All work and no play make Jack a dull boy!
วันพฤหัสที่ ๑ กันยายนแล้ว!!! เหนื่อยๆจังกับงานทุกๆวัน เวลาเราเหนื่อยมากๆเครียดกับงานติดต่อกันนานๆแล้วมันเกิดอาการ burned out ขึ้นมาได้ง่ายๆ ต้องคอยตั้งสติไว้รักษาใจให้อยู่ในสภาพปกติ โรคเครียดนี้เป็นตัวอันตรายต่อตัวเองและคนรอบๆข้าง จริงๆแล้วเรามักคิดว่าถ้าเครียดแล้วได้ระบายออกซะบ้าง จะรู้สึกดีขึ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งบ่น ยิ่งบูด คือยิ่งท้อกว่าเดิม แต่พอเลิกบ่นแล้วค่อยๆทำงานไปเรื่อย กลับรู้สึกดีขึ้น พยายามไม่เร่งตัวเองจนเกินไปเพราะมันจะเกิดอาการเกร็งของกร้ามเนื้อ อย่างเราจะเป็นมากที่หัวไหล่ จากการทำงานหน้าคอมพ์นานๆเร็วๆเร่งๆ บางทีปวดไหล่ปวดหลังมากๆคุณสามีช่วยทายาและก็นวดให้ แต่งงานแล้วก็ดีอย่างงี้เองเนอะ วันนี้คุณสามีก็ทำข้าวเย็นให้กิน อร่อยแฮะ กินไปหวานไป อิอิ วันนี้เจ้านายอีเมล์มาบอกว่า เราต้องส่ง Performance Review วันพรุ่งนี้ โอ้วพระแม่เจ้า ตั้งตัวไม่ติด อีเมล์ตอนแรกให้ deadline ไว้ที่สิ้นเดือนนี้ ก็เลยคิดว่ายังมีเวลาอีกตั้งเดือน ตอนนี้เรารับ งานเต็มๆจากเพื่อนที่ออกไป แถมช่วงนี้เจอรับงานแทนเพื่อนๆที่ลาพักร้อนอีก งานจากเดิมที่มี Pending cases แค่ห้าสิบหกสิบเคส กลายเป็นร้อยจะห้าสิบเคสแล้ว เจ้านายให้เลื่อน deadline เป็นอาทิตย์หน้า เหอ เหอ ก็ยังน้อยอยู่ดี (ฉันจะเดดก่อนหรือเปล่าเนียะ ) แต่ทำไงได้ เป็นลูกน้องเขานี่นะ เหอ เหอ การเขียน perfomance review ของที่นี่ hardcore มากๆ เขียนกันทีเป็นสิบหน้า ทุกๆปีรายงานของเราจะยาวประมาณสิบสามหน้าได้ เพราะมีหัวข้อให้ประเมินเยอะแยะ ในแต่ละหัวข้องต้องยกตัวอย่างงานที่ทำ หรืองานที่เราปรับปรุงแก้ไขมานำเสนอ ในส่วนงานของเรา เราค่อนข้างมีอิสระในการทำงาน ก็เลยได้มีโอกาสออกแบบ ปรับปรุงระบบงานที่เราทำอยู่มากโข แถมงานหลายๆอย่างที่ทำ ค่อนข้างเรียนจากประสบการณ์ตรง (ลุยเอง เรียนเอง ไม่มีพี่เลี้ยงว่างั้น) ก็เลยทำให้มีอะไรใหม่ๆให้เขียนรายงานทุกปี ตลอดตั้งแต่ทำงานมา เราได้ Achiever ทุกๆปี ซึ่งเป็นระดับประเมินผลที่สูงสุดแล้ว จนสองปีที่ผ่านมา องค์กรได้จัดให้มี Role Model ขึ้นมาอีก โดยคนที่จะได้จะต้องผ่านการอนุมัติจากผู้อำนวยการทั้งสามคนเหนือผู้บังคับบัญชาเบื้องต้น และให้ได้ไม่เกินจำนวน ๑๐% ของทั้งองค์เท่านั้น เราก็ได้เจ้าตัวนี้มาทั้งสองปี ซึ่งเจ้านายก็บอกว่า จริงๆเขาไม่มีใครให้กันได้สองปีซ้อนแบบนี้ แต่ผลงานที่เราทำมามีมาก มีเพื่อนหลายๆคนทำเรื่องขอ Role Model ไป แต่เราเป็นคนเดียวในแผนกที่ได้ตัวนี้มา เราก็ภูมิใจนะ ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง เป็นคนต่างชาติ ไม่ได้โตที่นี่ ไม่ได้เรียนที่นี่ มันเป็นชื่อเสียงของบ้านเรา ของสถานศึกษาของเรา พ่อแม่เราก็ภูมิใจมากๆ เวลาใครถามลูกทำไรที่เมกา ก็หน้าบานเป็นกระด้ง เรารักพ่อแม่เรามาก อยู่ไกลๆแบบนี้ นอกจากกลับบ้านทุกปีแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรให้ท่านเท่าไร ที่เราทำที่นี่ให้ท่านได้ภูมิใจ เราก็มีความสุข ตอนเรามาที่นี่ใหม่ๆ ทำอะไรจะคิดถึงหน้าประเทศหน้าสถาบันมากจนบางครั้งเหมือนกดดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จไปเรื่อยๆ แต่ถนนยังอีกยาว ยิ่งถนนสำหรับคนต่างชาติแล้วล่ะก็ ยิ่งยาวเยื้อยจนบางทีไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี เคยมีเพื่อนๆที่นี่บางคนที่ไม่เคยได้ทำงานร่วมกับเรา คิดว่าเราเป็นเด็ก (ความจริงเราไม่เด็กแล้ว แต่คนเอเชียหน้าอ่อนนี่นะ) ไม่ให้เกียรติเราเท่าที่ควร เราผ่านมาหมดแล้ว พิสูจน์ตัวเอง อดทน สู้กับงานไปจนบางทีรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา ปีนี้เรามีความคิดริเริ่มในการทำงานใหม่ๆ สร้างระบบที่ช่วยให้ผู้อื่นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เจ้านายก็คอยยัดงานให้เรามากขึ้นทุกทีเพราะเห็นเราเป็นตัวอุดรอยรั่วในองค์ ที่ไหนมีปัญหา เจ้านายก็ใส่งานลงมาให้เราไปแก้ ก็เครียดมากเหมือนกัน เครียดกับการต้องคอยรักษาระดับผลงาน และความคาดหวังจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า แต่ก็ภูมิใจในสิ่งดีๆที่เราทำ เสร็จจากรายงานประเมินผลงานประจำปีแล้ว เราก็มีเป็น mentor ให้พนักงานใหม่ พอเดือนพฤศจิกา เจ้านายจะให้เราทำ presentation เรื่อง เมืองไทยให้ที่แผนกอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะเขาจะจัดให้มีหัวเรื่อง Diversity มาพูดกัน ใครมีไอเดียอะไรดีๆ ช่วยแชร์ด้วยนะคะ เขียนมายืดยาวแล้ว เป็นแต่เรื่องตัวกู ของกู อิอิ ท้ายที่สุดแล้ว งานมันก็แค่งานนะ ทำหน้าที่อะไรที่เรามีให้ดีที่สุดก็ดีแล้ว ถือเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ทุกสิ่งรอบๆตัว เรานำมาพัฒนาตัวเองได้หมดถ้าต้องการ แม้แต่ลมหายใจเข้าออกอย่างมีสติ ก็ช่วยให้วันหนึ่งๆมีคุณค่าขึ้นมา
Free TextEditor
Create Date : 02 กันยายน 2554 |
Last Update : 2 กันยายน 2554 8:22:47 น. |
|
4 comments
|
Counter : 433 Pageviews. |
|
|
งานมันก็แค่งาน
ขอบคุณข้อคิดดีดีค่ะ
และขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมเช่นกันค่ะ