Titus ต้นแบบตัวละครอมตะ
Titus ต้นแบบตัวละครอมตะดูหนังในหนังสือ, Starpics Movie Edition ฉบับที่ 544 พฤศจิกายน 2543 แม้ผลงานมากมายของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ จะถูกถ่ายอดเป็นภาพยนตร์ตลอดระยะเวลาร่วมศตวรรษ โดยแทบไม่เว้นเลยสักปีทั้งบนจอแก้วและจอเงิน ทั้งใช้บทประพันธ์ดั้งเดิมหรือใช้เพียงโครงเรื่องหลัก แต่ดูเหมือนว่าชื่อของ วิลเลี่ยม เชคสเปียร์ จะกลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูอีกครั้งช่วงปลายศตวรรษต่อต้นศตวรรษใหม่ นัยว่าเป็นช่วงแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปี นับแต่ผลงานชิ้นแรกของเขาได้เผยแพร่สู่สาธารณชน (งานแรกของเชคสเปียร์คือ The First, Second and Third Part of King Henry VI ราวปี 1590-1592) และแม้ว่าที่ผ่านมาเชคสเปียร์บนแผ่นฟิล์มรูปแบบเก่าที่เคยสร้างกันมา คือคงองค์ประกอบของบทละครไว้แทบครบถ้วน เช่น Hamlet (1996) ของ เคนเน็ธ บรานาห์ เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบบางอย่าง เช่นเปลี่ยนฉากและช่วงเวลาใน A Midsummer Nights Dream (1999) ของ ไมเคิล ฮอฟฟ์แมน หรือใช้เพียงโครงเรื่องหลักแล้วปรับเปลี่ยนโฉมเสียใหม่ เช่น 10 Things I Hate about You (1999) ของ กิล จังเกอร์ ซึ่งดัดแปลงจาก The Taming of the Shrew จะยังมีการสร้างกันอยู่ แต่การกลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูอีกครั้งของเชคสเปียร์ในวงการหนังฮอลลีวู้ดช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นี่เอง ที่ทำให้งานของมหากวีผู้นี้ถูกประแป้งแต่งหน้าให้ร่วมสมัย ที่สำคัญคือหวือหวาแหวกแนวตามลีลาของผู้กำกับฯรุ่นใหม่ ซึ่งมองว่าขนบดั้งเดิมไม่ได้มีไว้ให้เดินตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำของเก่ามาขายเป็นเรื่องท้าทายที่จะสร้างสรรค์ในแนวทางใหม่ให้ลงตัวกลมกลืน เราจึงได้เห็นหนุ่มโรมีโอและสาวน้อยจูเลียตเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ใน Romeo+Juliet (1996) ของ บาซ เลอร์มาน สนทนากันด้วยบทกวีอันเต็มไปด้วยศัพท์แสงโบราณ เช่นเดียวกับ แฮมเล็ตแห่งนิวยอร์ค ใน Hamlet (2000) ของ ไมเคิล อัลเมเรย์ดา หรือแปลกไปกว่านั้น Looking for Richard (1996) ของ อัล ปาชิโน ที่เสนอเบื้องหลังการสร้างละครเวทีเรื่อง Richard III และการจับเอาเชคเสปียร์มาเปรียบเป็นโรมีโอเสียเองใน Shakespeare in Love (1998) ของ จอห์น แมดเดน Titus ของผู้กำกับฯหญิง จูลี่ เทย์เมอร์ จากบทละคร Titus Andronicus ก็อยู่ในกระแสนี้ด้วยเช่นกัน ในรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับ Romeo+Juliet Titus Andronicus เป็นผลงานลำดับต้นๆ ของเชคสเปียร์ เปิดแสดงในช่วงปี 1593-1594 ด้วยเหตุที่ตัวละครจ้องจองล้างจองผลาญล้างแค้นกันด้วยวิธีโหดๆ บนพื้นฐานเรื่องราวที่ไม่มีความซับซ้อนลึกซึ้งเท่าใดนัก ทำให้ Titus