วันเดียวเที่ยว "ภูเก็ต" ทริปนี้พาหัวใจอิ่มเอม
หากยังไม่ได้ร่วมชิมอาหารพื้นเมืองภูเก็ตด้วยกัน สามารถรับชมได้ที่นี่ค่ะ หมี่หุ้น หมี่ฮกเกี้ยน โลบะ ปอเปี๊ยะสด หมูสะเต๊ะ อาโป๊ง โอ้เอ๋ว @ ภูเก็ต Click!!! Click!!!
ทริปบินไป บินกลับ ขับรถเที่ยวภูเก็ตภายใน 1 วันนี้ ได้จองตั๋วโปรโมชั่นจากแอร์เอเชียตั้งแต่ พ.ย. ปีที่แล้ว ด้วยค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 300 บาท/ คน ตอนแรกตั้งใจจะไปกันทั้งครอบครัว 5 คน แต่น้องชายเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ และต้องทำงานวันเสาร์ด้วย ไม่อยากจะลางาน ทริปนี้เลยเหลือแค่ 4 คนเท่านั้น เนื่องจากแม่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน ก็เลยเลือกบินมาเที่ยวภูเก็ต จังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ และของกินอร่อยๆ ครบครัน ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เช้านี้เครื่องบินดีเลย์ไปร่วมชั่วโมงได้ ทำให้กว่าจะมาถึงภูเก็ตก็ปาเข้าไปเกือบจะ 11 โมงอยู่แล้ว ได้ติดต่อเช่ารถไว้ล่วงหน้า ทางบริษัทรถเช่าก็เลยมารับที่สนามบิน เพื่อไปทำหนังสือสัญญาเช่ารถกันที่บริษัท จอง Toyota Altis เอาไว้ แต่เกิดเหตุขัดข้อง จึงได้ Toyota Fortuner มาแทน ในราคาค่าเช่าวันละ 1,000 บาท จุดแรกของการมาเยือนเมืองภูเก็ตคือ "วัดพระทอง (พระผุด)" ตั้งอยู่ที่ อ.ถลาง เป็นทางผ่านที่จะเข้าเมืองพอดี เล่ากันว่า ขณะที่ชาวธิเบตได้นำองค์หลวงพ่อลงเรือเพื่อกลับประเทศ แต่เกิดเหตุเรือจมบริเวณชายฝั่ง จ.พังงา ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ทำให้บริเวณที่เรือจมเกิดเป็นแผ่นดินขึ้น ซึ่งก็คือ "เกาะภูเก็ต" นั่นเอง ต่อมาชั้นดินบริเวณองค์หลวงพ่อเกิดทรุดตัวลง องค์หลวงพ่อจึงผุดขึ้นมาให้เห็นเพียงพระเกตุมาลา สูงประมาณ 1 ศอก ส่วนองค์พระยังจมอยู่ใต้ดิน จึงได้หล่อองค์พระพุทธรูปครึ่งองค์สวมองค์พระทองเอาไว้ รอยยิ้มของสองคนนี้นี่ล่ะ ที่ทำให้หัวใจอิ่มเอม ก่อนหน้านี้แม่ไม่สบาย เป็นไข้และเวียนหัวมาเป็นเดือน แต่วันนี้ไม่มีร่องรอยของคนป่วยให้เห็นเลย แต่กลับจากเที่ยวเท่านั้นล่ะ ก็มานอนซมไม่สบายต่อ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่หายดีเลย (เครียดจัง) ระหว่างเข้าเมืองก็แวะอีกจุดหนึ่ง คือ "อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี (จัน) ท้าวศรีสุนทร (มุก)" เวลาจะเดินมาที่อนุสาวรีย์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะต้องอยู่ตรงวนเวียนพอดี มีรถวิ่งมารอบทิศทางเลย ท้าวเทพกระษัตรี และท้าวศรีสุนทรได้ปกป้องไม่ให้ข้าศึกศัตรูบุกรุกเมืองถลางไว้เมื่อปี 2328 หลังจากอิ่มอร่อยเต็มที่กับอาหารพื้นเมืองภูเก็ต เราก็มาเดินย่อยกันที่ "ย่านเมืองเก่า" ย่านเมืองเก่าของภูเก็ตเริ่มตั้งแต่ถนนภูเก็ต ถนนรัษฎา ถนนระนอง ถนนพังงา ถนนมนตรี ถนนถลาง ถนนกระบี่ ถนนสตูล ถนนดีบุก ถนนเยาวราช ไปจบที่ถนนเทพกษัตรี ตึกแถวสถาปัตยกรรมเก่าแก่แบบชิโน-โปตุกิสตึกหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างถนนดีบุกกับถนนเยาวราช หรือตรงข้ามกับศูนย์อาหารพื้นเมืองลกเที้ยนพอดี ตึกแถวเก่าแก่แบบนี้ที่เป็นเอกลักษณ์ และมีเสน่ห์อย่างยิ่งของเมืองภูเก็ต บานประตูไม้ของบ้านหลังนี้สีสันสดใสทีเดียว สีขาวตัดกับสีน้ำเงิน อดไม่ได้ที่จะยกกล้องถ่ายรูปเก็บภาพเอาไว้ บ้านหลังเก่าที่เคยอาศัยอยู่ก็เป็นบานประตูไม้แบบนี้เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ไม่มีช่องกระจกตรงกลาง ชุดโต๊ะรับแขก ณ มุมหนึ่งของ CHINA INN Cafe & Restaurant ดูคลาสิคแบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย ซอยสุดฮิตที่ใครไปใครมาภูเก็ตต้องแวะมาถ่ายรูปคู่กับตึกงามๆ นี้ "ซอยรมณีย์" ตึกแถวอายุกว่า 100 ปีที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แบบชิโน-โปตุกีส หรือตึกลูกผสมระหว่างสถาปัตยกรรมจีนกับสถาปัตยกรรมโปรตุเกส เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งคือ ตึกที่มีสีสันสดใส แต่ยังคงความเก่าแก่เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม แอบคิดว่า ถ้าแถวนี้คิดจะสร้างหรือปรับปรุงตึกใหม่ ยังต้องคงความงามแบบเดิมไว้หรือเปล่า จากที่ตั้งใจจะตรงดิ่งไปไหว้พระที่วัดฉลอง แต่เปิดเจอในหนังสือหนีกรุงว่า ที่นี่มีศาลเจ้าเก่าแก่อยู่หลายแห่ง จึงเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย มาที่ "ศาลเจ้าปุดจ้อ" อยู่ปากซอยภูธร ถนนระนอง ใกล้ตลาดสดเทศบาลเมืองภูเก็ต ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิม และที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งคือ "เซียมซียา" เป็นการเสี่ยงเซียมซีเพื่อขอให้เจ้าแม่กวนอิมประทานยาให้ มี 5 ประเภท คือ ยาเด็ก ยาผู้ชาย ยาผู้หญิง ยาตา และยาภายนอก ช่องใส่กระดาษเซียมซีที่เก่า และดูขลังมากมาย ซึ่งจะแยกช่องตามประเภทของการเสี่ยงเซียมซีด้วย จุดหมายต่อไปคือ "วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง)" ห่างจากเมืองภูเก็ตประมาณ 8 กม. ตามทางหลวง 4021 แม้หลวงพ่อแช่มจะมรณภาพไปตั้งแต่ปี 2451 แต่บารมีและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านยังไม่จางหายไป สังเกตได้จากมีการมาจุดประทัดแก้บนกันเรื่อยๆ ในวิหารนี้เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อจำลองของหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วง และหลวงพ่อเกลื้อม เรื่องหนึ่งที่เล่าต่อๆ กันมาถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อแช่ม คือ มีเด็กหญิงคนหนึ่งชอบพูดจาแผลงๆ ครั้งหนึ่งเกิดปวดท้องจุดเสียดอย่างแรง กินยาอะไรก็ไม่ทุเลา จึงบนหลวงพ่อแช่มว่า ขอให้หายปวดท้องด้วยเถิด ถ้าหายแล้วจะนำทองไปปิดที่ของลับของหลวงพ่อ อาการปวดท้องก็หายไป แต่เมื่อหายแล้วก็ไม่สนใจ ต่อมาอาการปวดท้องเกิดขึ้นมาอีก พ่อแม่จึงนำเด็กไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อแช่มพูดว่า ลูกมึงบนสัปดนอย่างนี้ใครจะให้ปิดทองอย่างนั้นได้ พ่อแม่เด็กอ้อนวอนกลัวลูกจะตายเพราะไม่ได้แก้บน ในที่สุดหลวงพ่อแช่มคิดแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ โดยเอาไม้เท้านั่งทับสอดเข้าให้เด็กหญิงคนนั้นปิดทองที่ปลายไม้เท้า กลับบ้านอาการปวดท้องจุดเสียดก็หายไป "พระมหาธาตุเจดีย์ พระจอมไทยบารมีประกาศ" เป็นเจดีย์ที่มีความสูง 3 ชั้น ชั้น 3 เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่นำมาจากประเทศศรีลังกา ชั้น 2 เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานหินอ่อนสีขาว และชั้นล่างเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประจำวันเกิด ระหว่างทางเดินขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ มีภาพจิตรกรรมบอกเล่าเรื่องราวพระพุทธศาสนาที่สีสันสดใสงดงาม ด้านบนชั้น 3 สามารถออกมายืนชมวิวได้ ซึ่งเราสามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบของวัดฉลองเลยทีเดียว เลยจากวัดฉลองไปไม่ไกลนัก มีป้ายบอกทางขึ้นไปสู่ "พุทธอุทยานเขานาคเกิด" ระหว่างทางขึ้นเป็นถนนเล็กๆ แคบๆ ขนาด 2 เลน ระยะทางประมาณ 6 กม. "พระใหญ่เมืองภูเก็ต" เป็นพระพุทธรูปประจำเมืองภูเก็ต อยู่บนยอดเขานาคเกิดตำบลกะรน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปแบบร่วมสมัย ขนาดหน้าตักกว้าง 25.45 เมตร ความสูง 45 เมตร โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับผิวด้วยหินอ่อนหยกขาวจากพม่า ต่อมาได้รับการถวายพระนามจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ว่า พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี พร้อมตราตั้งให้เป็นพระพุทธรูปประจำเมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2551 ภาพจำลอง ขั้นตอนการทำที่ถ่ายมาจากบอร์ดของทางวัด ที่นี่ยังมีให้ทำบุญบริจาคแผ่นหินอ่อนเพื่อนำมาประกอบสร้างพระอีกด้วย "สร้างพระถวายพ่อ หล่อพระถวายแม่" ดังนั้นจึงยังมี พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี รูปหล่อทองเหลืองผสมอยู่ด้านข้างๆ ด้วย ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 22 ตัน ฐานพญานาคกว้าง 3.93 เมตร ความสูงจากฐานถึงยอดรัศมี 12.19 เมตร วิวเมืองภูเก็ตที่มองลงมาจากยอดเขานาคเกิด เสียดายที่วันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝน รูปถ่ายเลยออกมาไม่แจ่มเท่าไหร่ แลนด์มาร์คของเมืองภูเก็ต "แหลมพรหมเทพ" ครั้งที่แล้วได้มาสัมผัสช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกน้ำสวยที่สุดแล้ว แต่ครั้งนี้รอถึงเย็นไม่ไหว มาชมแหลมพรหมเทพ และพระอาทิตย์ตอนบ่ายสามนี่ล่ะ โชคดีว่าอากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่โรแมนติคอีกแห่งหนึ่งที่คู่รักมักจะมาเดินเล่นและชมพระอาทิตย์ด้วยกัน แต่ยังไม่มีหนุ่มๆ ให้ควงไปด้วยซะที ไม่รู้บรรยากาศแบบนี้จะชวนโรแมนติคสำหรับตัวเองแค่ไหนนะ แต่ที่แน่ๆ รอยยิ้มนี้ล่ะที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยความรักที่อบอุ่นของคนในครอบครัว จนไม่อยากมองหาความรักจากชายใดแล้ว เสียดายว่ามีเวลาอยู่ที่ภูเก็ตได้ไม่นานเท่าไหร่ จาก 11 โมงถึง 3 ทุ่มแค่นั้นเอง เลยทำให้พลาดอีกหลายสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองภูเก็ต และอาหารอร่อยๆ อีกมากมาย จนแม่ถึงกับเอ่ยปากว่า คราวหน้ามาค้างสัก 1 คืนท่าจะดีนะ (ทั้งๆ ที่แม่ไม่เคยไปค้างอ้างแรมที่ไหนเลยนะเนี้ย) ได้เลย เดี๋ยวลูกสาวคนนี้จัดให้ แต่รอตอนตั๋วถูกๆ ก่อนนะ จะได้มีเงินเหลือเยอะๆ ไปหาของอร่อยๆ กินกัน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ช่วงนี้มีเทศกาลโหวตกันอีกแล้ว ครั้งนี้จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในหัวข้อ "กินเที่ยวทั่วไทย สไตล์บล็อกเกอร์" ซึ่งสามารถร่วมสนุกถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 โดยลงคะแนนได้ชั่วโมงละ 1 ครั้ง ขอแรงโหวตหน่อยนะคะ "เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องใหญ่สำหรับเรา" จิ้มโหวตได้เลยจ้า
Create Date : 26 กันยายน 2553 |
Last Update : 27 กันยายน 2553 8:01:42 น. |
|
69 comments
|
Counter : 10285 Pageviews. |
|
|
โหวตด้วยย
แหม ภาคสอง ต่อจากของหม่ำนิเอง แม่ท่าทางใจดีจังเลยจ้ะ น้องหนึ่ง