ชื่อ อทิตยา มี ลูกชาย 1 ชื่อ อเล็กซานเดอร์............... มีหลานชาย ( เป็นลูกหมา ) 2 ตัวชื่อ โจอี้ กับ จูเนียร์............... เราทั้ง 4 ใช้นามสกุล เดียวกันว่า มังกร ................... มีบ้านอยู่ ใกล้คลอง เจ้าหญิง เมืองอัมสเตอร์ดัม.................. 2แม่ลูก แบกกระเป๋าเที่ยวบ่อย ทำนองว่า ทัศนศึกษา.................... เที่ยวไปมา แม่ติดลม แล้วก็มาติดบลอค บางที ก็ยกขโยงไปทั้ง4 เป็น มังกรแฟมิลี่ สัญจร ............................. รู้จักกัน พอเป็นกระสัย จะได้ ทักทายกัน พอสมควร เจ้า
แสงเทียนแห่งเรอเนซองส์ (1) / ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

แสงเทียนแห่งเรอเนซองส์ (1) / ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มกราคม 2552 12:09 น.


โดย : ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์



ในยามที่แคมเปญไทยเที่ยวไทยกำลังกระหึ่ม บทความชักชวนเที่ยวไทยปรากฏไปทั่ว ผมขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศ พาคุณไปต่างแดนสักช่วง มิใช่ชักชวนให้เอาเงินไปเมืองนอก แต่สำหรับผม การท่องเที่ยวไม่ได้หมายถึงใครเอาเงินไปให้ใครเพียงเท่านั้น ยังมีความหมายเกี่ยวกับการเรียนรู้ การเปิดหูเปิดตา เพื่อนำสิ่งที่เราประสบมา พัฒนาให้เราก้าวต่อไป

หลังจากการเกริ่นนำด้วยถ้อยคำเป็นทางการ ถึงเวลาท่องเที่ยวแบบสนุกสนานตามสไตล์แล้วครับ ครั้งนี้ผมเลือกเมืองชื่อฟิเรนเซ่ (Firenze) หรือรู้จักในนาม ฟลอเร็นซ์ เป็นเป้าหมายพาคุณไปเจอโลก เพราะเมืองนี้ไม่เพียงสวยงามตระการตา โอ่อ่าเต็มไปด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมชั้นเอก แต่ที่นี่ได้รับสมญาว่า ศูนย์กลางแห่งความยิ่งใหญ่ในยุคเรอเนซองส์ (Renaissance)

อะไรคือยุคเรอเนซองส์ ? คำตอบอยู่ที่ยุโรปในยุคโบราณ แบ่งออกเป็นเขตต่าง ๆ ยุโรปทางตอนใต้ เช่น กรีก โรมัน มีความเจริญสะสมมาเนิ่นนาน ผสมผสานกับความรู้จากเอเชียและตะวันออกกลาง แต่ยุโรปทางเหนือ ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ ยังเป็นดินแดนป่าเถื่อน ตามที่จักรวรรดิโรมันเรียกว่า พวกโกล แม้อารยธรรมของกรีกโรมันจะเข้าไปบ้าง ตามสงครามที่เกิดขึ้นเป็นระยะ เช่น ซีซาร์เคยยกทัพไปถึงเกาะอังกฤษ แต่ความรู้ยังเป็นแบบกระเส็นกระสาย ปะปนกับความเชื่อแบบแม่มดหมอผี




หลังจากเจริญมายาวนาน จักรวรรดิโรมันเริ่มเสื่อมถอย ถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก จนท้ายสุด จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย ในค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมิวลุส ออกุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้าย ถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้น อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อ จักรวรรดิไบแซนไทน์ ได้สะสมอารยธรรมความรู้ไว้อีกนับพันปี จนเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับกองทัพของสุลต่านออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453 นับเป็นจุดจบของโรมันอย่างแท้จริง

เมื่ออาณาจักรไบเซนไทน์ล่ม นักปราชญ์พากันอพยพ พร้อมนำความรู้นับพันปีที่เก็บรักษาไว้ เข้ามาในยุโรปส่วนที่เหลือ ทำให้การเรียนรู้ตามหลักเหตุผลถือกำเนิดอีกครั้ง เรอเนซองส์จึงเป็นยุคแห่งการเกิดใหม่ หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรม (อันที่จริง รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วยครับ แต่วิทยาศาสตร์สมัยก่อน รวมอยู่กับศิลปศาสตร์และธรรมชาติวิทยา)

ฟลอเร็นซ์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอาร์โน หนึ่งในสองแม่น้ำที่นักเที่ยวอิตาลีอาจคุ้นหู (อีกหนึ่งคือแม่น้ำไทเบอร์แห่งกรุงโรม อาร์โนยาวกว่าไทเบอร์เล็กน้อย) เมื่อเทียบกับเจ้าพระยา อาร์โนเล็กและตื้นเขินกว่า อาจแห้งเป็นบางช่วง ทำให้ฟลอเร็นซ์มิอาจเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ถนัด เมืองปิซาจึงแสนสำคัญสำหรับฟลอเร็นซ์ ด้วยเป็นเมืองท่าติดทะเล และอยู่ในระยะที่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตร




เมืองฟลอเร็นซ์ในยุคแรกเริ่มของเรอเนซองส์ เป็นที่อยู่ของผู้คนราวห้าหมื่น นับเป็นนครใหญ่แห่งหนึ่งของยุโรปใต้ เคียงคู่กับอีกหลายเมืองในบริเวณนั้น เช่น มิลาโน (มิลาน) เวนีเซีย (เวนิซ) ขณะที่กรุงโรมยังมีขนาดเล็กกว่า และอยู่ไกลลงไปทางใต้
นักเดินทางรายหนึ่งบันทึกไว้ เมื่อข้าเดินทางมาถึงฟลอเร็นซ์ ข้าเห็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ประดุจทั้งโลก กำแพงเมืองยาว 7 ไมล์ ตามกำแพงเรียงรายด้วยหอเฝ้ายามใหญ่น้อย 80 แห่ง ภายในเป็นเมืองที่รุ่งเรืองด้วยศิลปะและการค้าขาย ข้าหาช่างแกะสลักได้ง่ายกว่าคนขายเนื้อ ยังรวมถึงโบสถ์ 108 แห่ง Piazza หรือลานจัตุรัส 50 แห่ง ธนาคารเพื่อการฝากเงินและการค้า 33 แห่ง และที่ขาดไม่ได้ คือ Palazzo หรือวังของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ หลายต่อหลายตระกูล แต่ไม่มีตระกูลใดเกินหน้า เมดิชี ในเมืองนี้จึงเต็มไปด้วยการค้า ความร่ำรวย ศิลปะเพื่อแสดงความมีหน้ามีตา และการเมืองที่สับสนวุ่นวาย

เมืองที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลที่เรืองรอง เงินตราและอำนาจ ตลอดจนยุคสมัยแห่งการเริ่มต้นใหม่ เป็นช่วงเวลารุ่งเรืองของการเรียนรู้และพัฒนา จึงไม่น่าแปลกใจว่า ไม่มีช่วงไหนในประวัติศาสตร์ ที่โลกจะผลิตอัจฉริยะได้มากมายถึงเพียงนี้ และอัจฉริยะเหล่านี้ มิใช่โดดเด่นเฉพาะงานศิลป์ แต่ยังรอบรู้ในแทบทุกสาขาวิทยา เป็นมนุษย์พหูสูตรที่ร่ำเรียนทั้งด้านปรัชญา ธรรมชาติ ดาราศาสตร์ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ก่อหล่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อผลิตผลงานที่โลกไม่เคยเจอ




หากกล่าวถึงอัจฉริยะแห่งยุค ผู้ลือเลื่องมาถึงปัจจุบัน มีอยู่ 2 ท่านที่ลิงยังอาจรู้จัก หนึ่งชื่อ เลโอนาร์โด ดา วินชี อีกหนึ่งชื่อ ไมเคิลแองเจโล เลโอนาร์โดเกิดก่อนหน้าไมเคิลแองเจโลเพียงไม่กี่ปี ทั้งคู่มีโอกาสเจอกัน โชว์กึ๋นใส่กัน จวบจนเลโอนาร์โดจากไปก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ใครคืออัจฉริยะผู้แท้จริง
ผมค่อนข้างตะขิดตะขวงใจกับการใช้คำว่า “อัจฉริยะ” เพราะปัจจุบันใช้กันเยอะจริงหนอ สำหรับผมแล้ว อัจฉริยะไม่ใช่เพียงแค่ฉลาด โตมาแล้วประสบความสำเร็จ จากนั้นก็รวยจัง นั่นไม่นับเป็นอัจฉริยะ ใครคนนั้นต้องไปไกลกว่า อยู่เหนือกาลเวลาหรือขอบเขตของยุคสมัย ผมจึงอยากยก ดา วินชี มาเป็นตัวอย่าง

ดา วินชี มีผลงานการเขียนโลกสะพรึงอยู่ไม่มาก เพราะการวาดของเขาไม่ได้เน้นเพียงรูปโฉมภายนอก หรือการวาดให้เหมือน แต่เป็นการศึกษาที่ลึกล้ำยาวนาน ผ่าศพมาดูกายวิภาคหลายสิบศพ ก่อนหลอมรวมเป็นภาพมือและใบหน้าของโมนาลิซา ภาพฝีมือเทพที่ไม่มีใครหน้าไหนวาดได้อีกแล้ว




เขาออกแบบเครื่องมือที่แทบไม่เคยถูกสร้างในยุคนั้น เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะทำได้ เช่น ในค.ศ.1485 ดา วินชี สเก็ตภาพคนกระโดดร่ม รวมถึงออกแบบวิธีให้คนเหาะลงมาจากฟ้าอย่างปลอดภัย แต่ไม่มีใครกล้าทำ จวบจน 500 ปีให้หลัง เมื่อค.ศ.2000 นักดิ่งพสุธาชาวอังกฤษ สร้างร่มตามแบบของดา วินชี โดยใช้วัสดุอุปกรณ์เหมือนเดิมทุกประการ ก่อนกระโดดลงมาจากความสูง 10,000 ฟุต เมื่อเท้าสัมผัสพื้น ประโยคแรกที่เขาพูด คือ “ดา วินชี คุณรักษาสัญญาครับ” เพราะสิ่งที่ดา วินชี บอกไว้เมื่อ 500 ปีก่อน คือ สิ่งที่เป็นจริง

นั่นคือร่ม แต่ถ้าเป็นสิ่งก่อสร้างล่ะ ดา วินชี ออกแบบสิ่งที่ผู้คนหัวเราะเยาะในยุคนั้นไว้มากมาย รวมถึงโครงการใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำ เช่น การเปลี่ยนเส้นทางเดินของแม่น้ำอาร์โน การยกโบสถ์ขึ้นมาทั้งอัน เพื่อใส่ฐานรองใหม่ รวมถึงครั้งหนึ่งในค.ศ.1503 เขาออกแบบสะพานยาวที่สุดในโลกในยุคนั้น (1,200 ฟุต) ให้สุลต่านแห่งเบจาซิด เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมระหว่างเปราถึงคอนสแตนติโนเปิล






น่าเสียดาย สุลต่านและคนทั่วไปต่างหัวเราะ คิดว่านั่นคือจินตนาการเพ้อฝันของคนบ้า ผู้ที่คิดว่า มนุษย์ลอยอยู่บนฟ้าได้ และยิ่งน่าเสียดาย ที่สุลต่านและคนเหล่านั้นอายุไม่ยืนจนถึงค.ศ.2001 เพื่อมาเห็นสะพานแห่งออส ใกล้กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ที่สร้างขึ้นตามรูปแบบที่ดา วินชี ออกแบบไว้ทุกประการ

หากดา วินชี เป็นเช่นความลึกลับแห่งยุคเรอเนซองส์ ไมเคิลแองเจโลก็อยู่อีกด้าน เป็นดั่งเช่นแสงสว่างและความชัดเจน ผลงานของเขามีหลากหลาย เขาเป็นสถาปนิกยิ่งใหญ่สุดเท่าที่สถาปนิกจะเป็นได้ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งนครวาติกันคือหลักฐานที่คงทนต่อกาลเวลา เขายิ่งเป็นนักวาดภาพที่ยิ่งใหญ่สุดเท่าที่มนุษย์จะเป็นได้ ผลงานในวิหารซิสทีนยิ่งใหญ่ระดับต้องปิดกรุงโรมเพื่อมาชม ก่อนกลายเป็นถ้อยคำลือลั่นที่สืบต่อไปชั่วลูกหลาน “เมื่อมาเห็น คุณจะเข้าใจว่า มนุษย์มีความสามารถแค่ไหน ?”





แต่ถ้านับเฉพาะในฟลอเร็นซ์ เดวิดคือความมหัศจรรย์ที่ทุกคนรู้จัก ไมเคิลแองเจโลอธิบายวิธีสร้างเดวิดไว้แสนง่าย เขาเพียงนำเดวิดออกมาจากกรงขังหินอ่อน เป็นความนัยเสมือนว่า เดวิดซ่อนอยู่ในแท่งหินขนาดยักษ์อันนั้นอยู่แล้ว งานของเขาคือการพาเดวิดออกมาปรากฏโฉมต่อโลกภายนอก

จะเป็นเดวิดหรือโมนาลิซา จุดกำเนิดของสองอัจฉริยะ และคนอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนแต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนครใหญ่ชื่อฟิเรนเซ่ เมืองที่ผมจะพาคุณไปเที่ยวในสัปดาห์หน้าครับ













Create Date : 25 มกราคม 2552
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2552 17:08:50 น. 2 comments
Counter : 3428 Pageviews.

 
สวยจริงๆค่ะโรม ตามมาอ่านสาระน่ารุ้ค่ะ ถ้ามีโอกาสต้องไปเยือนแน่นอนค่ะ


โดย: Miss_Cookai วันที่: 25 มกราคม 2552 เวลา:21:09:35 น.  

 


โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 26 มกราคม 2552 เวลา:0:41:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่ซานเดอร์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ซานเดอร์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.