ไปฟลอเร็นซ์ (2) / ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ไปฟลอเร็นซ์ (2) / ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กุมภาพันธ์ 2552 15:07 น. โดย : ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ฟลอเร็นซ์เป็นเมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลาง ตัวเมืองแบ่งเป็นสองฟาก ค่อนหนึ่งของเมืองเก่าอยู่ทางเหนือ มีทั้งโบสถ์ทั้งพิพิธภัณฑ์ อีกส่วนหนึ่งต้องข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ อยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ มองเห็นวิวงามตา โดยเฉพาะช่วงตะวันใกล้ตกดิน สวยจนเกือบใช้คำว่า เมืองสวยที่สุดในโลก (วิวเมืองฟลอเร็นซ์สวยกว่าโรมหรือเวนิสอีกนะ) การเที่ยวในเมืองทำได้ 2 แบบ หนึ่งคือเดิน สองคือนั่งรถเมล์ ผมตัดการนั่งรถทัวร์ออกไป เพราะผมมาเที่ยวเองครับ จะไปหารถทัวร์ที่ไหนมานั่ง อีกทั้งต่อให้มีรถทัวร์ ผมก็คิดว่า เดินเที่ยวเองจะเหมาะกว่า ด้วยแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในโซนเดียวกัน จะแวะเข้าซอกไหนซอยใดก็ล้วนมีของดีให้ดู นั่งรถเฟี้ยว ๆ เที่ยวไม่ถึงกึ๋นหรอกจ้ะ เพื่อการท่องเที่ยวของเก่าแบบดีงาม เราควรจะไล่ดูตามลำดับเวลา แนวคิดนี้ผิดจากนักเที่ยวส่วนใหญ่ เพราะใครต่อใครก็มุ่งไปโบสถ์ยักษ์แห่งเมืองฟลอเร็นซ์ แต่หนูดาวทักท้วงผมว่า พี่ธรณ์ขา (มาฟลอเร็นซ์แล้วเธอหวานขึ้น คงเพราะบรรยากาศพาไป อยู่เมืองไทยเอาแต่แว้ด ๆ) เราควรจะไปดูภาพต้นตำรับก่อน เพราะเดี๋ยวเราจะเจอภาพยุคเรเนอซองส์อีกเพียบ
เอาไงเอากัน ผมตามใจเธอ มิใช่เพราะชอบตามใจสาว แต่ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์งานยุ่ง เธอเป็นแม่บ้านนอนนิ่ง แค่อาชีพก็บอกได้แล้วครับ ใครมีเวลาอ่านข้อมูลมากกว่ากัน เราจึงเดินข้ามสะพานปอนเตวัคคิโอ้ ตรงขึ้นไปบนเนินเตี้ย รอรถเมล์วิ่งผ่านมา จากนั้นก็กระโดดขึ้นรถเมล์ (เราซื้อตั๋วรถเมล์แบบ 4 เที่ยว มาจากสถานีรถไฟ) รถเมล์วิ่งไปและวิ่งไป โห...ฟลอเร็นซ์นี่เล็กน่าดู ถนนรอบด้านแคบลงจนแทบไม่เหลือทางให้รถเมล์วิ่ง บ้านเรือนก็เก่าดีนะ แต่ดูเหมือนห้องแถวจัง จนท้ายสุด หนูดาวฉุดผมลงจากรถ ก่อนหันมาบอกว่า เธอหลง (อ้าว) เป้าหมายของเราเป็นโบสถ์ Santa Maria del Carmine แต่ดูรอบด้านแล้ว คล้ายสำเพ็งมากเลยค่ะพี่ธรณ์ (ยกเว้นไม่มีอาม่วยมาขายของ ถนนโล่งโจ้งดุจสำเพ็งตอนตีสามครับ) ผมเจอเหตุการณ์เที่ยวแล้วหลงเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยทำสารคดีทั่วไทย จึงงัดไม้ตายมาใช้ เริ่มจากเข้าไปถามคนแถวนั้นว่า โบสถ์จ๋าอยู่ไหน คนหนึ่งชี้ไปข้างซ้าย อีกคนชี้ไปข้างขวา อีกคนไม่ชี้ไปสักด้าน เพราะเค้าฟังเราพูดไม่เข้าใจ (หรือขี้เกียจฟัง) เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องใจเย็นครับ อย่าเพิ่งรีบไปตามคำบอก ควรเอาแผนที่มาดูให้ถ่องแท้ เพราะใจคนยากแท้หยั่งถึง หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมทั้งเดินหาป้ายถนน ผมฟันธงว่า เราไม่หลง แต่เรายังไปไม่ถึงต่างหาก โบสถ์อยู่ข้างหน้านี่แหละ เอ้า...หน้าเดิน
โบสถ์อยู่ตรงหน้าเราจริงด้วยครับ แต่ดูจากสภาพภายนอกแล้ว ค่อนข้างอนาถ จนผมลืมภาพเมืองฟลอเร็นซ์ แสงเทียนแห่งยุคเรเนอซองส์ ไปหมดสิ้น ขนาดขนกล้องมาหนักแทบตาย ยังไม่ยกขึ้นถ่ายสักภาพ พอเปิดเข้าไปข้างใน ลักษณะคล้ายโบสถ์ในหนังซอมบี้ ไม่มีใครสักคน มืดตึ๊ดตื๋อ เรามะงุมมะงาหลาผ่านทางเดินแคบ จนเข้าไปถึงโถงสวดมนต์ด้านข้างโบสถ์ เค้าเรียกว่า Chapel หรือ Cappella ถึงตรงนี้ หนูดาวทำปากจุ๊ ๆ พลางกระซิบให้ผมเงียบ เงียบ ? ทำไมต้องเงียบ มาดูศิลปะนะจ๊ะ ไม่ใช่มาดูสัตว์ ภาพอะไรในโลกได้ยินเสียงดังแล้วตกใจกระโดดหายเข้าผนัง ดาวหันมาทำตาเขียว หนูพามาดู Cappella Brancacci เป็นผลงานยุคเก๋ากึก ตั้งแต่ค.ศ.1424 หรือยุคต้นของเรเนอซองส์ แม้แต่ ดา วินชี ยังมาศึกษาภาพที่นี่ รวมถึงจิตรกรระดับเซียนแทบทุกคน เพราะภาพที่วาดโดย Masaccio ถือว่าเด็ดดวงนัก แต่เค้าตายก่อนวาดเสร็จนะคะ เราเลยต้องดูให้ถูกภาพ ไม่เช่นนั้นจะเจอภาพที่วาดเพิ่มตอนหลัง แม้จะวาดโดยศิลปินคนดัง Filippino Lippi แต่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของเรา อ๋อ...เหรอ ผมเห็นแต่ความมืด มีเงาสลัวนิดหน่อย พอให้รู้ว่า มีภาพอยู่เต็มผนังในโถงสวดมนต์ จะให้แยกเป็นชายหญิงนักบวชหรือสาวนู้ด ยังดูไม่ออกเลยครับ จะให้ไปแยกฝีมือศิลปิน ฝันไปเหอะ ดาวหันมากระซิบต่อ เนื่องจากภาพชุดนี้ดัง เค้าเลยคิดตังค์ค่าชม คนละ 3 ยูโร เปิดให้ชมตอนสิบโมงเช้า แต่เรามาก่อนเวลาตั้งเป็นชั่วโมง เพราะหนูหวังของฟรี นึกว่าจะมาแอบดูก่อนเค้าเก็บตังค์ ใครจะไปรู้ล่ะคะว่า เค้าดันปิดไฟมืด (ก็เพราะมีนักเที่ยวอย่างเธอไง เค้าถึงปิดไฟมืด)
แม่ศรีเรือนผู้หวังอยากประหยัดตังค์สามี เพื่อนำไปซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้ตัวเอง พยายามมองซ้ายมองขวาหาสวิทช์ไฟ แต่ยังไม่ทันเจอ จู่ ๆ ไฟก็เปิดวาบ เล่นเอาผมต้องถอยกรูดมาหลังเสา มือยัดกระเป๋าเตรียมควานหาตังค์มาจ่าย ปรากฏว่า ฟ้าเป็นใจให้แม่ศรีเรือนครับ เพราะคนเปิดไฟคือคุณป้าผู้มาทำความสะอาด เราเลยรับอานิสงค์ไปเต็ม ๆ ได้ดูภาพแบบถึงแก่น ตังค์ก็ไม่ต้องจ่าย นักเที่ยวคนอื่นก็ไม่มี ภาพชุดนี้ถูกวาดบนผนังสามด้าน ใช้เทคนิคแบบเฟรสโก้หรือภาพปูนเปียก โดยใช้ปูนผสมพิเศษฉาบผนัง เสร็จแล้วต้องรีบวาดภาพก่อนปูนแห้ง ภาพจะคงทนดีแท้ แต่ไม่เหมาะสำหรับผนังภายนอกอาคาร เพราะจะซีดจางหลุดร่อนง่าย เทคนิควาดภาพถือเป็นเคล็ดลับประจำตัวศิลปิน แม้แต่สีที่ใช้ ยังมีส่วนผสมต่างกัน จิตรกรสมัยก่อนจึงต้องไปร้านขายยาบ่อย มิใช่วาดภาพจนไมเกรนขึ้น แต่ของแปลก ๆ ที่หาได้ตามร้านขายยา สามารถนำมาผสมเป็นสี สีบางอย่างยังต้องลงทุนเพียบ เช่น สีฟ้า ต้องบดมาจากหินลาปิส ลาซูรี ใครเล่นหินคงรู้ว่า เจ้าหินชนิดนี้ราคาแพงหนักหนา ถ้าเป็นสีเขียว เอามาจากหินมาลาไคต์ ราคาถูกลงนิดหนึ่ง ผู้จ้างให้วาดภาพบางคนถึงขั้นต้องกำหนดว่า ต้องมีสีฟ้าบ้างนะ ไม่งั้นค่าจ้างก็น้อยหน่อย เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุคแรกเริ่มของเรเนอซองส์ จนภายหลังค่อยมีกรรมวิธีหาสีฟ้าสีเขียวมาจากอย่างอื่น
ในยุโรปมีภาพเฟรสโก้แทบทุกหนแห่ง ที่รู้จักกันดี เช่น last supper ของดา วินชี (มิลาน) last judgement ของไมเคิลแองเจโล (วาติกัน) ภาพตรงหน้าผมเกิดก่อนยุคนั้น เป็นฉากชีวิตของเซนต์ปีเตอร์ เริ่มต้นตั้งแต่อาดัมกับอีฟถูกขับจากสวรรค์ ต่อเนื่องไปถึงเหตุการณ์ช่วงต่าง ๆ แต่ละภาพงดงามดีมาก แต่หนูดาวบังคับให้ผมรีบถ่ายภาพอาดัมกับอีฟ นั่นแหละคือผลงานของ Masaccio ถือเป็นภาพระดับปฏิวัติวงการ เพราะสมัยก่อนศิลปินเอาแต่วาดภาพคนตายด้าน หน้าตาท่าทางไม่แสดงอารมณ์ จนมาถึงภาพนี้ ทั้งใบหน้าท่าทางของอาดัมกับอีฟ ระทดหดหู่ดีมาก สาสมกับคนทำผิดที่ถูกพระเจ้าลงโทษขับจากสวรรค์ ขนาดภาพฉากเดียวกันของไมเคิลแองเจโล ในวิหารซิสทีนชาเปล ยังไม่แสดงอารมณ์ชัดเจนปานนี้เลย
ผมพยายามถ่ายภาพสุดความสามารถ แต่แสงไฟที่คุณป้าเปิดมีน้อย อีกทั้งภาพก็อยู่บนเสา ผมก็ต้องซุ่มอยู่ในมุมมืด เพราะกลัวคุณป้าไหวตัวทัน จนคุณป้าเช็ดพื้นเสร็จ ปิดไฟ ผมยังได้แค่ไม่กี่ภาพ จนต้องคาดคั้นหนูดาวว่า สถานที่ต่อไปเสียตังค์ก็ได้ แต่ขอให้ถ่ายภาพง่าย ๆ หน่อยนะ เธอก็ตกปากรับคำเป็นอันดี ก่อนพาผมนั่งรถเมล์ย้อนไปถนนใกล้สะพานปอนเตวัคคิโอ้ บนเนินเตี้ย ๆ เป็นที่ตั้งของวังขนาดยักษ์ Palazzo Pitti ดาวอธิบายให้ผมฟัง นี่คือวังยิ่งใหญ่สุดในฟลอเร็นซ์ อาจถึงขั้นยิ่งใหญ่สุดในอิตาลีด้วยซ้ำ หากนับความสมบูรณ์และข้าวของที่อยู่ข้างใน เดิมทีที่นี่เคยเป็นบ้านของนายธนาคารชื่อ Luca Pitti ในค.ศ.1458 หลังจากนั้น ตระกูลเมดิซี่ (Medici) ซื้อบ้านหลังนี้ในค.ศ.1539 เพราะตั้งอยู่ในชัยภูมิเหมาะสม อยู่ห่างจากสะพานวัคคิโอ้อันเป็นศูนย์กลางค้าขายเพียงไม่ไกล แต่สงบและสบายเพราะอยู่บนเนินมีพื้นที่กว้างขวาง ตระกูลเมดิซี่ต่อเติมบ้านหลังนี้เรื่อยมา ขณะเดียวกัน พวกเขากลายเป็นผู้ปกครองแคว้น จากบ้านจึงกลายเป็นวัง มีข้าวของสะสมอยู่มากมาย ถ้าเดินแบบทอดน่องพิจารณา หนึ่งวันคงทั่ว แต่เรามีเวลาน้อย หนูดาวพาพี่ธรณ์โฉบผ่านก็แล้วกัน จะได้เสียค่าผ่านประตูและได้ถ่ายภาพสมใจไงคะ ค่าผ่านประตูน่ะผมเสียครับ แพงด้วย แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพสักรูป เพราะเขาริบกล้องผมไปตั้งแต่ทางเข้า ด้วยกติกาในการชมหลายพิพิธภัณฑ์ของอิตาลีคือห้ามถ่ายภาพเด็ดขาด ผมจึงเกิดมาเป็นคนมีกรรม ถึงกระนั้น จะพยายามเล่าเรื่องวังพิตตี้ให้คุณฟังในสัปดาห์หน้าครับ
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
11 comments |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2552 17:06:47 น. |
Counter : 3326 Pageviews. |
|
|
|