deeplove
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




Group Blog
 
 
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
21 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add deeplove's blog to your web]
Links
 

 
หมาขี้เรื้อน





ดอกไม้งามได้เพราะ รูปลักษณ์ และสีสัน

คนจะงามได้เพราะ พระธรรม






เคยมั๊ยที่เวลาคุยอะไรกับใครแล้วคนๆ นั้นชอบอ้างว่า "ฉันรู้มากกว่าเธอนะ

เพราะฉันเป็นคนเข้าวัดเข้าวา" ทำให้ตัวเองรู้สึกด้วยตัวเองว่า ถึงจะไม่ค่อยได้

เข้าวัดเข้าวาไปร่ำเรียน หรือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหมือนคนที่บอกว่าไปบ่อยๆ

แต่ก็ทำดี พูดดีไม่พูดให้ร้ายส่อเสียดคนอื่น และปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อย

วาง ไม่อิจฉาริษยาใคร และไม่เคยคิดร้ายกับใคร มีเมตตากับคนที่ต่ำต้อย

และไม่มีหนทางต่อสู้ รู้ผิดชอบชั่วดีว่าสิ่งไหนควรทำ และสิ่งไหนไม่ควรทำ

เกี่ยวกับศาสนาก็เคยได้เรียนรู้ว่าศาสนาทุกศาสนาจะสอนให้ทุกคนเป็นคนดี

ทำแต่ความดี ละลด เลิกทำชั่วทั้งปวง ประมาณนี้




แต่ในหลายๆ ครั้งที่เห็นจากผู้ที่อ้างตัวว่าเข้าวัดบ่อยๆ กลับหันหลังให้กับคำ

สั่งสอนที่ได้ร่ำเรียนมาจากวัด พูดจาส่อเสียดผู้อื่น แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉา

ริษยา ทำร้ายคนด้วยกาย วาจา และใจ อย่างนี้เป็นต้น และสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่

ในปัจจุบัน คือ ขาดเหตุผลพูดอะไรตัวเองต้องเป็นผู้ชนะแบบเอาสีข้างเข้า

ถูก อยากได้ อยากให้เป็นอย่างไรจะต้องให้ได้อย่างที่อยากได้โดยไม่สนใจ

ว่าจะถูกต้องตามหลักเกณฑ์หรือไม่ เอาอารมณ์ตัวเองและกลุ่มพวกตัวเองมา

ตัดสิน แล้วอ้างว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับตน และถ้าหากไม่ได้ก็จะปลุก

ระดมให้ผู้คนลุกฮือมาเพื่อให้ได้ตามเจตนาที่ตัวเองต้องการสมหวัง โดยไม่ดู

ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ซึ่งมีผลทำให้คนกลุ่มใหญ่ต้องเดือดร้อน

ประเภทนี้มีให้เห็นในสังคมประเทศเราเยอะแยะพวกเอาสีข้างเข้าถูไปวันๆ

พวกแพ้ชวนตี หรือพวกไม่รู้จักแพ้รู้จักคำว่าชนะ ทำยังกับว่าถ้าไม่ได้ในสิ่งที่

ตัวเองต้องการในวันนี้แล้ว ตัวเองและพวกต้องตายไปในวันนี้พรุ่งนี้ มีบ้าง

บางคนที่ถ้าไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการก็ปลุกระดมให้ลุกฮือด้วยการใช้

