โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๐ ภ.ม. ภาิคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๐ ภ.ม.ภาคิโน

ฉันรับรู้ได้ถึงพลังเกลียดชังของเพื่อนพลทหารใหม่ทั้งหมด พุ่งตรงมายังภูหินอย่างชัดเจน พลางเหลียวมองจ่ากอง ซึ่งแกยังคงรักษาสีหน้าเพชฌฆาตหน้าหยกไว้ได้อย่างแนบเนียบ ภาวนาอย่าให้แกสั่งลงโทษพลทหารทั้งกองเพราะเข้าแถวช้ากว่าที่กำหนดเวลาไว้ ไม่อย่างนั้น มันคงเป็นตราบาปภูหินไปตลอดการฝึกนี้

แต่ระเบียบวินัย ก็เป็นสิ่งที่ทหารทุกคนให้ความสำคัญสูงสุด

จ่ากองเป่านกหวีด

“ถึงแม้ว่าเราจะเจอธงหน่วยฝึกฯ แล้ว” จ่ากองเหลือบดู บะหนุน หัวหน้าตอนพลทหารใหม่ ที่ถือธงหน่วยฝึกฯ ไว้แน่นราวกับจะกลัวมันหายไปอีกครั้ง “แต่ว่าเราไม่สามารถมาเข้าแถวได้ภายในเวลาที่กำหนด ดังนั้น ครูคงต้องลงโทษพวกเราอีกครั้ง”
ฉันกลั้นลมหายใจไว้แน่น เพื่อฟังประโยคต่อไป
“คืนนี้ ครูขอสั่งให้งดของว่างรอบดึกของพวกเรา”

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลทหารใหม่หลายนายก็แอบโล่งใจเช่นกัน

“ถึงอย่างไรก็ดี ครูขอให้พวกเราทุกคนจดจำเหตุการณ์ในคืนนี้เอาไว้ จำไว้เป็นบทเรียนว่า เราอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ ต้องสามัคคีกัน ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพลทหาร และรับผิดชอบต่อหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วย อย่าให้ธงหายอีก รักษามันไว้ให้ดีเท่าชีวิต ถ้าธงผืนเท่านี้ยังรักษาไว้ไม่ได้ อีกหน่อยลูกเมีย พ่อแม่ ครอบครัว หรือแม้กระทั่งผืนแผ่นดินไทย ก็คงหวังอะไรจากพวกเราไม่ได้เลยสักนิดเดียว”

เพชฌฆาตหน้าหยกสวมบทบาทอีกอันหนึ่ง คือ การเป็นนักเทศน์ที่ดี เพราะแม้แต่ฉันยังซาบซึ้งใจ...

“ตอนนี้ เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง ให้เข้าห้องเรียน ตั้งแถวสวดมนต์ แล้วขึ้นโรงนอน รับทราบ”

“ทราบ!” พลทหารใหม่ขานรับพร้อมเพรียง

“เลิกแถว!”




สามทุ่มกว่า หลังจากอาบน้ำทำธุระประจำวันเสร็จแล้ว ฉันมานั่งคัดจดหมายอยู่ในห้อง บก.ร้อยฯ เพื่อแยกเป็นหมวดหมู่ รอเวลาเพื่อน ๆ ผู้ช่วยครูฝึกฯ มาอ่าน ส่วนครูฝึกฯ ทั้งหลายกลับบ้านไปหมดแล้ว รวมทั้งหมู่เมธด้วย ยกเว้น จ่าวิทย์ซึ่งเข้าเวรฯ คืนนี้ สำหรับผู้ฝึกฯ ขอตัวกลับไปนอนที่บ้านของท่านช่วงสุดสัปดาห์ และแม้ว่าพรุ่งนี้ เป็นวันเสาร์ แต่ก็ยังคงฝึกตามปกติ

เชฟน้อย กับ กร ช่วยกันหิ้วตะกร้าใบใหญ่ มีน้ำสีเหลืองใสบรรจุขวดพลาสติก มาวางข้าง ๆ โต๊ะทำงานฉันในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ

“อะไรเนี่ย?” ฉันงง

“น้ำเก็กฮวยไง” น้ำ ซึ่งเดินตามมาทีหลังพูดขึ้น “ก็ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ สั่งงด ไม่มีใครกินมันก็จะบูดนะสิวะ หน่วยฝึกฯเรามีตู้เย็นที่ไหนกันละ”

“อย่าบอกนะว่า เราต้องช่วยกันกินให้หมดนี่เลยหรือ?” ฉันชักไม่แน่ใจ

“๗๐ ขวดเชียวนะโว้ย จ่าไม่กิน กูถามมาแล้ว” กร หมายถึงจ่าวิทย์

เชฟน้อยนับนิ้วคำนวณ “ตกคนละ ๙ ขวด พัทซี่เป็นผู้หญิง เอาไปน้อยหน่อย ๗ ขวดพอไหม?”

“กูขออย่างมากไม่เกิน ๒ ขวดได้ไหม? ไม่อย่างนั้น ได้ลุกฉี่ทั้งคืนไม่ไหวหรอก” ฉันผ่อนผัน

“ระวังฉี่ออกมาเป็นน้ำเก็กฮวยเน้อ เพื่อน ๆ” หล่ออิท ซึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับยุทธ ได้ยินเข้าพอดีเลยอดแซวไม่ได้

“หรือฉี่มึงไม่เหลืองเหมือนน้ำเก็กฮวยวะ” ชัย เดินเข้ามาเป็นนายสุดท้าย พลางปิดประตูห้อง บก.หน่วยฝึกฯ แน่นสนิท เพราะเกรงเสียงในห้องจะเล็ดรอดออกไปถึงหูพลทหารใหม่ที่เข้าเวรฯ ประจำธงหน่วยฝึกฯ อยู่หน้าอาคารหน่วยฝึกฯ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งจุด จากเดิมที่มีการเข้าเวรฯ หน้าโรงนอนเพียงจุดเดียว

“สงสัยกูต้องกินเยอะหน่อยวะ” ยุทธ ครวญตาเยิ้ม เล่นเอา น้ำ สงสัย

“ทำไมวะ?”

“แก้ช้ำใจไงวะ มึงไม่เคยได้ยินสรรพคุณมันหรือวะ?”

“ไม่เคยวะ กูไม่ได้รู้มากเหมือนมึง” น้ำ หมั่นไส้

“แล้วมึงช้ำใจเรื่องอะไรวะ?” กร สงสัย

“ก็พัทซี่ คนที่กูหมายปองไงวะ” ยุทธ แสร้งทำหน้าบีบน้ำตา “เขาไปมีคนใหม่แล้ว เขาไปชอบหมู่เมธซะแล้ว ได้กันถึงไหนแล้วก็ไม่รู้วะ ฮือ ๆ ....”

“สาด........!” ฉันโมโหเล็ก ๆ “อยากโดนเหมือน ไอ้ชา วันนั้นไหม?”

ยุทธ เอามือกุมเป้ากางเกงตัวเองไว้ฉับพลัน “ครูก๊าบ! ... ผมกลัวแล้วก๊าบ! ...”

“เพื่อนกันขนาดไหนวะ...? วันนี้มึงกลับบ้านไปเอาเอกสาร ยังมีคนไปรับเข้ามาถึงในค่ายแหนะ...”

“น้อย ๆ หน่อย” ฉันทำเสียงแข็งใส่ เชฟน้อย “กูกับหมู่เมธเป็นเพื่อนกันเฉย ๆ”

ยุทธ กับ เชฟน้อย หันมามองหน้ากัน แล้วเอ่ยขึ้นเสียงดังพร้อมกันราวกับนัดไว้

“เหรอ !?!?”

“เชี่ย!” ฉันโบกมือให้พวกมันหยุดเล่นกันซะที “มาอ่านจดหมายได้แล้ว เสร็จเร็วก็จะได้นอนเร็ว ไหนจะต้องช่วยกันกินน้ำเก็กฮวยนี่อีก”





ฉันค่อยคลี่จดหมายทั้ง ๗ ฉบับของพลทหารใหม่ลูกหมู่ฉันออกอ่าน ข้อความในนั้นแทบจะคล้ายกัน คือบอกเล่าเรื่องราวของหน่วยฝึกฯ อย่างเช่น ที เขียนเล่าเลยว่า กิจกรรมในหนึ่งวันมีอะไรบ้าง และฝากให้พ่อกับแม่ ช่วยดูแลน้องชาย ซึ่งกำลังใกล้สอบปลายภาค และอย่าลืมให้อาหารสุนัขทั้งสองตัว ที่ชื่อ โอ้ กับ ม่อน ด้วย

ส่วน วิน หรือพลทหารมาวิน ซึ่งเป็นลูกหลานชาวไทยภูเขานั้น อุตส่าห์ลงทุนเขียนแผนที่การเดินทางมายังค่ายกรมรบพิเศษที่ ๕ เลยทีเดียว ส่วนเจ้าพงศ์ ลายมือในจดหมายอ่านยากเป็นที่สุด ฉันพยายามแกะลายแทง ถึงได้รู้ว่า มันเขียนขอให้ที่บ้านเอากับข้าวที่มันชอบ คือ น้ำพริกแดง ผักนึ่ง พร้อมหมูทอดชิ้นโต ๆ มาด้วยในวันพบญาติ มันบอกว่า ของกินที่โรงสูทกรรมไม่ค่อยถูกปาก

ที่น่าประทับใจก็คือ ซุป หรือเฒ่า เขียนถึงภรรยาอย่างหวานหยดย้อย และกำชับให้เลี้ยงดูลูกเป็นอย่างดี ฉันเพิ่งรู้เหมือนกันว่า ซุป มีภรรยาแล้ว แถมยังมีลูกอายุขวบกว่า ซุปบอกให้ภรรยาพาลูกมาเยี่ยมในวันพบญาติด้วย คงจะดีใจไม่น้อยที่ทั้งสามคนจะได้คุยกันตามประสาพ่อแม่ลูก

