้างขวางอยู่” คุณแม่รินน้ำใส่แก้วส่งให้ “แล้วเขาเป็นคนยังไง?”

“เป็นเหมือนผม...” ฉันตอบสั้น ๆ ท่านร้อง หึ! ในลำคอ

“หมายความว่า...” ท่านพูดได้แค่นั้น ฉันเลยวางจานข้าว แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง คุณแม่ทำตาปริบ ๆ ก่อนจะยิ้มให้เมื่อฉันจบลง

“แล้วลูกจะทำยังไงต่อไป?”

“ก็คงสอนเท่าที่จะทำได้นะครับ” ฉันกินข้าวต่อให้เสร็จ

“วิญญาณความเป็นครูนี่ มันถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วยนะ ไม่น่าเชื่อ! ...” ท่านหัวเราะร่วน “ช่วยเขาไปเถอะลูก ถือว่าเอาบุญ”

เราสองคนนั่งคุยกันสัพเพเหระ จนฉันแหงนดูนาฬิกาข้อมือ บอกเวลาเที่ยงตรง คุณแม่สังเกตเห็นเหมือนกัน

“จะไปแล้วหรือลูก? มา... แม่ขับรถไปส่ง”

คุณแม่ส่งฉันลงตรงป้ายรถเมล์หลังวัดพระธาตุหริภุญชัยฯ สำหรับวันนี้ เป็นเหตุบังเอิญจริง ๆ ที่ธุระเสร็จเช้ากว่าที่คาดไว้ ทำให้พอมีเวลากลับบ้าน หลังจากที่ตลอดระยะเวลากว่าเกือบ ๒ เดือนที่ไม่ได้เจอหน้ากัน จากนี้ไป ฉันจะได้กลับบ้านอีกครั้งจนกว่าจะปิดหน่วยฝึกฯ ก่อนจะเปิดประตูรถ ท่านยั้งไว้ด้วยการเรียกชื่อฉัน

“พัท... เรื่องคนที่ชื่อภูหินอะไรนั่น แม่มานึกขึ้นได้ว่า ถ้าลองคนเราเกิดมาไม่เหมือนกันแล้ว จะให้เขามาเก่งเหมือนเรามันก็เป็นไปได้ยากนะลูก...”

ฉันสงบนิ่งฟังคุณแม่พูดต่อไป

“อะไรที่สอนได้ หัดได้ พอไปได้ก็ค่อยทำไป แต่คนเรามันโตกันแล้ว จะให้เปลี่ยนทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายพอปลดทหารออกไป เขาก็ต้องออกไปมีชีวิตของเขา แล้วเราก็ไปตามดูเขาจนถึงตอนนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันต้องขึ้นอยู่กับครอบครัวของเขาด้วยว่า เขาเข้าใจกันและกันมากแค่ไหน ถ้าเขาไม่ให้โอกาส ชีวิตของน้องคนนั้นนะ ต่อให้เราฝึกมาดีแค่ไหน... สุดท้ายก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่าเดิมหรอก”

“ขอบคุณครับ” ฉันยกมือไหว้ แต่ไม่ได้ขอบคุณเฉพาะคำสั่งสอนนี้ แต่นึกขอบคุณที่ครอบครัวของฉัน ได้ให้โอกาสแก่ชีวิตของลูกคนนี้เสมอมา




ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่ริมเต็มไปด้วยเมฆสีเทา ในช่วงต้นฤดูหนาวเช่นนี้ ทำให้มักมีฝนหลงฤดูเสมอ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ฉันลงรถสี่ล้อสีเหลืองตรงตลาดแม่ริมแล้วจู่ ๆ ฝนก็ตกกระหน่ำขึ้นมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันรีบวิ่งเข้าหากันสาดหน้าร้านค้าเพื่อหลบสายฝน

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลก ๆ ไม่คุ้น ฉันกดรับสาย

“ฮัลโหล”

“ไอ้พัทเซ่อ! มึงอยู่ไหนแล้ววะเนี่ย?”

ฉันขยับโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์ที่โชว์บนเครื่อง ไม่ใช่เบอร์ไอ้หน้าหล่อนี่หว่า...

“อยู่ตลาดแม่ริมแล้วครับ” ฉันตอบเสียงดังแข่งกับเสียงฝน “หมู่เอาเบอร์ใครโทรฯ มาเนี่ย?”

“หมู่มี ๒ ซิม เบอร์นี้ใช้โทรฯ ออก” เออ... แหะ มันทันสมัยเหมือนกัน “จะกลับเข้ามากี่โมงวะ?”

“อ้าว! ก็ตอนนี้ถึงตลาดแม่ริมแล้ว...” เมื่อกี้ก็บอกมันไปรอบหนึ่ง สงสัยหูหนวก ฉันพลิกดูนาฬิกาข้อมือ บอกเวลา ๑๓.๔๕ น. “น่าจะประมาณบ่ายสองโมงนิด ๆ แหละครับ ผมกำลังยืนหลบฝนอยู่ ถ้าหยุดเมื่อไหร่ก็จะขึ้นรถวินเข้าไปในค่ายครับ”

ฉันต้องเอามืออุดหูอีกข้างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยินเสียงลำโพง เพราะฝนตกหนักจริง ๆ

“มึงรออยู่นั่นแล้วกัน เดี๋ยวหมู่จะไปรับ”

ฉันหูไม่ฝาดไปใช่ไหม !?!? “หมู่จะมาได้ยังไงครับ? ตอนนี้ หมู่ต้องฝึกทหารใหม่ไม่ใช่หรือครับ?”

“ฝนมันตกนี่หว่า เลยพาเข้าห้องเรียนกันมาหมดแล้ว หมู่จะออกไปทำธุระแถวนั้นด้วย” มันบอกฉันมาตามสาย “เดี๋ยวจะวนรถไปรับแล้วกัน อยู่หน้าตลาดแถวหน้าร้านขายยานั่นแหละ”

ฉันพยายามเดินฝ่าสายฝนไปให้ถึงร้านขายยาร้านใหญ่ ที่อยู่ตรงหน้าตลาดพอดี นึกขึ้นได้ว่า ตรงข้อมือ เป็นสะเก็ดตุ่มเล็ก ๆ ราวหนึ่งเซนติเมตร ซึ่งทายาอะไรก็ไม่หายสักที เลยแวะเข้าไปในร้านสักครู่

“น่าจะเป็นแบคทีเรียคะ” เภสัชกรสาวตอบทันทีเมื่อเห็นแผล “เอาครีมตัวนี้ไปทาแล้วกันนะคะ ผู้หมวด”

ฉันกำลังจะล้วงเอากระเป๋าสตางค์ในกางเกงเพื่อจ่ายเงิน เลยยิ้มแหย ๆ ออกมา ...ราศีตูจับจริง ๆ !!!!

เมื่อได้ยาเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมายืนรอหน้าร้านอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ฉันก็สังเกตเห็นรถกระบะหน่วยฝึกฯ ชะลอความเร็วลงมาแต่ไกล จึงโผล่ออกไปให้ทหารที่นั่งตรงตำแหน่งพลขับเห็น

“ขึ้นมาเร็วดิวะ!” หมู่เมธ ตะโกนผ่านกระจกรถที่เปิดค้างไว้ ฉันวิ่งฝ่าสายฝนที่เริ่มเบาบางบ้างแล้วออกไป เป็นห่วงซองเอกสารที่สอดอยู่ใต้ชุดพรางเหลือเกิน

“หมู่ออกมาทำธุระอะไรแถวนี้ละครับ?”

“อุตส่าห์มารับมึง... แทนที่จะขอบอกขอบใจเป็นคำแรก เป็นไม่มี”

อูย!!!! ตูอยากเปิดประตูรถด้านคนขับแล้วถีบมันออกไปเดี๋ยวนั้น อย่างกับว่า ตูขอให้มันมารับกระนั้นแหละ เชี่ยเอ้ย! ฉันเลยพูดอย่างอดเสียไม่ได้ “ขอบคุณครับ”

“หมู่มาเอาชุดฝึกที่จ่าสถาพรเอามาแก้” มันหมายถึงชุดฝึกสีเขียวของพลทหารใหม่เกือบทุกนาย ที่ต้องแก้เอวและทรงกันจ้าละหวั่น คนละชุดสองชุด เพราะของที่ ทบ. ทำออกมานั้น มันไม่พอดี “ลูกสาวจ่าสถาพรเข้าโรงพยาบาล เลยขอลาวันหนึ่ง หมู่เลยอาสาออกมารับให้แทน เดี๋ยวมึงก็ช่วยหมู่ขนด้วยละกัน เกือบ ๕๐ – ๖๐ ชุดโน่นมั้ง”

ฉันนั่งนิ่งแทบไม่ไหวติง ไม่ใช่ว่าเกร็งเพราะเขินอาย หรือเกรงกลัวแต่อย่างใด เคยนั่งคู่กันมาล่าสุดก็เมื่อหลายวันก่อน ตอนที่ไอ้ภูหินเป็นลม แต่ที่นิ่งไว้ เพราะไม่อยากให้มันรื้อฟื้นเรื่องที่มันบอกกับฉันไว้เมื่อคืน

ในที่สุด มันนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“มึงขึ้นรถที่ลำพูนกี่โมงวะ?”

“เที่ยงครับ” ฉันตอบ

“แล้วทำไมมึงไม่โทรฯ หาหมู่วะ?”

“ก็... ผมไม่อยากโทรฯ อ่ะครับ”

มันเงียบไปราวกับคิดอะไรอยู่ลำพัง ก่อนจะบอกเสียงค่อย ๆ “หมู่ก็นึกว่า มึงอยากรู้อะไรเกี่ยวกับหมู่ให้มากกว่านี้ซะอีก”

“ผมนั่งคิดมาตลอดทางทั้งขาไปและขากลับ” ฉันเปิดใจ ไหน ๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้ว “ผมอยากจะขอหมู่อย่างหนึ่งได้ไหมครับ?”

“ขออะไรวะ ว่ามาเด๊ะ?” มันชะลอรถให้ช้าลง เพื่อตั้งสมาธิกับประโยคต่อไปของฉัน

“ผมจะขอหมู่ว่า... หมู่ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามผมว่าหมู่เป็น... หรือไม่เป็น ถ้าผมจะเป็นเพื่อนกับหมู่ ผมก็ขอเรียนรู้เอง เพราะในความเป็นเพื่อน มันไม่สำคัญว่าเพื่อนจะเป็นใคร อะไรยังไง เราควรจะมองข้ามมันไป แล้วมองเฉพาะส่วนดีที่เราพอจะคบกันได้ โดยเฉพาะตอนนี้ เราควรจะช่วยเหลือกัน ร่วมมือร่วมใจกัน เพราะเรามีภารกิจร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ พาไอ้ภูหินไปให้ถึงฝั่งฝัน... ดังนั้น... เก็บเรื่องของหมู่ไว้ทีหลัง แล้วเราเอาเรื่องที่สำคัญมาว่ากันก่อนเถอะครับ”

จากวันแรกที่เราพบกัน ...ภาพทหารรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าใสกิ๊ก คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาแข็งกร้าวเล็กน้อย ปากได้รูป ผมที่ตัดสั้นนั้นรับกับใบหน้าและศีรษะจนดูเท่... มาดแมน... สมาร์ท... หล่อเหลา... กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง หมู่เมธยิ้มน้อย ๆ แต่เป็นยิ้มสดใสที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ตลอดระยะเวลาเดือนเศษ ๆ ที่รู้จักกันมา ในที่สุดมันก็เปิดปากออกมาด้วยความเข้าใจ

“มึงเก่งจริง ๆ ไอ้พัท สมแล้วที่ใครต่อใครก็ชมมึง... หมู่นับถือความคิดมึงจริง ๆ เลยวะ”

“ขอบคุณครับ” ฉันเหล่ตาใส่มัน “ถ้านั่น เป็นคำชมของหมู่นะ”

“ไอ้เชี่ย! กูชมมึงจริง ๆ ไม่ได้ด่ามึงนะวะ” มันหัวเราะร่า “ทำไม ที่ผ่านมากูมัวแต่ด่ามึงหรือวะ?”

“ไม่ได้ด่า แต่ชอบกวนครับ” ฉันเพิ่งสังเกตว่า ไอ้หน้าหล่อเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองว่า หมู่ เป็น กู ไปเรียบร้อยแล้ว มันหันมามองฉัน

“เออ... ดี” หมู่เมธกระแทกเสียง “งั้น วันหลังกูจะหาเรื่องกวนมึงอีก สนุกดีวะ”

“ตามสบายครับ ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นะครับ หรือว่าไม่ใช่?” ฉันไม่แน่ใจ

“ได้สิวะ เพื่อนกูมีน้อย กูรับมึงเป็นเพื่อนอีกคนก็ได้วะ” มันพูดราวกับไม่เต็มใจ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ

“ถ้ามึงอยากเป็นมากกว่าเพื่อนก็ได้...” มันหันมามองฉันอีกครั้ง ดวงตากรุ้มกริ่ม “ขอให้กูจูบปากมึงเท่านั้นแหละ รับรองได้มากกว่าความเป็นเพื่อนแน่นอน”

“เหอ ๆ ๆ” ฉันหัวเราะแก้เก้อ บอกไม่ถูกว่าตัวเองคิดอย่างไรเหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ ต้องช่วยกันขนชุดฝึกก่อน เพราะหมู่เมธเปิดไฟเลี้ยวแล้วจอดตรงหน้าร้านเสื้อพอดี!




เย็นวันศุกร์ ตามตารางที่เราวางแผนกันไว้ วันนี้ช่วงค่ำ ในชั่วโมงอบรมจริยธรรม ผู้ฝึกฯ อนุญาตให้พลทหารใหม่ เจียดเวลาราวครึ่งชั่วโมงในการเขียนจดหมายถึงครอบครัว โดยเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งไปในจดหมาย ได้แก่ การย้ายทะเบียนบ้านจากเดิม มาสังกัดตามทะเบียนบ้านของกองพันที่ตนสังกัด เช่น ของลูกน้องหมู่ ๔ หมวด ๒ ของฉัน ซุป หรือเฒ่า หัวหน้าหมู่ จอน และพงศ์ ต้องให้ที่บ้านแจ้งย้ายทะเบียนมาที่ กองพันรบพิเศษที่ ๑ กรมรบพิเศษที่ ๕ ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม เชียงใหม่ ที กับ วิน ย้ายทะเบียนมาที่ กองพันรบพิเศษที่ ๒ กรมรบพิเศษที่ ๕ ต.แม่สา อ.แม่ริม เชียงใหม่ และสองนายสุดท้าย คือ ภูหิน กับ พอล ต้องแจ้งย้ายมาที่ กองพันรบพิเศษที่ ๓ กรมรบพิเศษที่ ๕ ต.แม่สา อ.แม่ริม เชียงใหม่ เป็นต้น เหตุที่กองพันรบพิเศษที่ ๒ และ ๓ ตั้งอยู่ในตำบลแม่สา ก็เพราะอย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า พื้นที่ของกรมฯ มีขนาดกว้างใหญ่มาก จนกินพื้นที่ของสองตำบล กองพันทั้งคู่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปข้างใน จึงอยู่ในเขตของตำบลแม่สานั่นเอง


ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญ คือ การแจ้งวันพบญาติ วันแรก คือวันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤศจิกายน โดยเริ่มตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. เท่านั้น นอกนั้น อนุญาตให้ส่งของใช้ที่จำเป็นมาทางไปรษณีย์ ได้แก่ แป้ง สบู่ แชมพู สำลีพันหู ใบมีดโกน เป็นต้น ซึ่งอันที่จริง ของใช้เหล่านี้ ทางหน่วยฝึกฯ ได้จัดหามาให้บางส่วน สามารถเบิกใช้ได้ แต่ต้องลงบัญชีหักเงินเดือนพลทหารใหม่ไว้ เนื่องจากยังไม่อนุญาตให้พกเงินติดตัว

