โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๓ ภ.ม. ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๓ ภ.ม. ภาคิโน


ปกติ ฉันมักจะไม่ใช้โทรศัพท์มือถือให้พลทหารใหม่ หรือเพื่อนกันเห็นเป็นอันขาด ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เพราะหนึ่งไม่อยากอวด สองคือ กลัวหายยิ่งนัก และสามคือ ฉันค่อนข้างหวง เนื่องจากโทรศัพท์ที่ฉันมีอยู่นั้น ราคาแพงและเป็นยี่ห้อที่นิยมใช้กันตามกระแสปัจจุบัน คุณแม่ของฉันซื้อให้เป็นของขวัญในวันที่ออกค่ายกลับบ้าน เป็นวันครบรอบ ๖ เดือนของการเป็นทหารเกณฑ์พอดี แม้จะมีเสียงคัดค้านจากผู้เป็นพ่อ แต่คุณแม่ท่านก็ไม่ยอมฟังคำทัดทานนั้น ท่านอยากให้รางวัลแก่ลูกสุดที่รักที่ในที่สุดก็มีเรื่องให้ท่านภาคภูมิใจ ฉันเลยแอบปลื้มใจไม่ได้

ฉันเปิดสมุดเบอร์โทรศัพท์ใน บก.หน่วยฝึกฯ ที่จ่ากองบันทึกไว้ เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของครูฝึกฯ และผู้ช่วย ครูฝึกฯ ทุกนาย เผื่อติดต่อเวลาฉุกเฉิน ฉันรีบไล่รายชื่อ แล้วกดหมายเลขที่ต้องการเพื่อโทรฯ ออกทันที

เสียงตู๊ด! ดังอยู่ไม่กี่ครั้ง ก็มีเสียงอู้อี้ตามมา

“ฮัลโหล”

“หมู่เมธครับ นี่ผม พัฒนรัฐ เองนะครับ”

“ฮัลโหล ใครวะ?”

“พัฒนรัฐ ไงครับ”

“...”

“โธ่ หมู่เมธ พัทซี่ ไง?”

“เออ... กูรู้แล้ว เฮ้ย! แล้วมึงรู้เบอร์โทรฯ กูได้ไงวะเนี่ย?”

“ช่างมันเถอะหมู่...” ฉันตกใจเมื่อไอ้หน้าหล่อตะคอกกลับมา รีบตั้งสติ “หมู่ครับ มีพลทหารใหม่ป่วยคนหนึ่งอ่ะครับ จ่าวิทย์ให้ผมโทรฯ หาหมู่เผื่อถามเรื่องยา”

“อาการมันเป็นยังไงวะ?”

“เอ้อ... ปวดท้อง นอนบิดไปมา” ฉันอึกอัก ในที่สุดจึงหลุดปากออกมา “แต่ผมว่า... มันลงแดงมากกว่า”

ปลายสายเงียบสนิท หรือว่ามันหลับคาโทรศัพท์ไปแล้ววะ...

“ฮัลโหล! ยังอยู่ไหม?”

“อยู่ดิวะ” มันตะคอกใส่อีกรอบ หูฉันแทบหนวก “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันลงแดง...?”

“โธ่! หมู่... สมัยผมฝึกทหารใหม่ คืนแรก ผมก็มีเพื่อนอาการทำนองอยากยาอย่างนี้กันหลายคนแหละครับ”

“งั้นก็แก้ไม่ยาก ให้มันนอนพักเฉย ๆ นั่นแหละ แล้วก็ดื่มน้ำเย็น ๆ ด้วยน่าจะพอช่วยได้”

ฉันวางสายเมื่อได้คำตอบ จ่าวิทย์เข้ามาที่ห้อง บก.ร้อยฯ พอดี มองดูเชฟน้อย ที่กำลังเฝ้า จอน ที่นอนอยู่บนเบาะผ้าใบกลางห้อง ดวงตามันปิดสนิท เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

“พัฒนรัฐ หมู่เมธว่าไงบ้าง?”

