โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๘ ภ.ม.ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๘

ภ.ม.ภาคิโน


นับว่าเป็นโชคดีที่งานเลี้ยงวันผลัดปลดตรงกับวันเสาร์พอดี ส่วนวันที่ ๓๑ ตุลาคมซึ่งเป็นวันทำพิธีปลดประจำการ ณ ลานหน้ากองบัญชาการกรมรบพิเศษที่ ๕ นั้น ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งก็แปลว่า ฉันต้องไปรับพลทหารใหม่ที่หนองฮ่อในวันจันทร์ เป็นฤกษ์งามยามดีเสียนี่กระไร แถมยังโชคดีที่จ่ากอง หรือผู้ช่วยผู้ฝึกฯ อนุญาตให้ฉัน ไปได้ แต่แกก็ไม่วายกำชับว่า อย่ากลับดึกมาก เพราะเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ แล้ว จะทำตัวเหลวไหลไม่ได้ หากมีเรื่องเสื่อมเสียก็ย่อมเสียชื่อมาถึงหน่วยฝึกฯ ด้วย ข้อนี้ฉันรับคำเป็นมั่นเหมาะ

ฉันแต่งกายชุดครึ่งท่อน บอกเพื่อน ๆ พลทหารที่หน่วยฝึกฯ ว่า จะไปช่วยงานที่ บก.กรมฯ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากหน่วยฝึกฯ ใช้เวลาเดินเท้าเพียง ๕ นาที แต่แท้ที่จริงแล้ว ฉันแอบนัดไอ้เยิ้มให้มันมารับตรงสี่แยกของถนนก่อนจะถึง บก.กรมฯ ห่างจาก บก.หน่วยฝึกฯ ประมาณ ๑๐๐ เมตร ด้วยความตื่นเต้น แถมไม่อยากให้เป็นที่สงสัย เลยลงทุนเดินออกไปรอตั้งแต่หกโมงครึ่ง แอบหลบ ๆ อยู่แถวหลังพุ่มไม้ มีรถกระบะแล่นผ่านไปคันหนึ่ง หลังจากนั้นคือความว่างเปล่าและเงียบสงัด เห็นเพียงแสงไฟจากอาคารต่าง ๆ ส่องสว่างอยู่ในความมืด

เสียงรถจักรยานยนต์ดังเข้ามาใกล้ เอ๊ะ!... หรือว่าไอ้เยิ้มมันจะนึกครึ้มมารับเช้ากว่าที่นัดไว้ ฉันกระหยิ่มในใจ แสงไฟจากรถจักรยานยนต์ส่องถนนเป็นทาง แต่ เอ!... ทำไมมันมาจากถนนที่ผ่านหน้าหน่วยฝึกทหารใหม่ละ?

และแล้ว... เมื่อรถจักรยานยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้า ความสงสัยของฉันก็มลายหายไป ร่างสูงโปร่งคุ้นตาเปิดหน้าหมวกกันน็อกออก หมู่เมธนั่นเอง!!!!

“เอ้า ขึ้นรถ”

ฉันยืนตะลึงอยู่กับที่ ไอ้หน้าหล่อคงเห็นฉันนิ่งราวกับถูกมนต์สะกดอย่างนั้น จึงเรียกดังขึ้นกว่าเดิม

“เฮ้ย! อีตุ๊ด ขึ้นรถเด๊ะ”

“เอ้อ... หมู่จะไปไหนครับ?”

“ก็มึงจะไปไหนละ?”

ฉันอึกอัก อ้อ! เข้าใจละ แกคงนึกว่าฉันไป บก.กรมฯ แน่เลย ใช่สิ! ฉันบอกเพื่อนพลทหารนายอื่นไว้อย่างนั้นนี่นา “ไม่เป็นไรครับ ผมกะจะเดินไปพอดี”

“มึงจะเดินไปงานเลี้ยงผลัดปลดมึงเนี่ยนะ ตั้ง รพศ.๕ พัน.๓ เนี่ยนะว่ะ” เสียงหมู่เมธเกือบกลายเป็นตะเบ็งใส่ แต่สุดท้ายแกก็หัวเราะออกมาจนได้ “มึงจะหลอกกันไปถึงไหนเนี่ยหา...! หมู่เอ็มมาชวนหมู่ไปงานผลัดปลดเมื่ออาทิตย์ก่อนเหมือนกัน แล้วเมื่อกี้หมู่เอ็มก็โทรฯ มาบอกแล้วว่า ให้หมู่รับมึงไปด้วย ทางโน้นเขาไม่มารับแล้ว ทีนี้จะขึ้นรถมาซ้อนท้ายหมู่ได้ยังวะ?”