Andronicus ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบและไม่เป็นที่จดจำสำหรับแฟนๆ จนถึงกับมีข้อกังขาว่าบทละครเรื่องนี้ไม่ใช่ผลงานของเชคสเปียร์ ในวงการหนังก็เช่นกัน ขณะที่ผลงานเด่นของเชคสเปียร์ อาทิ Hamlet, Macbeth, Othello หรือ Romeo and Juliet ถูกสร้างสรรค์บนแผ่นฟิล์มทั้งในและนอกฮอลลีวู้ดกันเรื่องละหลายสิบครั้งในหลายๆ รูปแบบ Titus Andronicus กลับถูกถ่ายทอดเป็นหนังเพียง 2 ครั้ง และเป็น 2 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว (1999) นี่เอง หรือถ้าจะรวมฉบับที่ฉายทางโทรทัศน์และฉบับที่ทำป้อนตลาดวิดีโอ ก็เพิ่มเข้าไปอีกเพียง 3 ครั้งเท่านั้น (ฉบับโทรทัศน์มี Titus Andronikus ปี 1970 และ Titus Andronicus ปี 1985 ส่วนฉบับวิดีโอคือ Titus Andronicus: The Movie ปี 1997)Titus Andronicus ซึ่งถูกสร้างเป็นหนังเมื่อปี 1999 ฉบับหนึ่งกำกับฯโดย คริสโตเฟอร์ ดันน์ ผู้เขียนไม่ได้ชมเรื่องนี้ แต่ดูจากงานสร้างแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นหนังที่เจาะกลุ่มคอหนังขาโหดทั้งหลาย และฉายในวงแคบก่อนลงสู่ตลาดวิดีโอและเคเบิลทีวี ขณะที่อีกฉบับหนึ่งในชื่อสั้นๆ ว่า Titus โดยผู้กำกับฯ จูลี่ เทย์เมอร์ น่าจะเป็นฉบับที่ทำให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักบทละครเรื่องนี้ รวมทั้งทำให้เชคสเปียร์แฟนคลับหันกลับมาสนใจอีกครั้งหนึ่ง โศกนาฏกรรมแห่งกรุงโรมเรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อ ไททัส แอนโดรนิคัส (แอนโธนี ฮอปกินส์) แม่ทัพใหญ่ กลับสู่จักรวรรดิโรมันพร้อมชัยชนะในการทำสงครามกับเมืองกอธ เขาสูญเสียลูกชายที่ไปร่วมรบด้วยหลายคน จนเหลือกลับมาแค่ 4 คน คือ ลูเชียส (แองกัส แมคฟาเดียน) ควินตัส (เคนนี่ โดห์ตี้) มาร์เทียส (โคลิน เวลล์ส) และ มิวเทียส (เบลค ริทสัน) ในพิธีศพไททัสได้ฆ่า อลาร์บัส (แรซ เดแกน) ลูกชายคนโตของราชินีทามอร่า (เจสสิกา แลงก์) ผู้เป็นเชลยศึกเพื่อสังเวย โดยไม่ยอมฟังคำอ้อนวอนทัดทานของนาง ช่วงนั้นจักรพรรดิโรมันสวรรคต บุตรชายทั้งสองของพระองค์ คือ ซาเทิร์นนินัส (อลัน คัมมิ่ง) และ บาซซิเอนัส (เจมส์ เฟรน) ต่างต้องการสืบราชบัลลังก์ ไททัสในฐานะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้ตัดสินให้ซาเทริ์นนินัสเป็นจักรพรรดิ พร้อมกับมอบเชลยศึกคือราชินีทามอร่าและลูกชายของนาง รวมทั้ง แอรอน (แฮร์รี่ เจ. เลนนิกซ์) ชาวมัวร์ผู้เป็นชู้รักของทามอร่าเป็นเครื่องบรรณาการ นอกจากนั้น ไททัสยังต้องจำใจยก ลาวิเนีย (ลอร่า เฟรเซอร์) บุตรสาวเพียงคนเดียวให้ซาเทิร์นนินัส เมื่อบาซซิเอนัสซึ่งคบหารักใคร่อยู่กับลาวิเนียไม่ยินยอม เขาจึงพาลาวิเนียหนีไปโดยมีพี่ชายทั้งสี่ของนางช่วยเหลือ ด้วยความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ ไททัสพยายามพานางกลับคืนให้ซาเทิร์นนินัสจนถึงกับปลิดชีวิตมิวเทียส ลูกชายตนเองที่เข้าขัดขวาง เมื่อซาเทิร์นนินัสไม่ได้ตัวลาวิเนีย จึงแต่งตั้งทามอร่าเป็นจักรพรรดินีแทน แล้วแผนการล้างแค้นไททัสของทามอร่าก็เริ่มต้น โดยมีแอรอนเป็นผู้วางอุบายให้ควินตัสและมาร์เทียส ลูกชายของไททัสถูกจับกุมเพราะต้องสงสัยว่าเป็นผู้สังหารบาซซิเอนัส ส่วนลูเชียสลูกชายอีกคนก็ถูกเนรเทศ และที่ซ้ำร้ายกว่านั้น...ลาวิเนียถูก ดีมีเทรียส (แม็ทธิว ไรส์) และไครอน (โจนาธาน รีส-เมเยอร์ส) ลูกของทามอร่าข่มขืน แถมยังตัดลิ้นและมือของนางเพื่อให้ไม่อาจบอกใครได้ แม้ว่าไททัสจะยอมตัดมือตนเองเพื่อแลกชีวิตลูกชายที่ถูกจับกุม แต่ทั้งสองกลับถูกฆ่าทิ้ง ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายลูกสาว ความอดทนและความจงรักภักดีของไททัสจึงสิ้นสุดลง เขาแกล้งทำเป็นเสียสติ ลวงลูกของทามอร่ามาเชือดคอ และนำร่างไร้วิญญาณนั้นมาทำเป็น พาย เพื่อเสิร์ฟในมื้ออาหารที่ซาเทิร์นนินัสและทามอร่าคงไม่มีวันลืม...ถ้าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ต่อไป! หนังเปิดเรื่องด้วยเด็กชายคนหนึ่งในบ้านที่มีข้าวของเครื่องใช้สมัยใหม่ เขาสวมถุงกระดาษปิดหน้า เจาะไว้เพียงดวงตา แสดงท่าทางกราดเกรี้ยวทึ้งทำลายกองทัพตุ๊กตาทหารและนักรบโรมันตรงหน้า ทันใดนั้น มีเสียงเฮลิคอปเตอร์ เสียงระเบิดดังสนั่น พร้อมชายรูปร่างกำยำตรงเข้าอุ้มเด็กชาย เปิดประตูพาออกไปสู่สนามกีฬาโคลอสเซียมแห่งกรุงโรม ดั่งเมื่อราวปี ค.ศ.400 หากใครเคยดู Romeo+Juliet ของ บาซ เลอร์มาน และ Loves Lobours Lost (2000) ฉบับล่าสุดของเคนเน็ธ บรานาห์ จะเห็นว่ามีฉากเปิดเรื่องทำนองเดียวกัน โดยการดึงผู้ชมยุคปัจจุบันไปสู่โลกจินตนาการซึ่งผสมผสานระหว่างเรื่องแต่งที่มีฉากและช่วงเวลาในอดีตกับเหตุการณ์ร่วมสมัย ใน Romeo+Juliet และ Loves Lobours Lost ใช้ข่าวโทรทัศน์บรรยายเรื่องราว ขณะที่ Titus ชายรูปร่างกำยำเหมือนนักรบกลาดิเอเตอร์ (แต่สวมแว่นตานักบินยุคสงครามโลกครั้งที่ 2) พาเด็กชายซึ่งตอนแรกอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ย้อนกลับไปสู่ยุคโรมัน และเด็กชายคนนี้ได้กลายเป็นตัวละคร ลูเชียสน้อย (โอชีน โจนส์) ลูกของลูเชียส ลูเชียสน้อยที่มาจากโลกปัจจุบัน และเป็นพยานรู้เห็นการห้ำหั่นทำร้ายกันอย่างรุนแรงต่อหน้าต่อตานี่เอง เป็นเหมือนตัวแทนของผู้สร้างในการวิพากษ์ความเสื่อมทางศีลธรรมและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ซึ่งสื่อต่างๆ รวมทั้งหนังได้ตกเป็นจำเลยทางสังคม แม้ว่าจะมีส่วนถูกสำหรับข้อกล่าวหานั้น แต่ความรุนแรงหลายครั้งที่เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ว่าโดยพื้นฐานเกิดจากระดับอารมณ์ของผู้คน ทั้งรัก หลง โกรธแค้นอันเกินพิกัด จนไม่สามารถครองสติได้ ดังเช่นโศกนาฏกรรมใน Titus คือแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรักและความแค้นที่ก่อให้เกิดความรุนแรงซึ่งแฝงไว้ในบทละครตั้งแต่ต้น เมื่อมาปรากฏอยู่ใน