กรมควบคุมมลพิษ ส่อเค้าไม่ฟ้อง ปมน้ำมันรั่วลงทะเล อ้าง ปตท.ยินดีชดใช้ค่าเสียหาย เตรียมแถลง 13 ส.ค.นี้ น้ำทะเลเสม็ดเล่นได้หรือไม่

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนา “บทเรียน…กู้วิกฤติน้ำมันรั่วในทะเล” โดยนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการป้องกันภัยพิบัติและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน (กปน.) ที่มีนายพงศ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.คมนาคมเป็นประธาน กปน.เห็นว่าประเทศไทยต้องมีการปรับแผนในเรื่องการขจัดคราบน้ำมันในทะเลแล้ว เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปียังไม่มีการปรับปรุง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เข้าข้างพีทีทีซีจี แต่ตนเห็นใจ เพราะถูกถามเสมอว่าเมื่อไรจะแก้ปัญหาแล้วเสร็จ ขณะนี้พีทีทีซีจีไม่มีสิทธิ์ที่จะมาบอกว่าปฏิบัติการแล้วเสร็จ คนที่มีสิทธิ์พูดคือ กปน. ที่จะบอกให้ดำเนินการและยุติปฏิบัติการทั้งหมด ทั้งนี้  1 สัปดาห์ที่ผ่านมา คิดว่าพีทีทีซีจีทำได้ดีในการเก็บกู้ที่รวดเร็วมาก

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสียหายมากกว่าที่คิด กรมควบคุมมลพิษกำลังเก็บตัวอย่างน้ำรอบเกาะเสม็ดทั้งหมด เพราะทั้งคนไทยและคนต่างชาติมีคำถามว่าจะมาเที่ยวและลงเล่นน้ำได้หรือไม่ ซึ่งกรมควบคุมมลพิษจะใช้วิทยาศาสตร์ตอบคำถาม คาดว่าจะสามารถแถลงผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลรอบเกาะเสม็ด 18-19 จุด ได้ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ โดยกรมควบคุมมลพิษกำลังตรวจหาสารโลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว ที่สำคัญคือสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน และสารโททอล ปิโตรเลียม ไฮโดรคาร์บอน (ทีพีเอช) ที่เป็นสารก่อมะเร็งว่ามีค่าเกินมาตรฐานะหรือไม่” อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าว

นายวิเชียร กล่าวอีกว่า ส่วนในเรื่องการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทพีทีทีซีจี กปน. ได้ตั้งให้อธิบดีกรมเจ้าท่าเป็นเจ้าภาพและเป็นโฆษก กปน. ในการแถลงข่าวในประเด็นต่างๆ ทั้งนี้ ในเรื่องค่าเสียหายจะแบ่งเป็น 3 ประ เภท คือ 1. ค่าเสียหายของหน่วยงานต่างๆ 2. ค่าใช้จ่ายในการสำรวจและประเมินผลกระทบเป็นรายกระทรวง และ 3. ค่าเสียหายของทรัพยากรและค่าฟื้นฟู ซึ่งค่าเสียหายต่อทรัพยากรหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องประเมินและเรียกค่าเสียหายเพื่อฟื้นฟู ส่วนค่าเสียหายต่อประชาชนทั้งค่าเสียหายในเรื่องผลกระทบท่องเที่ยวและการ ประกอบอาชีพ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีระบุไว้หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพคือกรมเจ้าท่าที่จะรวบรวมความเสียหายทั้งหมดเพื่อยื่นฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากพีทีทีซีจีต่อไป

ด้าน นายพัลลภ มังกรชัย ตัวแทนจาก ปตท. กล่าวว่า ในเรื่องการเยียวยามีการประสานกับ ผวจ.ในการรับแจ้งเหตุและขึ้นทะเบียนเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น  ซึ่ง ปตท. มีวงเงินประกันภัยอยู่ที่ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าต้องเยียวยาเกินวงเงินนี้ ทางพีทีทีซีจีก็ต้องรับผิดชอบส่วนนี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายวิเชียร ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เป็นเรื่องที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 มาตรา 96 และ 97 แต่หากผู้ก่อมลพิษยินดีชดใช้ค่าเสียหายตามที่เราเรียกร้องก็ไม่จำเป็นต้องฟ้อง แต่หากไม่เป็นไปตามที่ตกลง เช่น กรมควบคุมเรียกค่าเสียหาย 200 ล้าน แต่ผู้ประกอบการต่อรองเหลือ 100 ล้านก็จำเป็นต้องฟ้องร้อง

เมื่อถามว่าดูเหมือนภาครัฐอุ้ม ปตท.ในเรื่องมีความพยายามไม่ให้มีการฟ้องร้อง นายวิเชียร กล่าวว่า ไม่ขอตอบ แต่ถ้าเป็นตนไม่มีอุ้มอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หน่วยงานรัฐคือกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ไปแจ้งความไว้แล้ว หากในภายหลังทางบริษัทพีทีทีซีจีไม่ดำเนินการตามข้อตกลง ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้ การสำรวจความเสียหายในระยะสั้นคาดว่าจะทราบผลภายใน 3 เดือน กปน.จะรวบรวมความเสียหายในเบื้องต้นเพื่อเรียกค่าเสียหายกับทางพีทีทีซีจี  ส่วนในระยะยาวทางกรมคาดว่าต้องติดตามตรวจสอบโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี

นายวิเชียร กล่าวอีกว่า กลุ่มที่เป็นห่วงมากที่สุดในขณะนี้คือกลุ่มเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ ทหารเรือที่เข้าปฏิบัติงานเก็บกู้คราบน้ำมันตั้งแต่วันแรก และกลุ่มจิตอาสาที่เข้าไปช่วยเก็บคราบน้ำมันทั้งหมด ซึ่งโดยหลักการแล้วทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเก็บกู้พื้นที่ไม่ควรจะอนุญาต ให้เข้าไปได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมันเพราะอุปกรณ์ป้องกันอาจไม่พร้อม  ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องตั้งโต๊ะขึ้นทะเบียนเพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้ไป ตรวจสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป.