เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม นายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวคำแถลงที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรี ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เนื่องในโอกาสรำลึกครบรอบ 70 ปี การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสีย โดยยอมรับว่าญี่ปุ่น
"สร้างความเสียหายและเจ็บปวดที่มากมายเหลือคณานับ" ต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่บอกว่าผู้คนที่เกิดในยุคสมัยซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วม ในความขัดแย้งไม่ควรจะต้องแบกรับภาระในการกล่าวคำขอโทษอีกต่อไป พร้อมกับยืนยันว่าคำขอโทษของญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ในสุนทรพจน์ที่ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด 1 วัน ก่อนหน้าการครบรอบ 70 ปีของการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 นายอาเบะสามารถรักษาสมดุลระหว่างการแสดงความเสียใจ ต่อการรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม แต่ขณะเดียวกัน ก็เน้นย้ำให้เห็นถึงสิ่งที่ญี่ปุ่นในฐานะประเทศที่รักสันติ ได้ทำมาตลอดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงคราม
"ญี่ปุ่นได้แสดงความสำนึกผิดอย่างลึกซึ้ง และกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจต่อการกระทำของตน ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามมาแล้วหลายครั้ง เราได้อุทิศตนต่อสันติภาพและความมั่งคั่งในภูมิภาคอย่างคงเส้นคงวา จุดยืนดังกล่าวที่รัฐบาลญี่ปุ่นในอดีตได้แสดงออกมา จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต" นายอาเบะกล่าว
และว่า "เราไม่ควรที่จะปล่อยให้ลูกหลานของเราที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับสงครามครั้งนั้น ถูกกำหนดชะตากรรมให้ต้องขอโทษต่อ
เรื่องดังกล่าวครั้งแล้วครั้งเล่า"
คำกล่าวของนายอาเบะซึ่งมีแนวคิดชาตินิยม ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและเกาหลีใต้ที่ต้องการเห็นสัญญาณ ของการสำนึกผิดต่อการรุกรานของลัทธิทหารของญี่ปุ่นในอดีต
ประวัติศาสตร์ในช่วงยุคสงครามของญี่ปุ่นกลับมาอยู่ในความสนใจ อีกครั้งนับตั้งแต่นายอาเบะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2555 โดยนายอาเบะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายว่าไม่ให้ความสำคัญ กับพฤติกรรมในอดีตของญี่ปุ่น และพยายามขยายบทบาททางการทหาร นอกจากนี้ การเดินทางเยือนศาลเจ้า
ยาสุกุนิที่ประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่นมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิทหาร ของนายอาเบะเมื่อปี 2556 ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน และเกาหลีใต้ย่ำแย่ลงสู่ระดับเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ท่ามกลางปัจจัยเสริมเรื่องกรณีพิพาทเหนือเขตแดนที่คุกรุ่นขึ้นมา
ทั้งนี้ มรดกตกทอดจากสงครามยังคงหลอกหลอน และสร้างปัญหาต่อความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับความเจ็บปวดจากการรุกรานเข้ายึดครองอย่างโหดร้าย และต้องตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลงเมื่อปี 2488
ก่อนหน้านี้ทั้งจีนและเกาหลีใต้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้นายอาเบะที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นนักปฏิรูป ยึดถือคำขอโทษอย่างจริงใจต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจาก "การรุกรานและยึดครอง" เมื่อปี 2538 ที่กล่าวโดยนายโทมิอิจิ มารุยามา นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น (รอยเตอร์/เอเอฟพี)/จบ ..................................................................................................... |