โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๗ ภ.ม.ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๗ ภ.ม.ภาคิโน

คำถามนี้เล่นเอาฉันอึ้งไป ใจหนึ่งก็นึกกลัวว่า ตกลงถ้าคนตรงหน้ามันเพี้ยนจริง ๆ ฉันควรจะลุกขึ้นไปตามเพื่อนพลทหารข้างบนให้ลงมาช่วย ...แต่อีกใจหนึ่ง ก็อยากลองคุยกับคนเพี้ยน ๆ ซึ่งหน้าตาดีไม่น้อยดูสักตั้ง

สุดท้ายอีกใจหนึ่งก็ชนะ

“ถ้าครูตอบว่า ใช่... แล้วเราจะมีอะไรครับ?”

ทินวัฒน์ พลิกตัวนอนตะแคงข้างหันมาทางฉัน ในแววตาตี๋ ๆ ของมันคู่นั้น บอกให้รู้ว่า สติของมันกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

“ผมเคยมีแฟนเป็นกะเทย ผมเลยดูออกว่าครูเป็นเหมือนพี่สาวผมคนหนึ่ง”

“งั้นหรือ... แล้วแฟนผมเหมือนผู้หญิงมากไหม?” ฉันไพล่คิดไปถึงเพื่อนกะเทยสาวสวยของฉันทั้งหลาย

“ไม่เลยครับ เขาก็คล้าย ๆ ครู ดูเหมือนผู้ชาย...”

“อ้าวเหรอครับ?” ฉันประหลาดใจ “แล้วเขา... เป็นพี่สาวได้ยังไง?”

“ผมเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง สมัยผมเรียนเทคนิค เขาบอกเลิกผม บอกว่าไปกันไม่ได้ ช่วงนั้นผมเฮิร์ทมาก เลยออกเที่ยวกลางคืนเกือบทุกคืน มีอยู่คืนหนึ่ง ผมไปเจอเจ๊ ๆ กะเทยรุ่นพี่ เขาทำงานแล้วและมีอายุหน่อย แต่งตัวเป็นผู้ชายทั่วไป แต่อาจจะแสดงออกเล็กน้อย... เขาเข้ามาจีบผม ผมนึกสนุกเลยเล่นด้วย แล้วเราก็มีอะไรกัน จากนั้น เขาก็นัดเจอผมตลอด เอาเงินให้ใช้ ผ่อนรถเครื่องใหม่ให้คันหนึ่ง จ่ายค่าหอให้ ซื้อโน้ตบุ๊ก มือถือ เสื้อผ้า ทุกอย่าง พี่เขาก็เทคแคร์ผมดี ผมก็เลยสบายไปเลย... หลัง ๆ เขาไปติดคนอื่น ก็ห่าง ๆ ผมไป”

ฉันนิ่งฟังเรื่องราวของทินวัฒน์ ยังกับนิยายเกย์ตามเวบไซต์ต่าง ๆ ที่เรื่องราวมักจะขึ้นต้นด้วยโศกนาฏกรรมของชายหญิงคู่หนึ่ง แต่จบลงด้วยสุขนาฏกรรมของชายรักชายคู่หนึ่ง

“แล้วเรา... มาเล่าให้ครูฟังทำไม?” ฉันสงสัยในประเด็นนี้

“ไม่รู้สิครับ” ขนาดผู้เล่ายังไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง แต่ก็พยายามขยายความ “ผมสังเกตเห็นครูมีบุคลิก คล้ายกับพี่เขาผมมั้งครับ... ภูหิน ก็เป็นเหมือนครู เหมือนพี่เขาเหมือนกัน”

ฉันขยับตัวลุกขึ้น ควรจะจบเรื่องสักที... ที่แท้ก็เรื่องกะเทยแก่เลี้ยงเด็กหนุ่มนั่นเอง! ... ฉันง่วงเสียเต็มประดา “เอาละ... ถ้าค่อยยังชั่วแล้ว ก็กลับไปนอนข้างบนได้ละ เดินไหวไหม? ถ้าไม่ไหว ครูจะไปตามเพื่อนผมที่เข้าเวรฯ มาช่วยพยุง”

“ไหวครับ” ทินวัฒน์ ลุกขึ้นนั่งกลางที่นอน ดวงตาหรุบต่ำคล้ายกับกำลังชั่งใจอะไรสักอย่าง ในที่สุด ริมฝีปากก็ขยับ “ครูครับ?”

“อื้อ...” ฉันขานรับ

“ผมถามครูอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมครับ?”

“อ๋อ... ได้สิ ถามอะไรละ?”

