เส้นทางอิ่มบุญ "พิษณุโลก-อุทัยธานี"
พูดคุยกับเพื่อนๆ ไว้ตั้งนานแล้วว่า อยากมาไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกอีกสักครั้ง เคยนัดกันแล้วแต่เป็นอันต้องพับโครงการไป เพราะสมาชิกไม่ว่าง และเวลาไม่เอื้ออำนวย วันหยุดยาวๆ ที่ผ่านมาเป็นโอกาสอันดี แม้เพื่อนยกเลิกนัดไป 1 คน แต่ทริปของเราก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ออกจากชลบุรีประมาณ 9 โมงเช้า ตรงดิ่งมาที่พิษณุโลกกันเลยตามจุดหมายปลายทางสำคัญที่วางไว้ พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย จัดว่าเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดองค์หนึ่ง องค์พระมีขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว (2.875 เมตร) สูง 7 ศอก (3.5 เมตร) หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดเงาเกลี้ยง เป็นพระพุทธรูปที่อยู่คู่เมืองพิษณุโลกมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล สันนิษฐานว่าสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงปิดทองเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2146 และเมื่อปี 2478 ได้มีการลงรักปิดทองเต็มองค์อีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันพระพุทธชินราชประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารทางทิศตะวันตก องค์พระนั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานชุกชีบัวคว่ำบัวหงาย พระพักตร์หันไปทางทิศตะวันตก (ด้านริมแม่น้ำน่าน) มีซุ้มเรือนแก้วและสลักด้วยไม้สักลงรักปิดทอง ประดับเนื้อพระปฤษฎางค์ ประณีตอ่อนช้อยงดงาม มีความศักดิ์สิทธิ์น่าเสื่อมใสศรัทธา และช่วยเน้นให้พระวรกายของพระพุทธชินราชงามเด่น ชัดเจนยิ่งขึ้น จากนั้นก็เดินข้ามฝั่งมาอีกวัด คือ วัดนางพญา สันนิษฐานว่าผู้สร้างวัดนางพญา คือ พระวิสุทธิกษัตริย์ พระราชมารดาของพระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อครั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก ในระหว่างปี พ.ศ. 2091 - 2112 จึงได้ชื่อว่า วัดนางพญา วัดแห่งนี้ไม่มีพระอุโบสถ มีแต่พระวิหาร ของดีที่ขึ้นชื่อของวัดนี้ คือ "พระนางพญา" เป็นพระเครื่องหนึ่งในกลุ่มพระเบญจภาคี พระนางพญาไม่ว่าพิมพ์ไหน ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเป็นเลิศ สมกับเป็นหนึ่งใน 5 ของชุดเบญจภาคีนั้นเอง
พระนางพญาพิษณุโลกมีด้วยกันหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์เข่าโค้ง พิมพ์เข่าตรง พิมพ์เข่าตรงมือตกเข่า พิมพ์อกนูนใหญ่ พิมพ์สังฆาฏิ พิมพ์เทวดาหรือที่โบราณเรียกว่าพิมพ์อกแฟบ และพิมพ์อกนูนเล็ก หลังจากนั้นว่าจะไปนอนดูดาวที่ภูทับเบิกกัน แต่ระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตร กับช่วงเวลาบ่ายๆ กว่าจะไปถึงคงมืดแล้วล่ะ ก็เลยไปหาที่นอนแถวๆ น้ำตกดีกว่า ระหว่างทางที่มองหาที่พัก เจอป้ายบอกว่า "จุดชมวิว" ก็เลยขอแวะเข้าไปชมซะหน่อย ที่นี่มีเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา (ซะงั้น) วิวที่มองเห็นได้จากจุดชมวิว ท้องทุ่งนาสีเขียวๆ อากาศสดชื่น เห็นเค้าเขียนว่า "ดอยสุเทพ 2" เหมือนตรงไหนหว่า? ที่พักคืนนี้อยู่ใกล้ๆ น้ำตกแก่งซอง แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร เป็นที่พักแบบธรรมดามาก ถึงธรรมดามากที่สุด คืนละ 500 บาท ไม่มีอาหารเช้า ภาพระเบียงบ้านพักที่ตอนกลางคืนมานั่งตั้งวงสนทนากัน น้ำตกแก่งซองถึงซูมซูมได้จากระเบียงบ้านพัก น้ำตกแก่งซองอยู่ริมถนน ออกจากเมืองอยู่ทางด้านขวามือ หลักกิโลเมตรที่ 44 เดินลัดเลาะจากบ้านพักมาสัมผัสน้ำตกแบบใกล้ๆ ซะหน่อย เค้าบอกว่า ช่วงนี้น้ำตกจะสีขุ่นๆ แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว น้ำจะใสกว่านี้อีกเยอะ มาเดินเล่นแต่เช้าเลยยังไม่มีใครมาติดต่อล่องแก่ง บริเวณนี้มีเพิงขายของ ขายอาหารด้วย เผื่อใครอยากมานั่งกินลมชมวิวแถวนี้ ดอกอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่า ถ่ายยากชะมัด ถ่ายออกมาได้สวยสุดแค่นี้เอง มีสะพานแขวนข้ามระหว่างฝั่งถนนเข้าไปในหมู่บ้าน มีป้ายติดไว้ว่า ห้ามกระโดดสะพาน ฝ่าฝืนปรับ 2,000 บาท แต่ดูแล้ว น้ำข้างล่างไม่น่าจะลึกนัก ถ้ากระโดดลงไปอันตรายแน่ๆ เพื่อนๆ ออกความเห็นกันว่า มีเรือถีบแบบนี้ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศน้ำตกเท่าไหร่เลย ดูเหมือนเป็นสวนสาธารณะมากกว่า เดินชมวิวกันเพลินๆ ได้สักพัก ก็มุ่งหน้ากลับบ้านกัน เพราะถ้าออกช้ากว่านี้ กลัวรถติด แต่จุดหมายต่อไปที่ร้องขอกับเพื่อนๆ คือ ขอแวะไหว้พระที่ "วัดท่าซุง" จังหวัดอุทัยธานีก่อนนะ วัดท่าซุงตั้งมาก่อนสร้างกรุงศรีอยธยา 30 ปี พ.ศ.1863 ในยุคต้นของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อใหญ่องค์แรกที่เป็นผู้สร้างวัดชื่อ "ปาน" เหมือนกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค พระนครศรีอยุธยา รูปร่างหน้าตาใหญ่โต ท่านธุดงค์มาพบที่นี่เข้าแล้วก็เลยสร้างวัดตรงนี้ ตั้งแต่ปี 2511 นั้น หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้มาบูรณะวัดท่าซุง ซึ่งตอนนั้นอยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมมาก จนเจริญรุ่งเรือง และมีอาคารวิหาร มณฑปต่างๆ มากมาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาตัดลูกนิมิตพระอุโบสถแห่งนี้ "วิหารแก้ว 100 เมตร" เป็นอีกที่หนึ่งที่ทำให้ผู้คนจากทั่วสารทิศอยากมาชื่นชม ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อปี 2530 แล้วเสร็จในปี 2532 อาคารประดับด้วยกระจกเงา เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง และศพของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อย แต่ในวิหารแก้วนี้เปิดให้เข้าชม 2 ช่วงเท่านั้น คือ 9.00-11.45 น. และ 14.00-16.00 น. "ปราสาททองคำกาญจนาภิเษก" ซึ่งได้สร้างถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระที่ทรงเสวยราชย์เป็นปีที่ 50 เมื่อปี 2539 ปราสาททองคำมี 3 ชั้น มียอดทั้งหมด 37 ยอด เป็นยอดเท่าๆ กัน 36 ยอด ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ และยอดตรงกลางเป็นยอดใหญ่ 1 ยอด ส่วนบนสุดของปราสาทสร้างพระพุทธรูปปางลีลาขนาด 8 ศอก 1 องค์ หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ มีบันไดขึ้นทั้ง 4 ทิศ รูปนี้ปรับ WB ผิดไปหน่อย เลยได้ภาพออกมาสีเพื้ยนๆ แม้แต่ภายในก็วิจิตรอลังการไม่แพ้กัน เห็นภายในวัดยังมีอีกหลายจุดที่ยังสร้างไม่เสร็จ คงจะมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ทริปนี้อิ่มบุญไปตามๆ กัน ช่วงเวลา 2 วัน 1 คืนที่มีความสุขมากมาย แถมค่าใช้จ่ายไม่แพงอีกด้วย จ่ายเงินกองกลางไปแค่คนละ 1,100 บาทเอง มาเยี่ยมชม มาทักทายกันแล้ว อย่าลืมแวะมาโหวตให้กันด้วยนะคะ ทำลิงค์เอาไว้ เพื่อจะได้เข้ากันง่ายๆ (จิ้มเข้าไปได้เลยจ้ะ) เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องใหญ่สำหรับเรา (Thailand Blog Award 2010) ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ทำให้มีพลังในการไปตะเวนกิน ตะเวนเที่ยว เพื่อจะมาบอกเล่าเรื่องราวกันต่อไปจ้า
Create Date : 30 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2553 10:59:19 น. |
|
77 comments
|
Counter : 8589 Pageviews. |
|
|
แล้วก็โหวต BLOGGANG จงเจริญ