จอน เขียนจดหมายได้สั้นมาก มันเขียนบอกแค่วันเยี่ยมญาติ กับแจ้งเรื่องย้ายที่อยู่เข้ามาที่กรมฯ เท่านั้น นอกนั้น แทบไม่ได้บอกเล่าอะไรเลย สำหรับจดหมายของ พอล นั้น ฉันอ่านผ่าน ๆ เพราะตอนแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ ก็ได้อ่านแล้วรอบหนึ่ง ที่สำคัญ มันเขียนบอกด้วยว่า อยู่ในค่ายสนุกดี ได้เจอเพื่อนใหม่เยอะแยะมาจากหลายที่หลายทาง ครูฝึกฯ ทุกนายใจดี ซึ่งอันหลังนี้ ไม่รู้ว่า มันคิดอยู่อยู่แล้วว่าพวกเราต้องอ่าน เลยเขียนชมเปาะมาในจดหมาย หรือว่าเป็นการชมจากใจจริง แต่ถ้าเป็นเพราะมันชมพวกเราจริง ๆ พวกเราก็คงดีใจมาก และมีกำลังใจทำงานต่อไป

จดหมายของ ภูหิน เป็นจดหมายที่ฉันเก็บไว้อ่านเป็นฉบับสุดท้าย ภูหินใช้กระดาษเพียง ๑ แผ่นเท่านั้น ลายมือสวยงามเป็นระเบียบ มันขึ้นต้นด้วยการสวัสดีพ่อกับแม่ของมัน แล้วเขียนต่อว่า ทางเราให้แจ้งย้ายที่อยู่ แต่ที่น่าตกใจก็คือ ภูหิน บอกให้พ่อกับแม่ไม่ต้องมาเยี่ยมในวันพบญาติ!


“... หินไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะคิดอย่างไร ถ้าหินจะขอให้พ่อกับแม่ ไม่ต้องมาหาหินในวันพบญาติ หินอยู่ที่นี่สุขสบายดี แรก ๆ ก็ร้องไห้คิดถึงบ้าน แต่ตอนนี้ หินไม่คิดแล้ว เวลาฝึกกับเพื่อน ๆ หินยังล้าหลังพวกเขามาก จนเหมือนจะกลายเป็นตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ ดีที่พี่ ๆ ครูฝึกใจดีมาก โดยเฉพาะพี่ทหารที่เป็นครูประจำหมู่หิน พี่เขาคอยเทคแคร์หินทุกอย่าง เวลาหินวิ่งแล้วเป็นลม พี่เขาก็คอยพูดให้กำลังใจ จนหินรู้สึกดี บางครั้งหินเลยอดคิดไม่ได้ว่า พี่เขาดูจะเข้าอกเข้าใจหินมากกว่าพ่อกับแม่เสียอีก
พ่อครับ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ หินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหินถึงเป็นแบบนี้ พ่อกับลุงส่งหินเข้ามาอยู่ในนี้ เพราะคิดว่า การเป็นทหารจะช่วยให้หินเป็นผู้ชายอย่างที่พ่อกับลุงอยากให้เป็น แต่หินไม่รู้ว่า หินจะทำได้ไหม... แล้วหินจะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันเป็นการฝืนจิตใจของหิน และถ้าวันใดวันหนึ่ง หินไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว พ่อกับลุง หรือแม่ จะรับหินได้หรือเปล่า...”


ฉันพับจดหมายฉบับนั้นลง ในที่สุด ฉันก็เริ่มเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ความแตกต่างระหว่างฉันกับภูหินนั้น มีมากมาย หนึ่งในนั้น ก็คือ ฉันตัดสินใจเลือกที่จะเข้ามาเป็นทหารด้วยตัวของฉันเอง ในขณะที่ภูหินไม่ได้ตัดสินใจเลือกที่จะเข้ามา แต่มาด้วยการบังคับจากผู้เป็นพ่อ และเสนาธิการ กรมฯ ผู้เป็นลุงแท้ ๆ

“...เพราะฉะนั้น มันต้องขึ้นอยู่กับครอบครัวของเขาด้วยว่า เขาเข้าใจกันและกันมากแค่ไหน ถ้าเขาไม่ให้โอกาส ชีวิตของน้องคนนั้นนะ ต่อให้เราฝึกมาดีแค่ไหน... สุดท้ายก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่าเดิมหรอก”

ฉันระลึกถึงคำพูดของคุณแม่ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนจากกันในตอนเที่ยงของวันนี้ คุณแม่ดูจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ดีกว่าฉันมากมายนัก แล้วเราจะจัดการปัญหานี้ต่อไปอย่างไร?

... ฉันนั่งมองเพื่อน ๆ ที่นั่งอ่านจดหมายของลูกหมู่อย่างครื้นเครง ชัย นั่งเก้าอี้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์พอดี กำลังหัวเราะคิกคัก เมื่ออ่านจดหมายให้ หล่ออิท ฟัง

“เฮ้ย! ไอ้ชุมศักดิ์ มันเขียนบอกแม่มันด้วยวะ ว่ามันวิ่งรอบสนามโดดร่มได้โดยไม่เป็นลมเลยสักครั้ง ...มันเคยเป็นลมครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือวะ?”