“ถ้าผมยอมมีอะไรกับครู... ครูจะช่วยให้ผมฝึกสบายขึ้นไหมครับ?”

ฉันอ้าปากค้าง... ช่างกล้าเสียจริงนะ หนุ่มสมัยนี้! มันมองฉันเป็นคนแบบไหนกันเนี่ย !?!?

“เหอ ๆๆ” ฉันแค่นเสียงหัวเราะ “ทำไมถึงถามแบบนี้ละ?”

“ก็...ครูก็เป็นเหมือนพี่คนนั้น ผมเลยคิดว่า กะเทยสมัยนี้เขาก็ต้องการแค่นี้ไม่ใช่หรือครับ?”

“หมายถึงเรื่องอย่างว่านะหรือ?” ฉันสวนขึ้นทันควัน “ครูจะบอกให้ว่า ...มันไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ ผมจะมองว่ากะเทยทุกคนจะเหมือนกันไม่ได้ ดูผมเป็นตัวอย่างสิ... คงมีผู้ชายไม่กี่คนหรอกที่คิดเหมือนผม ยอมเสนอตัวเองเพื่อแลกกับความสบาย บางสิ่งบางอย่างมันไม่ได้มาด้วยความง่ายดายเสมอไปหรอกนะ”

แต่แทนที่จะสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ฉันสอนไป พลทหารตรงหน้ากลับยิ้มเหยียด ๆ “ตอนแรกก็เห็นปฏิเสธอย่างนี้ทุกราย! สุดท้ายก็มาขอผมทุกที”

“เหอ ๆๆ” ฉันแค่นเสียงหัวเราะอีกครั้ง นึกสมเพชในความคิดของมันจริง ๆ

“หรือว่า เป็นเพราะครูมี ครูเมธ อยู่แล้ว เลยไม่คิดจะมีอะไรกับผม?”

ฉันหันขวับและจ้องเขม็ง ครูเมธ ก็คือ หมู่เมธ ฉันตระหนกกับคำพูดนั้น

“ว่าไปนั่น... ครูกับหมู่เมธไม่ได้มีอะไรกัน!”

“ผมแอบเห็นครูเมธคุยกับครูเมื่อเช้า”

ประโยคสั้น ๆ นั้น ทำให้ฉันเข้าใจแล้วว่า เงาดำที่เห็นตรงมุมอาคาร ใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้า คือ พลทหารทินวัฒน์ หรือโบ๊ต ที่อยู่ตรงหน้าฉันในตอนนี้นั่นเอง

“แล้วไงล่ะ?” ฉันเริ่มรำคาญกับไอ้โบ๊ทเข้าให้

“ผมอาจจะไม่หล่อเท่าครูเมธ แต่เรื่องอื่น... ผมอาจจะดีกว่านะครับ”

มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างจงใจ ฉันจ้องหน้าตาตี๋ ๆ แบบเกาหลีของมัน ดวงตาใสนั้นจ้องกลับมาราวกับเชื้อเชิญให้ลิ้มลอง

“ไม่ต้องขึ้นไปแล้วละ...” ฉันตัดสินใจ รู้สึกน้ำเสียงตัวเองแข็งขึ้นมาฉับพลัน

“ครับ?”

“นอนมันตรงนี้แหละ”

“แปลว่า... ครูยอมช่วยผมใช่ไหมครับ?”

“เฮ้ย! ใครบอก !?!?” ฉันปฏิเสธ “ครูสั่งให้ผมนอนตรงนี้คนเดียว ห้ามกลับขึ้นไปนอนข้างบน พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับขึ้นไป”

“หา... ครูว่าอะไรนะครับ?” ไอ้โบ๊ทไม่เชื่อหูตัวเอง

“ครูสั่งให้ผมนอนมันตรงนี้แหละ...” ฉันย้ำ “ลองให้ยุงมันกัดทั้งคืน เผื่อโดนอะไรเจ็บ ๆ แล้ว... ผมอาจจะคิดอะไรที่ดีกว่านี้ออกก็ได้”

คราวนี้ ฉันเป็นฝ่ายมองมันอ้าปากค้าง ก่อนจะเดินตัวปลิวออกมาด้วยความสะใจเล็ก ๆ พลางคิดว่า ตกลงฉันก็ได้คุยกับคนเพี้ยน ๆ ซึ่งหน้าตาดีเข้าจริง ๆ แล้วสินะ !?!?