ฉันได้สติขยับตัวได้ในที่สุด ก่อนจะขึ้นควบท้ายรถจักรยานยนต์ หมู่เมธสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างเร่งรีบ ดีที่ฉันเอามือจับเบาะรถไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นหัวคงคะมำลงไปกับพื้นถนนเป็นแน่

“แล้วหมู่รู้ได้ไงว่าผมอยู่มารอตรงนั้นละครับ?”

“หมู่เห็นมึงเดินออกมาแว่บ ๆ เลยคิดว่าน่าจะออกมาข้างนอกแล้ว เลยขี่รถตามมาดู”

“แล้วหมู่รู้จักหมู่เอ็มด้วยหรือครับ?” ฉันตะโกนถามแข่งกับเสียงรถที่ดังสนั่น

“รู้จักดีเลยละ หมู่เคยไปฝึกจู่โจมรุ่นเดียวกับหมู่เอ็ม”

“อ๋อ”

ฉันตระหนักดีว่า ถนนที่เชื่อมระหว่างหน่วยบังคับบัญชาของกรมฯ และพื้นที่ส่วนกลางของค่าย กับกองพันต่าง ๆ นั้นห่างกันมาก แต่หมู่เมธก็ขี่รถจักรยานยนต์ของแกไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แล้วความเงียบระหว่างเรา ทั้งสองก็แข่งขันกับความเงียบสงัดของพงหญ้า และป่ารกชัฏตามเนินเขาข้างทาง

กลิ่นไอดินและใบไม้ลอยโชยมากระทบจมูกสลับกับกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวของผู้ที่ขี่รถอยู่ในตอนนี้ กว่าจะรู้สึกตัวอีกที รถจักรยานยนต์ก็จอดสนิทหน้าอาคาร บก.ร้อยฯ รพศ.๕ พัน.๒ เป็นที่เรียบร้อย

ฉันได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากห้องโถงชั้นล่างของอาคาร ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นห้องจัดเลี้ยงอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะยาวสองแถว แถวแรกเป็นของนายทหารและนายสิบ ส่วนแถวที่สองเป็นของพลทหารผลัดปลด และพลทหารกองประจำการ รพศ.๕ พัน.๒ เมื่อฉันโผล่หน้าเข้าไปเท่านั้นแหละ เพื่อน ๆ พลทหารต่างตะโกนเรียกดังลั่น

“เฮ้ย ไอ้พัทซี่!”

ไอ้เยิ้มกุลีกุจอลุกให้ฉันนั่งข้าง เอ ซึ่งเจ้าตัวหันมายิ้มกว้าง

“นึกว่าไม่มาแล้วซะอีก”

“แล้วพี่พัทซี่มายังไงครับ?” รุ่นน้องนายหนึ่งถามขึ้น

“เออ นั่นสิ นายมายังไงนะ?”

“อ๋อ มากับหมู่ที่เขาเป็นครูฝึกที่หน่วยฝึกฯ อ่ะ เห็นว่าหมู่เอ็มชวนแกไว้นะ” ฉันตอบคำถามของพลทหารรุ่นน้องและ เอ

วงกินเลี้ยงสนุกสนานครื้นเครง เหมือนว่ารุ่นพี่รุ่นน้องจะกลมเกลียวและกลมกลืนอยู่ภายใต้คำว่า พลทหาร ไปชั่วขณะหนึ่ง ฉันหันหน้าคุยกับครูสามที พี่ยูที และรุ่นพี่ผลัดปลดที่แทบไม่เคยคุยกับฉันก็ได้มาคุยกันในวันก่อน จะปลดประจำการ จู่ ๆ พี่ยูก็พูดแทรกขึ้นกลางวงว่า

“จะว่าไปแล้ว กูก็ยังไม่อยากปลดออกไปเลยวะ ออกไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไร อยู่ในนี้สบายกว่า เงินเดือนก็มีใช้ ข้าวก็มีกิน มึงว่าไหม?”

“แต่ที่แน่ ๆ ถ้ากูปลดออกไป กูจะกลับไปขอเมียกูแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวซักที” รุ่นพี่ผลัดปลดนายหนึ่งเอ่ย

“มึงแน่ใจนะว่า เมียมึงยังไม่ตกเป็นของคนอื่น” ครูสามถามยิ้ม ๆ

“เฮ้ย! มึงพูดอย่างนี้มาต่อยกับกูดีกว่า” รุ่นพี่คนนั้นสวนทันควัน แต่ก็หัวเราะลั่น
“ที่แน่ ๆ กูมีเรื่องเสียใจอยู่เรื่องหนึ่งวะ”

“เรื่องอะไรวะ” ครูสามสงสัยพี่ยู

“ก็เรื่องที่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กูก็คงไม่ได้เจอพวกมึงทุกวันแล้วนะสิวะ”

ฮิ้ว!!!!!!

ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งคึกคัก เนื่องจากงานนี้ผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลได้ แต่ก็ตามที่กองพันจัดไว้ให้อย่างจำกัดเท่านั้น ครูสามชงเหล้าให้ฉันดื่มเรื่อย ๆ จนเริ่มรู้สึกมึน ๆ พี่ยูยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างหลัง สะกิดฉันถามว่าอยากลองไหม? ฉันตอบไปว่า ไม่จำเป็นต้องลองหรอก เพราะสูบได้ เลยสร้างความตื่นตะลึงให้เพื่อน พลทหาร รุ่นพี่และรุ่นน้องยิ่งนัก เนื่องจากไม่เคยเห็นฉันสูบมาก่อน จนต้องอธิบายว่า สูบได้แต่ไม่ติด

พี่ยูก้มตัวลงมายื่นบุหรี่ที่สูบไปแล้วครึ่งหนึ่งมาให้ ใบหน้าแดงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลนั้นลอยอยู่ห่างจาก ฉันไม่ถึงหนึ่งฟุต ฉันรับบุหรี่มาสูบ พ่นควันออกปากและจมูกไปรอบหนึ่งแล้ว พี่ยูก็ถามขึ้นอย่างครึ้ม ๆ

“พัทซี่... พี่ไม่เคยจูบผู้ชายมาก่อนด้วยกันเลยวะ?”

ฉันขำ “แล้วไงละ?”

ทันใดนั้นเอง ริมฝีปากของแกก็มาประทับบนริมฝีปากของฉันอย่างรวดเร็ว

“เอ้อ...” ฉันรู้สึกพิกล ยอมรับว่า นี่ไม่ใช่จูบแรกในชีวิต จึงไม่ได้ตื่นเต้นหรือเขินอาย แต่อาจจะด้วยไม่เคยคิดมาก่อนว่า พี่ยูช่างกล้าทำได้ถึงขนาดนี้ แถมยังแปลกใจที่ไม่ใครสังเกตเห็นเราทั้งคู่เลย

นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสองทุ่มสี่สิบห้า ฉันอยากกลับไปที่หน่วยฝึกฯ ตอนสามทุ่ม เหลือบเห็นหมู่เมธยังอยู่ในวงนายสิบเพื่อน ๆ แก รวมทั้งหมู่เอ็มด้วย จึงกระซิบบอกครูสาม ครูพยักหน้าให้

“เดี๋ยวครูไปส่งเอง”

ฉันกล่าวอำลารุ่นพี่พลทหารผลัดปลด บางคนเข้ามากอดฉันด้วยความอาลัย เสน่หา หรือสุราเมรัยไม่ทราบได้ ฉันโบกมือให้พี่ยูด้วย แกยิ้มซื่อ ๆ ส่งตอบมาแทนคำพูดนับพัน

“แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการนะครับ” ฉันปิดท้าย

ครูสามขี่จักรยานยนต์ของหมู่เอ็มเพื่อมาส่งฉันที่หน่วยฝึกฯ อากาศกำลังเย็นสบาย มองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า ในพื้นที่ที่ห่างไกลจากแสงสีของตัวเมืองเช่นนี้ ย่อมทำให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน

“ดาวสวยดีนะ พัทซี่ มึงว่าไหม?”

“นั่นดิครับ” ฉันเห็นด้วย แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเพราะความอยากรู้ “ถ้าปลดไปแล้ว ครูจะไปทำอะไรต่อครับ?”

“ครูจะเปิดอู่ซ่อมรถ” แม้ว่าจะเห็นครูดื่มไปเยอะเหมือนกัน แต่น้ำเสียงยังคงเข้มชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง “บ้านครูอยู่ติดถนน ครูเก็บเงินเดือนพลทหารไว้บ้าง พอเป็นทุนเปิดร้านเล็ก ๆ ได้”

“แล้วครูซ่อมเป็นหรือครับ?”

“ครูจบช่างยนต์มานี่นา?”

“ผมไม่รู้มาก่อนนะเนี่ย!” ฉันอุทานลั่น เล่นเอาแกหัวเราะดังด้วย

“ทำไมละ หน้าตาครูไม่ให้เป็นช่างหรือ?”

“ไม่รู้สิครับ” ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี “คือ แบบว่า.. ตลอดเวลาที่ครูสอนผม ผมเข้าใจว่าครูน่าจะ... เอ้อ...”

“ครูน่าจะจบสูง หรือจบอะไรที่มันเข้าท่ากว่านี้ใช่ไหมละ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย” ฉันโอด

“เฮ้ย... พูดมาเถอะ ครูรับได้ ไหน ๆ ก็จะปลดออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะได้เจอกันหรือเปล่า?”

“บางเวลาที่ครูสอนผม การพูดการจา มันเหมือนครูจบสูง ๆ มีประสบการณ์ดี ๆ พวกเราหลายคนยังเชื่อสนิทเลยว่า ครูน่าจะเป็นครูมาก่อน แบบครูดอยอะไรอย่างนี้”

“แสดงว่าหน้าครูเหมือนคนบนดอยงั้นสิ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย” ฉันโอดซ้ำ “พวกเราคิดว่าครูเป็นผู้ช่วยครูฝึกที่ดีที่สุดในรุ่นเรานะครับ เผลอ ๆ อาจจะรุ่นก่อนหน้านี้ซะด้วยซ้ำไป”

ฉันขอครูสามจอดรถจักรยานยนต์ตรงสี่แยกที่หมู่เมธมารับฉันเมื่อตอนเย็น เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าทหารในหน่วยฝึกฯ

“ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก มาส่งแค่นี้เอง เรื่องเล็ก” ครูสามขยับจะสตาร์ทรถ

“...ผมขอบคุณ ที่ครูสามช่วยสอนผมมาตลอดต่างหากครับ” คำพูดของฉันทำเอาครูชะงัก

ลมเย็นพัดโชยกิ่งไม้แถวนั้นเอนอ่อนอยู่ไหว ๆ แทนที่ฉันจะรู้สึกหนาว หากกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาฉับพลัน เมื่อเห็นแววตาของครูสามที่จ้องมองมาอย่างอ่อนโยน

“จริง ๆ ครูก็ต้องขอบคุณพวกเราเหมือนกัน ที่ช่วยสอนให้ครูเป็นผู้ช่วยครูฝึกที่ดี ครูประทับใจนะที่ได้เป็นผู้ช่วยครูฝึกรุ่นพวกเรา แถมยังคิดว่าครูเป็นผู้ช่วยครูฝึกที่ดีที่สุดอีกต่างหาก...” ครูสามกลืนน้ำลายลงคอ

“พัทซี่ ถึงแม้ครูไม่ได้จบสูงมาอย่างที่คิด หรือเป็นอะไรอย่างที่คาดเอาไว้ แต่ครูก็เป็นครูของพวกเราได้ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะว่าครูไม่ได้ให้ความสำคัญว่า ครูเองจบอะไร เป็นอย่างไร หรือมาจากไหน แต่ครูให้ความสำคัญกับหน้าที่มากกว่า หน้าที่ของครูคือสอนพวกเราให้เป็นพลทหารที่ดี ครูก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เราทุกคนเกิดมามีหน้าที่อยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่า ทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุดแล้วหรือยัง? นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด”

ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าครูสามสักพัก ก่อนจะยืนตรงเท้าชิด “ขอบคุณครับ ผมจะจำเอาไว้”

“ครูไปละนะ โชคดีละ”

“โชคดีเช่นกันครับ ครูสาม แล้วค่อยเจอกันนะครับ”

ฉันเดินกลับขึ้นมาหลับสนิทบนโรงนอน ....สิบกว่าปีผ่านไป ฉันก็ยังไม่เคยเจอครูสามอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา...




ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก อาจเป็นเพราะเสียงเตียงเหล็กดังมาจากด้านในโรงนอน เพื่อนพลทหารสักนาย คงพลิกตัว ครั้นเงี่ยหูฟังอีกทีหนึ่ง กลับเป็นเสียงประตูโรงนอนซึ่งทำจากเหล็กอีกเช่นกัน งับลงดัง กึง!

คราวนี้เสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่ตรงหัวนอนฉันพอดี เงาดำทะมึนหนึ่งค้ำศีรษะฉัน พอหรี่ตากลับแลเห็นหุ่นสูงโปร่งนั้น ดูคลับคล้ายคลับคลา ถ้าหากเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ...แม้ว่าแกจะย้ายมานอนติดเตียงกัน ถึงกระนั้น แกก็ต้องอ้อมไปอีกทางหนึ่งทุกครั้ง หรือว่าถ้าไม่ใช่แก... ชะรอยฉันจะโดนผีอำซะแล้วกระมัง?

ลมจากพัดลมบนเพดานหอบกลิ่นอะไรบางอย่างลอยมาแตะจมูก ทำให้ฉันนอนตัวแข็งทื่อทันที นั่นไม่ใช่กลิ่นธูปกลิ่นสางที่ไหนหรอกนะ... แต่มันเป็นกลิ่นเหล้าต่างหากละ!

อ๊ะ!... อย่าบอกนะว่า.... เงาทะมึนที่เห็นนี่ คือ หมู่เมธ!

เนื่องจากฉันนอนตะแคงหันตัวออกสู่ด้านที่เงาทะมึนนั้นกำลังยืนอยู่พอดี เลยได้เห็นอาการแปลก ๆ แบบ คนเมากำลังประคับประคองตัวเองอย่างเต็มที่ ฉันกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อให้มองเห็นเวลากลางคืนได้ชัดยิ่งขึ้น จึงแน่ใจว่า เงาที่อยู่ตรงนี้หาใช่ใครอื่นไม่ หากแต่เป็นหมู่เมธ ที่คงกำลังเพิ่งกลับจากงานเลี้ยงผลัดปลด แกแต่งกายชุด ครึ่งท่อนอยู่แล้ว ตอนนี้กำลังถอดเสื้อยืดออกเขวี้ยงทิ้งลงกับพื้นข้างตัว

ผิวหนังสีขาวนวลเรืองรองอยู่ในความมืด กล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีทำให้แกมีหุ่นที่สมส่วนจริง ๆ ในขณะที่ฉันเผลอไผลไปกับการพินิจหุ่นผู้ชายอยู่นั้น หมู่เมธ ก็ดันทะลึ่งเปิดมุ้งเข้ามานอนบนเตียง!

เฮ้ย! ฉันอุทานขึ้นมาในใจ

พูดไม่ออก... เมื่อเหลือบมองไอ้หน้าหล่อที่ฉันเคยตกหลุมรักตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ก่อนจะจากกันเพราะว่ามันเป็นฝันร้าย หมู่เมธนอนคดตัวอยู่บนเตียงในลักษณะเอาศีรษะของตนหนุนหน้าขาฉันต่างหมอน

ฉันยังคงนอน แข็งทื่อด้วยความตกใจอีกครั้ง เพราะถ้าจะหวีดร้องออกมา ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาบ้าง เลยทำเงียบ ๆ ไป พยายามขยับขาที่เริ่มเกร็งด้วยความเจ็บ หมู่เมธเอามือตบหน้าแข้งฉันเบา ๆ

“อย่าขยับเด๊ะ พัทซี่ หมู่ขอนอนแป้ปนึงนะ”

แล้วแกก็หลับกรนครอกไปจริง ๆ

เวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย !?!?!?

..............................................



Create Date : 21 เมษายน 2555
Last Update : 21 เมษายน 2555 13:29:57 น.
Counter : 456 Pageviews.

1 comments
  
She is so you!!
โดย: Nhoom IP: 115.87.239.134 วันที่: 22 เมษายน 2555 เวลา:19:36:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
เมษายน 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog