เสน่ห์อิตาลี : 11-เมืองเวนิส (Venice)
ค้างคืนที่ฟลอเรนซ์อยู่ 3 คืน เช้าวันนี้ผมและคณะจะออกเดินทางต่อไปยังเมืองที่มีศิลปะและสถาปัตยกรรมสวยงามขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของอิตาลี นั่นก็คือเมืองเวนิส โดยต้องนั่งรถโค้ชออกจากฟลอเรนซ์ไปประมาณ 3 ชั่วโมง ไปถึงเวนิสเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี หลังจากนั้นในภาคบ่ายทั้งหมดประมาณ 6 ชั่วโมงมีโอกาสไปชมความงามของเกาะเวนิส ดังจะเล่าให้ฟังในตอนนี้ พร้อมแล้วตามผมไปเลยครับ เวนิส หรือ เวเนเซีย (Venice or Venezia) จุดหมายปลายทางสุดโรแมนติก แห่งแคว้นเวเนโต (Veneto) ประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะ เข้าด้วยกัน ตั้งอยู่ในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย (Venetia Lak) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก (Adriatic Sea) ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ด้วยความสวยงามและความน่าอยู่ของบ้านเมือง ทำให้เวนิสเป็นสถานที่ซึ่งได้รับฉายามากมาย ตั้งแต่ ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) และที่สำคัญ องค์การยูเนสโก้ ยังขึ้นทะเบียนให้เวนิสเป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลก เมืองเวนิสมีประชากรอาศัยอยู่ราว 270,000 คน แบ่งเป็น 62,000 คน บริเวณเมืองเก่า(บนเกาะเวนิส), 176,000 คน ที่เทอร์ราเฟอร์มาหรือแผ่นดินใหญ่ และ 31,000 คนตามเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ และเมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวที่เวนิสแล้ว เราจะหมายถึงบริเวณที่เป็นเกาะเวนิส ซึ่งอาจจะเดินทางไปได้สองวิธี คือนั่งรถไฟจากสถานี Venice Mestre บนแผ่นดินใหญ่ ข้ามสะพาน Ponte della Liberta ไปลงที่สถานี Venezia Santa Lucia บนเกาะเวนิส ใช้เวลาราวๆ 10 นาทีเท่านั้น หรือจะนั่งเรือข้ามไปก็ได้ครับ ในแวดวงวรรณกรรม เวนิส เป็นที่รู้จักกันในนวนิยายเรื่อง "พ่อค้าแห่งเวนิส" (Merchant of Venice) บทประพันธ์ของ วิลเลียม เช็คสเปียร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงนำมาประพันธ์เป็นบทละครชื่อ "เวนิสวาณิช" แต่บทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงก้องโลกที่สุด คือ "โรเมโอและจูเลียต" ซึ่งเชื่อกันว่าเวนิสเป็นถิ่นกำเนิดของทั้งคู่ ทั้งเส้นทางแห่งสายน้ำ สถาปัตยกรรมอันคลาสสิก กอปรกับตำนานรักอมตะของโรเมโอและจูเลียตนี่เอง ส่งเสริมให้เวนิสเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกที่สุดในโลก !!! ทิวทัศน์เมืองเวนิสขณะรถโค้ชกำลังพาคณะของเราเดินทางไปที่ท่าเรือ ด้านซ้ายมือจะสังเกตเห็นเสาไฟฟ้าสำหรับรถไฟที่จะแล่นผ่านสะพานนี้ไปยังเกาะเวนิส แต่รถข้ามไปไม่ได้ จึงต้องพาผู้โดยสารเลี้ยวขวาไปที่ท่าเรือ เราจะลงเรือลำนี้ข้ามไปยังเกาะเวนิส ขณะนั่งเรือเข้าใกล้เกาะเวนิส จะเห็นอาคาร สิ่งก่อสร้าง ที่สร้างอยู่บนผิวน้ำ จนดูเหมือนลอยอยู่บนน้ำ อาคารนี้คือโบสถ์ San Giorgio Maggior ตั้งอยู่บนเกาะ Giorgio Maggior แผนผังเกาะเวนิส เราจะขึ้นเรือบริเวณหมายเลข 1 แล้วเดินตามถนนริมแม่น้ำ ไปยังจัตุรัส ซาน มาร์โค หรือ เซนต์มาร์ค หมายเลข 2 และล่องเรือกอนโดลา ไปจนถึงคลองใหญ่ (Grand Canal) หมายเลข 3 มุมซ้ายบนจะเห็นสถานีรถไฟ Venezia Santa Lucia ขึ้นจากท่าเรือแล้ว เราจะเดินตรงไปข้างหน้าตามถนนนี้ ระหว่างทางจะมีสะพานข้ามคลองเป็นระยะ ๆ และนี่คือคลองแรกครับ นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินสวนกันไปมา ผ่านร้านจำหน่ายของที่ระลึก ที่ขึ้นชื่อของเวนิสคือหน้ากาก หลากสี หลายขนาด ล้วนสวยงาม มาถึงบริเวณอนุสาวรีย์ของพระเจ้า Vittorio Emanuele II กษัตริย์พระองค์แรกที่รวบรวมอิตาลีให้เป็นปึกแผ่น ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงแรม Londra Palace โรงแรมหรูราคาแพง แห่งหนึ่งของเวนิส ที่ฐานอนุสาวรีย์ มีรูปปั้นสิงโตหินดูสวยสง่าน่าเกรงขาม ผ่านคลองที่สอง มีสะพานทอดเชื่อมระหว่างอาคารทั้งสองด้าน ในคลองมีเรือกอนโดล่าอยู่หลายลำ ท่าเรือกอนโดล่าให้บริการนักท่องเที่ยว มีอยู่หลายแห่ง ท่าเรือนี้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำด้านซ้ายมือ พอลงเรือแล้ว คนแจวเรือจะแจวเรือกอนโดล่าเข้ามาในคลองด้านขวามือ คนแจวเรือจะมีชุดแต่งกายที่คล้ายกัน และเรือกอนโดล่าที่ให้บริการจะมีสีดำเท่านั้น ภายในเรือมีเก้าอี้นั่งสบายพอสมควร 6 ที่ สะพานที่เห็นข้างหน้าเป็นสะพานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเวนิส มีชื่อว่า "สะพานถอนหายใจ" (Bridge of Sigh) ที่ได้ชื่อนี้เพราะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างพระราชวัง(ด้านซ้ายมือ) กับเรือนจำ(ด้านขวามือ) ใครโดนตัดสินจำคุกเมื่อเดินผ่านสะพานนี้ ก็คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นแสงตะวัน สังเกตให้ดีจะเห็นว่าสะพานนี้มีผนังและหลังคาที่แข็งแรง มิดชิด มีเพียงช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ให้นักโทษมองออกมาข้างนอกเป็นครั้งสุดท้าย ว่ากันว่า "คาสซาโนว่า" นักรักผู้ยิ่งใหญ่ก็เดินข้ามสะพานนี้ ก็คงถอนหายใจเหมือนกัน ภาพโบสถ์ San Giorgio Maggior ที่ตั้งอยู่บนเกาะฝั่งตรงข้าม มองมุมไหนก็สวย