เมื่อถึงเช้าวันพิธีเปิดหน่วยฝึกทหารใหม่ของกรมรบพิเศษที่ ๕ คือวันที่ ๔ พฤศจิกายน พลทหารใหม่หลายนายดูจะตื่นเต้นและกระตือรือร้นกันมาก โดยเฉพาะ บะหนุน หัวหน้าตอน ที่ต้องมีหน้าที่รับมอบธงหน่วยฝึกทหารใหม่ ธงดังกล่าวทำจากผืนผ้าสีดำ มีตรากรมรบพิเศษที่ ๕ อยู่ตรงกลาง และข้อความ “หน่วยฝึกทหารใหม่ กรมรบพิเศษที่ ๕” ประดับอยู่ด้านล่างตรา ร้อยเอกดำรง ในฐานะผู้ฝึกฯ ได้ย้ำหนักย้ำหนาถึงความสำคัญของธง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยฝึกฯ ที่พลทหารใหม่พึงต้องรักษาและรับผิดชอบร่วม

“อย่างที่ท่านผู้ฝึกฯ ชี้แจงให้พวกเราทราบแล้วว่า ธงประจำหน่วยฝึกฯ นี้ เป็นสัญลักษณ์ของพวกเราทุกคน” จ่ากอง ยืนอธิบายด้วยเสียงดังฟังชัดต่อหน้าแถวตอนพลทหารใหม่ ณ ลานรวมพลหน้า บก.กรมฯ ในช่วงเย็นของเมื่อวาน ระหว่างที่พวกเราไปฝึกซ้อมพิธีเปิดหน่วยฝึกฯ “พลทหารใหม่จะออกฝึก หรือเดินทางไปยังสถานที่ใด ก็ต้องมีพิธีเชิญธงไปด้วย... ครูจะยกเว้นให้ไม่ต้องเชิญธง เฉพาะตอนออกกำลังกายในตอนเช้าที่ลานรวมพลหน้าหน่วยฝึกฯ แต่ตอนวิ่ง ต้องมีผู้เชิญธงวิ่งไปด้วย”

จ่ากองอนุญาตให้สลับพลทหารใหม่มาเป็นผู้เชิญธง โดยให้ผู้ช่วยครูฯ ช่วยกันคัดเลือก พวกเราจึงตกลงกันว่า จะให้หัวหน้าหมวด และหัวหน้าหมู่ สลับกันเป็นผู้เชิญธง แล้วในช่วงเดือนธันวาคม ค่อยวนให้พลทหารใหม่ที่เหลือ มาเชิญธงสลับกันต่อไปเรื่อย ๆ จนครบหมดทุกนาย ซึ่งเป็นวิธีการที่คณะครูฝึกฯ รุ่นฉันเคยใช้มาก่อนและได้ผลดีพอสมควร ส่วนจ่าแหลม สั่งให้ ชัย กับ กร ไปทำฐานพร้อมที่ปักธงหน่วยฝึกฯ ไว้ ๓ จุด ซึ่งเป็นสถานที่ที่พลทหารใหม่ได้ใช้งานอยู่เสมอ ได้แก่ หน้าอาคารหน่วยฝึกฯ หน้าสนามฝึก และหน้าโรงสูทกรรม และอีก ๔ จุด ซึ่งต้องเดินทางไปฝึกในเดือนหน้า ได้แก่ สนามยิงปืน ฐานวัดใจ ซึ่งเป็นเหมือนค่ายกลใช้สำหรับฝึกทหารโดยเฉพาะ หอกระโดดสูง ๓๐ ฟุต และลานพักแรม

ฉันเดินตรวจพลทหารใหม่หมู่ฉัน วันนี้แต่งตัวเรียบร้อยกันทุกนาย

“วันนี้ ดีจัง ไม่มีใครแต่งตัวผิดระเบียบเลย” ฉันชมลูกหมู่ ทำเอา พงศ์ กับ พอล มองหน้ากันยิ้มแป้น

สำหรับเรื่อง โบ๊ต นั้น ฉันกลับไม่ได้เก็บเอามาคิดอีกเลย สังเกตเห็นมันลอบชำเลืองฉันอยู่บ้าง โดยเฉพาะเวลาที่ฉันคุยกับหมู่เมธ แต่...ช่างเถอะ ฉันไม่ได้พิศวาสอะไร! เรื่องที่ฉันให้ความสนใจในขณะนี้ คือ เรื่องของภูหิน...

“มันวิ่งแล้วเป็นลมมา ๓ วันติดกันแล้วนะ ทั้งเช้าทั้งเย็น” หมู่เมธ บ่นพึมพำ ที่แขนของไอ้หน้าหล่อมีแถบสีแดงพันไว้เขียนว่า ครูเวรฯ “มันจะตายก่อนไหมวะ?”