“มึงก็ไม่เข้าใจ... ของอย่างนี้มันก็ต้องสร้างภาพให้คนที่บ้านไม่ต้องเป็นห่วงสิวะ ไอ้โง่!”

“ชัย ลุกหน่อยดิ เราขอใช้คอมพิวเตอร์หน่อย”

ชัย มองฉันอย่างงง ๆ แต่ก็ลุกให้โดยดี “พัทซี่จะทำงานต่ออีกหรือ?”

“แป้ปเดียว พิมพ์หนังสือราชการสักฉบับเฉย ๆ” ฉันขยิบตาให้เพื่อน




จ่าสถาพรแวะมาหน่วยฝึกฯ ในช่วงเช้า ฉันถามไถ่ถึงอาการของลูกสาว แกบอกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ตอนนี้ยังนอนอยู่โรงพยาบาล

“เดี๋ยวจ่าจะเอาจดหมายไปส่ง เราปิดซองติดแสตมป์ครบเรียบร้อยหรือยัง?”

“ครบแล้ว... เอ้อ... เกือบลืม เหลืออีกซองครับ”

ฉันเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน แล้วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งมารวมกับกองจดหมายที่อยู่ในถุง จ่าสถาพรหิ้วถุงจดหมายนั้นไว้ พลางตะโกนบอกฉัน

“จ่าฝากด้วยนะ ไอ้พัท ถ้ามีงานไหนด่วนหรือไม่เข้าใจ โทรฯถามจ่าได้เลยนะ”

“โอเคครับ”

หมู่เมธซึ่งวันนี้มาแต่เช้า เดินสวนกับจ่าสถาพร เลยหยุดสนทนากันสักครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้ามาในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ

“วันนี้พลทหารใหม่ไปไหนกันหมดวะ?”

“หล่ออิทเอาไปวิ่งรอบสนาม แล้วจะเลยไปกินข้าวที่โรงสูทกรรมครับ”

“แล้วทำไมมึงไม่ไปกับเขาละวะ?”

“ผมรอจ่าสถาพร อีกอย่าง...ผมไม่ค่อยหิว เลยกินกาแฟไปถ้วยหนึ่งแทนครับ”

ฉันหยิบจดหมายส่งให้หมู่เมธ มันนั่งเก้าอี้ไขว่เท้าดุกดิกตามสไตล์ของมัน ฉันเสิร์ฟกาแฟให้ไอ้หน้าหล่อ มันรับไปจิบ พร้อม ๆ กับอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างตั้งใจ

“เฮ้อ...” มันถอนหายใจ

“หมู่รู้สึกยังไงบ้างครับ?” ฉันถาม

“บอกไม่ถูกวะ มันเหมือนกับ...” แกพยายามนึก “เหมือนกับว่า มันน้อยใจอะไรสักอย่าง เหมือนมันคิดว่า พ่อกับแม่ กับลุงของมัน ไม่รักมัน”

“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ ภูหินต้องการกำลังใจ และคนที่จะให้กำลังใจได้ดีที่สุด ไม่ใช่ผม หรือหมู่ หรือจ่านนท์ หรือคนอื่น ๆ แต่เป็น... ครอบครัว”

“อืม... กูก็คิดอย่างนั้นวะ เอ๊..!” มันยกถ้วยกาแฟขึ้นเพื่อจิบ “ก็จ่าสถาพรมาเอาจดหมายไปส่งเมื่อตะกี้ แล้วทำไมจดหมายของไอ้หินมันถึงมาอยู่นี้อยู่ละ?”

“ก็... ผมไม่ได้ส่งนี่ครับ ผมเก็บเอาไว้เอง...”

ไอ้หน้าหล่อสำลักกาแฟ แล้วขัดขึ้น “ว่าไงนะ... เชี่ย!!!! แล้วมึงเอามาเก็บไว้ทำไมวะ?”

“ผมยังพูดไม่จบเลยครับ” ฉันเดินไปที่ลิ้นชักโต๊ะ ดึงออกแล้วหยิบจดหมายอีกฉบับขึ้นมา มันเป็นกระดาษที่พิมพ์จากเครื่องพิมพ์คอมพิวเตอร์ “ผมจะบอกว่า ผมเก็บจดหมายฉบับนี้ของภูหินไว้ แล้วส่งฉบับนี้ไปแทนต่างหาก”

หมู่เมธ กระวีกระวาดรับไปดู ข้อความในนั้น ฉันพิมพ์ในลักษณะจดหมายทางราชการ เพียงแต่ไม่ได้ใส่ตราครุฑ แจ้งสาระสำคัญให้ทราบเพียง ๒ ประเด็น คือ การย้ายทะเบียนบ้าน และวันพบญาติวันแรก