Titus แก่นเรื่องดังกล่าวได้ถูกขยายออกให้ครอบคลุมทุกช่วงเวลา ไม่จำกัดไว้แค่อดีต เพราะหลังจากฉากเริ่มต้นที่เป็นการมาพบกันระหว่างยุคโรมันกับโลกปัจจุบันแล้ว ฉากและองค์ประกอบฉากต่างๆ ในหนังหลังจากนั้นล้วนแต่มีลักษณะไร้กาลเวลา คือมีการผสมผสานกันหลายยุคสมัย เช่นพาหนะมีทั้งม้า มอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ อาวุธมีทั้งดาบ ธนู และปืน ส่วนเครื่องแต่งกายก็มีหลายแบบ ตั้งแต่ชุดเกราะไปจนถึงชุดหนัง แถมมีวิดีโอเกม 3 มิติ ของเล่นยุคดิจิตอลอีกต่างหาก กระนั้น ยุคสมัยที่โดดเด่นที่สุดใน Titus คือยุครัฐบาลฟาสซิสต์ของจอมเผด็จการ เบนิโต มุสโสลินี (ระหว่างปี 1922-1943) ทั้งเครื่องแต่งกายทหาร และฉากหลังที่ใช้ตึกที่ทำการรัฐบาลฟาสซิสต์ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เหตุที่ผู้สร้างใช้ยุคนี้เป็นหลักน่าจะเพราะความสอดคล้องใกล้เคียงกันระหว่างยุคโรมันและยุคฟาสซิสต์ที่มุ่งแผ่ขยายอำนาจและอาณาเขตเพื่อความเกรียงไกรของกรุงโรม ซึ่งมุสโสลินีถึงกับเคยประกาศเจตนารมณ์ว่าจะทำให้อิตาลียิ่งใหญ่เหมือนจักรวรรดิโรมัน นอกจากฉากและองค์ประกอบฉากซึ่งดูแปลกตาน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว งานด้านภาพทั้งการถ่ายภาพและการตัดต่อก็ดูหวือหวาตามสไตล์ผู้กำกับฯรุ่นใหม่ ทั้งการเร่งความเร็วภาพ การแช่ภาพนิ่ง หรือกราฟิคภาพในจินตนการที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่น แม้เทคนิคเหล่านี้จะเห็นกันบ่อยครั้งในหนังร่วมสมัยหลายเรื่อง แต่เมื่อมาใช้กับเรื่องราววิจิตรอลังการอย่างงานของเชคสเปียร์จึงน่าสนใจยิ่งขึ้น ที่สำคัญ ลูกเล่นเหล่านี้ไม่ได้ถูกใส่ไว้พร่ำเพรื่อ แต่ใช้รองรับกับบทตอนได้ลงตัว เช่นการเร่งความเร็วภาพในฉากที่ลาวิเนียเขียนชื่อคนที่ทำร้ายเธอ เหมือนการไหลทะลักปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจ แม้องค์ประกอบหนังหรือวิธีการนำเสนอจะดูห่างไกลจากเชคสเปียร์แบบดั้งเดิมไปพอสมควร แต่โดยเนื้อหาใจความแล้ว เรียกได้ว่าผู้สร้างสามารถดึงอรรถรสในงานประพันธ์ออกมาได้ครบถ้วน เพราะใช้ถ้อยสนทนาตามบทประพันธ์ อาจตัดบางฉากและบางตัวละครออกไปบ้างเพื่อไม่ให้หนังยาวและเยิ่นเย้อจนเกินไป แต่แน่นอนว่าฉากที่คงอยู่หลายฉากได้แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของเชคสเปียร์ จนทำให้บทละคร Titus Andronicus น่าจะได้รับความสนใจมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เช่นฉาก ทางแยก ซึ่งเป็นฉากที่ไททัสผู้เป็นพ่อเฝ้ามองชะตากรรมของลูกๆ แล้วรำพันต่อฟ้าดิน ถือว่าเป็นฉากที่ดีที่สุดฉากหนึ่งของหนังในแง่การนำเหตุการณ์ที่เคยถูกถ่ายทอดบนเวทีละคร ซึ่งมีข้อจำกัดด้านมุมมองของผู้ชมและมิติของสถานที่ มานำเสนอในสถานที่จริงซึ่งมีทางแยก 4 สาย เหมือนกับชะตากรรมของคนในครอบครัวแอนโดรนิคัส ขับเน้นด้วยภาพระยะไกลเห็นตัวละคร 4 