“เอ้อ... ไปแช่งเขา” ฉันแย้ง “มันก็ต้องค่อย ๆ ปรับตัวกันหมดแหละครับ ไม่ใช่เฉพาะแต่ไอ้หินมัน คนเราถ้ามันไม่เคยได้ออกกำลัง หรือทำงานหนักมาก่อน มาหักโหมเอาพรวดเดียว มันก็ต้องมีน็อกกันบ้างแหละครับ สุดท้ายพอมันเข้าที่เข้าทาง ก็จะเริ่มดีขึ้นเองครับ”

“มึงเอาตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานอีกละสิ” ไอ้หน้าหล่อตวาดใส่ เฮ้อ! ...ตูอุตส่าห์ปลอบดี ๆ มันดันจะแขวะหาพระแสงอะไรเนี่ย... ฉันเลยสาวเท้าไปหาเชฟน้อย ซึ่งวันนี้มันสวมปลอกผู้ช่วยครูเวรฯ คู่กับไอ้บรรลัยที่ฉันเพิ่งเดินหนีมันมา

“เท่ฉิบหายเลย” น้ำ ชมเพื่อนร่วมกองพันฯ เดียวกัน เจ้าตัวยิ้มแก้มแทบปริ! แหงละ... เชฟน้อย ไม่เคยมีโอกาสสวมปลอกแขนเข้าเวรฯ กับเขาเลยสักครั้ง แม้แต่ที่ ร้อย.บกฯ รพศ.๕ พัน.๓ ก็ตาม วันนี้จึงดีใจเป็นทวีคูณ เพราะเป็นวันสำคัญอีกต่างหาก

“อย่าชมเยอะดิวะ... กูเขินนะเว้ย!” เชฟน้อย ร้องบอก น้ำ กับ หล่ออิทที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะร่วน “พัทซี่ เอามือถือถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมวะ กูอยากถ่ายเก็บเอาไว้อวดเพื่อน ๆ ที่กองร้อยอ่ะ”

ฉันทำตามคำร้องขอนั้นอย่างยินดี ถึงเวลา ๐๘.๓๐ น. ไอ้หน้าหล่อสั่งพลทหารใหม่ตั้งแถวบนถนนหน้าอาคารหน่วยฝึกฯ เพื่อออกเดินไปยังบริเวณพิธี ณ ลานหน้า บก.กรมฯ ตามกำหนดการ พิธีจะเริ่มเวลา ๐๙.๓๐ น. สำหรับพิธีนี้ มีเฉพาะหน่วยฝึกฯ เข้าร่วมพิธีเท่านั้น ไม่มีทหารจากกองพันอื่นของกรมรบพิเศษที่ ๕ มาร่วมแต่อย่างใด

ขบวนพลทหารใหม่เดินมาถึงลานหน้า บก.กรมฯ แสงแดดของฤดูหนาวที่จัดจ้า สาดลงมาทั่วบริเวณ จ่าวิทย์ให้ฉันหิ้วกระเป๋ายามาด้วย

“เอาติด ๆ มาไว้นั่นแหละดี เผื่อมีคนเป็นลม...” แกหลิ่วตาให้ฉัน เลยอดหัวเราะขึ้นพร้อมกันไม่ได้ เพราะคนเป็นลมที่ว่า หมายถึง ภูหิน นั่นเอง!

ว่ายังไม่ทันจะขาดคำ พลทหารใหม่ตั้งแถวตอนบริเวณลานพิธีผ่านไปได้ไม่ถึง ๑๐ นาที จอน ซึ่งเข้าแถวอยู่หลัง ภูหิน ก็ยกมือขึ้น

“ครูครับ! หิน เป็นลมครับ”

ฉันวิ่งไปถึงตัว ภูหิน เร็วกว่าใครเพื่อน หน้ามันซีดจนไม่มีสีเลือด เสียงไอ้หน้าหล่อดังขึ้นเหนือศีรษะ

“มึงอุ้มเข้าที่ร่มก่อนเร็ว”

ทว่าคราวนี้ คนอุ้มกลับเป็นจ่าวิทย์ ฉันเปิดกระเป๋ายา หยิบยาดมส่งให้หมู่เมธรองใต้จมูก หน้าของหมู่เมธซีดพอ ๆ กับคนที่กำลังเป็นลมอยู่ในขณะนี้ มันจะเป็นห่วงอะไรกันหนักกันหนาหว่า...

“มึงมองอะไรวะ? ได้ยินกูพูดหรือเปล่า?” ไอ้หน้าหล่อตวาดลั่น

“หา... หมู่ว่าอะไรนะครับ” ตายละ... ตูเผลอไปเมื่อไหร่เนี่ย !?!?

“หมู่บอกให้มึงเฝ้ามันดี ๆ ละ ไอ้พัทเซ่อ! หมู่ต้องไปดูแถวก่อน มันจะใกล้เวลาแล้ว มึงก็ไม่ต้องไปเข้าแถวกับเขาแล้วละ รออยู่ตรงนี้เลยแล้วกัน”

สรุปก็คือ ฉันเลยส้มหล่นสบายหน่อยที่ได้มานั่งใต้ต้นไม้ร่ม ๆ เวลาผ่านไปสักพัก แต่ก็ยังไม่ถึงกำหนดการพิธีเปิดหน่วยฝึกฯ ภูหิน ค่อยลืมตาขึ้น

“ดีขึ้นหรือยัง?”

“ครูครับ ผม... เป็นลมอีกแล้วหรือเนี่ย?”
“อือ...” ฉันหยิบยาดมส่งให้มัน ภูหิน นอนนิ่ง แล้วจู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ทำเอาฉันตกใจ

“เฮ้ย! มาร้องไห้อะไรกัน เป็นอะไร?”

น่าแปลกตรงที่ มันสะอื้นเพียงแป้ปเดียวก็หยุด เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาจากความรู้สึกส่วนลึก

“ทำไมผมอ่อนแออย่างนี้เนี่ย!”

โอย! ...ฉันจะเป็นลมแทนมัน... ฉันเป็นคนไม่ชอบฟังใครพร่ำเพร้อ และไม่ชอบนั่งมองคนร้องไห้ ดังนั้น เมื่อฉันได้ฟังคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้น ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดขึ้น

“ภูหิน ครูก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอเป็นลมเพราะอะไร ไม่ได้กินข้าว นอนไม่หลับ หรือคิดถึงบ้าน” ฉันเว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อให้มันคิดตาม “แต่ถ้าเป็นไปได้ ครูขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?”

“ครูจะขอเรื่องอะไรครับ?”

“อดทน... แค่นี้แหละ ที่ครูขอ”

ดวงตากลมโตจ้องกลับมาเหมือนทุกทีที่ฉันพูดให้แง่คิดกับมัน ฉันไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เพราะถ้าไม่ขอให้มันลอง อดทน สักเล็กน้อย ฉันเนี่ยแหละ... อาจจะเริ่มหมดความอดทนกับมันเข้าสักวัน!

“ถ้าเธออดทนได้ อีกหน่อยเธอก็จะเข้มแข็ง!”

“ถึงผมจะทำได้ ผมก็ไม่อยากทำ เพราะผมก็ไม่รู้จะทำเพื่อใคร หรืออยู่ต่อไปเพื่ออะไร?”

คำพูดแบบนี้ แสดงว่า ภูหิน คงมีปัญหาหนักอึ้งเสียมากกว่าที่ฉันคาดเดาไว้มาก ไม่ใช่แค่โรคคิดถึงบ้าน หรือโรคกะเทยอ่อนแอธรรมดา แต่คงเป็นเรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับครอบครัว ฉันจึงลองแหย่ดูตามความน่าจะเป็น

“ทำเพื่อคุณพ่อ ของเธอไงละ! ท่านคงรักเรามาก และอยากเห็นเราเป็นคนเข้มแข็ง เอาตัวรอดได้”

เงียบ! ภูหิน เบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น ...นี่ฉันแทงหวยถูกหรือนี่ !?!?

“เอ้า... ถ้างั้น ทำเพื่อตนเอง”

“ผมบอกแล้วไงครับ ผมไม่อยากทำ” มันบอกเสียงอ๋อย

“งั้นทำเพื่อครู... ครูบอกแล้วไงว่าครูขอ...ได้ไหม?”

ภูหิน หันหน้ากลับมาอีกครั้ง คราวนี้ ดวงตากลมโตมองฉันแบบเต็มตา “ผมจะทำเพื่อครูไปเพื่ออะไรกันครับ? ครูไม่ได้เป็นอะไรกับผมสักหน่อย...”

“เป็นครู... เป็นพี่...” เหลือเวลาไม่ถึงห้านาที พิธีจะเริ่มแล้ว นายทหารระดับสูงเริ่มเดินมารอตรงเวทีหน้าลานรวมพล ฉันชี้ไปที่กลางสนามตรงที่พลทหารใหม่ยืนเข้าแถวตอน “โน่น เป็นเพื่อนเธอทั้งนั้น อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใครสิ ถ้าเธอล้ม เขาก็ล้มหมด เธอไม่คิดบ้างหรือ?”

มันนิ่งเงียบไปสักครู่

“จริง ๆ ผมก็อายเพื่อน แต่ผม... ไม่รู้เป็นไง จู่ ๆ มันก็... ไม่ไหว...”