“ตรงกับที่ผมคิดแหละครับ...” ฉันพูดยังไม่ทันจบ เชฟน้อย ก็สวนขึ้นมาทันที

“อยากยาชัวร์ ใช่ป่ะ?”

“อื้อ”

“หมู่เมธ บอกหรือเปล่าว่าต้องให้ยาอะไรบ้าง?” คราวนี้ จ่าวิทย์ เป็นฝ่ายถาม

“แกบอกว่า ให้ดื่มน้ำก็น่าจะพอช่วยได้”

“มันหลับไปแล้วนี่หว่า... ขืนเอาน้ำกรอกปากมันตอนนี้ ก็สำลักตายกันพอดี” เชฟน้อย ออกความเห็น

“งั้นก็ปล่อยให้มันนอนนี่แหละ เดี๋ยวถ้ามันดีขึ้นแล้วก็ค่อยพาขึ้นไปบนโรงนอน” จ่าวิทย์ถอนหายใจ “คืนนี้คงมีอีกหลายคนแน่ ๆ ...น้อย ไปบอกผู้ช่วยครูฯ ทั้งหมดว่า คืนนี้เป็นคืนแรก หมั่นตื่นมาดูพลทหารใหม่บ่อย ๆ หน่อย มันต้องมีพวกที่เล่นยา แล้วมีอาการแบบนี้อยู่อีก บางคนก็เดี๋ยวตื่นเดี๋ยวลุก เดี๋ยวนอนไม่หลับ ฝากให้ช่วยกันดู ๆ หน่อยแล้วกัน”

“ได้ครับ”

เชฟน้อยรับคำ ออกไปพร้อมกับจ่าวิทย์ที่ขอตัวไปอาบน้ำบ้าง เหลือเพียงฉันที่นั่งเฝ้าพลทหารใหม่อยู่เพียงลำพัง ...นึกย้อนไปถึงตอนที่ เชฟน้อย สบตาฉันตั้งแต่เราเข้าไปดูอาการ จอน แล้ว ...แสดงว่า เชฟน้อย คงรู้ดีเหมือนกับฉันแหละว่า อาการแบบนี้มันหมายถึงอะไร! เพราะจากประสบการณ์ที่รับการฝึกพลทหารใหม่ร่วมกันมา คืนแรกในโรงนอน ต่างมีเพื่อนพลทหารที่กระวนกระวาย กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ขออนุญาตผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหลายลงไปเข้าห้องน้ำ จนต้องเรียกว่า ฉี่บ่อยผิดปกติ บางนายก็ร้องครวญคราง

ฉันจำได้ว่า ครูสาม ยังสั่งให้ ไอ้เยิ้ม วิดพื้นกับลุกนั่ง เป็นร้อย ๆ ครั้ง เพื่อให้มันมีสติอยู่กับตัว พอเหงื่อขับออกเยอะ ๆ ร่างกายเริ่มล้า ทีนี้ มันก็เริ่มง่วงนอน นั่นแหละ... มันถึงได้กลับไปที่เตียงอย่างสบายใจ




ฉันแก้เซ็งกับการนั่งเฝ้าอาการพลทหารใหม่ขจร ด้วยการเล่นเกมไพ่ในคอมพิวเตอร์ เพื่อนพลทหารนายอื่น ก็แวะวนเวียนเข้ามาถามไถ่ประปราย น้ำ เล่าให้ฟังว่า มีพลทหารใหม่อยู่สองสามนายที่ขอไปเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ดูหน้าตาก็พอรู้ว่า “เล่นของ” มาแน่นอน ส่วน ชัย ก็กะว่า ถ้ามีเจอพลทหารใหม่นายที่ออกอาการมาก ๆ ก็คงต้องสั่งให้วิ่งรอบอาคาร โรงนอนสัก ๑๐ รอบซะละ จะได้ค่อยยังชั่วขึ้น

ฉันเหลียวดูนาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เห็นหน้าอกของ จอน กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ จึงปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้เวลานอนของฉันบ้างแล้ว....