สำหรับกระดาษเขียนจดหมาย จ่ากอง ให้ฉีกจากสมุดบันทึกของใครของมัน โดยอนุญาตให้ใช้แค่ ๑ คู่ หรือ ๔ หน้ากระดาษเท่านั้น เขียนเกินกว่านี้ไม่ได้ แต่เขียนน้อยกว่านี้ได้

“ลายมือครูสวยไหมครับ? ช่วยเขียนหน้าซองให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?” พลทหารมาวิน หรือ วิน ร้องขอ ฉันถามที่อยู่แล้วเขียนให้ด้วยความเต็มใจ

“เฮ้ย! ลายมือครูสวยดีวะ” ไอ้พอล ชะโงกหน้ามาดู “เขียนให้ผมด้วยสิครับ”

“ครูต้องจ่าหน้าซองของ พอล เป็นภาษาอังกฤษไหมเนี่ย?” ฉันพูดติดตลก มันยิ้มแป้น “ก็ดีครับ ถ้าจะให้ดี ครูช่วยแปลไอ้ที่ผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วยนะครับ แม่ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแปลอีกรอบให้พ่อฝรั่งผมฟัง”

“เอาค่าจ้างเป็นอะไรดีวะ?”

“โธ่! ครู... ผมวนรองเท้าให้ครูอยู่ทุกวัน แล้วก็กางมุ้งให้ทุกคืนแล้วนี่ครับ” มันโอดครวญ

“อย่าลืมว่า ไม่ต้องปิดซอง จ่าหน้าเขียนที่อยู่แล้วพับจดหมายใส่ซองไว้เฉย ๆ เพราะแสตมป์ยังไม่ได้ซื้อ เดี๋ยวพวกครูฯ จะช่วยกันปิดซองแล้วติดแสตมป์ส่งไปรษณีย์ให้เอง” จ่าคม ตะโกนบอกเสียงดังทั่วห้อง

หล่ออิท ซึ่งเข้าเวรฯ ผู้ช่วยครูเวรฯ วันนี้ ขยิบตาให้ฉัน อันที่จริง ตอนที่หมู่เมธออกไปรับฉันที่ตลาด เราแวะซื้อซองจดหมายพร้อมไปรษณีย์มาด้วยแล้ว แต่ที่ไม่ให้ปิดซอง เนื่องจากพวกผู้ช่วยครูฝึกฯ ต้องอ่านคัดกรองในสิ่งที่พลทหารใหม่เขียนออกไป เรื่องนี้ สมัยที่ฉันเป็นพลทหารใหม่ก็เคยโดนเหมือนกัน ซึ่งมองว่าไม่ได้เป็นการละลาบละล้วง แต่เป็นการป้องกันการติดต่อในทางมิชอบ เช่น การค้ายาเสพติด หรือการหนีทหาร เป็นต้น

“มีคำสั่งลงมาใหม่” น้ำ เดินสวบ ๆ มากระซิบข้างหูฉัน ฉันพยักหน้ารับทราบ

ตรงสวนหย่อมเล็ก ๆ ระหว่างทางเดินหน้าห้องเรียน กร กับ ชัย ได้ทำหลักสำหรับปักธงหน่วยฝึกทหารใหม่ไว้ ตามที่จ่าหวัดเคยสั่งไว้ ช่วงเย็น พลทหารใหม่ได้เดินขบวนจากโรงสูทกรรม กลับมาเคารพธงชาติที่ลานรวมพลหน้าอาคารหน่วยฝึกฯ ก่อนจะทำพิธีเชิญธงหน่วยฝึกฯ ปักลงตรงหลัก แล้วแยกย้ายกันขึ้นไปโรงนอน อาบน้ำ และเข้าห้องเรียน

หล่ออิท มองดู ฉัน กับ เชฟน้อย ช่วยกันเก็บจดหมายของพลทหารใหม่เสร็จแล้ว จึงเป่านกหวีดดังปรี๊ด!

