<<
สิงหาคม 2558
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
8 สิงหาคม 2558
 

เรียนรู้"การทูตไทย-จีน:คำหวานรัฐมนตรี กับกรณี ‘ฝ่าหลุนกง’กันคะ

เรียนรู้"การทูตไทย-จีน:คำหวานรัฐมนตรี กับกรณี ‘ฝ่าหลุนกง’กันคะ

ขออนุญาตนำความรู้เรื่องนี้ ซึ่งเขียนโดยคุณสุทธิชัย หยุ่น 
จากกรุงเทพธุรกิจรายวัน มารวบรวมไว้เพื่อการศึกษาต่อไป และขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ดังนี้
//www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635252#sthash.w01iUaeP.dpuf

การทูตระหว่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกถ้อยประโยค 
ทุกลีลาท่าทีล้วนมีความสำคัญสามารถถูกตีความไปในด้านต่าง ๆ 
โดยที่เราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้


ประวัติศาสตร์การทูตไทยในหลาย ๆ ช่วงสามารถนำพาประเทศผ่านวิกฤต

 แต่อีกหลายโอกาสเราก็พลาดพลั้งเผอเรอ หรือกระทำการเพราะผลประโยชน์เฉพาะด้าน 

จนลืมภาพใหญ่ที่สำคัญต่อประเทศ


ระยะนี้เป็นจังหวะละเอียดอ่อนอีกครั้งสำหรับการทูตไทย

 เราตกอยู่ในสภาวะที่ถูกแรงกดดันจากต่างประเทศทั้งในด้านบวกและลบ 

หลายอย่างเป็นปัญหาที่เราสร้างขึ้นเอง 

อีกบางอย่างเป็นเรื่องของการแก่งแย่งผลประโยชน์ระหว่างมหาอำนาจ


ชั้นเชิงการทูตเป็นเรื่องของผลประโยชน์ระยะยาว 

แต่มีปัจจัยเฉพาะหน้าและระยะกลาง ที่จะต้องระมัดระวังและวางแนวปฏิบัติ 

สำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ให้สอดคล้องต้องกับทิศทางของบ้านเมือง


แนวทางวางนโยบายถ่วงดุลอำนาจกับมหาอำนาจจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง 

เพราะอะไรที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องระยะสั้น เฉพาะหน้า 

ผู้รับผิดชอบนโยบายของบ้านเมืองต้องมองยาวและไกล


หากสหรัฐกดดันมาก และจีนเอาใจเราเป็นพิเศษในบางกรณี 

ก็อย่าได้คิดว่านั่นเป็นแนวโน้มถาวร

และเราก็ไม่ควรจะดำเนินนโยบายเพียงเพื่อตอบสนองพฤติกรรมระยะนี้เท่านั้น 

หากแต่จะต้องรักษาสถานภาพของความเป็นประเทศเล็กที่มีศักยภาพและศักดิ์ศรี 

และมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกปักรักษาเพื่อคนไทย ไม่โอนเอนไปตามแรงกดดัน

จากด้านใดจนกลายเป็นประเทศที่ถูกมองว่า

“ไร้จุดยืนของตน” ซึ่งเป็นอันตรายต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง


อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวสองชิ้นที่สะท้อนถึงความเป็น “หลายมิติ” ของการทูตระหว่างประเทศ

ข่าวชิ้นหนึ่งบอกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศไทย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร

พบรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ ที่กัวลาลัมเปอร์ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน 

และมีความประทับใจมาก ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมระหว่างไทยกับจีน 

ไม่ใช่เพียงแค่พูดจาทางการทูตเท่านั้น แต่คบหากันเสมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วยซ้ำ


ท่านยังบอกนักข่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า

“If I were a woman, I would fall in love with His Excellency.”

หมายความว่าหากท่านเป็นผู้หญิง จะตกหลุมรักกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนทีเดียว


วันเดียวกันที่กรุงเทพก็มีข่าวว่าสถานทูตจีนในไทย “เต้น” 

กับข่าวที่ว่าศาลปกครองสูงสุดได้กลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น 

เป็นให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร 

ที่ไม่รับจดทะเบียนจัดตั้ง “สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย” 

และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีมหาดไทยที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีนี้


แปลว่าศาลปกครองสูงสุดอนุญาตให้ตั้ง “สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย” ได้ 

แม้ว่าก่อนหน้านี้นายทะเบียนสมาคม กทม. จะไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุผลว่า

“อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน”


ผู้ขออนุญาตได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่อนุญาตต่อรัฐมนตรีมหาดไทย 

ซึ่งก็มีคำสั่งยกอุทธรณ์ เพราะเห็นว่าคำสั่งไม่อนุญาตรับจดทะเบียนของนายทะเบียนชอบแล้ว

ผู้ขออนุญาตจึงนำคดีฟ้องต่อศาลปกครอง ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง 

ผู้ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด

ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น 

เป็นให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนอย่างที่เป็นข่าวไปแล้ว


ข่าวบอกว่าเอกอัครราชทูตจีนพยายามประสานขอเข้าพบ

นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชาเพราะ “ไม่สบายใจ” ต่อคำตัดสินสุดท้ายนี้


กรณีแรกคือความรู้สึกอันอบอุ่น ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศไทยต่อรัฐมนตรีต่างประเทศจีน 

กรณีหลังนี้คือการทำหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย 

ที่รัฐบาลจีนจะต้องเคารพ


ด้านหนึ่งคือการแสดงออกของรัฐมนตรี ซึ่งใครจะเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร

ก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน เพราะบางคนเห็นว่ารัฐมนตรีไทย

ไม่ควรจะแสดงอาการสนิทสนมขนาดนั้น อาจจะทำให้เกิดภาพที่เกินความพอดีสำหรับนักการทูต 

แต่อีกบางคนอาจจะมองว่านี่เป็นการทูตส่วนบุคคลหรือ “personal diplomacy”

 ที่ตอกย้ำถึงความเป็นกันเอง ไม่ได้แสดงว่ากระโดดเข้าข้างประเทศไหนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู


แต่อีกด้านหนึ่งคือกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย 

ที่มีขั้นมีตอนที่ถูกต้อง จีนจะพอใจหรือไม่กับคำตัดสินของผู้พิพากษาไทยก็ต้องเคารพ

ในคำตัดสิน เพราะคำพิพากษาก็ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ของคดีโดยเฉพาะ 

เหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดได้ใช้ประกอบคำตัดสินอย่างชัดเจนและมีเหตุผลน่าฟังอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะตอนหนึ่งของคำพิพากษาที่ว่า


“....การที่นายทะเบียนฯ ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมโดยเห็นว่า 

หากรับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดี 

กับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น การกล่าวอ้างการกระทำที่เกิดขึ้นของกลุ่มบุคคล 

แต่มิใช่เป็นการกระทำของสมาคม เพราะนายทะเบียนฯยังไม่ได้รับจดทะเบียน 

ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าในการกระทำของสมาคม 

ซึ่งหากความปรากฏภายหลังว่า นายทะเบียนฯได้จดทะเบียนให้แก่สมาคมแล้ว 

และหากปรากฏว่าการดำเนินกิจการของสมาคม ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน 

หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ 

นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานครย่อมอาศัยอำนาจตามมาตรา 102 (2) 

แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ 

หรือตามมาตรา 104 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว ในกรณีมีเหตุผลตามมาตรา 102 

ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้นายทะเบียนฯถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้...”


หากสถานทูตจีนในประเทศไทย ได้อ่านคำพิพากษานี้อย่างละเอียด 

ก็ไม่จำเป็นต้องขอคำชี้แจงจากนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 

ซึ่งก็ต้องเคารพในคำพิพากษาของกระบวนการยุติธรรม 

เหมือนดั่งที่รัฐบาลไทยต้องเคารพ ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศจีนเช่นกัน/จบ

...................................................................................................................................





Create Date : 08 สิงหาคม 2558
Last Update : 19 กันยายน 2558 13:03:50 น. 0 comments
Counter : 1116 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

justice0009
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




[Add justice0009's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com