ขณะที่กำลังเตรียมตัวอุ้มพลทหารใหม่กลับขึ้นไปนอนบนโรงนอน เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังกระชั้นขึ้น ตรงมา ยังประตู ห้อง บก.หน่วยฝึกฯ

ร่างผอมเล็กน้อย ผมตัดสั้นรองทรง ดวงตากลมโตบนใบหน้าอันขาวลอออันเริ่มคุ้นตาฉันดีนั้น หยุดอยู่ที่ประตู

“ผม พลทหารภูหิน ขออนุญาตเข้าไปครับ” เสียงนั้นเบาราวกับลมหวีดหวิว

“เข้ามาสิ” ฉันยังงุนงงกับการมาปรากฏตัวตอนเที่ยงคืนราวกับซินเดอเรลล่าตามหารองเท้าแก้วของมัน ท่วงท่าการเดิน ราวกับ บก.หน่วยฝึกฯ เป็นเวทีแสดงแบบเสื้อ ร่ำ ๆ ฉันอยากจะเอาเท้าเข้าไปสะกิดให้มันสะดุด ล้มสักนิด แต่ก็ยั้งไว้ทัน ไม่ได้กลัวว่ามันจะเอาไปฟ้องผู้เป็นลุง ซึ่งดำรงตำแหน่ง เสธ.กรมฯ หรอกนะ ดันทะลึ่งนึกถึงคำพูดของจ่าแหลมที่ว่า ...ดีใจด้วยนะ มึงได้น้องสาวคนใหม่แล้ว ...เป็นพี่น้องกันนี่หว่า... เท่านั้นแหละ เล่นเอาฉันทำไม่ลง!!!!

ภูหิน นั่งแหมะลงกับพื้นข้าง จอน ในขณะที่ฉันคุกเข่าอยู่อีกด้านหนึ่ง

“ครูจะทำอะไรนะครับ?” มันทำตาโตใฝ่รู้ และเหมือนกับจ้องจับผิดว่า ฉันกำลังจะรูดกางเกงพลทหารใหม่ที่นอนอยู่ตรงหน้าออก แล้วทำมิดีมิร้ายเสียกระนั้น

“ครูจะอุ้ม จอน กลับไปนอนที่เตียงข้างบน แล้วครูก็จะขึ้นไปนอนแล้วด้วย” ฉันคลี่คลายความใคร่รู้ของมัน “แล้วเราละ ลงมาทำอะไรข้างล่าง?”

เออ... นั่นดิ มันลงมาทำไมหว่า?

“ผมปวดฉี่ครับ” ดวงตากลมโตนั้นหรุบต่ำลง แว่วเสียงต่อมามีแววสะอื้น “ผมนอนไม่หลับอ่ะ ครูพัท”

เชี่ย!!!! มึงกำลังร้องไห้หรือนี่!?!?

และแล้ว ภูหินก็เริ่มละครฉากต่อไป ด้วยการอารัมภบท “มันผิดที่ผิดทาง ที่นอนก็แข็ง ร้อนอบอ้าวด้วยครับ”

ฉันเงียบ รอฟังคำต่อไปที่คิดว่าน่าจะเดาไม่ผิด

“ผมคิดถึง..........บ้าน ครับ”

“อ้อ เอ้อ...” อุทานแรกฉันถึงบางอ้อ อุทานที่สอง คือ ไม่รู้จะปลอบมันยังไงดี เจ้าตัวยังคงก้มหน้างุด

“ใหม่ ๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ เดี๋ยวอยู่ไปเรื่อย ๆ ก็ชินเอง” ฉันค่อยปลอบอย่างอ่อนโยน

ภูหินเงยหน้าขึ้น คราบน้ำตาจาง ๆ ในดวงตาที่จ้องมองฉันราวกับจะให้ทะลุถึงหัวใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้น เบาจนฉันต้องถามซ้ำ ภูหินถึงย้ำออกมาได้

“ผม...ว่าอะไรนะ?”

“แล้วครูพัทอยู่ได้ไงครับ?”