“ครูเคยบอกแล้วใช่ไหม...ว่าให้ดูแลธงของเราให้ดี ตอนนี้ ดูสิว่า ธงของเราหายไปไหนแล้ว?”

พลทหารใหม่ทุกนายชะเง้อผ่านช่องหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองเห็นหลักที่ใช้ปักธงได้อย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ กลับพบเพียงความว่างเปล่า!

หล่ออิท เป่านกหวีดอีกครั้ง ใบหน้าหล่อ ๆ ของมันยิ้มเหี้ยมเกรียม

“ตั้งแถวที่ลานรวมพล ให้เวลาหนึ่งนาที !!!!”




พลทหารใหม่ทุกนายซึ่งอยู่ในชุดกางเกงจับหมู เสื้อยืดคอวีสีเขียว สวมรองเท้าแตะ ดูซีดเซียวเพราะความตื่นกลัว แสงจากหลอดไฟที่เรียงรายริมถนนหน้าอาคารหน่วยฝึกฯ ส่องสลัวไปทั่วบริเวณ ยิ่งทำให้บรรยากาศ ณ ลานรวมพลในตอนนี้ เต็มไปด้วยความสงสัยและความอึดอัด

จ่ากองก้าวออกมายืนตรงหน้าแถวพลทหารใหม่

“ธงประจำหน่วยฝึกทหารใหม่ เป็นความรับผิดชอบของพวกเราทุกคน จะหายไปไม่ได้เด็ดขาด เวลาพลทหารใหม่ไปที่ไหนก็ต้องเชิญไปด้วย เมื่อตอนกลางวัน ครูก็ย้ำเรื่องนี้กับพวกเราอีก ธงเป็นสมบัติของเราที่พลทหารใหม่ทุกนายต้องรักษาและรับผิดชอบร่วมกัน”

จ่ากองสวมบทเพชฌฆาตหน้าหยกได้อย่างสมจริง เล่นเอาฉันที่ยืนเยื้องไปทางข้างหลังแถวตอนพลทหารใหม่ ขนลุกเกรียว

“ครูได้รับรายงานจากผู้ช่วยครูเวรฯ ว่า ธงของพวกเราหายไปแล้ว แน่ละ... ไม่มีใครสนใจ มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนจดหมาย คุยกันเสียงดังอยู่ในห้องเรียน” แกหยุดเว้นวรรคเล็กน้อย “ดังนั้น เพื่อให้พวกเราจำไว้เป็นบทเรียน ครูจะขอสั่งทำโทษพวกเรา”

จ่ากองเป่านกหวีดดังปรี๊ด! “พลทหารทั้งหมด กระโดดตบ ๒๐๐ ครั้ง... ปฏิบัติ!”
แกเป่านกหวีดอีกครั้ง พลทหารยังคงสับสนระหว่างการนับยก กับการนับเป็นครั้ง ดังนั้น จึงมีคนนับ ๑ – ๒ – ๓ ๑, ๑ – ๒ – ๓ ๒... จ่ากองเป่านกหวีดให้หยุด

“นับเป็นครั้ง ๆ” แกตะโกนก้อง “ไม่ได้นับเป็นยก เอาใหม่ กระโดดตบ ๒๐๐ ครั้ง... ปฏิบัติ!”

คราวนี้ พลทหารใหม่เริ่มทำพร้อมเพรียงกัน แต่พอเริ่มนับครั้งที่ ๖๐ ขึ้นไป เสียงนับครั้งก็เริ่มแผ่วลง หล่ออิท ร้องเตือน

“นับดัง ๆ”

“กูเพิ่งรู้ว่าไอ้อิทนี่ แม่ง! ซาดิสม์ลึก ๆ วะ” ยุทธ กระซิบข้างหูฉัน

“มึงว่าไอ้ภูหินจะเป็นลมไหมวะ?” หมู่เมธเดินเข้ามาขนาบข้างฉัน มีผลทำให้ ยุทธ ผงะถอยออกไปทันที เพราะมันโคตรเกลียดไอ้หน้าหล่อนี้เป็นอย่างยิ่ง