“ก็บอกแล้วไง ให้อดทน... ถ้าจะเป็นลมคราวหน้า สูดลมหายใจลึก ๆ สูดเข้าไป แล้วท่องไว้ อดทน ๆ ๆ ๆ”

มันหัวเราะร่วน ...เชี่ย! นี่ตูไม่พูดเรื่องตลกให้มึงฟังนะ ไอ้หิน... มันเงียบไปสักพัก จู่ ๆ มันก็ลุกพรวดพราดขึ้น เล่นเอาฉันกระโดดเหยง

“เฮ้ย! หายแล้วหรือวะ?”

“ขอบคุณครับครู” มันวิ่งปรู๊ดไปเข้าแถวกับเพื่อนตามเดิม ฉันจึงรีบปิดกระเป๋ายา วิ่งปรู๊ดตามมันไปสมทบกับแถวผู้ช่วยครูฝึกฯ อีกนาย เล่นเอาเพื่อนพลทหารมองกันเลิ่กลักว่าเกิดอะไรขึ้น? ไม่เว้นแม้แต่ ผู้ฝึกฯ จ่ากอง และครูฝึกฯ ท่านอื่น ๆ ที่กำลังมองอย่างมีคำถามและด้วยอารมณ์ปราม ๆ ว่า จะมาวุ่นวายอะไรกันตอนนี้?

เมื่อฉันเหลียวขึ้นไปมองบนเวที เท่านั้นแหละ... เลยถึงบางอ้อ!

ผู้บังคับการกรมฯ กำลังขึ้นเวทีตามเหล่านายทหารมาเป็นนายสุดท้าย !?!?
ไอ้ภูหิน! เกือบทำตูเสียเรื่องแล้วไม่เล่า ...ฉันสบถเป็นคำเรียกอวัยวะเพศชายอยู่ในใจดัง ๆ !!!!




ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่า... ภูหิน มันมีอาการกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าใบหน้าจะซีดเซียวเหมือนตอนมันเป็นลม แต่ก็ดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา

ผู้จับสังเกตอาการนี้ได้ มีอีกนาย

“มันดูดีขึ้นกว่าตอนเช้าเยอะเลยวะ ไอ้พัท... เอ็งว่าไหม?”

“ใช่ครับ จ่ากอง”

“เอ็งเอายาอะไรให้มันกินวะ?” จ่ากอง ถาม ขณะยืนอยู่ใต้ร่มไม้ที่ใช้เป็นห้องเรียนกลางแจ้ง พลางทอดสายตามองออกไปยังสนามฝึก ซึ่งมีพลทหารใหม่กระจายกลุ่มกันเป็นหมู่เพื่อฝึกท่าบุคคลมือเปล่า

“ผมพยายามพูดให้เขาอดทนนะครับ” ฉันตอบแกตามตรง “ถ้าภูหินอดทนได้ ก็จะเข้มแข็งได้เหมือนกัน ถึงแม้มันอาจจะค่อยเป็นค่อยไป แต่มันก็ต้องดีขึ้นกว่าเดิมแน่ครับ”

“เอ็งทำได้ดีมาก” จ่ากองเอามือเท้าสะเอวมองไปยังจุดเดิม ส่วนฉันก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้าต่อไป

อันที่จริง ในฐานะผู้ช่วยครูฝึกฯ ฉันต้องออกไปยืนกลางสนามเพื่อฝึกทหารใหม่เช่นเดียวกับเพื่อนพลทหารนายอื่นที่มารับหน้าที่อย่างเดียวกัน โดยมีครูฝึกฯ ยืนคอยให้คำแนะนำอยู่ห่าง ๆ แต่เนื่องจากหมู่ฉัน ฯพณฯ ท่านหมู่เมธ ท่านรับหน้าที่นี้ไปอย่างเต็มใจ เห็นแกเคี่ยวหมู่ ๔ หมวด ๒ ของฉันราวกับแกเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ เสียเอง ออกคำสั่งเอง ชี้โบ้ชี้เบ้ ก่นด่าเวลาพลทหารใหม่ทำผิดด้วยภาษาแปลก ๆ ตามนิสัยของมัน ฉันจึงถูกเลื่อนขั้นให้เป็นนายสิบ ซึ่งแปลว่า นายผู้ที่มีหน้าที่นับหนึ่งถึงสิบไปเรื่อย ๆ กลางแดดร้อน ๆ แล้วรอคอยจนกว่าจะหมดเวลา

ดังนั้น จ่าสถาพร จ่ากองหน่วยฝึกฯ ที่ขนเอกสารมาจาก ฝยก. หรือฝ่ายยุทธการ ของกรมฯ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการฝึกทหารใหม่โดยตรง จึงกวักมือเรียกให้ฉันเข้าไปช่วย ฉันเลยถูกเลื่อนขั้นให้เป็นนายสิบพิเศษ เพราะได้นั่งนับหนึ่งถึงสิบในร่มใต้ต้นไม้แทน

เวลาผ่านไปสักพัก จ่ากอง ตะโกนเรียกชื่อฉันดังลั่น

“ไอ้พัท มานี่เร็ว... ดูสิว่าใครมา?”

