|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
อาภากรเกียรติวงศ์...ผู้ทรงธำรงรัฐนาวีสยาม
"...ตราบใดที่คำว่าอาภากร ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาแผ่นดินสยามของกู ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้กำเนิดเรามา แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น..."
อาภากรเกียรติวงศ์...ผู้ทรงธำรงรัฐนาวีสยาม
..........พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย วันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๒๓ ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๔๒ เวลา ๑๔.๕๗ น. เปนพระราชโอรสลำดับที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด มีพระกนิษฐาพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา และพระอนุชาอีกพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายสุริยงประยูรพันธุ์ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส
..........เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯทรงเข้ารับการศึกษาชั้นต้นในพระบรมมหาราชวัง และโรงเรียนหลวง ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ จนถึงโสกันต์ จากนั้นทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ โดยมีสมเด็จพระมนตรีพจนกิจ เป็นพระอภิบาล ขั้นแรกทรงศึกษาที่โรงเรียนกวดวิชา แล้วจึงเข้าศึกษาในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ทรงเป็นนักเรียนทำการนายเรือ ในราชนาวีอังกฤษ ทรงเล่าว่า "...เมื่อเป็นนักเรียนทำการนายเรือ ในราชนาวีอังกฤษ ได้มีโอกาสขึ้นทำการปราบจลาจล ที่เกาะครีท ที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเวลาราว ๓ เดือน ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย หนาวก็หนาว ในสนามรบ ต้องนอนกับศพที่ตายใหม่ๆ และบางคราว ซ้ำยังอดอาหาร ต้องจับหอยทาก มาเสวยกับหัวหอม ศพที่ถูกยิงที่ท้องนับว่าเหม็นร้ายกาจมาก ถึงจะเป็นศพตายใหม่ๆ ก็ตาม..." รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ๖ ปีเศษ นับว่าทรงเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์แรก ของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษา เกี่ยวกับ วิชาการทหารเรือ ยังต่างประเทศ ..........หลังจากสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับถึงพระนครแล้ว ทรงได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท และโปรดเกล้าฯให้ทรงทำหน้าที่ผู้บังคับการเรือปืน ต่อมาเลื่อนยศเป็นนายเรือเอก โปรดเกล้าฯให้ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็น รองผู้บัญชาการ กรมทหารเรือ เลื่อนยศเป็นนาวาเอก และสถาปนาพระอิสริยยศเปน กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตามลำดับ
..........เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสพระราชทานกับหม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธุ์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช (ต่อมาเป็น สมเด็จพระราชปิตุลาบรมวงศาภิมุข) แต่ชีวิตสมรสของพระองค์มิค่อยสู้ดีเท่าใดนัก เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯทรงมีพระโอรสพระธิดารวม ๑๐ พระองค์ ตามลำดับพระชันษาได้ดังนี้ ๑) ท่านหญิงจารุพัตรา ศุภชลาศัย ประสูติแต่หม่อมกิม ๒) ท่านหญิงศิริมาบังอร เหรียญสุวรรณ ประสูติแต่หม่อมแฉล้ม ๓) พระหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเปนกรณีพิเศษ) ประสูติแต่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธุ์ (พระยศสุดท้าย) ๔) หม่อมเจ้าชายสมรบำเทอง ประสูติแต่หม่อมเมี้ยน ๕) ท่านหญิงเริงจิตร์แจรง อาภากร ประสูติแต่หม่อมกิม ๖) หม่อมเจ้าชายดำแคงฤทธิ์ ปนะสูติแต่หม่อมแฉล้ม ๗) หม่อมเจ้าชายครรชิตพล ประสูติแต่หม่อมช้อย ๘) หม่อมเจ้าชายรังษิยากร ประสูติแต่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธุ์ ๙) หม่อมเจ้าหญิงสุคนธ์จรุง ประสูติแต่หม่อมกิม ๑๐) หม่อมเจ้าชายรุจยากร ประสูติแต่หม่อมแจ่ม
