ล้วนปรับเปลี่ยนแนวทางการทูตเป็น เชิงรุก
แต่เดิมนักการทูตประเทศยักษ์ ๆ มาประจำประเทศไทยจะมี ฟอร์ม
และท่าทีอนุรักษ์นิยม ไม่แสดงความเห็นต่อสาธารณะ
คบหาแต่คนในกระทรวงต่างประเทศหรือเฉพาะในแวดวงการเมืองระดับสูง
แต่ระยะหลังนี้ ประเทศต่าง ๆ เริ่มจะเห็นความสำคัญของการทูตแบบถึงลูกถึงคน
เพราะเข้าใจแล้วว่าการสร้างความเข้าใจกับเจ้าของประเทศนั้น ๆ
ในทุกระดับชั้นเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่า เพียงแค่รู้จักกับนักการเมือง
และนักธุรกิจระดับสูงเท่านั้น
เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย หนิงฟู่ขุย
พบปะกับบุคคลทุกวงการเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
และพร้อมจะตอบคำถามเกี่ยวกับทิศทางของประเทศจีนอย่างเปิดเผย
สนใจความคิดความอ่านของคนไทยในวงการต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
ถือเป็นการทูตจีนยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย
เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย คิริลล์ บาร์สกี้
เป็นนักการทูตทันสมัย คบหาผู้คนทุกวงการ สนทนาได้ทุกเรื่อง
พร้อมจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนคล่องแคล่ว
เปลี่ยนโฉมหน้าของการทูต หมีขาว ไปโดยสิ้นเชิง
เอกอัครราชทูตสหรัฐท่านใหม่ที่กำลังจะเดินทางมารับตำแหน่ง กลิน ที. เดวิส
ก็มีประวัติโชกโชนด้านการทูตโดยเฉพาะเรื่องเกาหลี และเอเซีย
เชื่อได้ว่าท่านก็พร้อมจะเปิดใจกับคนไทยทุกวงการ
เพื่อสร้างความเข้าใจถึงแนวทางสหรัฐต่อไทยและภูมิภาคนี้เช่นกัน
ล่าสุด ผมได้นั่งพูดคุยกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำไทยท่านใหม่
ชิโร ซะโดะชิมะ (Shiro Sadoshima)
สัมภาษณ์กันกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยไม่มีการส่งคำถามล่วงหน้า
ตอบทุกคำถามที่นักการทูตญี่ปุ่นสมัยก่อนจะขอสงวนความเห็น
หากเป็นประเด็น ละเอียดอ่อน แต่คุณซะโดะชิมะไม่หลบเลี่ยง
ที่จะให้ความเห็นต่อหัวข้อสำคัญ ๆ ในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่น
ที่สำคัญคือท่านยืนยันว่าญี่ปุ่นจะยืนเคียงข้างประเทศไทย
จะช่วยทุกวิถีทางในฐานะมิตรเก่าแก่เพื่อให้ไทยหลุดจาก กับดักรายได้ปานกลาง เพราะยังพึ่งพาอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ
ท่านทูตบอกว่าญี่ปุ่นพร้อมที่จะสนับสนุนไทย
ทางด้าน วิจัยและพัฒนา (Research & Development)
ซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวดและเป็นสิ่งที่ประเทศไทย
ยังขาดแคลนและต้องแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ให้ได้
คุณซะโดะชิมะบอกว่าจะส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่น
ในวงการอุตสาหกรรมที่สร้าง มูลค่าเพิ่ม มาเมืองไทยเพิ่มขึ้นอีก
และจะเสนอเทคโนโลยีทันสมัยทุก ๆ ด้านเพื่อมีส่วนในการผลักดันให้ไทยไปสู่ประเทศพัฒนาให้ได้
เรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะการขนส่ง ทางรถไฟ
และ logistics ทั้งหลายก็อยู่ในแผนการที่ญี่ปุ่นจะเข้ามาเสริมส่ง
ผมถามว่าญี่ปุ่นมองจีนเป็นคู่แข่งในเรื่องการเข้ามาทำโครงสร้างพื้นฐานในไทยหรือไม่
ท่านทูตบอกว่า ประเทศไทยเป็นผู้กำหนดทิศทางเหล่านี้ด้วยตนเองได้
ไทยเป็นคนขับรถ (drivers seat) ก็ย่อมตัดสินได้ว่าจะไปทิศทางไหน
เราเชื่อว่าทุกประเทศมีส่วนเข้ามาตอบสนองความต้องการของประเทศไทย
ท่านทูตเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ Thailand+1
โดยที่ประเทศไทยคงไว้ซึ่งการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่ม
และเคลื่อนย้ายการผลิตที่ใช้แรงงานมากไปประเทศเพื่อนบ้าน
โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ลงทุนในไทยมากที่สุด
และยืนยันว่าจะรักษาความใกล้ชิดสนิทสนมกับไทยต่อไปในทุก ๆ ด้าน
ผมถามว่าจุดยืนของญี่ปุ่นเกี่ยวกับการเมืองของไทยทุกวันนี้เป็นอย่างไร
เมื่อเทียบกับสหรัฐด้านหนึ่ง และจีนอีกด้านหนึ่ง
เราอยู่ตรงกลาง ๆ ระหว่างสองขั้วนี้กระมัง ท่านบอกผมอย่างไม่ลังเล
ท่านทูตซะโดะชิมะเป็นทั้งนักการทูตและศิลปิน วาดรูปชีวิตข้างถนนของประเทศต่าง ๆ
ที่ไปเยี่ยมเยือน และยังให้ผมดูภาพวิถีชีวิตชาวบ้านบังคลาเทศ
ที่ท่านเคยเป็นเอกอัครราชทูตก่อนมาอยู่เมืองไทย
อีกทั้งยังพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว และเริ่มจะใช้คำภาษาไทยได้บางคำแล้ว
และหากเห็นท่านเดินท่อม ๆ ในซอกซอยกรุงเทพฯ
หรือต่างจังหวัดเพื่อสัมผัสกับชีวิตชาวบ้านคนไทย
และวาดภาพสีน้ำมันสะท้อนมุมมองของท่านต่อคนไทยทั่วไป
ก็อย่าได้แปลกใจเช่นกัน/จบ
//www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635325#sthash.kdZHvIcA.dpuf