ฉันเหลียวไปตามเสียงเรียก รถจักรยานยนต์คันหนึ่งจอดลงตรงใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่คุ้นเคยก็โผล่มาให้เห็นถึงสองดวงอีกครั้ง

“สวัสดีครับ หมู่เอ็ม!”

“ไอ้เยิ้ม! มึงวิดพื้นให้กูหายคิดถึงหน่อยสิ เอาสักสามสิบนะ” ไอ้เยิ้ม ลงรถไม่ทันไร ก็โดน จ่ากอง เล่นเข้าให้

“เป็นไงบ้าง เรานะ?”

“ก็เรื่อย ๆ ครับ” ได้ยินเสียงจ่ากอง แซวมาข้างหลัง “มันเก่งเว้ยเฮ้ย!”

และแล้ว หมู่เอ็มกับจ่ากองก็หัวเราะกัน

ไอ้เยิ้ม ซึ่งวิดพื้นเสร็จแล้ว ก็ลุกขึ้นยืน

“ขอกอดหน่อยดิ พัทซี่ กูคิดถึง....”

“เดี๋ยว ๆ ให้หมู่คุยธุระก่อน...” หมู่เอ็ม ยกมือขวางไอ้เยิ้ม “เดี๋ยวถ้าคุยเสร็จ หมู่ขอกอดก่อนไอ้เยิ้มก่อนละกัน”

“พูดอย่างนี้บ่อย ๆ มิน่า พ่อเอ็งถึงชอบมาบ่นให้จ่าฟังว่า เอ็งไม่ยอมเอาเมียสักที หรือริจะเอาเมียตุ๊ดวะ?”

“เฮ้ย จ่านนท์ครับ...พูดงี้ได้ไง ผมเสียนะ” หมู่เอ็ม หรือสิบเอกปิยะ โวยลั่น เรื่องที่จ่ากองพูดถึง ก็คือเรื่องที่คืนหนึ่งแกดันมานอนบนเตียงจนทำให้ฉันต้องระเห็จไปนอนบนเตียงของสิบเวรฯ ในห้อง บก.ร้อยฯ เมื่อก่อนหน้าจะเดินทางมายังหน่วยฝึกฯ ไม่นานนัก แสดงว่าเรื่องนี้ดังจริง ๆ

“แล้วเอ็งมีอะไรกับไอ้พัทมัน?”

“ปู่แหลม ให้มาบอก” ปู่แหลม ที่หมู่เอ็มเรียก หมายถึง จ่าแหลม ซึ่งทำการแทนจ่ากองร้อย ร้อย.บกฯ รพศ.๕ พัน.๓ แทนจ่านนท์ ซึ่งมาเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกฯ อยู่ ณ ที่นี้ “พัทซี่ พรุ่งนี้เอ็งกลับไปเอาเอกสารที่สัสดีจังหวัด ใบคำร้องขอลดสิทธิลดวันรับราชการทหารกองประจำการ เห็นจ่าแหลมบอกว่า ต้องไปขอสำเนา ๑ ชุด”

“เดี๋ยวก่อน... ไอ้พัท มันต่อวันรับราชการทหารออกไปนี่หว่า มันไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารนี้แล้วนี่” จ่ากอง ซึ่งยืนร่วมวงอยู่ด้วยแย้งขึ้น เพราะแกเคยทำเอกสารเหล่านี้มาก่อนจึงรู้ดี “พี่แหลม แกจะเอาไปทำไม?”

“เห็นแกบอกว่า ต้องใช้ยื่นเอกสารตอนจะปลดนะครับ รู้สึกทางกองพันฯ จะติดต่อแกมาเลย”

“งั้นหรือ? แล้วสำเนาเก่าก็ไม่มีหรือ?”