“ผมว่า... ชัวร์ครับ”

จ่าวิทย์ พยักหน้าให้ฉันเข้าไปหา

“พัฒนรัฐ เอ็งไปคัดจดหมายใน บก. เถอะ ทางนี้ เดี๋ยวพวกที่เหลือก็คอยดูอยู่ได้”

“ผมอยากดูลูกหมู่ผมเหมือนกันอ่ะครับ ตอนคัดจดหมาย เดี๋ยวช่วย ๆ กันก็ได้ครับ คงเสร็จเร็วอยู่” จ่าวิทย์น่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงใคร แกเลยพยักหน้าอีกครั้ง

“งั้นก็ตามใจ”

ในที่สุด การกระโดดตบ ๒๐๐ ครั้ง ก็จบลง ฉันสังเกตเห็นภูหิน และพลทหารหลายนายหายใจหอบอย่างหนัก แต่จ่ากองก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น

“ลุกนั่ง ๒๐๐ ครั้ง ปฏิบัติ!”

เอาละวา... คราวนี้คงมีการล้มหายตายจากเกิดขึ้นแน่ ๆ ก็ขนาดฉันลุกนั่ง ๕๐ – ๖๐ ครั้ง แข้งขายังสั่นและอ่อนระทวยจนลุกแทบไม่ขึ้น นับประสาอะไรกับการสั่งให้ลุกนั่ง ๒๐๐ ครั้ง คงมีไม่ไหวกันมั้งละ !?!?

ฉันนึกยังไม่ทันขาดคำ จ่าคม ที่ยืนเตร่อยู่แถวนั้น ก็ร้องบอกแทรกเสียงพลทหารใหม่นับจำนวนครั้งขึ้นมา

“อย่าเอาเปรียบเพื่อน ๆ” จ่าคมเท้าสะเอว มองตรงมาที่ ภูหิน ซึ่งทำท่าเหมือนจะล้มลงไปกองกับพื้น “ทำให้ครบเหมือนเพื่อน ๆ เขา”

“เร็วสิวะ” คราวนี้หมู่เมธ ไปตะโกนใส่บ้าง แต่มันไม่ได้บอกเฉพาะไอ้ภูหินเพียงนายเดียว ยังมีอีกหลายนาย ที่ลุกนั่งแทบไม่ขึ้นแล้ว

เหงื่อพลทหารใหม่เปียกโชกเสื้อยืดที่สวมอยู่ จนแทบจะเอามาบิดน้ำออกได้เป็นขัน คราวนี้ จ่ากองเปลี่ยนมาสวมบทเพชฌฆาตผู้ใจดีแทน

“เอาละ... ครูจะให้โอกาสพวกเราแยกย้ายกันไปหาธง... ไปหามาให้ได้ แล้วกลับมารวมกันที่นี่ให้เร็วที่สุด ครูจะให้เวลา ๑ นาที ถ้ามาเกินกว่านั้น ครูจะทำโทษ แต่ถ้ามาทันเวลา ครูจะปล่อยพวกเราให้กลับไปรวมที่ห้องเรียน”

แกเป่านกหวีดดังปรี๊ด พลทหารใหม่แตกแถวยังกับผึ้งแตกรัง ส่งเสียงร้องบอกให้ไปหากันที่โน่นที่นี่ ไอ้พงศ์พุ่งตรงมาหาฉัน

“ครูรู้ใช่ไหมครับ? ว่าธงของพวกผมหายไปไหน บอกมาเถอะครับครู ถือว่าช่วยกันนะครับ”

ฉันยังไม่ทันอ้าปากตอบ ใครคนหนึ่งก็ตวาดดังลั่น จนฉันยังสะดุ้ง

“ไอ้พงศ์! มึงจะมาถามเอาอะไรจากครูของพวกเอ็ง... ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ สั่งให้พวกมึงไปหา ก็ไปหาสิวะ! ไม่ได้สั่งให้มาถาม เดี๋ยวก็หมดเวลาหรอก” ไอ้หน้าหล่อมายืนกอดอกอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หน้ามันบูดบึ้งเสียจนไอ้พงศ์เผ่นหนีแทบไม่ทัน พลทหารใหม่นายอื่นก็เช่นกัน ส่งเสียงอึกทึกรอบอาคารหน่วยฝึกทหารใหม่ โดยมีผู้ช่วยครูฝึกฯ บางนายตามไปสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ

หมู่เมธสาวเท้ามายืนเตร่ข้างฉัน

“อยู่ในห้องน้ำห้องสุดท้าย”

“บอกผมแล้วอย่าลืมฆ่าผมด้วยละ” ฉันอมยิ้ม

“ทำไมวะ?”

“อ้าว! ไม่เคยดูหนังสงครามหรือครับ? สายลับมักโดนฆ่าปิดปากทุกครั้งเมื่อรู้ความจริง”

มันหัวเราะร่วน ยุทธ ที่ยืนอยู่ห่าง ๆ คงเห็นคู่กัดของมันอารมณ์ดี เลยค่อยเขยิบมาร่วมวงด้วย “หมู่ว่า พวกมันจะเจอไหมครับ?”

“ไม่เจอก็โง่แล้ว ไอ้หลอดยุทธ! ” น้ำเสียงของไอ้หน้าหล่อเปลี่ยนเป็นคนละคนโดยฉับพลัน ท่านหลอดทำหน้าเบ้ แล้วบ่นพึมพำ

“ทีกูละด่าเอา ๆ ทีพัทซี่ละมึง... หวานใส่ ๆ”

“มึงว่าอะไรวะ?”

“อ๋อ... ผมสงสารพลทหารใหม่นะครับ”

ชัย เดินมาสมทบ เมื่อได้ยินเสียงเฮ! จากกลุ่มพลทหารใหม่ “มากันโน่นแล้ว คงหาเจอแล้วละ”

“เหลือเวลาอีก ๑๐ วินาที” จ่ากองแกล้งนับถอยหลัง พลทหารใหม่กรูกันกลับมาตั้งแถวตอนอย่างรวดเร็ว

“๕, ๔, ๓, ...”

“ไอ้เชี่ยพงศ์ มึงเร็ว ๆ หน่อยสิวะ” พลทหารเอกวัฒน์ หรือเอก หัวหน้าหมวด ๒ ตะโกนเรียกไอ้พงศ์ที่เดินอย่างอ่อนล้ามาเข้าแถว พอ ๆ กับ ก้าน หัวหน้าหมวด ๑ ที่เข้าไปประคองไอ้ถังแก๊ส เจ้าของหุ่นอวบอ้วนสูงใหญ่ที่เริ่มโซซัดโซเซเช่นกัน

“...๒, ๑... หมดเวลา ครบหรือเปล่า?”

จ่ากองถามพลทหารใหม่ที่ตั้งแถวอยู่ ยังไม่ทันที่ใครจะยกมือตอบ เชฟน้อย ก็ชี้ไปทางด้านหลังของจ่ากอง

“นั่นไง... คนสุดท้ายพอดี”

ฉันเหลียวขวับทันที ...ภูหิน ค่อย ๆ วิ่งอย่างอ่อนระหวยรวยแรงเพื่อมาเข้าแถวกับเพื่อน ๆ !!!!

...................................



Create Date : 17 มิถุนายน 2555
Last Update : 17 มิถุนายน 2555 17:54:48 น.
Counter : 992 Pageviews.

3 comments
  
123
โดย: นายเจ๋อ วันที่: 17 มิถุนายน 2555 เวลา:18:30:27 น.
  
www.ข่าวใหม่.com แชท+ฟังเพลง ขอเพลงได้ที่หน้าห้อง #welcome
โดย: นายเจ๋อ วันที่: 17 มิถุนายน 2555 เวลา:18:35:24 น.
  
น่ารักดี
โดย: ลุงแก่ วันที่: 17 มิถุนายน 2555 เวลา:19:33:16 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
 
All Blog