โดยนายรังสิมันต์ โรม ผู้ต้องหาที่ 1
เพื่อได้รับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนแล้ว
ได้ให้การว่า ตนประสงค์จะให้การต่อสู้คดี
แต่เนื่องจากขณะที่พนักงานสอบสวนมาสอบสวนข้าพเจ้า
ณ สถานที่นี้นั้นไม่มีความเหมาะสมเพราะมีอากาศร้อนอบอ้าว
ทำให้สภาพจิตใจและร่างกายไม่พร้อมกับการให้การ
ประกอบกับข้าพเจ้าประสงค์ที่จะรวบรวมพยานหลักฐานประกอบคำให้การ
แต่ยังไม่สามารถเตรียมได้ทันเนื่องจากทราบนัดหมายกระทันหัน
อีกทั้งเพื่อนที่ถูกจับกุมพร้อมกับข้าพเจ้าก็ถูกแยกการคุมขัง
ทำให้ยังไม่สามารถปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อเท็จจริงได้
และห้องซึ่งใช้ในการสอบสวนในวันนี้ทนายความไม่อาจฟังการตอบโต้
ระหว่างข้าพเจ้าและพนักงานสอบสวนได้อย่างชัดเจนทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถ
ปรึกษาทนายความได้ จึงไม่ชอบด้วยวิธีการสอบสวน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอมีการสอบสวนคราวหน้า
และขอให้มีห้องสอบสวนที่มีลักษณะเป็นการส่วนตัว
เหมาะสมและสามารถให้ทนายความร่วมฟังการสอบสวนได้ตามกฎหมายกำหนด
ส่วนสมาชิกรายอื่นๆ ปฏิเสธที่จะให้การในวันนี้
เนื่องจากเหตุผลเดียวกัน ประกอบกับความล่าช้าในการเบิกตัวผู้ต้องขังออกมา
คือเบิกตัวมาในเวลา 14.30 น. ซึ่งเรือนจำใกล้ปิดทำการ
โดยเมื่อถึงเวลา 15.00 น.ทางเรือนจำได้ปิดสัญญาณโทรศัพท์
ทำให้ไม่สามารถสื่อสารได้ชัดเจน ซึ่งสมาชิกรายหนึ่งได้กล่าวว่า
เมื่อศาลทหารยังสามารถเปิดทำการในช่วงเวลา 1.00 น.ได้
เหตุใดจึงไม่สามารถหาห้องสอบสวนที่เป็นการส่วนตัวได้
อย่างไรก็ตาม ด้านนางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว มีอาการเจ็บและชาร่างกายซีกซ้าย
ซึ่งตอนนี้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า
ข้าพจ้าปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าทำเป็นการกระทำโดยสุจริต
ตามสิทธิพลเมืองที่ประเทศไทยทำข้อตกลงไว้กับสหประชาชาติ
และคณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่ใช่รัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย
มายึดอำนาจจากประชาชนซึ่งถือว่าเป็นกบฎ
ทั้งนี้ คณะทนายความได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง
ของทนายความนั้นเป็นห้องขนาดเล็ก มีลูกกรงและพลาสติกกั้น
ระหว่างห้องสื่อสารกันโดยใช้โทรศัพท์ เมื่อทนายความและพนักงานสอบสวน
รวมกันกว่า 20 คนจึงทำให้ห้องยิ่งคับแคบและไม่อาจสื่อสารได้ชัดเจน
อีกทั้งห้องดังกล่าวเป็นการใช้ร่วมกันกับทนายความคดีอื่นๆ
ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการให้การทั้งคดีของขบวนการประชาธิปไตยใหม่และคดีอื่น ๆ
ขณะเดียวกันกลุ่มทนายความและนักกฎหมาย
นำโดยสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์เรียกร้อง
ให้สั่งไม่ฟ้องนักศึกษาทั้ง 14 คน เพราะการแสดงความคิดเห็นโดยสงบ
และสันติไม่ใช่อาชญากรรม โดยมีรายละเอียดทั้งหมดดังต่อไปนี้
ขณะเดียวกัน สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
เเละทนายความนักกฎหมายรวม78 รายชื่อออกแถลงการณ์เรื่อง
เรียกร้องให้สั่งไม่ฟ้องนักศึกษาทั้ง 14 คน
เพราะการแสดงความคิดเห็นโดยสงบและสันติไม่ใช่อาชญากรรม
จากกรณีจับกุมกลุ่มนักศึกษา 14 คน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558
ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558
และตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ประกอบมาตรา 83
ปัจจุบันนักศึกษาทั้ง 14 คน ถูกฝากขังโดยอำนาจศาลทหารนั้น
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) เห็นว่านักศึกษาทั้ง 14 คน
ได้ใช้เสรีภาพในการชุมนุมแสดงความไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการใช้อำนาจของ คสช.
และสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจภายหลังการรัฐประหารในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นการชุมนุมแสดงความคิดเห็นโดยสันติวิธี ไม่มีการใช้ความรุนแรง
และไม่มีพฤติการณ์หรือการกระทำใดที่จะถือได้ว่ากระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
ในทางกลับกัน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการสะท้อนปัญหาสังคม
และปัญหาปากท้องของชาวบ้านที่นักศึกษาได้รับรู้จากการลงพื้นที่
ศึกษาปัญหาด้วยตนเองอย่างจริงจัง เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้
และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสิ่งเดียวกันกับความมั่นคงของรัฐ
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) นักกฎหมาย ทนายความ
และบุคลากรที่ทำงานด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเห็นว่า
การแสดงความเห็นของนักศึกษาทั้ง 14 คนที่แตกต่างจากรัฐโดยสันติวิธี
จึงถือเป็นนักโทษทางการเมืองและนักโทษทางความคิด
ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR.)
ที่รัฐไทยเป็นภาคี และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมาตรา 4
ได้รับรองพันธกรณีดังกล่าวที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตาม
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การกระทำของนักศึกษาจึงไม่ถือว่าเป็นความผิด
การดำเนินคดีนักศึกษา 14 คนต่อไป ย่อมจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ
ปราบปรามดำเนินคดีกับประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล
ลักษณะดังกล่าว ย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยปราศจากความเป็นธรรม
กระทบต่อความมั่นคงในชีวิต สิทธิเสรีภาพ และหลักประกันสิทธิของประชาชนเสียเอง
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) องค์กร
และบุคคลดังมีรายชื่อท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ จึงขอเรียกร้อง ดังต่อไปนี้
1. ให้พนักงานสอบสวนและ/หรืออัยการศาลทหารมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนักศึกษาทั้ง 14 คน
และปล่อยตัวไป เนื่องจากไม่ได้กระทำความผิด
แต่เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามหลักการสันติวิธี
และปราศจากความ รุนแรง
2. ให้ คสช.ยุติการเจรจาในลักษณะกดดันญาติของนักศึกษา
อันอาจถือได้ว่าเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพของ บุคคลเหล่านั้น
อีกทั้งควรยุติให้ข้อมูลข่าวสารที่จะเป็นลดความน่าเชื่อถือ
และอาจจะเป็นการสร้างความเกลียดชังต่อนักศึกษา
ซึ่งอาจจะนำพาไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ความมั่นคงในสิทธิเสรีภาพของประชาชน คือความมั่นคงของรัฐ/จบ
................................................................................................................................