“ปู่แหลม หาไม่เจอครับ”

“งั้น พัทซี่ก็ได้กลับบ้านฟรี ๑ วันนะสิครับ” ไอ้เยิ้ม นิ่งฟังตั้งนานแทรกขึ้น จ่ากองส่ายหน้า

“ก็ติดฝึกทหารใหม่อยู่นี่ จะให้กลับด่วนเลยหรือ?” จ่ากอง ฟังคำตอบจากหมู่เอ็ม ที่คงยืนยันคำพูดเดิม ว่า ต้องขอด่วนหน่อย ดังนั้น แกจึงตัดสินใจ “งั้นเดี๋ยวให้ผู้กองเซ็นต์ใบลาให้ออกจากค่ายพรุ่งนี้ ๑ วันแล้วกัน ตอนเย็นก็กลับเข้าค่ายเหมือนเดิม... มันจะทันไหมวะ? สัสดีจังหวัดไหนวะ?”

“ลำพูน ครับ”

“อ้าว งั้นบ้านเอ็ง กับบ้านไอ้ภูหิน มันก็บ้านเดียวกันนี่หว่า” จ่ากองทำท่าครุ่นคิด

“ภูหิน นี่ใครครับ?” หมู่เอ็มสงสัย เห็นสีหน้าไอ้เยิ้มมีแววใครรู้เช่นกัน

“หลาน เสธ.” จ่ากองตอบสั้น ๆ “อยู่คุยไปก่อนนะ ขอไปคุยกับผู้กองเดี๋ยว”

“ดีใจไหมวะ จะได้กลับบ้าน?” ไอ้เยิ้ม ถาม เมื่อจ่ากองคล้อยหลังไป

“เฉย ๆ วะ แต่อันนี้ไม่ได้เข้าบ้าน กูต้องไปที่ศาลากลาง” เรื่องกลับบ้าน ฉันถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่ากรมฯ อนุญาตให้พลทหารกลับบ้านแต่ละเดือนได้ประมาณ ๕ วันอยู่แล้ว ยกเว้นเฉพาะตอนฝึกผู้ช่วยครูฝึกฯ กับตอนฝึกทหารใหม่ ที่ไม่อนุญาตให้กลับบ้านจนกว่าจะฝึกเสร็จ จึงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร เพียงแต่ฉันไม่อยากเดินทางไปไหนตอนนี้ เพราะอยากเห็นพัฒนาการของไอ้ภูหินอย่างใกล้ชิดมากกว่า

ไอ้เยิ้มเดินอาด ๆ ไปหาเชฟน้อย ซึ่งดูดีอกดีใจที่ในที่สุด ก็มีทหารจากกองพันฯเดียวกัน มาเห็นมันใส่ปลอกแขน ผู้ช่วยครูเวรฯ กับตา มันหวังว่า ด้วยนิสัยของไอ้เยิ้ม คงจะทำให้มันโด่งดังใน ร้อย.บกฯ เพียงชั่วข้ามคืน!

หมู่เอ็ม เดินมายืนข้างฉัน สายตาแกมองออกไปยังที่ที่หมู่เมธ กำลังตะโกนโหวกเหวกใส่พลทหารใหม่อยู่

“ใช้ได้นี่หว่า ไอ้เมธ!”

“หมู่เป็นเพื่อนกับหมู่เมธ หรือครับ?”

“อืม... ใช่แล้ว เป็นเพื่อนตั้งแต่เรียนสมัยมัธยม พอจบมา ก็สอบได้นายสิบรุ่นเดียวกัน”

ถือเป็นความรู้ใหม่เกี่ยวกับไอ้หน้าหล่อ... หมู่เอ็มยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“แล้วมึงสองคน สนิทกันหรือยัง?”

ฉันสะดุ้งกับคำถามแปลก ๆ นั้น “ทำไมถามอย่างนั้นละครับ?”

“อ้าว! ก็นึกว่าเป็นเหมือนกัน... ก็เลยน่าจะสนิทสนมกันได้เร็วนะสิวะ”

ฉันขมวดคิ้ว “ที่หมู่ว่า... เป็นเหมือนกัน นี่คือ...เป็นอะไรครับ? ผมไม่เข้าใจ”

“อ้าว!” แกอุทานออกมาเป็นครั้งที่สอง “นึกว่ามึงดูออกซะอีก...”

ฉันส่ายหน้า พลางกลั้นหายใจเพื่อรอฟังคำตอบที่เหมือนระเบิดเวลาซึ่งกำลังจะถูกปลดชนวนโดยหมู่เอ็ม

“ก็ไอ้เมธเนี่ย... มันก็เป็นเหมือนมึงนั่นแหละ เป็นตุ๊ดมาก่อน แล้วก็ไปสมัครเป็นทหาร จนมาเป็นนายสิบอยู่ค่ายเดียวกับหมู่นี่ไงละ !!!!”
...................................




Create Date : 08 มิถุนายน 2555
Last Update : 8 มิถุนายน 2555 16:21:07 น.
Counter : 362 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
 
All Blog