ประวัติศาสตร์การทูตไทยในหลาย ๆ ช่วงสามารถนำพาประเทศผ่านวิกฤต
แต่อีกหลายโอกาสเราก็พลาดพลั้งเผอเรอ หรือกระทำการเพราะผลประโยชน์เฉพาะด้าน
จนลืมภาพใหญ่ที่สำคัญต่อประเทศ
ระยะนี้เป็นจังหวะละเอียดอ่อนอีกครั้งสำหรับการทูตไทย
เราตกอยู่ในสภาวะที่ถูกแรงกดดันจากต่างประเทศทั้งในด้านบวกและลบ
หลายอย่างเป็นปัญหาที่เราสร้างขึ้นเอง
อีกบางอย่างเป็นเรื่องของการแก่งแย่งผลประโยชน์ระหว่างมหาอำนาจ
ชั้นเชิงการทูตเป็นเรื่องของผลประโยชน์ระยะยาว
แต่มีปัจจัยเฉพาะหน้าและระยะกลาง ที่จะต้องระมัดระวังและวางแนวปฏิบัติ
สำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ให้สอดคล้องต้องกับทิศทางของบ้านเมือง
แนวทางวางนโยบายถ่วงดุลอำนาจกับมหาอำนาจจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะอะไรที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องระยะสั้น เฉพาะหน้า
ผู้รับผิดชอบนโยบายของบ้านเมืองต้องมองยาวและไกล
หากสหรัฐกดดันมาก และจีนเอาใจเราเป็นพิเศษในบางกรณี
ก็อย่าได้คิดว่านั่นเป็นแนวโน้มถาวร
และเราก็ไม่ควรจะดำเนินนโยบายเพียงเพื่อตอบสนองพฤติกรรมระยะนี้เท่านั้น
หากแต่จะต้องรักษาสถานภาพของความเป็นประเทศเล็กที่มีศักยภาพและศักดิ์ศรี
และมีผลประโยชน์ที่จะต้องปกปักรักษาเพื่อคนไทย ไม่โอนเอนไปตามแรงกดดัน
จากด้านใดจนกลายเป็นประเทศที่ถูกมองว่า
ไร้จุดยืนของตน ซึ่งเป็นอันตรายต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง
อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวสองชิ้นที่สะท้อนถึงความเป็น หลายมิติ ของการทูตระหว่างประเทศ
ข่าวชิ้นหนึ่งบอกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศไทย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร
พบรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ ที่กัวลาลัมเปอร์ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน
และมีความประทับใจมาก ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมระหว่างไทยกับจีน
ไม่ใช่เพียงแค่พูดจาทางการทูตเท่านั้น แต่คบหากันเสมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วยซ้ำ
ท่านยังบอกนักข่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า
If I were a woman, I would fall in love with His Excellency.
หมายความว่าหากท่านเป็นผู้หญิง จะตกหลุมรักกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนทีเดียว
วันเดียวกันที่กรุงเทพก็มีข่าวว่าสถานทูตจีนในไทย เต้น
กับข่าวที่ว่าศาลปกครองสูงสุดได้กลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
เป็นให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
ที่ไม่รับจดทะเบียนจัดตั้ง สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย
และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีมหาดไทยที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีนี้
แปลว่าศาลปกครองสูงสุดอนุญาตให้ตั้ง สมาคมศึกษาฝ่าหลุนกงแห่งประเทศไทย ได้
แม้ว่าก่อนหน้านี้นายทะเบียนสมาคม กทม. จะไม่อนุญาตโดยอ้างเหตุผลว่า
อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน
ผู้ขออนุญาตได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งไม่อนุญาตต่อรัฐมนตรีมหาดไทย
ซึ่งก็มีคำสั่งยกอุทธรณ์ เพราะเห็นว่าคำสั่งไม่อนุญาตรับจดทะเบียนของนายทะเบียนชอบแล้ว
ผู้ขออนุญาตจึงนำคดีฟ้องต่อศาลปกครอง ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ผู้ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
เป็นให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนอย่างที่เป็นข่าวไปแล้ว
ข่าวบอกว่าเอกอัครราชทูตจีนพยายามประสานขอเข้าพบ
นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชาเพราะ ไม่สบายใจ ต่อคำตัดสินสุดท้ายนี้
กรณีแรกคือความรู้สึกอันอบอุ่น ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศไทยต่อรัฐมนตรีต่างประเทศจีน
กรณีหลังนี้คือการทำหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
ที่รัฐบาลจีนจะต้องเคารพ
ด้านหนึ่งคือการแสดงออกของรัฐมนตรี ซึ่งใครจะเห็นว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
ก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน เพราะบางคนเห็นว่ารัฐมนตรีไทย
ไม่ควรจะแสดงอาการสนิทสนมขนาดนั้น อาจจะทำให้เกิดภาพที่เกินความพอดีสำหรับนักการทูต
แต่อีกบางคนอาจจะมองว่านี่เป็นการทูตส่วนบุคคลหรือ personal diplomacy
ที่ตอกย้ำถึงความเป็นกันเอง ไม่ได้แสดงว่ากระโดดเข้าข้างประเทศไหนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
แต่อีกด้านหนึ่งคือกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
ที่มีขั้นมีตอนที่ถูกต้อง จีนจะพอใจหรือไม่กับคำตัดสินของผู้พิพากษาไทยก็ต้องเคารพ
ในคำตัดสิน เพราะคำพิพากษาก็ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ของคดีโดยเฉพาะ
เหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดได้ใช้ประกอบคำตัดสินอย่างชัดเจนและมีเหตุผลน่าฟังอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะตอนหนึ่งของคำพิพากษาที่ว่า
....การที่นายทะเบียนฯ ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมโดยเห็นว่า
หากรับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดี
กับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น การกล่าวอ้างการกระทำที่เกิดขึ้นของกลุ่มบุคคล
แต่มิใช่เป็นการกระทำของสมาคม เพราะนายทะเบียนฯยังไม่ได้รับจดทะเบียน
ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าในการกระทำของสมาคม
ซึ่งหากความปรากฏภายหลังว่า นายทะเบียนฯได้จดทะเบียนให้แก่สมาคมแล้ว
และหากปรากฏว่าการดำเนินกิจการของสมาคม ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ
นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานครย่อมอาศัยอำนาจตามมาตรา 102 (2)
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้
หรือตามมาตรา 104 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว ในกรณีมีเหตุผลตามมาตรา 102
ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้นายทะเบียนฯถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้...
หากสถานทูตจีนในประเทศไทย ได้อ่านคำพิพากษานี้อย่างละเอียด
ก็ไม่จำเป็นต้องขอคำชี้แจงจากนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
ซึ่งก็ต้องเคารพในคำพิพากษาของกระบวนการยุติธรรม
เหมือนดั่งที่รัฐบาลไทยต้องเคารพ ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศจีนเช่นกัน/จบ
...................................................................................................................................