โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๖ ภ.ม. ภาิคิโน
...รบพิเศษนามนี้เด่นดีนัก รู้จักกันทุกแห่งหน....

เสียงเพลงจากผู้ช่วยครูฝึกทหารใหม่ทั้ง ๘ นาย ดังกึกก้องไปทั่วสนามโดดร่มในตอนเช้าของวันที่ ๒ ของการฝึกเป็นผู้ช่วยครูฝึกทหารใหม่ สนามโดดร่มนี้เป็นสนามหญ้ากว้างขนาดไพศาลตรงบริเวณทางเข้ากรมฯ พอดี พวกเราวิ่งไปตามถนน จังหวะเท้าที่ลงกระทบพื้นเข้ากันกับเสียงเพลงที่ร้องปลุกใจ อันที่จริง ฉันชอบการวิ่งไปด้วยร้องเพลงไปด้วย เพราะนอกจากจะทำให้เรามีสมาธิ การหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสร้างผลดีต่อปอดและกระบังลมแล้ว ยังช่วยให้คลายความคิดที่ว่า ...เมื่อไหร่มันจะวิ่งครบรอบสักที?

เมื่อเพลงจบลง บรรยากาศก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ได้ยินเสียงรองเท้าคอมแบทกระทบกับพื้นถนนดัง ตุบ ๆ! ดังกึกก้องไปทั่วสนามแทน

“เลิกแซวซะทีเถอะ ขอร้องละ” ฉันกระซิบบอกน้ำ และเชฟน้อย ในขณะที่ ผู้ฝึกฯ ผู้ช่วยผู้ฝึก และหมู่เมธ วิ่งนำหน้าแถว ส่วนฉันวิ่งอยู่ท้ายสุด ไม่ใช่เพราะกลัวจะเป็นลมเหมือนตอนฝึกทหารใหม่ช่วงแรก ๆ หรอก ฉันผ่านจุดนั้นมานานมากแล้ว เพียงแต่ชอบที่อากาศมันถ่ายเทกว่าจุดอื่นในแถว แถมเสียงเพลงจากคนข้างหลังก็ไม่ต้องกระทบประสาทหูเป็นทอด ๆ ถ้าเจออย่างนั้นแล้ว รู้สึกกดดันยังไงชอบกลแหะ...

“แซวเรื่องอะไรว่ะ?”

“แซวว่าฉันกับหมู่เมธเป็นแฟนกันอ่ะดิ” ฉันหายใจหอบ แต่ไม่วายกระซิบตอบ เพราะมั่นใจว่านายทหารทั้งหลายไม่ได้ยิน “มันทุเรศว่ะ”

“เฮ้ย! แต่สายตาของหมู่เวลามองพัทซี่ มันดูแปลก ๆ นะ” น้ำค้าน เพิ่งรู้ว่าผู้ชายบางคนช่างสังเกตบุคลิกคนอื่นได้อย่างละเอียดลออดีแท้

“เราไม่ชอบให้แกมาเรียกว่า อีตุ๊ด” ฉันพูดประโยคนี้ซ้ำกับที่เคยบอก กร ไปแล้วหนหนึ่ง

“หมู่คงแอบมีใจให้มั้ง? ไม่งั้น ไม่ย้ายมานอนเตียงติดกันหรอก” เชฟน้อยทนฟังมาตั้งนาน คงอดไม่ได้บ้าง เล่นเอาฉันส่ายหัว

“ว่าไปนั่น” ฉันสงบปากในขณะที่ขบวนวิ่งเลี้ยวเข้าสู่ลานรวมพลหน้าหน่วยฝึกทหารใหม่ ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ สั่งจัดแถว ผู้ฝึกฯ คือ ร้อยเอกดำรง ถือโอกาสแจ้งบทเรียนในวันนี้แก่คณะหน่วยฝึกฯ ทั้งหมด เสร็จแล้วจึงหันไปทางผู้ช่วยผู้ฝึกฯ

“ขอผู้ช่วยผู้ฝึกฯ กรุณาแบ่งหมู่ผู้ช่วยครูฝึกฯ ด้วยครับ”

จ่ากองเดินออกมาจากแถว หันหน้าเข้าหาพวกเรา “เมื่อครูขานชื่อแล้ว ให้สลับที่กันตามตำแหน่ง”

“เราจะแบ่งทหารใหม่ออกเป็น ๒ หมวด หมวดละ ๔ หมู่... หมวดที่ ๑ หมู่ที่ ๑ ผู้ช่วยครูฝึกฯ พลทหารชัยพล...”