“ก็ต้องกินข้าวกินน้ำ แล้วก็หายใจด้วยครับ แค่นี้ก็อยู่ได้ละ”

ว่าเสร็จแล้วก็หัวเราะ กะใช้ความตลกมาเปลี่ยนบรรยากาศซึมเศร้า แต่กลายเป็นความคิดที่ผิด เพราะน้องสาวคนใหม่ของฉันกลับเงยหน้าขึ้นฉับพลัน ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เลยชักไม่แน่ใจว่า มันจะตบฉันที่ไปตอบกวน ๆ อย่างนั้นหรือเปล่า? จึงรีบพูดเข้าประเด็น

“ทำไมถึงถามอย่างนี้ละ?”

“ผมก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ครับ ครูก็จบปริญญาตรีเช่นเดียวกับผม โอกาสหางานทำก็มีมาก ทำไมถึงต้องมา จมปลักอยู่ที่นี่ด้วยครับ?”

จมปลักงั้นหรือ...???? แว่บหนึ่ง ฉันรู้สึกไม่พอใจที่ ภูหิน พูดถึงการรับใช้ชาติของฉันในแง่ลบขนาดนั้น เจ้านี่รู้ว่า.... ฉันทำเรื่องขอต่ออายุรับราชการทหาร เพราะฉันเล่าให้ฟังตอนแบ่งกลุ่มทำความรู้จักกัน เมื่อบ่ายที่ผ่านมา

แต่ก็จิตใจก็เย็นลงแทบจะในทันที เนื่องจากคิดขึ้นได้ว่า พลทหารที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ ยังเป็นพลทหารใหม่ที่เพิ่งเข้าค่ายทหารมาได้ไม่ถึง 12 ชั่วโมงดีนัก สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว จึงเป็นเพียงการสัมผัสโดยใช้ความคิดเห็นส่วนตัว ที่เกิดจากการ ได้ยินคำบอกเล่าหรือพบเจอจากสังคมภายนอก ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้จากสังคมของอยู่ร่วมกันในค่ายทหาร ด้วยตนเอง ดังนั้น จึงยังไม่เข้าใจชีวิตทหารเกณฑ์อย่างถ่องแท้มากนัก

ในที่สุด ฉันก็ยิ้มกว้าง มองลูกศิษย์ตรงหน้าอย่างเอ็นดู

“ครูว่า ครูหลงเสน่ห์ของการเป็นทหารเข้าให้แล้วละ”

ฉันขยายความต่อ

“อันที่จริง ครูก็อยู่ของครูไปเรื่อย ๆ ตอนเข้ามาฝึกช่วงแรกๆ ก็ยังไม่ชิน เพราะเพื่อนก็ยังใหม่ สิ่งแวดล้อมก็ใหม่ สังคมก็ใหม่ คิดถึงบ้านก็คิดถึง...” พอพูดถึงตอนนี้ มันทำท่าราวกับจะร้องไห้อีกครั้ง ...โอย ตูจะบ้าตาย ช่างเถอะ...

“ครูเคยดูซีรี่ส์หนังสงครามเรื่องหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการฝึกพลร่มเพื่อไปรบในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารนายหนึ่งที่ผ่านการฝึกและสงครามครั้งนั้น เล่าว่า การที่กลุ่มคนที่ประกอบไปด้วยคนจากต่างที่ ต่างถิ่น ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลับจำต้องฝึกฝนอย่างหนัก ร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบ เมื่อเห็นเพื่อนตกอยู่ในอันตรายก็รีบเข้าไปช่วยเหลือ ตรง กันข้าม ในขณะที่เราเกือบจะเอาตัวไม่รอด เพื่อนเหล่านั้นก็คอยปลอบโยนให้กำลังใจ ดังนั้น สถานการณ์จึงค่อย ๆ สร้างมิตรภาพระหว่างพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ”

