Korea โมเดล สินค้าออกของเกาหลีใต้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีนาคม 2555
เมื่อนึกถึงเกาหลีใต้ในปัจจุบัน เราอาจนึกถึงละครซีรีส์ เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติเกาหลีที่กำลังได้รับ ความนิยมในไทย แต่หากมองย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1960 จะพบว่าเกาหลีใต้เป็นเพียงประเทศเกษตรกรรมที่ยากจน ด้วยระดับรายได้ประชาชาติ 87 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนในปี 2505 (ค.ศ.1962) เท่านั้น แต่ได้ก้าวกระโดดขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนในปี 2538 (ค.ศ.1995) หรือภายในเวลา 33 ปี ด้วยความน่าสนใจดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของความสำเร็จของเกาหลีใต้ และบทเรียนที่ธุรกิจ SMEs ไทยน่าจะสามารถนำมาปรับใช้ได้ ซึ่งพบว่ามีประเด็นสำคัญดังนี้
ภาคอุตสาหกรรมเติบโตก้าวกระโดด ... จากผู้รับเทคโนโลยี สู่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี
หัวใจสำคัญของพัฒนาการของภาคอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ คือ การพัฒนาแบบย้อนรอย ของกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (แชโบล) กล่าวคือ แทนที่จะเป็นการ วิจัย พัฒนา วิศวกรรม (Research Development Engineering) กลับเป็น วิศวกรรม พัฒนา วิจัย กล่าวคือ เกาหลีใต้เริ่มทำการผลิต (วิศวกรรม) โดยใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูปของต่างชาติก่อน แล้วจึงพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีที่ได้รับมานั้น และสุดท้ายจึงทำการวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมเป็นของตนเอง ด้วยวิธีการดังกล่าวนับเป็นทางลัดที่สำคัญของเกาหลีใต้ที่ทำให้สามารถพัฒนาภาคอุตสาหกรรมได้ในเวลาอันสั้น จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชาติหนึ่งของโลกในปัจจุบัน โดยอุตสาหกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ เทคโนโลยี การผลิตจอภาพ (Display) ซึ่งใช้ในโทรทัศน์จอแบนและเครื่องมือสื่อสาร
ทั้งนี้ ลำพังเพียงการใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูปนั้นมิอาจทำให้เกาหลีใต้ผงาดขึ้นเป็นประเทศอุตสาหกรรมแนวหน้าของโลกได้เช่นปัจจุบัน แต่เส้นทางการ พัฒนาของเกาหลีใต้ยังประกอบไปด้วยอีกหลายปัจจัยที่คอยสนับสนุน อันได้แก่ ภาครัฐบาล ซึ่งมีบทบาทสูงโดยเฉพาะในยุค 1960 ต่อเนื่องถึงยุค 1970 ด้วยการสร้างแชโบล และให้การสนับสนุนแชโบลในหลายด้าน เช่น เงินอุดหนุนพิเศษ เพื่อให้แชโบลมีเงินทุนเพียงพอทั้งในการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อการประหยัดต่อขนาด และเพื่อการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการวางนโยบายที่มีผลต่อการพัฒนาแชโบลในระยะต่อๆ มา เช่น การเพิ่มงบประมาณทางการศึกษาในทุกระดับชั้น ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานความรู้ที่แข็งแกร่งแก่ประชากรของประเทศ และได้กลายเป็นทรัพยากรอันมีค่าในระยะของการพัฒนาและการวิจัยเมื่อแชโบลต่างๆ ได้ก้าวผ่านระยะของการใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูป นอกจากนั้น ยังได้กำหนดนโยบายมุ่งเน้นการส่งออก ซึ่งมีอิทธิพลต่อแชโบลต่างๆ โดยอาศัยเงื่อนไขด้านเงินอุดหนุน รวมถึงสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลกับแชโบล เพื่อให้แชโบลได้พยายามผลักดันการเรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในเวลาอันสั้น นอกจากนั้น อีกปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาของเกาหลีใต้ ได้แก่ ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยสงครามเกาหลีในปี 2493 2496 (ค.ศ. 1950-1953) ทำให้เกิดการหลอมรวมกันทางสังคมขึ้นจากการที่คนหนุ่มสาวต้องร่วมรับรู้ประสบการณ์สงครามร่วมกันเป็นเวลานาน และเมื่อสงครามสิ้นสุด เกาหลีใต้ก็สามารถแปรความเสียหายย่อยยับจากสงครามเกาหลี เป็นความมุ่งมั่นสู่การพัฒนาประเทศ ซึ่งสอดรับกับนิสัยขยันขันแข็งและหมั่นแสวงหาความรู้ของคนเกาหลีใต้
ฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง
ด้วยกระแสวัฒนธรรมเกาหลี
เส้นทางการพัฒนาของเกาหลีใต้ต้องสะดุดลงอีกครั้งในปี 2540 (ค.ศ.1997) จากวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียที่กระทบต่อภาคการเงินของเกาหลีใต้ อย่างรุนแรงจนต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยภายหลังวิกฤต เกาหลีใต้ได้จัดตั้งองค์การวัฒนธรรมและสารัตถะเกาหลี (Korea Culture and Content Agency KOCCA) ขึ้นในปี 2544 (ค.ศ.2001) เพื่อส่งเสริมให้วัฒนธรรมเกาหลีเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากวัฒนธรรมเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่สามารถนำรายได้เข้าประเทศ ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนมากและสามารถสร้างอิทธิพลในต่างแดนได้โดยไม่ต้องเผชิญการต่อต้านด้านการเมืองการปกครอง โดยภารกิจของ KOCCA คือ การส่งเสริมให้เนื้อหาสาระความเป็น ชาติเกาหลี หรือ Korea Content สอดแทรกลงไปในสื่อบันเทิงต่าง ๆ ของเกาหลีที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ภาพยนตร์ เกม ศิลปะ และดนตรี เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีการสร้างและ พัฒนาบุคลากรให้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการผลิตสื่อต่างๆ รวมไปถึงการทำการตลาดและการผลักดันการส่งออกวัฒนธรรมควบคู่ไปด้วย ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในเอเชีย ดังเห็นได้จากความนิยมในภาพยนตร์ เพลง และละครเกาหลีที่แผ่ขยายไปทั่วเอเชีย
ความสำเร็จของเกาหลีเป็นแบบอย่างการพัฒนา (Model) ของประเทศกำลังพัฒนา
เมื่อมองย้อนไปถึงเส้นทางการพัฒนาของเกาหลีใต้ ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเกาหลี (ทศวรรษ 1960) จนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ยุคต่างๆ ในการพัฒนาของเกาหลีใต้เป็นไปในลักษณะของการผสมผสานกันระหว่างกลยุทธ์หลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ยุคแรกที่เป็นการใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูปด้านอุตสาหกรรมจากทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เพื่อเป็นการ เรียนทางลัด สู่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็เร่งลงทุนด้านการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาขั้นต่อไป ซึ่งได้ถูกนำออกมาใช้ในระยะที่สองซึ่งเป็นช่วงที่เทคโนโลยีสำเร็จรูปถูกใช้ จนเต็มศักยภาพ ทำให้เกิดการต้องเร่งเรียนรู้เทคโนโลยีที่รับการถ่ายทอดมา โดยอาศัยพื้นฐานการศึกษาที่สั่งสมไว้1 หลังจากเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว จึงเข้าสู่ระยะที่สาม คือการคิดค้น และพัฒนาขึ้นเอง ดังเช่นการที่บริษัทเกาหลีใต้บางบริษัทสามารถเป็นผู้นำของโลกในบางอุตสาหกรรมได้ เช่น โทรทัศน์จอแบน โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลังๆ โดยเฉพาะหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 (ค.ศ.1997) เกาหลีใต้เริ่มพัฒนาจากการมุ่งเน้นภาคอุตสาหกรรม สู่การเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ผสมผสานการตลาดมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ขณะเดียวกัน ก็มีการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างจริงจังอีกด้วย
จากแบบอย่างความสำเร็จของเกาหลีใต้ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วดังกล่าว ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียหลายประเทศกำลังพยายามยึดเกาหลีใต้ เป็นต้นแบบการพัฒนาในแง่ของการส่งเสริมวัฒนธรรม เช่น กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และบังคลาเทศ โดยเฉพาะเวียดนามที่มีความสนใจเป็นพิเศษจนกระทั่งมีการส่งข้าราชการไปดูงานในเกาหลีใต้หลายครั้ง ขณะเดียวกัน ในประเทศไทย ก็เริ่มมีการเติบโตของกลุ่มบรรษัทเอกชนขนาดใหญ่ในแบบของ แชโบล เช่นกัน
ถอดบทเรียนที่อาจปรับใช้เพื่อการพัฒนาของธุรกิจ SMEs ในไทย
1. ผู้ผลิตในเกาหลีใต้ไม่หยุดนิ่งอยู่กับการใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูป หากแต่มีความกระตือรือร้นที่จะก้าวสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นของตนเอง ซึ่งผู้ ประกอบการ SMEs ไทยอาจเริ่มโดยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเป็นบางส่วน เช่น พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต OEM ที่เคยรับจ้างผลิตให้ประหยัดต้นทุนการผลิตมากขึ้น จากนั้นจึงพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเองต่อไป โดยในปัจจุบัน มีหลายหน่วยงานภาครัฐที่คอยสนับสนุน เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งมีการจัดโครงการพัฒนาศักยภาพ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่เป็นระยะ นอกจากนั้น ในส่วนของเงินทุน ผู้ประกอบการมีหลายทางเลือก ทั้งสถาบันการเงินของเอกชนและรัฐบาล ซึ่งต่างก็มีการนำเสนอบริการทางการเงิน ควบคู่กับบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน
2. ภาคอุตสาหกรรมเกาหลีใต้มีการใช้ประโยชน์จากพื้นความรู้ของแรงงานค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนความสำคัญของการศึกษา ต่อการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในกรณีของผู้ประกอบการ SMEs ไทยอาจไม่สามารถลงทุนด้านการศึกษาของแรงงานได้ด้วยตนเอง (ซึ่งต่างจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่สามารถสร้างสถาบันอบรมเทคนิคเฉพาะทางได้) อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการอาจส่งแรงงานเข้าร่วมการฝึกอบรมที่จัดโดยหน่วยงานเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น สถาบันเหล็กและเหล็กกล้า สถาบันไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ สถาบันไทย-เยอรมัน เป็นต้น ซึ่งมีการจัดฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีอยู่เป็นระยะๆ
3. ภาคอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตราสินค้า ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจได้มาก โดยปัจจุบัน มีตราสินค้าของเกาหลีใต้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 2 รายที่อยู่ใน 100 อันดับแรกของโลก (จากการจัดอันดับมูลค่าเพิ่มตราสินค้าโดย Millward Brown ปี 2554) และยังมีตราสินค้ายานยนต์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งจากแบบอย่างดังกล่าว ผู้ประกอบการ SMEs ไทยอาจนำเอาแนวคิดด้านตราสินค้ามาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนในส่วนที่อยู่นอกเหนือการผลิตตามคำสั่ง (OEM) เพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
4. รัฐบาลเกาหลีใต้มีบทบาทมากในระยะเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมเกาหลีใต้เติบโตแข็งแกร่งตราบจนปัจจุบัน 1) ในด้านการสนับสนุน รัฐบาลเกาหลีใต้สนับสนุนอย่างเต็มที่ในปัจจัยที่จำเป็นต่อการพัฒนา ที่ภาคเอกชนไม่สามารถจัดหามาได้ด้วยตนเอง เช่น จัดสรรเงินทุนสำหรับการพัฒนาและการวิจัยของ แชโบลในระยะเริ่มต้น หรือการลงทุนขยายการศึกษาทั่วประเทศเพื่อสร้างฐานความรู้ให้กับประชากรของประเทศ ซึ่งกลายเป็นแรงงานที่มีคุณภาพให้แก่แชโบลต่างๆ ในระยะถัดไป
2) ในด้านการสร้างแรงท้าทาย รัฐบาลเกาหลีใต้มีการสร้างเงื่อนไขที่ท้าทายให้แชโบลต้องเร่งพัฒนาตนเองอยู่เสมอ โดยใช้เงื่อนไขจูงใจด้านเงินอุดหนุน หรืออาศัยสายสัมพันธ์ใกล้ชิดที่มีต่อกันในการกำหนดแนวทาง เช่น ในปี 2516 (ค.ศ.1973) รัฐบาลได้ให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เกาหลีเสนอแผนการผลิตรถยนต์ต่อรัฐบาล โดยต้องเป็นรถยนต์ที่ออกแบบใหม่ ขนาดเครื่องยนต์ เล็กกว่า 1,500 ซีซี และใช้ชิ้นส่วนในประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ด้วยต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 50,000 คัน/ปี โดยจะต้องออกจำหน่ายภายในปี 2518 (ค.ศ.1975) ซึ่งในครั้งนั้นทำให้บริษัทหนึ่งเกิดการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี โดยสามารถเสนอแผนผลิตรถยนต์ที่กำลังการผลิต 80,000 คัน/ปี จากเดิมที่ในขณะ นั้นผลิตได้เพียง 5,436 คัน/ปีเท่านั้น2
เมื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์ของ SMEs ไทย พบว่า ส่วนใหญ่รัฐบาลไทยยังมีบทบาทเป็นการช่วยเหลือด้านเงินทุน และมาตรการในยามเกิดปัญหาหรือวิกฤต เช่น ผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ ผลกระทบจากอุทกภัย แต่มาตรการในการพัฒนา SMEs ให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีของตนเองยังมีน้อย ดังนั้น เพื่อเกื้อหนุนการเติบโตของธุรกิจ SMEs ไทยให้พัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจึงควรมีบทบาทที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา สำหรับบทบาทเฉพาะหน้า นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มไม่สดใสนักจากผลกระทบของการชะลอตัวในเศรษฐกิจโลก อีกทั้งยังมีผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 ซึ่งกระทบต่อสภาวะการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs อย่างมาก โดยภาครัฐอาจช่วยเหลือในด้านเงินทุนเพื่อพัฒนา SMEs ด้วยการจัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สำหรับบทบาทในระยะยาว ควรสร้างแผนปฏิบัติการและผลักดันให้ได้รับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการอุดหนุนส่งเสริมในปัจจัยที่ SMEs ไม่สามารถลงทุนด้วยตนเองได้ เช่น ในด้านเงินกู้เพื่อพัฒนานวัตกรรม การจัดตั้งสถาบันวิจัยที่สามารถทำหน้าที่เป็นที่พึ่งพิงด้านเทคโนโลยีแก่ SMEs ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ และการลงทุนด้านการศึกษาของแรงงานในระดับประเทศ ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรสร้างแรงผลัก ดันให้ธุรกิจ SMEs เกิดการพัฒนาออกนอกกรอบความสำเร็จเดิมๆ เช่น การวางเป้าหมายการพัฒนาด้านนวัตกรรมเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์เช่นด้านภาษีหรือเงินอุดหนุน เป็นต้น นอกจากนั้น ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมธุรกิจ SMEs ทางเลือกที่ไทยมีศักยภาพ ที่นอกเหนือจากอุตสาหกรรมหลักที่ต่างชาติลงทุนในไทย เช่น พลังงานชีวภาพชีวมวล อุตสาหกรรมการเกษตร และ อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นการช่วยสร้างรากฐานด้านเทคโนโลยีแก่ธุรกิจ SMEs ไทยในอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับทรัพยากรที่ไทยมีและเพื่อเป็นการปรับตัวต่อแนวโน้มการกระจายฐานการผลิตของญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เหล็กและโลหการที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไปด้วย
-------------------------------------------- 1 โดยตัวอย่างได้แก่การที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของเกาหลีใต้ได้สั่งให้วิศวกรถอดประกอบรถยนต์ต้นแบบเพื่อศึกษาเทคโนโลยีที่รับถ่ายทอดมา 2 บัญชา ธนบุญสมบัติ. เกาหลีใต้ "ก้าวหน้า" และ "ก้าวพลาด" อย่างไร ในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม? นิตยสารสารคดี ปีที่ 15 ฉบับที่ 179 มกราคม 2543. 74-87
................................ เพิ่มเติมโดยเอมหวาน... เราว่าความสำเร็จข้อใหญ่ที่สำคัญมากคือ การบูรณาการความรู้ความสามารถของคนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเทศเกาหลีเคยตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น จีน และต้องถูกแบ่งประเทศ เรียกว่าปัจจัยภายนอกที่บีบคั้น ทำให้คนในประเทศคิดที่จะช่วยเหลือกันเองให้เต็มความสามารถ การที่เกาหลีเติบโตจนเป็นกรณีศึกษาให้ชาวโลกเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือความรักชาติ แทบจะเห็นตราซัมซุง ฮุนไดและแอลจีทุกหนแห่ง ไทยเรารณรงค์เรื่องกินของไทยใช้ของไทยมานาน แต่ยิ่งนับวันเรายิ่งหลงใหลได้ปลี้มกับแบรนด์ต่างประเทศและการใช้ของนอกเสียมากกว่า อาจเพราะสินค้าเรายังไม่ได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคเพียงพอ และคนของเราเองที่ยังไม่เห็นความสำคัญของการใช้ภายในประเทศ อีกประเด็นหนึ่งคือ การตลาด...เกาหลีเป็นประเทศที่เรียกว่าตัวแม่ของการตลาดเอเชียไปเสียแล้ว ทั้งแบรนด์ ทั้งการสื่อสารการตลาดครบวงจร จึงไม่แปลกที่เหล่าบรรดาขาช้อปชาวไทย ต้องเอาทรัพย์ไปละลายแทบจะหมดกระเป๋า..เกาหลีมองขาดว่า กลุ่มที่ซื้อสินค้าตามอารมณ์ Emotional Shopper เช่นเพศหญิงย่อมถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าได้ง่ายกว่า และมีโอกาสที่จะควักกระเป๋าจ่ายไม่อั้น หากต้องแลกกับหน้าเด้ง ขาว ใส และการได้มีสุขภาพที่ดี..จึงจัดทีมขายคนไทย(ด้วยกันเองนี่แหละ) แล้วก็ภาษาไทย แล้วก็โปรโมชั่นแถมไม่อั้นให้เหล่าขาช้อป จะเห็นว่า นอกจากแพคเกจหน้าตาน่ารัก กลิ่นหอมๆ นางแบบน่ารัก คนขายใจดี เข้าใจภาษาเราแล้ว ที่เหลือก็ให้การตลาดที่ชื่อกิเลสมาเก็ตติ้งพาไปได้ไม่ยาก ใครๆก็ไปเที่ยวเกาหลี ทัวร์เดี่ยวนี้ก็จัดง่ายมาก มีเงินเพียงหมื่นต้นๆ ก็พอจะไปได้แล้ว ทุกอย่างเน้นโลว์คอส แล้วก็พาไปดูศูนย์โสม,สมุนไพร.พลอยสีม่วง สรุปว่าไปเที่ยวจริงๆได้เพียงกึ่งหนึ่ง แต่รายได้ที่เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายของเหล่านี้แหละเครื่องสำอางค์อีกหลากหลาย มีให้เลือกทุกระดับรายได้และคุณภาพเลยทีเดียว ไม่นับอาหาร ทีเน้นใหอิ่มแบบที่คนไทยและจีนชอบ อาหารเกาหลีจะออกเผ็ด ซึ่งถูกปากคนไทยมากกว่าอาหารญีป่นอยู่แล้ว พอประเทศนี้พัฒนาห้องน้ำให้น่าใช้ สะอาด และมีกระดาษทิชชู่ทุกห้อง ก็ไม่แปลกที่ทัวร์ไทยจะติดใจกันซะส่วนใหญ่ มองเกาหลีแล้วย้อนมามองตัวเอง ไทยเรามีของดีหลายอย่าง มันอยู่ที่การนำเสนอมากกว่า และเชื่อว่าหากรู้จักขาย รู้จักบูรณาการความคิดแล้ว ไทยเราก็ไม่น่าจะด้อยไปกว่าเกาหลีได้หรอกนะคะ
Create Date : 27 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2555 16:56:29 น. |
|
10 comments
|
Counter : 2465 Pageviews. |
|
|
ที่เห็นได้ชัดคตงเป็นเรื่องการส่งออกด้านวัฒนธรรมบันเทิงครับ