กำลังใช้พวกมากลากไป แบบนี้เรียกว่าคนดีหรือไม่แล้วเราสมควรจะเอาเป็น

เยี่ยงอย่างและทำตามอีกหรือ สำหรับตัวเองคิดว่า ปัญหาเกิดจากที่ไหนก็แก้

ปัญหาที่ตรงนั้น ก่อนอื่นจะขอแนะให้แก้ที่ใจตัวเองก่อน ทำใจให้ปล่อยวาง

บ้างอย่าร้อนรน เร่าร้อน อิจฉาริษยาในโชควาสนาคนอื่นที่ตัวเองไม่ได้ ชีวิต

ยังอีกยาวไกลไม่ตายก็คงมีโอกาสแบบเค้า ควรรอโอกาสบ้างไม่ตายคงจะ

ได้สักวัน จะใจร้อนดิ้นรน กระเสือกกระสนทุรนทุรายไปทำไม หรือว่าผล

ประโยชน์รอไม่ได้ เพราะถ้ารอแล้วหนทางหากินที่คิดไว้จะหมดสิ้นไป อยาก

บอกว่าใจเย็นเหอะนะญาติโยมทั้งหลาย จะทำอะไรคิดถึงบ้านเมืองที่อยู่

อาศัยบ้าง บุญคุณแผ่นดินใหญ่หลวงนักคิดให้กว้างๆ อย่าคิดในวงแคบเฉพาะ

พรรคพวกและผลประโยชน์ของตัวเอง...((ตายๆๆ มาได้ไงคะนี่เรื่องนี้))







ลองมาอ่านเรื่องเล่าเรื่อง "หมาขี้เรื้อน" กันสักนิดนะคะเป็นเรื่องที่เค้าเล่ากัน

มาเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนคน เห็นว่าดีก็เลยขออนุญาติมาเล่าต่อประกอบเรื่อง

ข้างบน เค้าเล่าว่า





มีลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษา

กลับมาจากเมืองนอกยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอ

ร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่ บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึง

บวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็น

แม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาค

อีสาน






พระหนุ่มการศึกษาสูง มาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่า

กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ 'นิ่ง' ก็ทำ

เอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน






ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอา ก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบ

จับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชู หางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็

นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูง เหมือนอย่างตน ออก

บิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียง

น้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่ หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จัก

ใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ท่านรองเจ้า

อาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง จนขาเป็นเหน็บชา ครั้น

พอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไป

ตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัว

เองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาด

สะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูป

อื่นแล้ว ช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ

กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับ

ถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ






อยู่มาได้พักใหญ่ พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาส

วัดป่าแห่งนี้ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆ ครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูก

ศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆ ไม่เห็นท่านทำอะไร เอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้า

เอง (พระ-เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่าน

รองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา อุตส่าห์

เขียนคำวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการวัดได้ร่วมยี่สิบข้อ เสนอให้ปรับ

โน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้

ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามาก

แล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีก หนึ่งในข้อวิจารณ์

จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมี

ปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้น เทศน์ให้มากขึ้น

และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเอง เป็นต้น

ด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า







เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์

ธรรมชาติกลางลานทราย ด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่

มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหน

เป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา พลางหยิบไมโครโฟน

ขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่

นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ







"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคัน

ไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมา

นอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมา

ตัวนั้นน่ะ มันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้

ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้น

ดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็

หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้

สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่

อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคเรื้อน ซึ่งเกาะกินอยู่บนหลัง

ของตัวมันเองนั่นต่างหาก"






พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนา

หลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบ

นั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นว่าย นึกอย่าง

ไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธิ

นานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็น

คนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบ

จับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง แม้เมื่อออกพรรษาแล้ว โยม

แม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอม

สึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับ

ครูบาอาจารย์ที่นี่ อีกสักหนึ่งพรรษา" โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมือ

อนุโมทนาสาธุการ กราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถ พลาง

นึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า คำว่า 'หมาขี้เรื้อน' ของพระลูกชายหมายความว่า

อย่างไรกันแน่






จากเรื่องเล่านี้ได้อะไรกันบ้างคะ คนเรามักคิดอะไรเข้าข้างตัวเองเป็นสมบัติ

ของคนอยู่แล้วที่คิดอะไรทำอะไรมักทำในแง่ของตัวเอง เอาตัวเองเป็น

หลัก..แง่คิดของตัวเองที่ยึดถือปฏิบัติมานานมากแล้ว คือ เวลาเรามองอะไร

ให้มองจากข้างนอกเข้าหาตัวเอง คนส่วนมากมักมองจากข้างในตัวเองออก

ไปข้างนอก...งง มั๊ยคะ...เวลาที่เรามองจากข้างใน ก็คือ การมองแบบเอาตัว

เองเป็นที่ตั้ง แต่ถ้าเรามองจากข้างนอกเข้ามาข้างในนั้น จะเป็นการมองแบบ

เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา เอาคนข้างนอกมาเป็นที่ตั้งแล้วมาปรับเปลี่ยนตัวเรา

เอง ถ้ามองแบบนี้เราจะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว จะคิดถึงหัวอกเค้าหัวอกเรา

เวลาจะทำอะไรก็จะนึกถึงคนอื่นก่อน ไม่ใช่คิดแต่ตัวเองผลประโยชน์ตัวเอง

หรือพวกของตัวเอง แง่คิดจากเรื่องเล่าที่ทำให้เราคิดได้อยู่ที่การอ่านและ

ความเข้าใจและตีความออกมา นั้นอยู่ที่พื้นฐานอารมณ์ ความนึกคิด ความ

รู้สึก ของแต่ละบุคคล เรื่องเล่าที่ดีจึงมักมีแค่การเล่า แต่การตีความ และ

ความคิดอยู่ที่คนอ่าน...จะอ่านอะไรก็เหมือนการจะทำอะไรขอให้คิดให้หนัก

ตีความให้หนัก อย่าเชื่อในสิ่งที่แค่ฟังต่อๆ กันมาโดยตัวเองไม่ได้สัมผัส ควร

ใช้ใจสัมผัสด้วยความคิดที่ดีและรอบคอบจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของใครค่ะ...







n my mind

milky




Magic city!


Tu tu tu tu tu tu tu,

Tu tu tu tu tu tu tu, ah ah...(x2)


Last night when we were talking alone

It came out this what your kisses feel like

Today I'm making a wish

I don't want you to say goodbye


[Bridge]

So kiss me now

kiss me now again

I got you in my mind

And I need you right here

So get here now

Get here if you can

I got you in my life

And I need you right here


[Chorus]

I, I, I ,I, I, I, I ,I, I, ah ah

I, I, I ,I, got you in my mind that's right (x2)


Tu tu tu tu tu tu tu,

Tu tu tu tu tu tu tu, ah ah...(x2)


Ah ah, that's right

Ah ah....


Am I living my dreams

Me and you, you and me

But what we have ain't just real

We won't throw it away

Now I'm missing your lips

So don't try to say goodbye

[Bridge]

[Chorus]


Tu tu tu tu tu tu tu,

Tu tu tu tu tu tu tu, ah ah...(x2)


I have tried many ways

But there's nothing I can do now

I saw you one day

And our love was really about to be

What can I say?

It is easy like ever seen

Then when we kiss

Everything do seem a dream

[Chorus]












Create Date : 21 เมษายน 2551
Last Update : 21 เมษายน 2551 7:19:28 น. 2 comments
Counter : 340 Pageviews.

 
ขอบคุณ จ๊ะ ที่นำมาฝาก

บางสิ่งไม่เหมาะในบางสถานที่

แต่เหมาะในอีกสถานที่หนึ่ง

ตัวจริงมันอยู่ที่ไหนเอ่ย


โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 21 เมษายน 2551 เวลา:12:27:46 น.  

 
อืม....ดีนะคับที่พระรูปนั้นรับฟังคำของเจ้าอาวาสกลับมาพิจารณาตัวเอง
ไม่คิดเอาแต่ใจตัวเป็นที่ตั้งหาว่าเจ้าอาวาสกล่าวว่าร้ายอะไรตนด้วยความเห็นแก่ตัว
จนทำให้ตัวเองสำนึกและคิดได้ และนำมาปรับปรุงตัวเองได้เป็นอย่างดี
เป็นข้อคิด และข้อควรปฏิบัติอีกเรื่องนึงเลยล่ะคับ ^^
รักนะคับ


โดย: AquiraX IP: 58.8.145.28 วันที่: 21 เมษายน 2551 เวลา:13:50:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.