คนยืนอยู่ปากทางแยกทั้งสี่ ฟากฟ้าครึ้มเมฆฝน มีถ้อยคำร้าวรันทดของไททัสรองรับ นี่คือตัวอย่างที่ดีของการนำงานประพันธ์หรือการละครมาสร้างบนแผ่นฟิล์ม โดยผู้สร้างใช้จุดเด่นของหนังมาทดแทนข้อจำกัดของงานดั้งเดิม และรู้ว่าควรใช้จุดเด่นของหนังช่วยเน้นสัญลักษณ์ใดที่อยู่ในงานประพันธ์นั้นๆ ในส่วนอารมณ์ของหนัง นับว่า Titus หลุดพ้นจาก เมโลดราม่าเปื้อนเลือด ได้ด้วยการลงลึกไปในจิตใจของตัวละคร แทนที่จะเน้นเรื่องความทารุณโหดร้าย โดยเฉพาะตัวละครไททัสซึ่งรับบทโดยแอนโธนี ฮอปกินส์ คือชายวัยกลางคนผู้จงรักภักดีต่อราชบัลลังก์และจักรวรรดิโรมัน แต่ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่เขาต้องปกป้องคุ้มครองก็คือครอบครัว หลายครั้งที่ไททัสต้องแสดงความเข้มแข็งให้คนในครอบครัวเห็น ฮอปกินส์สามารถแสดงให้รู้ว่าในการกระทำและคำพูดซ่อนความโศกเศร้าขมขื่นเอาไว้ ส่วนแอรอน ชู้รักของทามอร่า เพราะความลุ่มหลงในตัวนาง ประกอบกับความเคียดแค้นไททัสและซาเทิร์นนินัส ทำให้เขาคิดแผนการชั่วร้ายต่างๆ แต่เมื่อเขามีลูกอันเกิดกับทามอร่า ความเคียดแค้นต่างๆ จึงคลายลง พร้อมกับสำนึกว่าการทำร้ายสายเลือดของคนอื่นเป็นสิ่งเลวร้าย ซึ่ง แฮร์รี่ เจ.เลนนิกซ์ ผู้รับบทแอรอนถ่ายทอดความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้ดีและโดดเด่นไม่แพ้นักแสดงรุ่นใหญ่ที่เคยได้ออสการ์มาแล้วอย่างฮอปกินส์ ซ้ำยังโดดเด่นแซงหน้านักแสดง 2 รางวัลออสการ์อย่างเจสสิก้า แลงก์ ในบทราชินีทามอร่า นอกจาก 2 นักแสดงออสการ์แล้ว Titus ยังได้นักแสดงรางวัลโทนี่อย่างอลัน คัมมิ่ง มารับบทซาเทิร์นนินัส ส่วนทีมงานเบื้องหลังล้วนแล้วแต่คุณภาพคับแก้ว ทั้งผู้กำกับฯเทย์เมอร์ซึ่งสร้างชื่อจากละครเวที 6 รางวัลโทนี่ รวมทั้งรางวัลผู้กำกับฯยอดเยี่ยม เรื่อง The Lion King มิเลนา คาโนเนโร ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และ ฟรังซัวส์ โบเนต์ มือตัดต่อ ต่างเคยได้ออสการ์มาแล้ว ยังไม่นับ ดังเต้ เฟอร์เร็ตติ ผู้ออกแบบงานสร้าง และ เอลเลียต โกลเดนทาล คนแต่งดนตรีประกอบ ที่เคยเข้าชิงออสการ์กันคนละหลายครั้ง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้Titus เป็นอีกรสชาติหนึ่งของเชคสเปียร์ที่น่าลิ้มลอง แม้ว่าที่ผ่านมา Titus Andronicus จะเป็นงานของเชคสเปียร์ซึ่งไม่อยู่ในความทรงจำหรือการรับรู้ของคนจำนวนมาก แต่หากใครที่เคยชื่นชมหรือเริ่มรู้จักมหากวีผู้นี้จากงานเด่นๆ เรื่องอื่นของเขาก็ไม่ควรพลาด Titusเพราะนี่คือต้นแบบตัวละครสำคัญใน Macbeth, Othello, Richard III รวมทั้ง Hamlet ที่อยู่ในใจคนมากมายมานานกว่า 4 ศตวรรษ
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2550
14 comments
Last Update : 4 มีนาคม 2551 23:07:02 น.
Counter : 7058 Pageviews.
โดย: nanoguy 19 พฤศจิกายน 2550 2:00:15 น.
โดย: ม่วนน้อย. IP: 202.44.136.50 19 พฤศจิกายน 2550 14:24:42 น.
โดย: yawaiam IP: 125.25.172.20 25 พฤศจิกายน 2550 8:09:12 น.
โดย: พี่เอ IP: 117.47.201.63 13 มกราคม 2551 1:09:45 น.
โดย: ฝน IP: 203.107.142.106 20 มีนาคม 2551 15:28:36 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................select movie / blog ....... --international-- ....... The Walking Dead I Wish I Knew 127 Hours The Expendables vs. Salt No puedo vivir sin ti Bright Star The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner Sin Nombre Invictus Afghan Star Moon Gigante The Promotion An Education Up in the Air Snow (Snijeg) Liverpool Tahaan Lion's Den Tulpan Everlasting Moments Absurdistan Topsy-Turvy Ramchand Pakistani The Pope's Toilet Antonio's Secret พลเมืองจูหลิง Flashbacks of a Fool And When Did You Last See Your Father? The Boy in the Striped Pyjamas Gran Torino Departures Gomorra Abouna + Daratt Grace Is Gone The Road to San Diego Into the Wild Slumdog Millionaire The Silly Age The Year My Parents Went on Vacation It's Hard to Be Nice Ben X Caramel The Class Kings จาก Kolya ถึง Empties The Unknown Woman Dokuz Heima Cocalero The Blood of My Brother & Iraq in Fragments 12:08 East of Bucharest Rescue Dawn Mongol 6 : 30 Something Like Happiness To Each His Cinema The Counterfeiters ข้างหลังภาพ Lions for Lambs + Michael Clayton Father and Daughter Possible Lives กอด The Buried Forest รัก-ออกแบบไม่ได้ Lights in the Dusk The Piano Teacher Do You Remember Dolly Bell? Sisters in Law Al Otro Lado A Time for Drunken Horses Zelary Bug The Invasion The Science of Sleep Paris, I love you Still Life The Lives of Others Heading South Renaissance ABC Africa The Death of Mr. Lazarescu Maria Full of Grace The Last Communist Eli, Eli, lema sabachthani? 4 : 30 Late August, Early September The Circle The Cave of the Yellow Dog Italian for Beginners Love/Juice Your Name is Justine The Syrian Bride Dragon Head Reconstruction Eros The Scarlet Letter The Night of Truth Familia Rodante Bonjour Monsieur Shlomi Lantana Flanders Tokyo . Sora The World Whisky Buffalo Boy S21 : The Khmer Rouge Killing Machine Fire, Earth, Water C.R.A.Z.Y. All about My Mother Jasmine Women Battle in Heaven The Day I Became a Woman Man on the Train CSI : Grave Danger Innocence Life Is a Miracle Drugstore Girl Der Untergang The Bow Happily Ever After The Wayward Cloud The House of Sand Or, My Treasure Janji Joni Moolaade Vodka Lemon Angel on the Right Twentynine Palms The Taste of Tea ....... --independent-- ....... Goodbye Solo The Hurt Locker (500) Days of Summer Towelhead Kabluey Three Burials of Melquiades Estrada Titus Chuck & Buck The Woodsman Pollock Last Days The Limey Inside Deep Throat Coffee and Cigarettes Garden State My Name is Joe Sexy Beast Real Women Have Curves The Brown Bunny Before Sunset Elephant Bubble You Can Count on Me 9 Songs ....... --classic-- ....... Memories of Underdevelopment (1968) The Last Laugh The Snows of Kilimanjaro The Cabinet of Dr.Caligari Nanook of the North The Apu Trilogy ....... --หนังมีไว้ให้คิด-- ....... The Schoolgirl's Diary Long Road to Heaven The Imam and the Pastor Maquilapolis ....... --what a film!-- ....... Kabuliwala (1956) Macunaima (1969) Kozijat rog (1972) The Girl and the Echo (1964) Fruits of Passion (1981) Happy Gypsies (1967) ....... --introducing-- ....... Death Race 2000 (1975) ซอมบี้ปากีฯ+ผีดิบมาเลย์+ซูเปอร์แมนตุรกี Zinda Muoi Father and Daughter ....... --directed by-- ....... Ouran (1968) Pierwsza milosc (1974) Salome (1978) 4 หนังสั้น เคียรอสตามี recommended ....... - 'รงค์ วงษ์สวรรค์ กับภาพยนตร์ - เทมาเส็ก พิคเจอร์ส - Heading South - Still Life - The Apu Trilogy - The Day I Became a Woman - จาก Fire, Earth สู่ Water พญาอินทรี ศราทร @ wordpress
1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30