น้ำสลับตำแหน่งกับ หล่ออิท ที่ยืนอยู่ตำแหน่งแรก สรุปว่า หมวดที่ ๑ มีผู้ช่วยครูฝึกฯ ได้แก่ น้ำ ยุทธ ชัย และเชฟน้อย ส่วนหมวดที่ ๒ มีผู้ช่วยครูฝึกฯ ได้แก่ หล่ออิท กร ปิ๊ก แล้วก็ฉัน เป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ นายสุดท้ายพอดี

“ส่วนครูฝึกฯ จะจับคู่ ๒ หมู่ ต่อครูฝึก ๑ นาย... หมวดที่ ๑ หมู่ ๑ กับหมู่ ๒ ครูฝึก คือ จ่าสิบเอกประวัติ”

จ่าสิบเอกประวัติ หรือจ่าหวัด จาก รพศ.๕ พัน.๑ อายุราว ๔๐ ต้น ๆ ดูอารมณ์ดี สังเกตจากสีหน้าที่มีรอยยิ้มตลอดเวลา

หมู่ที่ ๓ กับหมู่ที่ ๔ ของหมวดที่ ๑ ครูฝึก คือ จ่าสิบเอกคมกฤช หรือจ่าคม จาก รพศ.๕ พัน.๑ เช่นกัน แกมีรูปร่างเตี้ยล่ำ ยืนเท้าสะเอวมองพวกเราอยู่ แกดูเป็นคนเงียบขรึม เอาเข้าพอสนิทกันจริง ๆ ในภายหลังแล้ว กลับคุยสนุก แต่สำหรับการฝึกทหารใหม่นั้น แกโหดใช่ย่อยทีเดียว

เหลือครูฝึกอยู่ ๒ นาย คือ หมู่เมธ กับ จ่าสิบเอกวรวิทย์ จาก รพศ.๕ พัน.๓ ของฉันนี่เอง ฉันคุ้นหน้าว่าแกน่าจะอยู่กองร้อยที่ ๒ หรือ ๓ อะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้อยู่กองร้อยกองบังคับการซึ่งเป็นกองร้อยที่พลทหารสังกัดอยู่ จ่าสิบเอกวรวิทย์ หรือจ่าวิทย์ ยิ้มให้กับฉันเล็กน้อย ฉันภาวนาให้แกมาเป็นครูฝึกของหมู่ปิ๊กกับฉัน แต่สุดท้าย ฉันเนี่ยแหละที่แทบจะอ้าปากค้าง เมื่อจ่ากองประกาศให้จ่าวิทย์ เป็นครูฝึกของหมู่ที่ ๑ กับหมู่ที่ ๒ ของหมวดที่ ๒ นั่นก็แสดงว่า...

“สิบเอกสุเมธ เสนารักษ์ประจำหน่วยฝึกฯ เป็นครูฝึกของหมู่ ๓ กับหมู่ ๔”
หมู่เมธ โผล่หน้าขาว ๆ มาจากหลังแถวเพื่อจ้องมาที่ฉันโดยเฉพาะ ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพิ่งรู้ว่าแกเรียนจบหลักสูตรเสนารักษ์ด้วย โถ... คิดว่าโก้เต็มประดาละสิ!

ผู้ฝึกสั่งเลิก ฉันกำลังขยับจะเดินออกจากแถว ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา ก็มายืนขวางทางเอาไว้

“มึงวิดพื้นสักสามสิบเด๊ะ”

ฉันทวนคำสั่งพร้อมปฏิบัติตาม เสร็จแล้วก็ตั้งท่าค้างไว้ จนกระทั่งแกบอกให้ยืนขึ้น มองไปด้านหลังแก เพื่อนพลทหารกำลังจับกลุ่มมองมาอย่างสนอกสนใจ

“เมื่อกี้ตอนวิ่ง มึงคุยในแถว” หมู่เมธบอกสั้น ๆ “ขออีกยี่สิบเด๊ะ”

ฉันทวนคำสั่งแล้วลงวิดพื้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่รอให้แกเชิญยืนขึ้นหรอก ฉันลุกขึ้นยืนมาประจันหน้ากับแก เริ่มรู้สึกว่าใบหน้าแดงสุกเป็นลูกตำลึง

“หนหลังนี่ ไม่ได้ผิดอะไร แต่ถือเป็นการต้อนรับ ในฐานะที่เราจะได้ร่วมฝึกในกลุ่มเดียวกัน” ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นมีแววเคร่งเครียด เสียงที่พูดดังพอได้ยินไปถึงพวกเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกเช้า หลังเลิกแถว มึงต้องวิดพื้นต่อหน้าหมู่ วันละ ๕๐ ครั้ง หลังเป่านอนตอนสามทุ่ม ก็ให้วิดพื้นตรงข้างเตียงอีก ๕๐ ครั้ง ถึงจะเข้านอนได้ รับทราบ!”