“เรียน ผู้ปกครอง พลทหารภูหิน แม่นในรบ... ตามที่พลทหารภูหิน แม่นในรบ ได้เข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการ และอยู่ในระหว่างการฝึกทหารใหม่ ดังนั้น หน่วยฝึกทหารใหม่ กรมรบพิเศษที่ ๕ ใคร่ขอความร่วมมือมายังท่านโปรดดำเนินการย้ายที่อยู่... และขอแจ้งวันพบญาติวันแรก คือวันที่... เพื่อที่ท่านจะได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับพลทหารในวันดังกล่าว... จึงเรียนมาเพื่อทราบ พลทหารพัฒนรัฐ พิทยเวช ผู้ช่วยครูฝึกฯ หน่วยฝึกทหารใหม่ กรมรบพิเศษที่ ๕”


หมู่เมธมองลายเซ็นฉันหราตรงท้ายจดหมายนั่น

“อันนี้ สำเนาคู่ฉบับ ตัวจริงผมส่งไปแล้วครับ”

“มึงจะเข้าข่ายปลอมแปลงเอกสารไหมนี่?” มันร้องเสียงดัง “ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยวะ?”

“ไม่ได้ปลอมหรอกครับ ผมก็เขียนถึงพ่อกับแม่ของภูหิน ในฐานะครูฝึกฯ” ฉันตอบตามความคิด “แล้วที่ทำ เพราะผมไม่อยากส่งจดหมายฉบับที่ภูหินเขียน ให้พ่อกับแม่เขาอ่านดู หมู่รู้ไหมครับว่า ...การที่ใครสักคน ซึ่งเป็นคนที่เรารัก เคยพบหน้าค่าตาอยู่ทุกวัน แต่ต้องมาอยู่ในที่ที่ห่างไกล ไม่ได้เจอกันเป็นแรมเดือน เฝ้ารอแต่การจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง แต่จู่ ๆ ก็มีจดหมายตัดพ้อไปถึง หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็คงจะร้อนรน อยากจะมาพบหน้าลูกของตัวเองให้ได้ในวันนั้นเลยด้วยซ้ำ”

ฉันรู้สึกราวกลับปล่อยความคิดพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย หมู่เมธนั่งฟังฉันอย่างตั้งใจ “สิ่งที่ภูหินต้องการคือ ความเข้าใจ และกำลังใจ คนที่ให้ได้ดีที่สุด ก็มีแต่พ่อกับแม่ของเขา ผมไม่อยากให้ภูหินสร้างความร้าวฉานในครอบครัวมากขึ้นไปกว่านี้อีก ข้อความในนั้น มันทำร้ายจิตใจคนเป็นพ่อกับแม่ของเขามากเกินไป เขาควรจะได้มาพบกัน แล้วปรับความเข้าใจกันเสียใหม่”

ไอ้หน้าหล่อนิ่งฟังฉันพล่ามจบลง แล้วพูดเสียงอ่อย ๆ “ถ้าภูหินรู้เข้า... กูว่า เราจะเสียหายได้นะ”

“ผมกล้าทำ ผมก็กล้ารับผิดชอบ อีกอย่างผมก็เป็นครูที่ภูหินให้ความนับถือ ผมคิดว่าเรื่องนี้ ไม่น่าจะเสียหายอะไร”

“แล้วมึงจะทำอย่างไรต่อไป?”

“ไม่ใช่ผม เราต่างหาก...” ฉันอมยิ้ม

“อะไรวะ?” ไอ้หน้าหล่อไม่เข้าใจ และมีท่าทีเตรียมโวยขึ้นมา ฉันขยับมือห้ามไว้ทัน

“เราเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์กว่า ๆ ก่อนที่ภูหิน จะพบกับพ่อและแม่ของเขา ดังนั้น เราต้องใช้เวลาที่เหลือเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด ด้วยการช่วยกันฝึกภูหินให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ สอนให้มันเรียนรู้เรื่องชีวิต... ถึงแม้เราเปลี่ยนความคิดมันไม่ได้ก็จริง แต่เราก็จะพยายามให้มันเปลี่ยนมุมมองชีวิตเท่าที่จะทำได้นะครับ”

“ฟังอย่างกับสงครามเลยวะ? ตกลงเราจะออกรบกันใช่ไหมวะ?” มันพูดติดตลก พักหลัง ฉันสังเกตว่ามันไม่พยายามจะกัดฉันเช่นก่อนหน้านี้

“ออกรบนะใช่ แต่รบกับจิตใจนะครับ ไม่ใช่ข้าศึกที่ไหนหรอก” ฉันพูดกลั้วหัวเราะ

“ถ้ามึงจะรบ แล้วมึงไปเรียนกลยุทธ์เหล่านี้มาจากไหนวะ กูอยากรู้จริง ๆ ?”

“อ้าว! สมัยประถมก็เคยเรียนกันหมด หมู่จำไม่ได้หรอกหรือครับ?” ฉันย้อนเข้าให้ “วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์อันโด่งดังไงครับ ผมก็แค่ใช้ ...ฤาษีแปลงสาร... เท่านั้นเองอ่ะ”

เป็นครั้งแรกที่หมู่เมธกับฉัน หัวเราะพร้อมกันเสียงดัง




ผู้ฝึกฯ เปลี่ยนแผนการเรียนในช่วงวันเสาร์เล็กน้อย นั่นคือ สลับเอาวิชาอบรมจริยธรรมพลทหารมาไว้ช่วงเช้า ตอนบ่ายมีฝึกภาคสนามเหมือนเดิม ส่วนตอนเย็น แกอยากให้จ่ากอง และครูฝึกฯ ได้ทำกิจกรรมนันทนาการกับพลทหารใหม่บ้าง

“สอนร้องเพลง และเล่นกิจกรรมเล็กน้อยก็ได้ครับ ผมเกรงว่าพวกเขาจะเครียดเกินไป วันหยุดทั้งที”
ผู้ฝึกฯ บอกจ่ากองหลังเคารพธงชาติเสร็จ ฉันดูด้วยสายตาก็รู้ว่า แกไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร พวกเราเองก็คิดเหมือนกับแก จ่ากองเลยเดินมาคุยกับพวกเรา

“ใครเข้าเวรฯ ต่อจากอิท?”

“ผมครับ” กร ยกมือขึ้น จ่ากองพยักหน้า “ไปหาจ่าคมหน่อย วันนี้แกเข้าเวรฯ พอดี แกคอยปรึกษาอยู่เรื่องที่จะทำกิจกรรมนันทนาการเย็นนี้”

จ่ากองยิ้มเหี้ยมเกรียมอีกแล้ว ฉันอดตื่นเต้นไม่ได้ว่า ต้องมีอะไรสนุก ๆ เกิดขึ้นแน่ ๆ

“ไอ้พัท... งานของเอ็งเป็นไงบ้าง?” ฉันรู้ทันทีว่าแกหมายถึงงานอะไร... ภารกิจภูหิน!

“พยายามอยู่ครับ ผมช่วยกันกับหมู่เมธอยู่ครับ”

“เออ... ดีแล้วละ มีอะไรให้จ่าช่วยก็บอก” จ่ากองเอื้อเฟื้อ

ผู้ฝึกฯ อบรมเรื่อง สิทธิของทหาร ซึ่งหมายถึงสิทธิ์ที่ทหารทั่วไปได้รับเมื่อเข้ารับราชการ และสิ้นสุดลงเมื่อปลดประจำการ ได้แก่ แต่งกายชุดทหารได้รับสิทธิ์ลดอัตราค่าโดยสารของรัฐ ผู้หนึ่งผู้ใดจะมาถอดเครื่องแบบออกไม่ได้ ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงตามราชการกำหนด สิทธิ์รับเงินค่ายานพาหนะสำหรับการไป – กลับบ้าน สิทธิ์ในการรับเงินค่าทำศพ เงินค่าทดแทนเมื่อบาดเจ็บ ได้รับแจกเครื่องนอน ชุดสนาม สิทธิ์ในการรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ การรักษาพยาบาลไม่ต้องเสียเงิน ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าหน้าที่ สวัสดิการต่าง ๆ เช่น กีฬา เป็นต้น ทั้งยังเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่จะกักขังไม่ได้

นอกจากนี้ ผู้ฝึกฯ ยังอบรมเรื่องเบี้ยเลี้ยงพลทหาร และชี้แจงให้ทราบถึงโทษของการหนีทหาร ซึ่งมีโทษอยู่ ๒ ประเภท ได้แก่ การจำคุกตามระวางโทษที่กำหนด หรือค้างปลดเท่ากับจำนวนเดือนที่หนี แต่เท่าที่พวกเราทราบมา พลทหารใหม่รุ่นนี้ ยังไม่มีใครคิดหนีเลยสักนาย

ช่วงพักตอนสิบโมงครึ่ง ผู้ฝึกฯ ปล่อยพลทหารใหม่เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวราว ๑๕ นาที ฉันเดินตรงไปหลังห้องน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ราวตากผ้าที่สงวนไว้สำหรับพวกครูฝึกฯ ผ่านทางเดินเลียบกำแพงห้องน้ำซึ่งก่อบล็อกโปร่ง พลทหารใหม่เดินกันขวักไขว่ในนั้น เสียงคุ้นหูคุยกันได้ยินมาถึงข้างนอก

“มันเป็นตุ๊ดนี่หว่า... มึงจะเอาอะไรกับมันมาก!”

“ยังไงกูก็จะพูดกับมันให้รู้เรื่อง” จอน พูดกับ ชา “แม่ง! มันโคตรอ่อนแอฉิบหาย เมื่อเช้าก็รองเท้ากัดตีนมันอีก กูเห็นมันอ้อนบัดดี้มัน... ไอ้ส้มที่อยู่ หมู่ ๓ ไง... มันว่า มันเจ็บเท้า ถ้ามันวิ่งแล้วกะโผลกกะเผลกก็ให้ช่วยพยุงมันหน่อย... แม่ง! ทำตัวโคตรน่ารำคาญเลยวะ”

“เมื่อคืนเราก็หวิดโดนซ่อมทั้งกองนี่หว่า เพราะอีตุ๊ดนี่มันเสือกมาช้า... ดีว่า ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ แค่สั่งงดของว่าง ไม่งั้นคงโดนอีกจนอาน” คราวนี้เป็นเสียง วิท