ยอดโดมที่เห็นไกล ๆ เป็นโบสถ์ Santa Maria ตั้งอยู่บริเวณปากคลองใหญ่ (Grand Canal) อีกฝั่งหนึ่ง เข้ามาถึงบริเวณจัตุรัสซาน มาร์โค แล้ว ด้านขวามือคือพระราชวังดอจ์ด (Doges Palace) พระราชวังนี้เป็นของผู้ก่อตั้งเมืองเวนิส เป็นที่ทำการรัฐบาล และมีเรือนจำอยู่ด้านหลัง สร้างในศตวรรษที่ 21 เป็นอาคารรูปทรงเรขาคณิต ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวและชมพู สวยงาม ที่บริเวณมุมและหัวเสา มีภาพสลักเรื่องราวต่าง ๆ เช่น อาดัมกับอีฟ เป็นต้น หอระฆังของโบสถ์ซาน มาร์โค บริเวณจัตุรัส หน้ามหาวิหารซาน มาร์โค เป็นงานศิลปะที่สวยงาม รูปปั้นเทวดาและนางฟ้าบริเวณหน้าบันของโบสถ์ ซุ้มประตูประกอบด้วยเสาหินอ่อนแท่งเล็ก ๆ ประกอบกัน บริเวณเหนือซุ้มประตู มีภาพวาดสวยงาม บริเวณจัตุรัสเป็นที่ตั้งของร้านค้ามากมาย ทั้งสินค้าแบรนด์เนม เครื่องประดับ ของที่ระลึก และร้านอาหาร ร้านอาหารส่วนใหญ่จะตั้งโต๊ะไว้ในลานจัตุรัสและมีดนตรีขับกล่อมด้วย (ในบริเวณกระโจมสีขาว) แต่ราคาอาหารค่อนข้างแพงมาก ผมมาลงเรือกอนโดล่าที่ท่าเรือนี้ครับ ราคาค่าลงเรือในวันนั้น(เดือนมีนาคม 2013) คือลำละ 120 ยูโร (ประมาณ 4,800 บาท) ค่านั่งเรือกอนโดล่าไม่รวมอยู่ในค่าทัวร์นะครับ ใครอยากนั่งต้องจ่ายเพิ่มเอง สามารถนั่งได้ลำละ 6 คน (เฉลี่ยคนละ 800 บาท) และไม่มีดนตรีขับกล่อมในเรืออย่างที่เคยเห็นในภาพยนตร์ เราจะนั่งชมวิวในเรือไปด้วยกันประมาณ 40 นาที เรือแล่นไปตามลำคลองเล็ก ๆ ลอดผ่านสะพานคนเดินข้ามเป็นระยะ ๆ เราถ่ายรูปคนบนสะพาน คนบนสะพานก็ถ่ายรูปเราในเรือ ไม่มีใครเสียเปรียบกัน สักครู่หนึ่งจะออกมาสู่ลำคลองใหญ่ มองเห็นสะพานสวยงามของเวนิสชื่อ "ริอัลโต้" (Realto Bridge) เดิมเป็นสะพานไม้ สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 หลังจากที่พังทลายลงจึงได้ สร้างสะพานหินขึ้นทดแทน เป็นสะพานข้ามแกรนด์คะแนลเพียงแห่งเดียวของเวนิส จนถึงปี ค.ศ.1854 จึงสร้างสะพานอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ถ้าขึ้นไปยืนบนสะพานริอัลโต้ จะเห็นทิวทัศน์สวยงามของแกรนด์คะแนล ดังภาพนี้ครับ (ภาพจากอินเทอร์เน็ต) แต่ผมไม่มีโอกาสขึ้นไปบนสะพานเพราะอยู่ในเรือกอนโดล่า จึงได้วิวนี้แทน ถ้าเป็นคู่รัก(ใหม่ ๆ) หรือมาเที่ยวกันตามลำพังสองคน มักเหมาเรือนั่งสวีทกันเพียงสองคน เช่นภาพนี้ สักครู่ก็ลัดเลาะเข้ามายังคลองเล็ก ผ่านอาคารบ้านเรือนริมน้ำที่สวยงาม พบเห็นนักท่องเที่ยวที่ยืนถ่ายรูปอยู่บนสะพาน และเดินไปมากันตลอดทาง พบเรือลำหนึ่งจ้างนักร้องและนักดนตรีลงเรือไปด้วย จะบรรเลงและขับร้องเสียงดังไพเราะไปทั่วทั้งลำคลอง เผื่อแผ่ให้กับคนนั่งเรือลำอื่น ๆ ด้วย ส่วนใหญ่เป็นการจ้างในลักษณะส่วนตัวเพื่อการฉลองในโอกาสต่าง ๆ ของชีวิต (ราคาค่าจ้างเหมาประมาณลำละ 300 ยูโร) จะได้บรรยากาศประมาณนี้ครับVIDEO ขึ้นจากเรือเราก็เดินกันต่อ ไปยังโบสถ์อีกแห่งหนึ่งด้านหน้า เหลือบไปเห็นอาคารขวามือเป็นร้าน Gucci สินค้าแบรนด์เนมอิตาลีที่พบเห็นคุ้นตาในห้างบ้านเรา โบสถ์นี้ชื่อ Saint Zaccania มีท่าเรือกอนโดล่าอีกท่าหนึ่งอยู่ในคลองด้านหน้าโบสถ์ มีภาพแกะสลักที่หน้าบันงดงาม เดินกลับมาถ่ายภาพหอระฆังที่โบสถ์เซนต์ มาร์โค อีกครั้งหนึ่ง ช่วงนี้ใกล้ค่ำแล้ว แสงค่อนข้างน้อยแต่ได้สีท้องฟ้างดงาม อาคารร้านค้าเริ่มเปิดไฟ บริเวณโถงทางเดินสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง มีห้องน้ำสาธารณะให้บริการอยู่บริเวณจัตุรัสซาน มาร์โค ฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์ (ต้องเดินผ่านร้านสินค้าแบรนด์เนมเข้าไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ด้านหลัง) เป็นห้องน้ำที่มีค่าใช้บริการแพงที่สุดในทริปนี้ คือคนละ 1.60 ยูโร (ประมาณ 64 บาท) นี่เป็นป้ายบอกทางในอาคาร เสียเงินไป 64 บาทสบายตัวแล้ว ผมเดินกลับมารอเวลานัดหมายลงเรือกลับขึ้นฝั่งบริเวณร้านขายของที่ระลึก ริมแม่น้ำ อากาศเริ่มหนาวเย็นเพราะเป็นเวลาประมาณ 1 ทุ่มแล้ว ถ้ายืนรอเรือนานกว่านี้เดี๋ยวก็ต้องเสียเงิน 64 บาทอีก ดูของที่ระลึกไปพลาง ๆ ก่อนดีกว่า หน้ากากร้านนี้สวยงามมาก ราคาอันละ 5 ยูโร (ประมาณ 200 บาท) ร้านนี้ขายเครื่องประดับที่ทำด้วยแก้ว จากโรงงานเป่าแก้วมูราโน่ (Murano Glass) ซึ่งเป็นงานฝีมือที่ประณีตสวยงาม จากเกาะมูราโน่ เป็นเกาะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก โบสถ์ San Giorgio Maggior ในยามใกล้ค่ำ มองเห็นคนแจวเรือกอนโดล่าที่มีผู้ใช้บริการนั่งชมวิวยามค่ำคืน เสาคอลัมน์สองต้นนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส หัวเสาต้นหนึ่งเป็นรูปปั้นนักบุญธีโอดอร์ (San Teodoro) อีกต้นหนึ่งเป็นรูปปั้นสิงโตมีปีกแห่งเซนต์มาร์ก (San Macro) ทางเดินริมแม่น้ำ ซ้ายมือคือพระราชวังดอจ์ด ในยามพลบค่ำ ปิดท้ายด้วยภาพเรือกอนโดล่าบนฉากหลังของโบสถ์ San Giogio Maggior ที่สวยงามยามค่ำ หัวหน้าไกด์มาบอกว่าเรือมาแล้ว เราจะกลับไปค้างคืนที่แผ่นดินใหญ่ในคืนนี้ ลาก่อนเวนิส จนกว่าจะมีโอกาสกลับมาพบกันอีก ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมครับ.
Create Date : 03 มิถุนายน 2556
26 comments
Last Update : 26 มิถุนายน 2557 13:27:41 น.
Counter : 10447 Pageviews.
ต้องหาโอกาสไปให้ได้ ตอนนี้ดูรูปไปพลางๆก่อน