“รับทราบครับ” ฉันรับคำอย่างเฝื่อน ๆ

“ดี” หมู่เมธสำทับเพิ่มเติม “ไหน ๆ ก็จะร่วมหัวจมท้ายกันอยู่ละ มึงก็อย่ามัวแต่อ่อนแอ ชอบเอาแต่ใจ ยังมีงานรออยู่อีกมาก ถือว่าช่วย ๆ กันหน่อยละกัน”

แกยิ้มมุมปากนิด ๆ ทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ส่วนฉันเดินไปสมทบกับพวกเพื่อน ๆ ที่รั้งรออยู่ หล่ออิทตบบ่าฉันเป็นเชิงปลอบใจ แต่ยุทธกลับปากไวกว่าเพื่อน “ร่วมหัวจมท้าย..!?!? อุวะ พูดยังกะจะแต่งงานเกี่ยวดองเป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นแหละ”

“อืม มึงอยากเอาเองไหมล่ะ?” ฉันย้อนเข้าให้ มีผลทำให้เกิดเสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อน ยุทธทำหน้าเบ้

“อื้อ! กูไม่อยากกินถั่วดำ”

“อ้าว ไหนมึงเคยบอกว่า มึงได้น้องแฟนมึงแล้วไง?”

ความครื้นเครงตามมา ในขณะที่คนโดนล้อทำหน้าเบ้คูณสอง ...เรื่องมีอยู่ว่า ตอนวันเยี่ยมญาติพลทหารใหม่นั้น แฟนของยุทธมาเยี่ยมเจ้าตัวด้วย เธอเป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารัก จนใคร ๆ ก็ต่างพากันเหลียวมอง ในขณะที่น้องสาวแฟนก็ใช่ย่อย เจ้าหล่อนเป็นกะเทยสวยพริ้งตั้งแต่หัวจดเท้า หุ่นดี ขาว ผมยาว แต่งหน้าจิ้มลิ้ม ทั้งครูฝึกฯ ผู้ช่วยครูฝึกฯ ต่างมองกันตาค้างเพราะคิดว่าเป็นผู้หญิงจริง ๆ พอมีคนไปถามมันว่า ตกลงได้ทั้งพี่ทั้งน้องแล้วหรือยัง? มันดันเสือกตอบว่า รักพี่เสียดายน้องวะ... จะไม่ให้แซวกันทั้งรุ่นได้ไงละ!

“มึงก็พูดไป กูก็แค่พูดเล่น บอกตั้งหลายครั้งหลายหนก็เอามาแซวอยู่ได้”

“แล้วถ้าได้จริง มึงจะเอาไหม?” เชฟน้อยแหย่

“อุวะ ตกลงมึงจะยัดเยียดความเป็นเกย์ให้กูอยู่นั่นแหละใช่ไหม? ไอ้เชฟกระทะรั่ว”

“ทั้งหมด ตรง!”

พลทหารทุกนายหุบปากสนิททันที พลางยืนตรงทำความเคารพตามคำสั่งของ ปิ๊ก ซึ่งเดินไปถึงอาคารก่อนใคร ตรงหน้าอาคารนั้นเอง รถกระบะคุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่

ตอนฝึกพลทหารใหม่นั้น พวกเราทุกนายต่างได้รับการสั่งสอนให้จดจำรถประจำตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกรมฯ เพื่อจะได้สั่งทำความเคารพได้ถูกต้อง การสั่งทำความเคารพนี้ ใครที่เห็นรถหรือตัวผู้บังคับบัญชาเป็นนายแรกจะเป็นผู้สั่ง ไม่สำคัญว่าต้องเป็นหัวหน้าตอน หรือหัวหน้าหมวดเสมอไป ดังนั้น หากความจำของฉันไม่ผิดเพี้ยน ผู้ที่กำลังเปิดประตูลงจากรถ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เสนาธิการกรมฯ

เสนาธิการ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เสธ. เป็นตำแหน่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกรมฯ ที่รองลงมาจาก ผู้บังคับการ และรองผู้บังคับการกรมฯ บุคลิกของเสธ. ท่านนี้ แม้ว่าจะศีรษะทีขาวโพลนไปด้วยหงอกแล้ว แต่สุขภาพร่างกายยังดูแข็งแรง ได้ยินมาว่า ท่านยังอายุสี่สิบปลาย ๆ เท่านั้น นับว่ามีอนาคตในราชการทหารอีกยาวไกล

ครั้งแรกที่ได้พบกับเสนาธิการท่านนี้ คือ ตอนที่พวกเรานั่งฟังอบรมทุกวันพุธ ช่วงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม เมื่อครั้งตอนอยู่หน่วยฝึกทหารใหม่ จริง ๆ จะเป็นชั่วโมงสำหรับผู้ฝึกในการอบรมจริยธรรมของพวกเรา แต่ท่านก็อุตส่าห์เชิญผู้หลักผู้ใหญ่ในค่ายหลายท่านมาเป็นผู้อบรมด้วย วันที่พวกเราพบกับเสนาธิการท่านนี้ ทำให้รู้สึกขนลุกไปตาม ๆ กัน ด้วยบุคลิกอันห้าวหาญสมชายชาติทหาร น้ำเสียงที่ท่านเปล่งออกมาชัดถ้อยชัดคำ แววตาครุ่นคิดราวกับผู้ที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนไล่มองใบหน้าพลทหารใหม่แต่ละนายนั้น ทำเอาสะดุ้งกันเป็นแถว ๆ สมกับคำว่า น่าเคารพเกรงขามเสียนี่กระไร

“แกมาทำไมวะ?” เชฟน้อยเปรยขึ้น หลังจาก เสธ. เดินเข้า บก.หน่วยฝึกฯ ไป

“ไม่รู้เหมือนกันวะ มึงลองไปเคาะกระจกรถ เสธ. ถามดูสิ” ยุทธได้ทีเลยขอเอาคืนบ้าง

“ไอ้เชี่ย กูถามมึงดี ๆ เสือกย้อน เดี๋ยวเถอะ...” เชฟน้อยไม่สบอารมณ์

“มึงจะทำไม จะเอากระทะกับตะหลิวมาตีหัวกูเหรอ ไอ้เชฟ! หนอย.... กูไม่กลัวมึงหรอก กระทะมึงรั่ว ครอบหัวกูไม่ได้หรอก ต้องหัวไอ้ชัยโน่น หัวมันโต ครอบไม่ลงหรอก” ยุทธหัวเราะเอิ้กอ้าก! ก่อนจะร้องอ๋อย! ...ลูบหัวป้อย ๆ ไม่ใช่เพราะกระทะของเชฟน้อยหรอก...

มือของชัย ตบกระโหลกมันเข้าให้อย่างจัง!




ตามหลักสูตรการฝึกทหารใหม่ พวกเราที่ฝึกเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ ต้องได้รับการทบทวนหลักสูตรวิชาต่าง ๆ ไม่ต่างจากพลทหารใหม่ด้วยเช่นกัน วิชาต่าง ๆ เหล่านั้น ได้แก่ ท่าบุคคลแบบมือเปล่า ท่าบุคคลประกอบอาวุธ วิชาแผนที่และเข็มทิศ วิชาอาวุธศึกษา วิชาป้อมสนาม วิชาปฐมพยาบาล วิชาติดต่อสื่อสาร วิชาฝึกบุคคลทำการรบ วิชาการลาดตระเวน ฯลฯ หลังจากผ่านไปสองสัปดาห์ ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ได้เรียกประชุมหน่วยฝึกฯ เพื่อแบ่งหน้าที่กันว่า ครูฝึกฯ ท่านไหนรับผิดชอบหัวข้อใด และกระจายงานให้ผู้ช่วยครูฝึกฯ ช่วยดูแลด้วย พร้อมทั้งวางแผนในการรับพลทหารใหม่ซึ่งมีกำหนดเข้าประจำกรมฯ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

“เรื่องเงินเดือนพลทหาร กับรายงานกำลังพลอื่น ๆ นั้น ให้ไอ้พัทมันช่วยพี่สถาพรแล้วกันนะครับ มันเคยทำตอนอยู่ บก.ร้อยฯ อยู่แล้ว แล้วก็... รวมถึงเรื่องที่เราจะเอาเงินค่าเบี้ยเลี้ยงไปซื้อเป็นขนมมาแจกพลทหารใหม่ตอนกลางคืนนั้น ก็ให้มันช่วยจ่าทำบัญชีรายรับรายจ่ายด้วยละกันครับ” จ่ากองในฐานะผู้ช่วยผู้ฝึกฯ แจกแจงหน้าที่

“ไงเรา จะไหวไหม?” จ่าสิบเอกสถาพร ซึ่งเป็นจ่าหน่วยฝึก ถามพลางยิ้มให้

“ไหวครับ” ฉันรับคำอย่างหนักแน่น ไอ้หน้าหล่อที่เสือกมานั่งประชุมตรงกันข้ามกัน สวนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ตามประสาคนปากไม่อยู่สุข

“โถ งานหมูแค่นี้เองจ่า ไม่ไหวก็บ้าแล้ว”

ฉันนั่งเงียบ แต่ในใจอยากต่อยหมัดเข้าที่ปากสักทีหนึ่ง มันจะได้รู้ว่า ที่สั่งให้ฉันวิดพื้นรวมวันละ ๑๐๐ ครั้ง และเพิ่มอีกเป็นรวมวันละ ๑๖๐ ครั้งในสัปดาห์ต่อมานั้น ช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อท่อนแขนและมือของฉันมากเพียงใด!

จ่ากองนั่งไล่รายวิชาที่จะขอผู้ช่วยครูฝึกฯ มาช่วยงาน สรุปว่า ฉันยังได้รับผิดชอบการเตรียมการสอนวิชาแผนที่และเข็มทิศร่วมกับจ่าสิบเอกคมกฤชอีกด้วย เนื่องจากวิชานี้ซึ่งเป็นวิชาที่ยากที่สุดในบรรดาวิชาต่าง ๆ ของหลักสูตรการฝึกทหารใหม่ และถือเป็นหัวใจสำคัญของวิชาอื่น ๆ โดยเฉพาะการลาดตระเวนตอนกลางคืน และการฝึกบุคคลทำการรบ นัยว่าถ้าอ่านแผนที่ไม่เป็น ดูเข็มทิศไม่ได้ ก็ไม่ต้องเคลื่อนย้ายกำลังพลไปไหน ตายกับตายลูกเดียว...

แถมตอนสมัยเรียน ฉันอ่านแผนที่และเข็มทิศได้เก่งที่สุดในห้อง แม้แต่ตอนฝึกภาคสนามก็ตาม ฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้อ่านแผนที่และเข็มทิศให้กับเพื่อนพลทหารทั้งรุ่น ดังนั้น จึงแทบไม่แปลกใจ ที่เพื่อนพลทหารในที่ประชุมจะพร้อมใจกันยกวิชานี้ให้ฉันรับผิดชอบไปโดยปริยาย

“แล้ววิชาปฐมพยาบาลของผมละครับ จะให้ใครช่วยดี?” สิบเอกสุเมธคนปากเก่งของเราเอ่ยขึ้น ในขณะที่วิชาอื่น ๆ ต่างแบ่งสรรความรับผิดชอบไปหมดแล้ว เช่น น้ำ กับยุทธ ได้ช่วยจ่ากองในวิชาอาวุธศึกษา ส่วน กร ช่วยจ่าสิบเอกวรวิทย์ในวิชาสื่อสาร เป็นต้น

“เอ้า หมู่อยากเลือกใครละ?” จ่าสิบเอกประวัติ หรือจ่าหวัดถาม

“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากได้คนที่จะพอจำทฤษฎีต่าง ๆ ได้บ้าง จะได้ไม่เสียเวลาฝึกทบทวนมาก”

...จดจำทฤษฎีต่าง ๆ ได้บ้าง... เชี่ย!!!!... ฉันสังหรณ์ใจอย่างประหลาด อย่าบอกนะว่า...

“ผมว่า พัทซี่น่าจะพอช่วยผมได้ครับ”

“กูว่าแล้ว!” ยุทธอุทานออกมา หล่ออิทซึ่งนั่งใกล้กันเอาศอกถองมันไว้ได้ทัน

“มึงว่าอะไรนะ?” โชคดีไป ไอ้หน้าหล่อไม่ได้ยิน

“เออ... ผม... ผมจะเสนอชื่อผมพอดีเลยครับ” ความหัวไวของมัน ทำเอาฉันเห็นหล่ออิท กร และชัย ถอนหายใจแบบโล่งอก

“กูไม่เอามึงหรอก ไอ้หลอดยุทธ” คำพูดนี้มีผลทำให้คนถูกเรียกชื่อ ทำหน้าเหวอ

“งั้นก็ตามนั้น พัท เอ็งช่วยหมู่เขาหน่อยแล้วกัน” จ่ากองสรุป “มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ วันที่ ๑ พฤศจิกายนนี้ ที่จะต้องไปรับตัวพลทหารใหม่ที่หนองฮ่อนั้น ผมจะแบ่งออกเป็นสองชุด ใช้รถยีเอ็มซี ๒ คัน ผู้ฝึกฯ ท่านประสานไว้กับหมวดยานยนต์ของกรมฯ แล้ว ชุดแรกจะให้หมู่เมธไปกับจ่ากองที่แต่ละกองพันจะส่งมาเพื่อให้ไปรับลงทะเบียนกำลังพลที่โน่น พร้อมกับผู้ช่วยครูฝึกฯ อีก ๒ นาย ส่วนชุดที่สอง จะขอวิทย์ กับผู้ช่วยครูฝึกฯ อีก ๒ นาย ไว้คอยเก็บตกพลทหารใหม่ที่มาถึงช้า อย่างพวกที่บ้านอยู่ไกล ๆ เช่น ลำพูน”

“แบ่งเลยไหมว่าจะเอาใครไป ยังไง? จะได้ไม่เสียเวลา” จ่าคมเสนอ

“พี่ต้องรอลงทะเบียนที่นี่ แต่อยากให้มีคนไปประสานไว้ที่โน่นคนหนึ่ง เอาพัทไปนายหนึ่งได้ไหม?” จ่าสิบเอกสถาพรออกความเห็น

“ดีครับ” จ่ากองพยักหน้า “ผมก็เห็นควรว่า น่าจะต้องให้ไอ้พัทไป แต่คงให้ไปกับชุดแรก แล้วกลับมาพร้อมกับชุดหลังแล้วกัน จะได้มีคนประสานงานตลอดเวลา พัท... เอ็งรับทราบ?”

“รับทราบครับ” ฉันตอบจ่ากอง

“เอาคนตัวใหญ่ ๆ ไว้ที่นี่ดีกว่า เผื่อได้ช่วยยกของโน่นนี่” จ่ากองตัดสินใจ “ปิ๊ก ชัย กับพัท ไปกับหมู่เมธ ชุดแรกเลย ตอนจะกลับให้ไอ่พัทอยู่ต่อรอกลับมาพร้อมชุดที่สอง ชุดที่สองนี่ เอา.... น้อย ไปกับ จ่าวิทย์ นะ ที่เหลือช่วยงานหน่วยฝึกฯ อยู่ตรงนี้ทั้งหมดแล้วกัน คงจะวุ่นวายพอดู”

ฉันเหลือบเห็นปิ๊กยิ้มยิงฟันขาวตามนิสัย จ่ากองสั่งเลิกประชุม ครูฝึกฯ บางนายที่ยังติดพัน ก็ยืนคุยต่อกับผู้ช่วยครูฝึกฯ ที่จะมาช่วยงานของตนอยู่บ้าง ฉันเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อจะไปห้องน้ำ ไอ้รูปหล่อหน้าขาว ปราดเข้ามาอย่างจงใจ

“เฮ้ย... บ่ายนี้มีฝึกวิชาปฐมพยาบาลพอดี มึงก็เตรียมตัวไว้เลยละกัน”

หมู่เมธเดินย่องแย่งจากไป ยุทธโผล่จากไหนไม่ทราบ มากระซิบข้างหูฉัน

“พัทซี่ มึงเกลียดหมู่นั้นมากไหม?”

“อือ... ทำไมหรือ?”

“ถ้าวันหลังมึงอยากให้กูช่วยแก้แค้น มึงบอกนะ กูจะร่วมด้วย” ยุทธคำราม “กูโคตรแค้น... หน้าตากูออกจะหล่อขนาดนี้ เสือกมาเรียกกูว่า ไอ้หลอดยุทธ เซ็งชิบหาย”

ฉันนึกไม่ออกว่า ระหว่างแสดงอาการสงสารที่มันโดนเรียกเป็นไอ้หลอด หรืออาการสมเพชที่มันคิดว่า หน้าตาตัวเองหล่อขนาดนี้ อย่างไหนถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่ากัน เฮ้อ!!!!

.....................................




Create Date : 10 เมษายน 2555
Last Update : 10 เมษายน 2555 21:15:27 น.
Counter : 584 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
เมษายน 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog