เ
พื่อผลักดันการ ส่งออก จุดแข็งต่าง ๆ ของความเป็นไทย
ผมได้ยินรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย
พูดในรายการ เดินหน้าประเทศไทย
เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าประเทศไทยเราไม่มี hard power แต่มี soft power
ที่สามารถสร้างภาพลักษณ์ทางบวก และสร้างรายได้มหาศาล
หากทุกฝ่ายร่วมกันอย่างจริงจัง
ท่านแปลคำว่า hard power เป็น อำนาจผยอง
ส่วน soft power ท่านเรียกว่าเป็น อำนาจละมุน
ฟังดูน่ารักดีแม้จะไม่เป็นวลีที่คนไทยคุ้นเคยหรือใช้บ่อยนัก
ในรายการเดียวกันนั้น คุณกอบกาจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา
กับคุณวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีวัฒนธรรม
ก็มาร่วมเพื่อจะยืนยันว่าสามกระทรวงหลัก
จะประสานกันเพื่อจะสร้างพลังแห่ง พลังละมุน ของไทยให้เกรียงไกรไปทั่วโลก
ในหลายกรณี Soft power มีพลังหนักหน่วง
และมีประสิทธิภาพมากกว่า Hard power ด้วยซ้ำไป
อำนาจที่แท้จริงของสหรัฐไม่ได้อยู่ที่อาวุธยุทโธปกรณ์
หากแต่อยู่ที่ พลังละมุน ในรูปของดนตรี, ไอที, วรรณกรรม, การศึกษา, และภาษา
ทำนองเดียวกับที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ประสบความสำเร็จด้วยวัฒนธรรมบันเทิง เพลง ละครและอาหาร
และจีนก็กำลังเดินหน้าด้วยการส่งออก พลังละมุน
ในรูปของการส่งเสริมให้เรียนภาษาจีนผ่านสถาบันขงจื๊อ
รัฐมนตรีช่วยดอนบอกว่านักกีฬาไทยเราก็เริ่มจะสร้างชื่อเสียงระดับสากล
เสริมภาพลักษณ์ของประเทศได้อย่างดี
ท่านบอกตอนหนึ่งว่า ถ้าเอ่ยชื่อรัชนกในต่างประเทศ จะมีคนสดุดี
แต่ถ้าเอ่ยชื่อนักการเมืองไทย ก็ไม่มีใครรู้จักสักเท่าไหร่
ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าชื่อเสียงของอาหารไทย
และวัฒนธรรมไทยกับรอยยิ้มของคนไทย
ดีกว่าการเมืองไทยหลายเท่า
รัฐมนตรีกอบกาญจน์ บอกว่าอาหารไทยติดอันดับหนึ่ง
ในห้าของโลกและความเป็นไทยด้านต่าง ๆ เป็น DNA
ของประเทศที่มีคุณค่าเกินกว่าจะตีเป็นราคาได้
รัฐมนตรีวีระก็ยืนยันว่า วัฒนธรรมไทยเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
และเป็นจุดขายที่สำคัญของความเป็นประเทศ เป็นมรดกที่ตกทอดมายาวนาน
แต่แค่สามกระทรวงไม่พอที่จะทำให้ ละมุนพลัง
ของไทยกลายเป็น brand ชั้นนำของโลกได้ จะต้องระดมคนทุกวงการ
โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว นักคิดนักเขียน
นักแสดง นักออกแบบและผู้นำธุรกิจรวมถึงผู้ประกอบการหรือ entrepreneurs
ในธุรกิจทุกวงการมาร่วมกันสร้าง soft power ของไทยอย่างเข้มข้น
และต่อเนื่องจากนี้ไป ผมไม่ค่อยมีความหวังกับการเมืองไทย
และยังมองไม่เห็นหนทางที่จะทำให้คุณภาพการเมืองของประเทศพัฒนามากไปกว่านี้
พื้นฐานเศรษฐกิจไทยพอไปได้
แต่การเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งของการยกระดับประเทศ
ออกจาก กับดักรายได้ปานกลาง
ดังนั้น ผมจึงเห็นแต่เพียงการสร้าง soft power ของไทย
ผ่านวัฒนธรรมอาหาร, บันเทิง, มวยไทย, นวดแผนโบราณ, ท่องเที่ยว, แฟชั่น
และการจัด events ระดับสากลเท่านั้น
ผมได้รับทราบว่างาน Thai Festival
ที่สถานทูตไทยประจำโตเกียวจัดทุกปีเป็นจุดเด่นในญี่ปุ่น
มีคนญี่ปุ่นมาเป็นหมื่นเป็นแสน
เพราะเขาชื่นชมอาหารไทย, วัฒนธรรมไทย, และความเป็นมิตรของคนไทย
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะทำให้ Thai Festival
กลายเป็น Talk of the Town ของทุกประเทศได้
เราต้องพิสูจน์ว่า ละมุนพลัง ก็ ผยอง ได้
เพราะผมยืนยัน soft power
มีพลังกว่า hard power ได้แน่นอน
ถ้าเรารู้จักทำให้มันเป็น smart power สำหรับประเทศไทย!/จบ
.................................................................................................................................