“....เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ที่ครูได้ผ่านมา แม้ว่าครูจะไม่ได้ออกสนามรบเหมือนอย่างทหารในซีรี่ส์เรื่องนั้น แต่ว่าการฝึกทหารใหม่ก็หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของครูเหมือนกัน มันทำให้เราได้เรียนรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง เพื่อคนอื่น และเพื่อประเทศชาติ เรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วคนเราทุกคนย่อมแตกต่างกันแต่อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน แล้วก็เรียนรู้ว่า นอกจากจะหาเพื่อนแท้ได้จากข้างนอกนั่นแล้ว การผ่านประสบการณ์หนัก ๆ ในนี้มาด้วยกัน ก็ทำให้เราค้นพบเพื่อนแท้ได้เหมือนกัน... เป็นเพื่อนแท้ในยามยากไงละ นี่แหละ... เสน่ห์ของการเป็นทหารละ”

ภูหิน ทำหน้าแบบไม่อยากเชื่อ ฉันเลยยิ้มให้แบบจริงใจเสริมให้ไปเป็นการปิดท้าย

ฉันอุ้มพลทหารขจร ลุกขึ้น ภูหิน ถามเสียงค่อย “ครูยกไหวไหมครับ? ให้ผมช่วยไหม?”

“ไม่ต้องหรอก” ฉันรู้สึกกล้ามเนื้อส่วนลำแขนมันตึงเปรี๊ยะไปหมด คงเป็นผลมาจากการที่ไอ้หน้าหล่อมันสั่งให้ฉันวิดพื้นวันละเป็นร้อย ๆ ครั้ง เมื่อตอนฝึกผู้ช่วยครูฝึกฯ ก่อนหน้านี้ คงเป็นพระคุณอย่างสูงสินะ... “ไปเข้าห้องน้ำแล้วไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ก็อย่าลืมทำให้ดีที่สุดแล้วกัน”

“ทำอะไรครับ?” ผู้ถามพาซื่อ

“ทำหน้าที่พลทหารใหม่ไงละ... พรุ่งนี้ก็ต้องฝึกหนักแล้ว เราเป็นหัวหน้าหมู่ด้วยไม่ใช่หรือ? อย่าลืมสิ!”




ปี๊ด...!!!!

เสียงเป่านกหวีดปลุกให้ตื่นดังขึ้นทั่วโรงนอน พร้อมกันกับเสียงแตรในตอนเช้าที่ดังทั่วค่าย

“เก็บมุ้งเก็บเตียงให้เรียบร้อย ให้เวลา ๑๐ นาที”

เสียงพลทหารใหม่ลุกขึ้นเก็บที่นอนอย่างงัวเงีย น้ำ ซึ่งเป็นผู้ช่วยครูเวรฯ ตะโกนซ้ำอีกครั้ง

“เฮ้ย! ให้ทวนคำสั่งด้วย ๑๐ นาที”

“๑๐ นาที” พลทหารใหม่ขานรับเสียงหงอย ๆ

“ให้มันเข้มแข็งหน่อยสิวะ! ๑๐ นาที”

“๑๐ นาที” อันนี้ค่อยยังชั่ว

อันที่จริง ฉันตื่นก่อนตั้งนานแล้ว แอบปลุกนาฬิกาในมือถือเป็นระบบสั่นตั้งแต่ตอนตีห้า แล้วลุกไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างเงียบ ๆ อดไม่ได้ที่จะแอบมองเตียงของหมู่เมธซึ่งว่างเปล่า... นี่ตูเพ้ออะไรไปวะเนี่ย!?!?

แม้ว่าฉันจะนอนได้ไม่ถึง ๕ ชั่วโมงดี แต่ร่างกายกลับกระปรี้กระเปร่า คงเป็นผลมาจากการหลับลึกเนื่องจากเพลียมาตลอดทั้งวันของเมื่อวานนี้ ฉันตะโกนบอก ภูหิน พงศ์ ที พอล วิน เฒ่า และ จอน ซึ่งรายหลังสุดนี้ ฉันลอบชำเลืองดูแล้ว เห็นว่ายังปกติดีอยู่ จึงอนุญาตให้ลงไปรวมกับเขาที่ลานข้างล่างด้วย

ภูหิน ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงหัวเตียง ผ้าปูที่นอนหลุดลุ่ยแสดงถึงการนอนดิ้นตลอดทั้งคืน สีหน้าที่อิดโรย บ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าตัวไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน

“เอ้า หมวด ๒ หมู่ ๔ มาดูนี่ วิธีการเก็บเตียงที่ถูกต้อง” ฉันเดินไปสาธิตที่เตียงของ ภูหิน พลทหารใหม่หมู่อื่น ๆ ก็พลอยเข้ามาร่วมวงด้วย

การเก็บเตียงนอนพลทหารที่ถูกต้องคือ ต้องถอดมุ้งลงมาพับทบกันจนเป็นเหลือเป็นผืนขนาดเท่าหมอนหนุน แล้ววางทับลงบนหมอนหนุนซึ่งวางอยู่บนหัวเตียง ใช้ผ้าห่มสำลีซึ่งพับให้มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย คลุมทั้งหมอนและมุ้งไว้ ทั้งสามชิ้นนี้ต้องวางไม่ให้เกินระดับของขอบนอกของตู้เหล็กล็อกเกอร์พลทหารที่วางติดข้างเตียง เมื่อแลดูจาก หัวแถวของเตียงในโรงนอน จะเห็นการเก็บเตียงที่เป็นระเบียบเรียบร้อย อยู่ในระดับเสมอกันอย่างสวยงาม ส่วนผ้าปูที่นอนที่หลุดลุ่ย ฉันมัดปมตรงมุมแต่ละข้าง ก่อนจะปูเตียงแล้วใช้เข็มกลัดตรึงข้างใต้ฟูก การทำแบบนี้ ช่วยทำให้ผ้าปูที่นอนนั้นตึงอยู่เสมอ

“เหลือเวลา ๕ นาที” น้ำตะโกนคำสั่งอีกรอบ

“๕ นาที” พลทหารใหม่ทวนคำสั่ง

“เปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงขาสั้นลายพรางตัวใหม่ ที่แจกให้ก่อนนอนด้วยเน้อ” หล่ออิทร้องบอก “รองเท้าผ้าใบยังไม่มี ให้ใส่รองเท้าแตะไปก่อนสำหรับวันนี้ เสร็จแล้วลงไปเลย”

“หยิบแปรงฟัน ยาสีฟัน ใส่ในขัน เอาลงไปที่ห้องเรียน แล้ววิ่งไปรวมที่ลานรวมพลฯ ...เหลือเวลาอีก ๓ นาที” คราวนี้ น้ำ บอกบ้าง

เสียงยืนตรงเท้าชิด อรุณสวัสดิ์ครับ! ดังมาจากทุกมุมของโรงนอนที่มีผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหลายรวมทั้งฉันยืนอยู่ เป็นการทำความเคารพในตอนเช้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำความเคารพผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น แม้ว่าสิ่งเหล่านี้เพิ่งสอนกันเมื่อวานตอนเย็น แต่พลทหารใหม่หลายนายเรียนรู้ได้เร็ว อย่างน้อยก็ต้องให้มีระเบียบวินัยมากกว่านี้ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยได้ ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก หรือไม่ก็รอหลังพิธีเปิดหน่วยฝึกทหารใหม่ ที่จะเพิ่มระดับการฝึกให้มีความเข้มข้นมากขึ้น