“ทำไมหน่วยฝึกฯ เรามีแต่ตุ๊ดวะ ครูมันก็เป็นตุ๊ด แม่งตุ๊ดนี่ นิสัยหมา ๆ ทั้งนั้นเลยวะ”

“เฮ้ย! มึงอย่ามาว่าครูฝึกฯ หมู่กูนะ” ไอ้จอน ตวาดใส่เพื่อน “คราวแล้วมึงนิสัยหมา ๆ เองนี่หว่า เลยโดนครูพัทซี่ทำโทษ สมน้ำหน้า! ...แต่อย่างไอ้หินนี่ กูว่า... คงไม่ถึงครึ่งของครูพัทซี่หรอกวะ รายนั้นระดับเทพแล้ว โคตรเก่งเลยวะ”

“แล้วมึงจะไปคุยกับมันว่าไง?” วิท ถาม

“กูก็จะไปขอมันดี ๆ ว่ามันอยากจะฝึกต่อไปแบบมีความสุข หรือมีความทุกข์ เพราะถ้ามันยังทำตัวเดือดร้อนแบบนี้ กูก็คงต้องสั่งสอนมันหน่อยแล้วละวะ”

เสียงพลทหารใหม่ทั้งสามนายคุยกันค่อยไกลออกไป... แต่สิ่งที่ฉันเพิ่งได้ยินเมื่อครู่ กลับสร้างความลำบากใจให้ฉันยิ่งนัก




ภูหิน ยิ้มแป้นเมื่อฉันเรียกมันเข้าไปพบบนโรงนอน ช่วงพักหลังรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะเริ่มฝึกในช่วงบ่าย

“ครูมีอะไรหรือครับ?”

“ถอดรองเท้าออก” ฉันสั่ง

มันอิดออกเล็กน้อย สุดท้ายเมื่อถอดรองเท้าออก ฉันก็เห็นมันสวมถุงเท้าเสีย ๒ ชั้น ตรงเหนือส้นเท้าทั้งสองข้างมีคราบเหมือนน้ำซึมอยู่เล็กน้อย

“ถอดถุงเท้าให้ครูดูหน่อย”

“แต่ว่า...”

“ครูบอกให้ถอดไงละ” ฉันย้ำเสียงหนัก มันเลยถอดถุงเท้าทั้งสองข้างออก กลิ่นฉมฉุยลอยมาแตะจมูก แต่ยังน้อยกว่ากลิ่นถุงเท้าของหมู่เมธ ในวันที่ฉันซักถุงเท้าให้มันเมื่อแพ้พนันกัน

แผลสดตรงส้นเท้าทั้งสองข้าง ยังมีเลือดซึมออก ฉันเคยเป็นมาก่อน เลยรู้ดีว่า การโดนรองเท้าคอมแบทกัด แล้วต้องทนใส่เพื่อฝึกกลางสนามอันมีแดดจัด พร้อมทั้งออกกำลังกายตอนเย็นอีกนั้น มันจะเสียดสี และปวดแสบปวดร้อนเพียงใด แต่เท่าที่ดูจากแผลของภูหินแล้ว คงจะรุนแรงน้อยกว่าฉัน ไม่น่าเกิน ๕ วันก็คงแห้งและตกสะเก็ดไปหมด ในขณะที่ประสบการณ์ของฉัน ต้องใส่รองเท้าแตะฝึกเกือบ ๑ เดือน เพราะเป็นโรคน้ำเหลืองไม่ค่อยดี ดังนั้น แผลสดทุกอย่างจะสมานตัวช้ามาก

“ไปล้างเท้าตรงบันไดให้สะอาด แล้วขึ้นมาหาครู”

ภูหิน เดินออกจากโรงนอนไป ตรงเชิงบันไดทางขึ้น มีก๊อกน้ำต่อไว้อยู่จุดหนึ่ง ได้ยินเสียงมันเปิดน้ำไหลซู่ซ่า ระหว่างที่ฉันเตรียมยาจากกระเป๋า ซึ่งไอ้หน้าหล่อที่ทราบเรื่องจากฉันแล้ว ได้จัดไว้ให้

“หาผ้ามาเช็ดให้แห้ง แล้วเอาผงนี่ใส่”

ฉันนั่งมองมันทำตามอย่างว่าง่าย เพิ่งสังเกตว่า ใบหน้าอันขาวนวลตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา เริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเนื่องจากการโดนแดดเป็นเวลานาน

“เอายานี่ไปกินหลังอาหาร มื้อละ ๒ เม็ด กินไปสักพัก ปากจะขมหน่อยนะ แต่ต้องกิน ไม่งั้นแผลจะไม่แห้ง” ฉันโยนถุงยาให้ ในนั้นเป็นยาแก้อักเสบ “แล้วก็หมั่นเอาผงนี่โรยหลังอาบน้ำด้วย ที่สำคัญอย่าลืมกินยาละ”

“ครูรู้ได้ไงว่า ผมโดนรองเท้ากัด?”

ฉันไม่ตอบคำถาม ภูหินเลยก้มหน้างุด พูดค่อย ๆ

“ขอบคุณครับ” มันขยับตัวจะใส่ถุงเท้า ฉันห้ามไว้

“จะทำอะไรนะ?”

“ก็... จะใส่รองเท้าครับ”

“ไอ้หิน... เราเป็นแผลสดอย่างนั้น จะไปใส่คอมแบทได้ไงวะ เอาไปเก็บไป๊! ใส่รองเท้าแตะไปก่อน”

“จะดีหรือครับ? อายจัง”

“อื้อ... ก็โดนรองเท้ากัดหลายคนอยู่ เห็นว่า เจ๋ง ที่อยู่หมู่ครูอิท ก็เป็นเหมือนกัน เราก็คงมีเพื่อนอยู่แหละ ไม่ต้ององต้องอายอะไรหรอก”

“เอ้อ... ครับ” ว่าแล้ว มันก็เปิดตู้เหล็กของมัน เพื่อเอาถุงเท้ากับยาผงเข้าไปเก็บ ฉันทันเห็นสิ่งที่อยู่ในตู้พอดี

“ภูหิน... ครูขอดูหน่อยสิ”

เมื่อภูหินผลักบานประตูเหล็กอ้าออก สิ่งที่ฉันเห็นตรงหน้า คือ มันจัดวางของทุกอย่าง อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เสื้อยืดที่ยังไม่ได้ใช้พับเก็บไว้อย่างดี กางเกงในพับไว้เป็นชุด วางคู่กับถุงเท้าที่ม้วนกลม ๆ ชุดฝึกแขวนได้แนวเดียวกัน ของใช้ส่วนตัว คือ สบู่ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ มีดโกนหนวด กระจก ฯลฯ จัดวางอย่างเป็นระเบียบบนชั้นวางในตู้เช่นกัน

“เอ้อ... เรียบร้อยไหมครับ?” มันถามอย่างไม่แน่ใจ

“ถ้าจะถามว่าเรียบร้อยไหมนะ.... ขอบอกว่าเรียบร้อยดีมากเลยแหละ” ฉันเกาหัว “แต่มันไม่เหมาะกับช่วงฝึกในตอนนี้ ไว้ขึ้นกองพันฯ แล้วค่อยมาจัดแบบนี้ใหม่... ดูนะ!”

และแล้ว... ฉันก็หยิบของใช้ทุกอย่างที่จำเป็นใส่ลงในขันพลาสติกให้หมด แล้ววางมันไว้ตรงมุมตู้

“ทำไมครูเอาของมาใส่รวมกันอย่างนี้ละครับ?” เจ้าตัวโวย

“ก็ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ตอนเราตื่นตอนเช้า ครูฝึกฯ ให้เวลา ๑ นาที เก็บมุ้งเก็บที่นอนเอาของส่วนตัวลงไปไว้ในห้องเรียน แล้วไปออกกำลังกายที่ลานรวมพล... เราก็ช้ากว่าเขาทุกที” ฉันอธิบายช้า ๆ “แต่ถ้าเราเอารวมกันไว้อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องเสียเวลาหยิบของทีละชิ้น มาใส่ขันน้ำ แล้วลงไป สู้เอาใส่ไว้เลยดีกว่า ประหยัดเวลาไปตั้งหลายวินาที ไหนเราจะต้องเปลี่ยนกางเกง ใส่ถุงเท้ารองเท้าอีกใช่ไหมละ?”

ฉันหรี่ตามองดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร... เมื่อเห็นมันยิ้มออกมาได้ ก็ค่อยโล่งใจ

“ขอบคุณครับ ครู”

“ครูเคยทำอย่างนี้มาก่อน ตอนแรกครูก็เข้าแถวช้าสุด หลัง ๆ ครูไปถึงเป็นคนแรก ๆ ของหมวดเลย เพราะครูลักไก่อย่างนี้แหละ”

“เขาไม่ว่าเราโกงหรอกหรือครับ?”

“เราไม่ได้โกงนี่หว่า...” ฉันส่ายศีรษะ “เขากำหนดเวลาให้เรา นั่นคือ กติกา แต่ไม่ได้บังคับว่าให้เราต้องทำอย่างไร... ดังนั้น คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่ค้นพบวิธีการที่จะทำให้ตัวเองใช้เวลาได้น้อยที่สุด และไปเข้าแถวได้เร็วที่สุดเช่นกัน”

ฉันเห็นมันนิ่งเงียบ เลยสรุปความสั้น ๆ

“ภูหิน เรื่องบางเรื่องต้องค่อยเรียนรู้ไป เรา... อาจต้องเจออะไรอีกเยอะ”

ฉันรุนหลังมันออกไปจากโรงนอนพร้อมกัน เรื่องบางเรื่องต้องค่อยเรียนรู้ไป... เรื่องที่ไอ้จอนจะทำกับมัน... ฉันก็อยากให้มันลองหาทางรับมือเองบ้างเหมือนกัน !?!?

.....................................






Create Date : 17 มิถุนายน 2555
Last Update : 17 มิถุนายน 2555 18:05:17 น.
Counter : 464 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
 
All Blog