เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

การดึงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด โดย "ไหมดึงหน้า" หรือ Thread Lift



เมื่อความชรามาเยือน ผิวหนังบนใบหน้าก็เริ่มหย่อนคล้อย บางคนก็ย้อยจนหน้าตาเปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าจะเป็นคิ้วและหนังตาตก ร่องแก้มลึก แก้มห้อยย้อย ถ้าอายุมากจริงๆ ย้อยจนย้วย การผ่าตัดดึงหน้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าอายุยังไม่เยอะ หรือ ย้อยไม่มาก แต่ก็แย่จนคนเริ่มทัก ว่าหน้าเศร้าบ้าง โทรมบ้าง เราควรทำอย่างไรดี !!!!???

ถ้าไม่ชอบเจ็บตัวมากนัก มีเวลามาก รอได้ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม แนะนำการทำ Treatment ที่เกี่ยวกับการยกกระชับผิว ได้แก่ การทำ RF, Laser Infared หรือ Ultrasoud (จะกล่าวถึงใน Blog ต่อไป ^^)

แต่ถ้าชอบความรวดเร็วขึ้นมาหน่อย แล้วก็เจ็บตัวครั้งเดียว แต่ไม่มากเท่ากับการผ่าตัดดึงหน้าเต็มรูปแบบ บางคนอาจคงเคยได้ยิน ไหมดึงหน้า หรือ Thread Face Lifting กันมาบ้าง โดยไหมดึงหน้าเหล่านี้ มีอายุ 1-3 ปี (ยกเว้นไหมทอง)

ประโยชน์ของการใช้ไหมดึงหน้า

1. เห็นผลยกกระชับและช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ชัดเจนทันที
2. เห็นผลได้ชัดเจนขึ้นในอีก 1-2 เดือนถัดมา โดยจะเห็นผลสูงสุดที่ 3 เดือน จากการที่ไหมไปกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมต่อเนื้อเยื่อให้มีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง ทำให้เห็นผลยกกระชับที่เพิ่มขึ้น
3.ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีแผลขนาดใหญ่ อาจมีรอยมีดกรีดเล็กๆ หรือ บางแบบอาจมีแค่รอยเจาะของเข็มเพียงเล็กน้อย
4. หลังจากการทำไม่ต้องพักฟื้น สามารแต่งหน้าใช้ใบหน้าได้ตามปกติทันที สามารถใช้ชีวิตตามปรกติได้เลย
5. อาจมีรอยเขียวช้ำเกิดขึ้นได้ แต่ก็เพียงเล็กน้อย จึงใช้เวลาพักฟื้น (Down Time) น้อยมาก
5. เพราะไม่ใช่การผ่าตัด จึงมีความเจ็บปวดที่เกิดในขณะทำและหลังจากทำเพียงเล็กน้อย

เจ้าไหมดึงหน้านี้มีอยู่หลากหลายชนิด ... ไปรู้จักกันดีกว่า


กลุ่มไหมถาวร เป็นกลุ่มไหมที่เป็นวัสดุที่ไม่สามารถสลายได้ ข้อดีก็คือมีผลที่อยู่ได้นานกว่าไหมที่เป็นวัสดุละลายได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสามารถยกกระชับได้ตลอดชีวิต เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น ผิวก็จะมีการหย่อนคล้อยมากขึ้น ลองจินตนาการถึงการใช้เชือกมาดึงผ้า ถ้าผ้าย้วยมากขึ้น ก็จะร่วงไหลลงมา แม้ว่าเชือกเส้นนั้นจะยังขึงอยู่ นึกภาพตามออกใช่ไหมคะ เรามาดูกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

1. Gold Thread เป็นการนำไหมที่ทำด้วยโลหะทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ที่มีขนาดประมาณเส้นผม ร้อยเป็นลักษณะโครงตาข่ายในชั้นผิวหนัง โดยทองคำจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น และมีการสร้างคอลาเจนขึ้นใหม่ แต่เพราะด้ายทองไม่มีปมหรือแง่งใดๆ จึงไม่มีผลในแง่ของ Machanic lifting มากนัก จึงต้องรอผลจากการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซม จะเริ่มเห็นผลเมื่อ 1 เดือนเป็นต้นไป

โดยไหมทอง 1 เส้น จะมีความยาวตั้งแต่ 25 - 50 cm ขณะทำก็จะตัดไปเรื่อยๆ ขณะร้อยเข้าไปในชั้นผิวหนัง ดังนั้น การร้อยไหมทั้งหน้า ก็จะใช้เพียงไม่กี่เส้น โดยปกติใช้เพียงไม่กี่เส้น แต่ก็เคยมีรายงานว่ามีการใช้ถึง 10 เส้นใน 1 คนเลยทีเดียว

แต่ในปัจจุบันในหลายๆ ประเทศไม่ยอมรับ แม้แต่ประเทศไทย เพราะยังคงมีการถกเถียงกันว่าผู้ที่ได้ทำการร้อยไหมทองชนิดนี้จะสามารถเข้าเครื่องตรวจวินิจฉัย MRI ได้หรือไม่  





2. Feather-Lift หรือ Aptos ® threads เป็นไหมที่ไม่สามารถละลายได้ (monofiliment material - “polypropylene”) ที่มีลักษณะเป็นรูปก้างปลาบั่งออกเป็นซี่ๆ จากตัวเส้นไหนเอง เริ่มขึ้นที่รัสเซียเป็นประเทศแรก [ชื่อจากบริษัทอื่น ได้แก่ Silk Lift™, BPS® (Barbed Polypropylene Sutures)]





3. Spring Thread เป็นไหมที่ทำมาจากซิลิโคนที่นำมาฉีดขึ้นรูปให้เป็นเส้น โดยลักษณะปมจะเป็นตุ่มๆ  ดังรูป G หรือ F ในภาพ 1




ภาพ 1 : B, C = Aptos และ Happy thread lift, E = SILHOUETTE LIFT ® (cônes résorbables)
รูปเปรียบเทียบไหมแบบต่างๆ 

กลุ่มไหมละลาย จะเป็นไหม PDO (polydioanone) และ PGLA/PA (polyglycolic acid) ซึ่งเป็นไหมละลายที่ใช้ในการเย็บผนังเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีผลปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ไหมละลายที่นำมาร้อยกระชับจะค่อยๆ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง นอกจากจะเห็นผลทันทีหลังทำแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีก คือขณะที่ไหมละลายอยู่ใต้ผิวหนัง จะกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Local microcirculation) มีผลให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม จึงเกิดการยกกระชับมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าจะยิ่งดีขึ้น กระชับขึ้นเรื่อยๆ และได้ผลต่อเนื่องนานถึง 12-18 เดือน

โดยกลุ่มนี้จะแบ่งตามรูปร่างของไหม ซึ่งหลากยี่ห้อ หลายรูปทรง ตั้งชื่อเรียกไทยๆ กันไปต่างๆ นาๆ ไปดุกันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

หลากหลายยี่ห้อ ยกตัวอย่างๆ ยี่ห้อที่พอจะคุ้นๆ หู ได้แก่ TR-Lift, Dr.Cog, Miracu, Minerva, TT Lift และอื่นๆ อีกมากมาย

1 Silhouette Lift ไหมมีการทำปมเป็นระยะๆ โดยระหว่างปมจะมีกรวยรูปร่างคล้ายไอศครีม ซึ่งจะถูกล็อคตำแหน่งไว้โดยปมข้างต้น 





ไหมไม่ละลายแแบบนี้ มีใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี ในการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ (Biocompatibility)

2. ไหม PDO ธรรมดา (รูป A ในภาพ 1) จะเป็นไหมที่ไม่มีเงี่ยงแง่งรอยบากใดๆ เป็นไหมเรียบๆ โดยไหมเส้นหนึ่งๆ จะมีขนาดเล็กมากขนาดประมาณเส้นผมคนเท่านั้นเอง และไม่ยาวมากนัก โดยแต่ละเส้นจะมีขนาดตั้งแต่ 3-9 cm เหมาะในคนที่มีปัญหาหย่อนคล้อยไม่มากนัก โดยไหมจะไปกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมจากกระบวนการเกิดเผลอภายใตัผิวหนัง ก็เอาเข็มจิ้มเข้าไปใต้ผิว มันก็ต้องเกิดแผล แต่เป็นแผลขนาดเล็ก จึงไม่ส่งผลต่อสภาพผิวด้านบน แต่เนื่องด้วยไหมมีขนาดเล็ก การจะก่อให้เกิดผลลัพท์ยกกระชับไปถึงจุดที่ต้องการ ก็ต้องมีการใส่ที่มากเพียงพอ แต่ก็ไม่มากเกินไปจนก่อให้เกิดปัญหาได้ ซึ่งหมอที่คิดทำแบบนี้เป็นนวัตกรรมจากเกาหลีเป็นที่แรก  ดังนั้นถ้าทำทั้งหน้าและลำคอ อาจต้องใช้มากถึง 200 เส้นเลยทีเดียว



3 ไหมเงี่ยง (Cog Thread) [รูป B,C ในภาพ 1] เป็นไหม PDO ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ไซด์ราวๆ ใส้ดินสอ 2B แล้วมีการบากเป็นบั้งๆ เหมือนเอาขวานฟันต้นไม้ เมื่อแบะบั้งออก เลยมีสภาพเหมือนก้างปลา จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกในแบบต่างๆ เช่น ไหมเงี่ยง ไหมก้างปลา ซึ่งต่อมาก็มีการออกแบบเงี่ยงในรูปแบบต่างๆ ออกมา ก็จะมีชื่อเรียกที่แปลกออกไปอีก เช่น ไหมจรเข้ ส่วนไหมสกรู มักจะหมายถึงไหมที่มีเงี่ยงวงรอบๆ ไหม ไม่ใช่เงี่ยงในระนาบเดียวกันเหมือนไหมเงี่ยงในสมัยแรกๆ 

4 ไหมกุหลาบ (Mint Thread) เป็นไหมที่เงี่ยงที่มีเกิดจากการฉีดให้มีเงียงยื่นออกมา เสมือนหนามที่อยู่บนก้านดอกกุหลาบ เนื่องด้วยไหมมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าไหมเงี่ยง และเงี่ยงนั้นไม่ใช่การบากไหม ทำให้ไหมถูกเคลมว่ามีแรงยกที่เยอะกว่าและอยู่ได้นานกว่า







----------------------------------------------------------------------------------------------------------------


วิธีการร้อยไหม แบบคร่าวๆ หลักการของทุกๆ อย่างจะคล้ายๆ กัน

1. ทายาชาบริเวณใบหน้าของคุณผู้หญิงที่ต้องการยกกระชับไว้ 30-45 นาที โดยแพทย์อาจเพิ่มการฉีดยาชาเฉพาะจุดในไหมบางชนิด
2. ทำความสะอาดให้ทั่วใบหน้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
3. แพทย์จะนำเส้นไหมเข้าไปยึดตามเนื้อเยื่อผิว โดยจะใช้วิธีร้อยเรียงเส้นไหมด้วยเทคนิคเฉพาะของไหมแต่ละชนิดในเวลาเพียง 30- 60 นาที
4. หลังจากร้อยไหมแล้ว อาจมีการเพิ่มแรงดันบริเวณใบหน้าด้วยการกดเบาๆ ทั่วๆ ใบหน้า ร่วมกับการประคบเย็น เพื่อลดการไหลออกของเลือด ทำให้การเกิดการเขียวช้ำลดลง เป็นเวลา 10-15 นาที เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการร้อยไหม
6. อาจได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ กลับไปรับประทานต่อที่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เอาคลิปดึงหน้าแบบผ่าตัดมาให้ดูเล่นๆ น่ากลัวไม่หยอก

Face Lift Surgery ใน 10 นาที




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2554    
Last Update : 14 กันยายน 2560 19:27:36 น.
Counter : 4366 Pageviews.  

Filler แปลตรงตัวได้ว่า... "สารเติมเต็ม" ... ชนิด และ การใช้งาน ?

วัยที่เพิ่มขึ้น...ทำให้องค์ประกอบของ "สารโครงสร้าง" ในชั้นผิวหนังลดลง จึงเกิดรอยเหี่ยวย่นปรากฏให้เห็นเพิ้มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นร่องแก้ม ร่องใต้ตา สารโครงสร้างนี้มีองค์ประกอบหลายอย่าง โดยองค์ประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง คือ คอลลาเจน (Collagen) เจ้าคอลลาเจนนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างที่ซับซ้อนเป็นเกลียว



ใครที่รักความสวยงามปัจจุบัน คงคุ้นเคยกันดีกับคำว่า Filler ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า "การเติมเต็ม" ในทาง cosmetic คำว่าสาร Filler คือ สารที่ใช้ในการเติมเต็ม ในประเทศไทยมีการฉีดสารเติมเต็ม (Filler Agents) เข้าผิวหนังมานานแล้ว เพื่อการแก้ไขความบกพร่องของผิวหน้า เช่น ปรับรูปหน้า เสริมจมูก เสริมคาง เสริมร่องแก้ม เติมรอยหลุม แก้มตอบ เติมก้น เสริมหน้าอก ฯลฯ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีหลากหลายชนิดมากมาย ไม่ได้มีแต่ Hyaluronic acid เพียงอย่างเดียวเหมือนที่เราเข้าใจกัน

วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้า Filler นี้กัน ว่ามีอะไรบ้าง

- Filler แบบไม่ถาวร (Temporary)
1. คอลลาเจนที่สังเคราะห์จากสัตว์ ได้แก่ Bovine (วัว), Pocine (หมู) แต่ลดความนิยมไปในปัจจุบันเพราะมีอัตราการแพ้ที่สูงเมื่อเทียบกับแบบอื่น
2. Bioengineered Human Collagen แม้จะไม่มีการแพ้ แต่เพราะราคาที่แพงกว่ามาก โดยไม่สามารถอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์อื่นๆ จึงไม่เป็นที่นิยม
3. Hyaluronic Acid (HA) จริงๆ แล้วเป็นสารโครงสร้างที่มีอยู่แล้วในร่างกาย เราจึงสร้างกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) สังเคราะห์ขึ้นเพื่อทดแทนคอลลาเจนในผิวที่เริ่มสูญเสียลงตามวัย โดยสารตัวนี้จะช่วยโอบอุ้มน้ำในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและกระชับขึ้น ในระยะแรก Hyaluronic Acid สังเคราะห์จากสัตว์ ได้แก่ Hyaform ต่อมา Hyarulonic ที่สกัดมาจากน้ำตาลที่ถูกย่อยโดยแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (Non -bacteria derived synthetic hyaluronic acid : NASHA) เกิดขึ้น จึงทำให้แพทย์นิยมใช้มากกว่าสารชนิดอื่นๆ เพราะไม่ต้องกังวล เรื่องการแพ้ ฉีดง่าย และมีความคงตัวนาน โดยสามารถอยู่ได้ 8-12 เดือน (แล้วแต่ชนิดตำแหน่งที่ฉีด) เมื่อไม่พอใจผลการรักษา สามารถแก้ไขใหม่ได้โดยการฉีด Hyaluronidase หรือหลังจากสารได้สลายตัวเองไปตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีมากมายหลายยี่ห้อ เช่น Restylane (Q-Med AB, Sweden), Teosyal (Teoxane, Switzerland), Esthelis (Anteis Switzerland), Skinfill (Promoitalia, Italy), Revanesse (Proleenium, Canada), Perfectha (Obvieline,France), Dermyal (CosmoScience, Switzerland)
- Filler กึ่งถาวร
4. Calcium Hydroxylapatide: Radiesse (Merz, USA)
5. Poly-L-lactic acid (PLLA): Sculptra (Dermik, USA)
6. Polyacrylamide (PAA) ผลิตโดยกระบวนการ polymerisation ของ acrylamide และ N,N1-methylenbisacrylamide แม้ว่าตัวของ acrylamide เองจะเป็น neurotoxin และ genotoxin ในสัตว์ แต่ polyacrylamide กลับไม่มีพิษ เพราะว่ามีความทนทาน/ต้านทานต่อ biodegradation และไม่สามารถ ผ่าน biological membranes ได้ เนื่องจากมันมีโมเลกุลใหญ่ PAA จึงเป็น non-soluble and physically and chemically stable, กลายเป็นส่วนหนึ่งของ connective tissue สามารถให้น้ำ ions, oxygen และ metabolites ที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำผ่านได้, ผลการศึกษาย้อนหลังไม่พบว่ามีการเคลื่อนออกจากบริเวณที่ฉีดความปลอดภัยของ Acrylamide ด้วยเหตุนี้ปริมาณ acrylamide ที่ตกค้างใน PAA จึงเล็กน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับ การได้รับจากภาวะแวดล้อมในแต่ละวัน ดังนั้น implantation ของ PAA ไม่สร้างความเสี่ยงให้สุขภาพ และนอกจากนั้นไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาตั้งข้อสงสัยว่า PAA เป็นตัวก่อมะเร็ง ไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการรับ acrylamide เข้าร่างกายกับมะเร็ง มี 2 ยี่ห้อ Aquamid (Contura, Denmark) , Royamid (Interfall, Ukrain)
7. Polyamide: Aqualift (Pharmatsia, Ukrain)
8. Hydrofilic gel เช่น Carboxymethyl Cellulose [CMC] + Polyethylene Oxode [PEO]
9. Polymethylmethacrylate (PMMA)
10. Polytatrafluoroethylene (PTEF)


ชื่อยี่ห้อที่กล่าวในที่นี้ คือ ยี่ห้อที่มีใช้ในประเทศไทยค่ะ แต่จริงๆ แล้วยังมียี่ห้ออื่นๆ อีกมากมายค่ะ

4-8. เป็น filler ที่มีโครงสร้างเป็นสารสังเคราะห์ เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และจะกระตุ้นให้เกิดซ่อมแซม ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นใหม่ได้ด้วย จึงอยู่ได้นานกว่า Hyaluronic acid หรือ collagen มาก โดยทั่วไปอยู่ที่ 2-5 ปี ตำราบางเล่มกล่าวว่า Filler ที่เป็นสารสังเคราะห์เหล่านี้ไม่สลาย ทำให้แพทย์หลายท่านไม่กล้าใช้ เพราะกลัวจะเกิดปฏิกิริยา เช่น การติดเชื้อ การเกิดผังผืดของเนื้อเยื่อโดยรอบ แต่จากผลวิจัยและจากตำรา เปอเซ็นต์การเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ ไม่ได้มากกว่าการใช้ Hyaluronic acid เลย รวมทั้งประสบการณ์ส่วนตัว ยังไม่เคยพบเลยแม้ซักเคสเดียว

8. Autologus Fat การนำเซลล์ไขมันของตัวเอง จากส่วนอื่นในร่างกาย มาฉีดในบริเวณที่ต้องการ เคยนิยมแล้วเสื่อมความนิยมไปแล้ว เพราะเซลล์ไขมันที่เอามาฉีดอยู่ไม่ได้นาน ถ้าการเก็บเซลล์ไขมันไม่ดีพอ แต่ปัจจุบันเริ่มกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น แต่มักเอามาใช้กับบริเวณที่ใหญ่ๆ เช่น การเสริมเต้านมด้วยไขมันตัวเอง หรือ เติมแก้มตอบ

- Filler ถาวร (permanet) ที่เราคงคุ้นเคยกันดี คือ Silicone จริงๆ แล้วในต่างประเทศยังคงมีใช้อยู่ แต่ silicone ที่ใช้ต้องเป็น medical grade เท่านั้น เพราะการใช้ silicone ที่คุณภาพไม่ดี (unpurified product) จะทำให้เกิดปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบเมื่อเวลาผ่านไป เช่น เป็นก้อนแข็ง จนถึงการเกิด granuloma และสามารถไหลได้นั่นเอง ในประเทศไทยไม่มีการฉีดซิลิโคนเหลวแล้ว

การเลือกใช้ Filler
Filler ต่างชนิด ยี่ห้อ รุ่น จะมีความแตกต่างกันในแง่ของความหนืด ยิ่งหนืดก็จะเกาะเป็นก้อน ปั้นรูปได้สวย อยู่ได้นาน แต่ไม่เหมาะจะฉีดในบริเวณตื้นหรือผิวบาง ดั้งนั้นในบางพื้นที่ เช่น ใต้ตา ร่องหัวคิ้ว ต้องใช้ Filler ที่มีหนืดน้อย ซึ่งก็จะอยู่ได้ไม่นานนัก แค่เพียง 6 เดือน ปัจจุบันตัวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Hyaluronic acid เพราะมีโครงสร้างเหมือนสารในร่างกายมนุษย์ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ร่างกายสามารถสลายได้หมด แต่ด้วยอายุการใช้งานที่ไม่นาน นานสุดคือ 18 เดือน ทำให้ต้องมีการเติมบ่อย ก็หมายถึง...เปลือง และการฉีดจมูก จะไม่สามารถปั้นรูปได้สวยเท่า Filerl ชนิดที่มีความเป็นสารสังเคราะห์ ซึ่งอยู่ได้ 3-5 ปี แน่นอน...ราคาก็จะแพงกว่า filler ชนิด Hyarulonic acid ^^



ขั้นตอนการฉีด Filler
1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการจะฉีด แล้วทายาชาทิ้งไว้ 30-45 นาที
2. ทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วกำหนดตำแหน่งและบริเวณที่ต้องการ
3. ฉีดเติม Filler Agents ในบริเวณดังกล่าว อาจจะรู้สึกเจ็บบ้าง ในกรณีที่ตำแหน่ง
ที่ลึกลงไป หรือใช้ปริมาณมากในการฉีด
4. หลังฉีด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพักฟื้น อาจจะมีรอยเข็ม หรือ รอยจ้ำเลือดเล็กๆ บ้าง แต่ใช้เวลา 2-3 วันก็หายเป็นปกติ

ผลเสียที่อาจจเกิดตามหลังการฉีด Filler
1. ผิวตะปุ่มตะป่ำ ไม่เรียบเนียน เกิดจากการเติมสาร Filler มากเกินไป หรือเลือกใช้ filler ที่มีความเหนียวมากเกินไป จึงปั้นรูปไม่ได้ มักพบปัญหานี้บริเวณใต้ตา
วิธีแก้
- นวดคลึงเบาๆ เพื่อปั้นรูปให้เนื้อเจลกระจายออก
- นวดด้วยเครื่อง RF
- ถ้า 2 วิธีแรกไม่ได้ผล และ Hylaluronic acid สามารถสลายได้โดยใช้ Hyaluronidase ฉีดเข้าไปยังตุ่มนั้น จะทำให้ filler นุ่มลง จนปั้นได้
- การฉีดสารสเตียรอยด์ เข้าไปยังตุ่มนั้น

2. การอักเสบติดเชื้อ อาจเกิดจากทางฝั่งแพทย์เอง (การทำความสะอาดจุดที่ทำการฉีดไม่ดีพอ, การใช้ Filler ที่ไม่ผ่านการเตรียมความสะอาดที่ได้มาตรฐาน) หรือ อาจเกิดจากสภาพร่างกายของคนไข้เอง เช่น มีโรคประจำตัวที่ติดเชื้อง่าย ได้แก่ โรคเรื้อรังต่างๆ (เบาหวาน ไตวาย หรือภูมิแพ้ตัวเอง [Autoimmune disease])
วิธีแก้:
- การให้กินยาปฏิชีวนะ กันไว้ตั้งแต่แรก ถ้ามีความเสี่ยงดังกล่าว ^^

3. เกิดกรานูโลมา หรือ เป็นก้อนแข็งๆ อาจแข็งเหมือนเป็นเหมือนเม็ดกรวด หลังจากที่ฉีดไปได้ซักระยะหนึ่ง
สาเหตุ:
- เกิดหลังการติดเชื้อ,
- หรืออาจเกิดขึ้นได้เองจากปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายที่มีต่อสาร Filler ที่ฉีดเข้าไป กรณีหลังแม้จะพบน้อยมาก แต่ก็มีเกิดขึ้นได้
วิธีแก้:
- การแทงเข็มเข้าไปลองดูดออก หรือ ไปแทงบริเวณก้อนให้แตก
- ลองฉีด Hyaluronidase หรือ Steroid
- สุดท้ายคือการ ผ่าตัด เพื่อเอาก้อนนั้นออก

หวังว่ารายละเอียดคร่าวๆ เหล่านี้ คงช่วยให้รู้จักกับ Filler สามารถเลือกใช้ได้ในเบื้องต้น และทราบถึงอาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่สามารถทำนายได้ ที่อาจเกิดขึ้นได้เหล่านี้ ให้เตรียมตัวเตรียมใจเผื่อเกิดขึ้นเอาไว้ด้วย ไม่ใช่คิดว่าสุดท้ายจะสวยได้อย่างเดียวนะจ๊ะ




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2554    
Last Update : 10 กันยายน 2554 17:38:58 น.
Counter : 4275 Pageviews.  

องค์กรไหน ? ... รับประกันความปลอดภัยของยาและเครื่องมือแพทย์ได้จริง

องค์การอาหารและยา (อ.ย.) หรือ Food and Drug Administration (FDA) ถ้าเป็นของเราเองก็ต้องเรียก อย.ไทย หรือ Thai FDA

กฏสากลทั่วโลก เมื่อยาหรือเครื่องมือแพทย์จะถูกนำออกมาใช้ ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ยา หรือ เครื่องมือแพทย์ชิ้นนั้น ก็จะต้องยื่นเรื่องให้ อ.ย. ประเทศนั้นๆ ตรวจสอบ

โดยยาหรือเครื่องมีแพทย์นั้นๆ อาจผ่าน อ.ย. มากกว่าหนึ่งประเทศก็ได้

ยาหรือเครื่องมือแพทย์ที่นำมาใช้ในบ้างเรานั้น ล้วนแล้วแต่ผ่าน อย.ประเทศอื่นมาแล้ว ไม่ประเทศใดก็ประเทศหนึ่ง

ประเทศผู้เป็นเจ้าแห่งข้อมูล บ้าผลการวิจัยมากที่สุดในโลก เห็นจะหนีไม่พ้น "อเมริกา" จึงทำให้แพทย์โดยทั่วไปเอง ก็เชื่อมั่นว่าถ้าผ่าน FDA อเมริกาแล้วละก็เป็นอันว่าปลอดภัยใช้ได้



แต่ถ้าไม่ผ่าน FDA อเมริกาล่ะ เพราะอะไร ??!

ยาหรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์บางอย่าง อาจไม่ได้มีต้นกำเนิดที่อเมริกา หรือตลาดหลักไม่ใช่อเมริกา จึงทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้นำเนิดการให้ผ่าน FDA อเมริกา

แล้วเราจะดูที่อะไรได้อีก ??!

มีอีกสัญลักษณ์หนึ่งที่รับประกันได้ว่าผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์นั้นปลอดภัย คือ CE mark จะพบในผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ท้องตลาดในแถบยุโรป (European Economic Area - EEA) โดย "CE" ย่อมาจาก "Conformité Européenne" ("European Conformity")







 

Create Date : 01 มิถุนายน 2554    
Last Update : 1 มิถุนายน 2554 18:31:11 น.
Counter : 1236 Pageviews.  

ทัวร์คลีนิกเสริมความงาม ... ที่เกาหลี

เมื่อโอกาสมาเยือนให้ไปประชุมที่เกาหลี จึงไม่ต้องคิดมาก อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วว่าคลีนิกความงามในเกาหลีจะเป็นเช่นไร

ออกเดินทางจากกรุงเทพช่วงกลางดึก ไปถึงเกาหลีก็ไก่ขันพอดี



เข้าร่วมงานประชุม World congress of dermatology ครั้งที่ 22


งานประชุมนี้ จัดขึ้นทุกๆ 4-5- ปี ลองนึกดูเล่นๆ ว่าครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่ จริงๆ ในงานก็มี Lacture ทางวิชาการให้ฟังด้วย และก็มีส่วนของ exhibitoin เครื่องไม้เครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ และยา จึงขอเดินในส่วนนี้ก่อน เพื่อ update ตัวเองในด้านวิวิฒนาการใหม่ๆ งานใหญ่มาก เดินวันเดียวก็ไม่ทั่ว

ภายในงานเจอหมอไทยมากมาย หน้าตาก็คุ้นๆ คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ทั้งอาจารย์ เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ^^





นอกจากจะได้มาดูงานแล้ว ยังได้ไปเรียน Thread Face Lift คือ การดึงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยไหม ถึง 2 แบบ 2 เทคนิก

แบบแรก TR-line เป็นเทคนิกของ Dr.HaeWoo Lee แห่ง Niobe Clinic





Hand on (จับมือ) สอนกัน Case by case เลยทีเดียว


แบบที่ 2 Ultra V-Lift เป็นเทคนิกของ Dr. Kwon, Han-Jin แห่ง Dermaster clinic นอกจากนี้อาจารย์ยังคิดค้นการรักษารูปแบบใหม่ๆ ในเกาหลีมากมาย มีชื่อเสียงโดงดังเป็นอันดับต้นๆ ในเกาลี





Thread lift คือ การดึงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดโดยใช้ไหม จริงๆ แล้วมีวิธีการดึงหลายแบบ แต่ 2 วิธีที่ได้ไปเรียนรู้นี้ เป็นไหม PDO ซึ่งเป็นไหมละลายที่ใช้สำหรับการเย็บแผลผ่าตัดมานานแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัย การทำ Face Lifting ด้วย Thread นี้แบบนี้ไหมจะละลายในระยะปรมาณ 9 เดือน โดยจะคงผลอยู่ได้นาน 1-2 ปี (จะมีเขียนอธิบายเรื่องเกี่ยวกับไหมดึงหน้าอย่างละเอียดต่อไป ติดตามกันนะคะ)

ผ่านไปแล้ว 2 คลีนิก ทริปนี้ได้เยี่ยมชมถึง 4 คลีนิดด้วยกัน

Seven days clinic





Oracle clinic มีสาขากว่า 50 แห่งในเกาหลี และมีในต่างประเทศด้วย





สรุปทั้งทริปนี้ได้เยี่ยมชม ถึง 4 คลีนิก



เชื่อหรือไม่... 3 รูปข้างล่างเป็นคนๆ เดียวกัน



เครื่องไม้เครื่องมือในคลีนิก ... บอกได้คำเดียวว่าอลังการ


ถามว่าคลีนิกเกาหลีมีอะไรที่แตกต่าง การมาคราวนี้ได้เยี่ยมชมแต่คลีนิกระดับดีๆ จึงได้เห็นว่าแต่ละคลีนิกมีแต่เครื่องไม่เครื่องมือแพงๆ ทั้งนั้น และคนเกาหลีกล้ากว่ามาก ทรีทเม้นท์บางอย่างบอกได้คำเดียวว่าเลือดสาด แต่บ้านเราไม่ผ่าน อย. ไทยแน่ๆ

ได้ลองถามดูว่ามีการฉีดผิวขาวอย่างคนไทยบ้างไหม คำตอบคือ...มีค่ะ โอวววว...ขาวกันขนาดนั้น ยังฉีดอีกหรือ

พื้นฐานคนเกาหลี บอกได้เลย ว่าเดินตามถนนหาสวยหล่อได้น้อยมาก แต่สูง หุ่นดี ขาว เยอะมากๆ ทั้งชายและหญิง มิน่า เขาถึงได้ต้องทำศัลยกรรมกันนัก

อยากเขียนความรู้ทางด้านนี้ให้ได้อ่านกันเยอะ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลา จะว่าขี้เกียจก็ได้ เพราะกว่าจะเขียนออกมาได้แต่ละที ตัวเองก็พยายามหาข้อมูลให้แน่นๆ ให้จริง เลยกลายเป็นดองไว้เต็มไปหมด อดใจรอกันนะคะ




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 29 มิถุนายน 2554 20:03:44 น.
Counter : 2315 Pageviews.  

Stem cell ... ช่วยให้สวย หรือ ชะลอความชราได้จริงหรือ !!??

ผู้หญิงทุกคน ไม่มีใครไม่อยากสวย เพียงแต่คำว่าสวยของแต่ละคน ไม่เท่ากัน จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจว่าต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ ขอให้ได้สวย แม้จะต้องจ่ายเงินมากมายหรือเจ็บตัวแค่ไหน ก็ยอมทุ่มเทกันเต็มที่

เพราะเหตุนี้...ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่ามีผลิดภัณฑ์ นวัตกรรมเพื่อช่วยเสริมเติมแต่ง เพื่อก่อให้เกิดความงามออกมาสู่ท้องตลาดอย่างมากมายมหาศาล จริงบ้างไม่จริงบ้าง ก็แล้วแต่ผู้ซื้อจะสรรหามาใช้ หรือ ไปใช้บริการ

วันนี้...จึงอยากเขียนถึงความรู้เรื่อง Stem Cell ว่าคืออะไร แล้วช่วยให้สวย ไม่แก่ได้จริงหรือไม่ อย่างไรค่ะ

ถ้าเราสังเกตุดูความแตกต่างระหว่างเด็ก กับ ผู้ใหญ่ ชัดเจนเลยว่าเด็กมีผิวหนังที่เต่งตึงกว่าผุ้ใหญ่ ยิ่งเด็กเล็กๆ แล้วด้วย ผิดใส เนียน ละเอียด กว่ามาก รวมทั้งการหายของแผลที่ผิวหนัง ยิ่งเมื่อเป็นแผลตั้งแต่วัยเด็กเล็กลงไปเท่าไหร่ ก็จะคงเหลือแผลเป็นเมื่อตอนเป็นผู้ใหญ่น้อยเท่านั้น

นอกจากนี้ หากเรามองสิ่งมีชีวิตบางประเภท เช่น จิ้งจก แม้จะเป็นจิ้งจกแก่ๆ เมื่อหาขาด ก็สามารถงอกใหม่มาทดแทนได้เหมือนเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ทำให้เหล่านักวิทยาศาตร์สงสัยว่า อะไรที่ทำให้การซ่อมแซมตัวเองในเด็กนั้นดีกว่ามาก และกลไกใดในสัตว์ที่ทำให้ทำเช่นนั้นได้ ถ้ามนุษย์สามารถเฉลยความมหัศจรรย์เหล่านี้ได้และนำไปประยุต์ใช้ในคน ก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการแพทย์ในอนาคต

เซลล์ที่ประกอบเป็นร่างกายมนุษย์โตเต็มวัยมีปริมาณถึง 60 ล้านล้านเซลล์ เซลล์แต่ละชนิดมีหน้าที่และคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ความที่เซลล์มีขนาดเล็กมากและต้องทำงานยอย่างหนัก เป็นเหตุให้แต่ละเซลล์จึงมีชีวิตที่สั้น เพียงแค่ 2-3 ปีเท่านั้น ดังนั้นธรรมชาติจึงออกแบบให้มี "เซลล์อะไหล่" เอาไว้ทำหน้าที่สร้างเซลล์ขึ้นมาเพื่อทดแทน เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่จนสิ้นอายุขขัย

เริ่มแรกการทำวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับ Stem cell เกิดขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาโรค (Disease) จริงๆ เช่น มะเร็ง, โรคที่เกิดจากความเสื่อมสภาพ, โรคที่เป็นแต่กำเนิดบางชนิด) ซึ่งการนำมาใช้ในวงการ Aesthetic และ Anti-ageing medicine นี้เป็นผลพลอยได้

Stem cell หรือ เซลล์ต้นกำเนิด คือ เซลล์ที่มีความสามารถในการสร้างสเต็มเซลล์ใหม่ขึ้นมาอีก ทำให้ได้ปริมาณสเต็มเซลล์เพิ่มขึ้น บวกกันความสามารถในการเปลี่ยนสภาพจากสเต็มเซลล์ไปเป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะเจาะจง ซึ่งร่างกายกำลังต้องการใช้ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่ศึกหรอหรือขาดหายไป



โดย Stem cell จะเป็นเซลล์อ่อนที่ยังไม่มีคุณสมบัติใดๆ แต่มีศักยภาพที่จะเพิ่มจำนวนตัวเองขึ้นมาใหม่ได้อีก (Self Regeneration)
แล้วพัฒนาให้กลายเป็นเซลล์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะเจาะจง (Differntiation) ไปเป็นเซลล์ที่ต้องการในที่สุด

ชนิดของ Stem cell (* ในที่นี้พูดถึงแค่ตามแหล่งที่มา ที่ใช้จริงๆ ในบ้านเราเท่านั้นค่ะ)


1 Embryonic stem cells เป็นสเต็มเซลล์ในช่วงตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงก่อนทารกจะคลอด ซึ่งในช่วงนี้จะสามารถจำแนกชนิดของสเต็มเซลล์ได้อีกหลายลำดับ โดยจะมี Fetal stem cells เป็นช่วงที่นำมาใช้ในปัจจุบัน คือ เป็นสเต็มเซลล์ที่นำมาจากตัวอ่อนทารก ในระยะ Fetus ( 8-12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ) แต่มีราคาแพงมากกกก คงเคยได้ยินว่ามีดาราบางคนไปฉีดกันมาจากเมืองนอกเมืองนา ราคาเป็นแสนเป็นล้าน


2 Adult stem cells ( Tissue หรือ Somatic Stem cells ) เป็นสเต็มเซลล์ในช่วงปลาย Fetus จนถึงหลังคลอด กระทั่งเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งจะมีความสามารถในการสร้างเซลล์ได้น้อยกว่า Embryonic stem cells แต่มีความปลอดภัยต่อผู้รับมากกว่า หาได้จาก สายสะดือ, น้ำคร่ำ, รก และในร่างกายของเราเอง (ไขกระดูก, เลือด, ผิวหนัง, ตับ แต่บางอวัยวะ เราก็ยังหาไม่เจอว่ามีไหม) แต่ยิ่งเราแก่ตัวมากขึ้น สเต็มเซลล์เหล่านี้ก็จะหายากมากขึ้นเรื่อยๆ

การนำไปใช้ในปัจจุบัน

- Bone Marrow Transplantation การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก จากผู้บริจาคที่ผ่านการตรวจสอบว่าเข้ากันได้กับผุ้ป่วย นี่ก็เป็นการนสเต็มเซลล์ไปใช้ในอีกทางหนึ่ง ที่มีมานานแล้ว ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือด

- Umbilical cord stem cells คงเคยได้ยินเรื่องของการเก็บสายสะดีอไว้เพื่อให้ลูกใช้ในอนาคต เดี๋ยวนี้มีบริษัทมากมายที่รับฝากสายสะดือของลูกไว้ตั้งแต่แรกคลอด

คำที่เรานะได้ยินบ่อยขึ้นในอนาคต นั่นคือ Cell Therapy ก็คือการฉีดสารที่มีเซลล์ จะเป็นสเต็มเซลล์หรือเซลล์ปรกติที่เหมือนกันในร่างกาย อาจจะนำมาจากส่วนประกอบของตัวอ่อนมนุษย์ หรืออาจสกัดมาจากเนื้อเยื่ออวัยวะของสัตว์ในระยะตัวอ่อน (สัตว์ที่ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ แกะม กระต่าย) เพื่อให้เข้าไปกระตุ้นให้ซ่อมแซมร่างกายเราเอง โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งแต่ละที่ก็คิดชื่อเรียกกันเอง เช่น Cellular therary, Live cell therapy, Freash cell therapy เป็นต้น



อย่าสับสนกับคำว่า Biochemical Therapy (การรักษาบำบัดแนวชีวะโมเลกุล) คือ การนำสารจากเนื้อเซลล์ (Cytoplasm) ของอวัยวะชนิดเดียวกันฉีดเข้าสูร่างกาย เพื่อมาเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่เสือมสภาพ

ในแง่ของวงการความงามและศาสตร์การชะลอวัยในประเทศไทย ถึงแม้จะมีการโฆษณาในเรื่องสเต็มเซลล์แบบสดๆ ที่ยังมีชีวิต (Live) ในความเป็นจริงแล้วเป็นไปได้ยาก เนื่องจากราคาที่แพงลิบลิ่ว การนำมาให้คนไข้จะถูกนำส่งจากห้องปฏิบัติการโดยตรงและบรรจุอยู่ในภาชนะพิเศษด้วยความเย็นจัด เพื่อคงสภาพมันไว้

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับรก (Placenta extract) รวมทั้ง Live หรือ Fresh cells จึงเป็นในแง่ของการสกัดสารจากเซลล์ (Extraction) มาใช้เสียมากกว่าที่จะมีสเต็มเซลล์อยู่จริง (ในเมืองนอกมี แต่ราคาแพงมากกกก) แต่สารสกัดที่มาเหล่านี้มีหลายตัวที่เป็นประโยชน์ในการช่วยชะลอความชรา ( เช่น Humen Growth Factor, IGF-1, CRH, ACTH, IL-6, IL-10, GnRH เป็นต้น )

อนาคต วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น จะทำให้เราหาทางสกัดสเต็มเซลล์จากแหล่งที่หาได้ง่ายขึ้น เช่น ไขมัน, ฟันน้ำนม, หรือแม้แต่กระทั่งเลือดจากประจำเดือน



การนำมาใช้กับมนุษย์ในปัจจุบันยังเป็นเพียงระยะเริ่มต้นในระยะเวลาไม่นาน ว่าสามารถทำให้ผู้ที่ได้รับการบำบัดด้วยวิธีนี้มีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือคืนความรู้สึกอ่อนวัยได้จริง แม้ในปัจจุบันจะมีการรับรองว่าปลอดภัย แต่ในระยะยาว ก็ยังไม่มีคำตอบ การเลือกที่จะรับการรักษาด้วยวิธีนี้คงต้องไตร่ตรองถึงความเสี่ยงและความคุ้มค่าด้วยตัวของท่านเองใด้ดี

ใครอยากอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมลองเข้าไปในนี้ค่ะ stemcells.nih.gov เป็นเวปของอเมริกาค่ะ




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 5 เมษายน 2554 15:34:05 น.
Counter : 2491 Pageviews.  

1  2  3  4  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.