พิธีเปิดหน่วยฝึกทหารใหม่ ของกรมรบพิเศษที่ ๕ ประจำผลัดนี้ กำหนดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ ๔ พฤศจิกายน (สมัยรุ่นฉันนั้น พิธีเปิดหน่วยฝึกฯ มีขึ้นในวันที่ ๙ พฤศจิกายน) ผู้ฝึกฯ จ่ากองในฐานะผู้ช่วยครูฝึกฯ และบรรดาครูฝึกฯ ต่างประชุมกันเครียดในช่วงเย็น หลังจากส่งพลทหารใหม่ขึ้นบนโรงนอนแล้ว เพราะพิธีเปิดหน่วยฝึกทหารใหม่นี้ นอกจากจะมีการรวมพลจากทุกกองพัน เพื่อมาร่วมงานแล้ว ยังเป็นงานใหญ่ที่มีการบันทึกภาพเผยแพร่ออกผ่านสื่อต่าง ๆ ของค่าย ย่อมหมายถึงการเป็นหน้าเป็นตาของกรมรบพิเศษที่ ๕ ด้วย ดังนั้น จึงต้องพยายามฝึกการเข้าแถว ท่าเคารพบุคคลมือเปล่า และระเบียบวินัยเบื้องต้นให้พร้อม จ่าสิบเอกสถาพร ในฐานะจ่าหน่วยฝึกฯ ต้องเร่งให้ที่ร้านเสื้อหลังค่าย แก้ชุดฝึกของพลทหารใหม่ที่ยังใส่ได้ไม่พอดีให้พร้อมภายในวันมะรืนนี้ด้วย

ฉันช่วยเพื่อน ๆ ผู้ช่วยครูฝึกฯ เร่งต้อนให้พลทหารใหม่ลงไปตั้งแถวเพื่อออกกำลังกายที่ลานรวมพลหน้าหน่วยฝึกฯ โดยมี จ่าวิทย์ และ น้ำ เป็นผู้นำฝึก เพราะพวกเราตกลงกันว่า หากใครเข้าเวรผู้ช่วยครูฝึกฯ ต้องเป็น ผู้นำฝึก พีที (PT) หรือการฝึกออกกำลังกายร่วมกับ ครูฝึกฯ ตรงหน้าแถวตอนด้วย เพื่อน ๆ ที่เหลือ ก็จะได้คอยดู พลทหารใหม่นายอื่นอยู่รายรอบ ยิ่งถ้ากรณีที่ ครูฝึกฯ ไม่พร้อมนำออกกำลังกาย ก็ให้ผู้ช่วยครูฝึกฯ ที่เข้าเวรฯ ในวันนั้นทำการแทนไปโดยปริยาย

ฉันหับประตูโรงนอนเป็นนายสุดท้าย เมื่อลงบันไดมา ยังทันเห็นผู้ฝึกฯ คือ ร้อยเอกดำรง หอบที่นอนปิกนิก ผ้านวม และหมอนลงจากท้ายรถกระบะของแก

“สวัสดีครับ” ฉันทำความเคารพ

“เป็นไง พัท หลับสบายไหม?”

“หลับสบายดีครับ สถานการณ์เป็นปกติครับ” ฉันถือโอกาสรายงาน

แกคงเห็นแววตาสงสัย จึงเฉลย “ผู้กองว่าจะมานอนค้างที่ บก.หน่วยฝึกฯ ตั้งแต่คืนวันนี้เป็นต้นไปนะ จะได้ช่วยดูแลพวกเราตอนกลางคืน อีกอย่าง... ช่วงหนึ่งทุ่ม ผู้กองต้องอบรมพลทหารใหม่อยู่แล้ว ก็เลยมานอนเสียที่นี่แหละ จะได้ไม่ต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่บ้านกับหน่วยฝึกฯ”

แกยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี ฉันคิดว่า เหตุผลที่ผู้กองอยากมานอนค้าง น่าจะเป็นอย่างประเด็นแรกมากกว่า เพราะบ้านของแกก็ไม่ได้ไกลจากค่ายเท่าไรนัก




การออกกำลังแบบทหาร หรือ พีที นี้ จะแตกต่างจากการออกกำลังกายโดยปกติทั่วไป กล่าวคือ จะออกกำลังกายแบบเป็นยก ตัวอย่างเช่น สั่งให้กระโดดตบ ๒๐ ยก ทหารก็จะทวนคำสั่ง ๒๐ ยก แล้วกระโดดตบ นับ ๑ – ๒ – ๓ ๑, ๑ – ๒ – ๓ ๒, ๑ – ๒ – ๓ ๓ ... ไปเรื่อย ๆ จนครบ ๒๐ ยก เบ็ดเสร็จเราจะกระโดดตบแบบปกติอยู่ ๖๐ ครั้งการนับก็ต้องนับพร้อมกัน ดัง ๆ แล้วเล่นพร้อมเพรียงกันด้วย (บางท่าอาจจะต้องนับถึง ๔ จึงจะครบยก ส่วนบางท่าอาจจะนับครั้งไปเลย ไม่มีนับยก ซึ่งเป็นส่วนน้อยมาก ๆ)