..........เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงได้ดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงแก้ไข ปรับปรุงการศึกษา ระเบียบการ ในโรงเรียนนายเรือทุกอย่าง ทั้งฝ่ายปกครอง และฝ่ายวิชาการ ให้รัดกุม ทัดเทียมอารยะประเทศ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนี้ เป็นนายทหารเรือ ที่มีความรู้ความสามารถเสมอด้วยกับนายทหารเรือต่างประเทศ และสามารถทำการแทนในตำแหน่งชาวต่างประเทศที่รับราชการ อยู่ในกองทัพเรือในขณะนั้นอีกด้วย
..........ถึงแม้ว่าเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ จะทรงแก้ไข ปรับปรุง ระเบียบการศึกษา ให้มีความก้าวหน้า แต่สถานที่ตั้ง โรงเรียนนายเรือนั้น ไม่มีที่ตั้ง เป็นหลักแหล่งที่มั่นคง ต้องโยกย้าย สถานที่เรียนบ่อยๆ ซึ่งเป็นเหตุผล ประการหนึ่ง ที่ทำให้ผลการเรียนของนักเรียนนายเรือไม่ดีเท่าที่ควร จึงขอพระราชทานที่เพื่อตั้งเป็น โรงเรียนนายเรือ นับว่า รากฐานของทหารเรือ ได้หยั่งลงแล้ว อนึ่ง เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงเห็นว่า ควรจะได้ฝึกหัดให้ทหารเรือไทยเดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ เพราะในสมัยนั้นคนไทยยังต้องจ้างชาวต่างประเทศมาเป็นผู้บังคับการเรือ ซึ่งนับได้ว่า เป็นพระดำริที่ดี และสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ในทางการทหารเรือ ของราชนาวีไทย และทางกองเรือ ก็ได้ยึดถือแบบฉบับอันดีงามนี้ดำเนินการต่อมา จนตราบเท่าทุกวันนี้ นอกจากนั้น ทรงขอครูมาจากกระทรวงธรรมการเพื่อสอนบาร์คู่ บาร์เดี่ยวและห่วง เพื่อให้นักเรียนฝึกหัด จนได้ผลเป็นอย่างดียิ่ง นอกจากทรงใฝ่พระทัย ในด้านการศึกษาแล้ว เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงดำริ สำหรับการช่วยเหลือราษฎร ในด้านการดับเพลิงนั้น ควรจะได้ให ้นักเรียนนายเรือได้มีการฝึกทำการช่วยเหลือราษฎร ฉะนั้นเมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ใด เรือกลไฟจะทำหน้าที่ ลากจูงเรือสูบน้ำ ไปทำการดับเพลิง เป็นประจำ ทรงตั้งกองดับเพลิงขึ้น
..........ด้านงานอดิเรกของเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงโปรดเล่นเรือใบ มวย และกระบี่กระบอง ถ้ามิใช้การกีฬาแล้ว ก็ทรงโปรดวาดภาพศิลปะเชิงวิจิตรศิลป์ ถ้าใครได้ไปที่พระอุโบสถวัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดสิงห์บุรีแล้ว จะได้เห็นงานภาพฝาผนังพุทธประวัติฝีพระหัตถ์ของพระองค์ นอกจากนั้นแล้วยังทรงพระนิพนธ์เพลงให้กับชาวประดู่ไว้อีกหลายเพลง
..........เมื่อทรงลาออกจากราชนาวีแล้ว ทรงอยู่ว่างๆรำคาญพระทัย จึงลงมือศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จนชำนิชำนาญ และรับรักษาโรคให้ประชาชนพลเมืองทั่วไป โดยไม่คิดมูลค่าจนเป็นที่เลื่องลือว่า มีหมออภินิหารรักษาความป่วยไข้ได้เจ็บ ได้อย่างหายเป็นปลิดทิ้ง ด้วยพระกรุณาของเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯที่มีอยู่อย่างเต็มพระหทัยนั้น ชาวบ้านจึกเรียกพระองค์ในพระนาม "หมอพร" หรือ "เจ้าพ่อ" หรือ "เสด็จเตี่ย" ที่ชาวรัฐนาวีสยามยกย่องท่านแลรักประดุจดั่งบิดาของตนเอง
..........เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงดำรงตำแหน่งทางการทหารอีกครั้งหนึ่ง ในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ แต่ก็ทรงดำรงตำแหน่งอยู่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ก็ได้กราบบังคมลาออกจากราชการไปตากอากาศเพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ เมืเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ได้เสด็จไปประทับอยู่ที่ด้านใต้ปากน้ำ เมืองชุมพรซึ่งเป็นที่เสด็จในกรมฯทรงจองไว้จะทำสวน ขณะที่เสด็จในกรมฯประทับอยู่ที่จังหวัดชุมพรนี้ ก็เกิดเป็นพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝน ทรงประชวรอยู่เพียง ๓ วัน ก็สิ้นพระชนม์ที่ตำบลทรายรี ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ สิริพระชนมายุได้ ๔๔ พรรษา สร้างความเศร้าโศกแก่ชาวไทยอย่างยิ่ง
..........ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ร.ล.เจนทะเลได้เชิญพระศพจากจังหวัดชุมพรมายังกรุงเทพฯ และมาพักถ่ายพระศพสู่ ร.ล. พระร่วงที่บางนา ต่อจากนั้น ร.ล.พระร่วงได้นำพระศพเข้ามายังกรุงเทพฯ นำพระศพประดิษฐานไว้ที่วังนางเลิ้งของพระองค์ท่าน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทาน จนถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพไปพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง
..........เพื่อรำลึกถึงพระกรุณาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จึงได้กำหนดวันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปี เป็นวัน "อาภากร" แม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านมากว่า ๘๓ ปีแล้ว ชนชาวไทยทุกคนก็ยังคงรำลึกนึกถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นจอมนาวีสยามตลอดไป
..........แม้ว่าดวงพระวิญญาณ ของพระองค์จะทรงสถิตย์อยู่ ณ แดนสุขาวดี บนสรวงสวรรค์แล้ว พระบารมีของพระองค์ ยังคงแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ คอยปกป้องคุ้มครอง พสกนิกร ผู้จงรักภักดี ที่เคารพเทิดทูนพระองค์ โดยเฉพาะทหารเรือทุกคน ซึ่งเปรียบประดุจ ลูกหลานของพระองค์ และดลบันดาล ให้ประสบความสำเร็จ ในสิ่งอันพึงปรารถนาอยู่เป็นนิจ อนุสรณ์ที่ปรากฏอยู่อย่างมากมาย ทั่วประเทศ มีทั้งพระอนุสาวรีย์ พระรูป ศาลกรมหลวงชุมพร พระฉายาลักษณ์ พระสาทิศลักษณ์ เหรียญที่ระลึก ตลอดจนพระนามที่ปรากฏ เป็นชื่อของสถานที่ต่างๆ เป็นประจักษ์พยานได้ เป็นอย่างดี พระองค์ทรงเป็น ปูชนียบุคคลของทหารเรือ ชั่วนิรันดร ดั่งเพลงปลุกใจอันไพเราะ และมีความหมายลึกซึ้ง ที่ทรงนิพนธ์ ให้ทหารเรือทุกคน ได้ขับร้องสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ "...ส่วนตัวเราตายไว้ยืน ไว้ยืนแต่ชื่อ ให้โลกทั้งหลายเขาลือ ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย..."
ขอขอบคุณ หนังสือจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ //se-ed.net/piriyata/index.html //www.navy.mi.th
Create Date : 19 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 19 พฤษภาคม 2549 15:52:25 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1262 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: อยากรู้ IP: 58.8.123.140 วันที่: 16 มิถุนายน 2549 เวลา:17:50:52 น. |
|
| |
|
ดนย์ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|