การลงโทษก็เหมือนกัน ถ้าสั่งทำโทษพลทหารใหม่ให้วิดพื้น หรือลุกนั่ง จะมีสร้อยแถมท้ายมา สร้อยที่ว่า คือการนับแบบใช้คำพูด แทนการนับเป็นครั้งต่อออกไปเมื่อครบจำนวนนับแล้ว เช่น วิดพื้น ๑๐ ครั้ง เมื่อนับถึง ๑๐ ก็ต้องทำอีก ๔ ครั้ง แล้วนับคำพูดว่า “หน่วยฝึก – ทหารใหม่ – กล้าตาย – เอี๊ย” เวลาอยู่กองพันก็เหมือนกัน ก็ต้องนับสร้อยแถมท้ายว่า “รบพิเศษ - พันสาม – กล้าตาย – เอี๊ย”!

พลทหารใหม่ยังไม่คุ้นกับการออกกำลังกายแบบทหาร จึงนับผิด ๆ ถูก ๆ ก็มี บางรายยังงุนงงต่อท่าบางท่า ทำไม่ทันก็มี ผู้ช่วยครูฝึกฯ จึงต้องคอยช่วยชี้แนะตลอดเวลา เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ฉันลอบชำเลืองดูภูหิน ซึ่งอยู่หน้าสุดของหมู่ ในฐานะหัวหน้าหมู่ ๔ หมวด ๒ ก็เห็นทำได้ดีพอสมควร

ถัดจากรายการออกกำลังกาย ก็ต้องเป็นรายการวิ่งรอบสนามพลร่ม ได้ยิน น้ำ มากระซิบบอก ฉัน กับ ปิ๊ก ให้ช่วยดูข้างท้ายแถวด้วยเผื่อมีพลทหารเป็นลม จ่าวิทย์ บอก ยุทธ ให้ไปขับรถกระบะของหน่วยฝึกฯ คอยตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อใครเป็นอะไรจะได้เอาใส่รถมาปฐมพยาบาลที่หน่วยฝึกฯ ได้อย่างทันท่วงที

ขณะที่ จ่าวิทย์ กำลังสั่งตั้งแถวบนถนนนั้น ยุทธ ซึ่งเดินตรงไปที่รถกระบะได้ไม่ถึงนาที ก็วิ่งแจ้นกลับมาหาพวกเราอย่างหน้าตาตื่น

“มึงเป็นอะไรวะ?” ชัย เอ่ยปากถาม

“กูไม่ต้องขับแล้ว มีคนขับให้ละ” มันแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “พัทซี่ แฟนมึงให้มาตาม บอกให้ไปนั่งรถกระบะด้วยกัน”

“ใครวะ?” ฉันเองยังสงสัย ในขณะที่เพื่อนที่เหลือกำลังรอฟัง

“อุวะ!” ยุทธ ส่ายศีรษะ “ก็ไอ้เชี่ยหมู่เมธของมึงไง! มันบอกให้มาเรียกมึงขึ้นรถไปด้วยกัน ไอ้เชี่ยนั่นยังบอกว่า กลัวมึงจะเป็นลมถ้าจะไปวิ่งกับเขา ทีนี้ชัดเจนหรือยังว่า...? ทำไมกูถึงบอกมึงว่า แฟนมึงให้มาตามไงละ!”

..............................



Create Date : 25 พฤษภาคม 2555
Last Update : 25 พฤษภาคม 2555 8:08:00 น.
Counter : 874 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
พฤษภาคม 2555

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog