เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

5 สุดยอดเมืองหลอน “ห้ามเข้า” ที่น่ากลัวที่สุดในโลก!!

อันดับ 5 : เมืองออราดูร์ -ซู-แกลน ประเทศฝรั่งเศส

เมืองร้างที่โดนทำลายย่อยยับโดยกองทัพของเยอรมนีในปีค.ศ. 1944 มีชาวบ้านถูกฆ่าตายที่นี่อย่าง โหดเหี้ยมไปถึง 642 ศพ แม้ปัจจุบันจะมีการสร้างเมืองนี้ขึ้นมาใหม่ แต่ที่นี่ก็ยังคงขึ้นชื่อเรื่องของอาถรรพ์ความเฮี้ยนจนไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป





อันดับ 4 : เมืองเซ็นทราเลีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา

เมืองที่เคยได้ชื่อว่าอุดมไปด้วยเหมืองแร่ถ่านหิน แต่หลังจากที่ในปี 1962 ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อจู่ๆ เปลวไฟเกิดประทุขึ้นมาจากเหมืองที่อยู่ใต้ดินอย่างรุนแรง จนทำให้สภาพอากาศของเมืองนี้ร้อนระอุ และถูกปกคลุมด้วยหมอกควันอยู่ตลอดเวลา และจนถึงปัจจุบันเปลวไฟจากใต้ดินก็ยังคงปะทุอยู่อย่างต่อเนื่อง 



อันดับ 3 : เมืองคราโค่ ประเทศ อิตาลี

เมืองในยุคกลางของอิตาลีที่สร้างขึ้นบนเนินเขา ในฐานะเมืองหน้าด่านสำคัญ แต่เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่หลายครั้งติดกัน ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปมากมาย และเสียหายเกินกว่าที่จะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่





อันดับ 2 : เมืองซางจี ประเทศ ไต้หวัน

ดีไซน์การออกแบบอันสุดพิลึกพิลั่นซึ่งเกิดอุบัติเหตุระหว่างก่อสร้างที่คร่าชีวิตคนงานไปหลายคนจนถึงกับต้องหยุดการก่อสร้างไปหลายครั้ง หรือกระทั่ง เหตุการณ์สุดประหลาดที่มีคนอ้างว่าเห็นส่วนต่างๆ ของบ้านเคลื่อนไหวไปมาได้เองชวนขนลุก 




อันดับ 1 : เมืองพริเพียต ประเทศ ยูเครน (รัสเซีย ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์)

นี่คือเมืองที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมช็อคโลกที่เรียกได้ว่า รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งใน ประวัติศาสตร์โลก นั่นคือการระเบิดของ “เชอร์โนบิล” โรงงานนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ที่นำหายนะครั้งใหญ่มาสู่สิ่งมีชีวิตที่ตกป็นเหยื่อทั้งสังเวยชีวิต ป่วยเป็นโรคมะเร็ง กลายพันธุ์ผ่าเหล่า หรือพิการเพราะอวัยวะที่ใหญ่ผิดขนาด และไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบทางชีวภาพ แต่ยังมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เล่าต่อกันมา ทั้งความรู้สึกที่เหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร้ที่มาที่ไป เงาของชายลึกลับที่หลายคนพบเห็น




สำหรับเมืองสุดท้าย เหตุการณ์ผ่านมากว่า 25 ปีแล้ว

ปัจจุบันมีการจัดทัวร์ไปเที่ยวที่เมืองนี่ด้วย ใครสนใจลองไปได้นะ Pripyat - Chernobyl tour




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2555 17:39:00 น.
Counter : 2736 Pageviews.  

1 หนุ่มแสบ 3 สาวซ่าส์ ... พาตะลุย Australia และ New Zealand ตอน 3 Sydney

- ตอน 1 จุดเริ่มต้นและการหาข้อมูล
- ตอน 2 Melbourne

วันที่ 6 ของการเดินทาง วันนี้เราจะบินไป Sydney ไฟลท์ 8:50 น. รวมตัวกันครบออกจากบ้านญาติเพื่อนแถวๆ Berwick 6:30 น. พระเจ้าช่วยรถติดตั้งแต่ 20 กม.ก่อนเข้าตัวเมือง ผลคือตกเครื่องสิคะ ดังนั้นถ้าใครพักนอกเมือง แล้วต้องเข้าเมืองช่วงเช้า ต้องก่อน  6 โมง ไม่งั้นมีสิทธิ์ลุ้นกันตัวโก่ง ซื้อตั๋วใหม่ราคา 300 AUD / 4 คน ไฟลท์ 10:30 แต่เครื่องเลทมากๆ กว่าจะได้บินเที่ยงนู่นแน่ะ ถึง Sydney เกือบบ่าย 2 โมง

จากสนามบินเราใช้บริการแท็กซี่ต่อไปยังโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณ  CBD (Central Business District) ใน Sydney จะแคบกว่า Melbourne ทุกอย่างอยู่ในระยะเดินถึงแบบสบายๆ โดยปกติทั่วไปราคาแท็กซี่ต่างประเทศจะสูง แต่เพราะทุกอย่างอยู่ในระยะรัศมี 4-5 km  ดังนั้นการนั่งแท็กซี่ในกรณีที่ไปกันเป็นกลุ่มสัก 4 คน ก็จะราคาพอๆ กับขึ้น Public Transport ต่างๆ  แต่ถ้าไปกัน  2 คน การหาที่พักกลางเมืองใกล้ๆ เขต CBD  ให้ดูจุดที่ใกล้กับรถไฟสายที่มาจากสนามบินจะสะดวกที่สุด แต่ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 4-5  พันบาท ทริปนี้เพื่อนที่มาด้วยกันตอนแรกจะไปนอนบ้านเพื่อนที่  Sydney  แต่ไม่ได้อยู่ในเมือง ดูแล้วไม่สะดวก จึงถามราคาโรงแรมเดียวกันกับที่เราพัก อยู่ดีๆ ลดราคาให้เหลือ  99  จาก 115  ให้เฉยเลย (ห้องที่ถูกที่สุด) ดังนั้นค่อยๆ หาไปจากหลายๆ เวป เด๋วก็เจอที่พักดีๆ ราคาไม่แรงอย่างแน่นอน

อารมณ์ยืนคอยแท็กซี่ที่แอร์พอร์ตที่ Sydney เหมือนบ้านเราเปี้ยบบบ แถวยาวเหยียด

ทริปนี้เลือกพักที่ The Bayswater Hotel บน Bayswater Street  ใกล้ๆ กับสถานี Subway King’s Cross ซึ่งเป็นย่านกลางคืนโดยไม่ตั้งใจ อารมณ์เหมือนข้าวสารบ้านเรา ช่วง Weekend ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก ผับบาร์คาเฟ่ที่นี่โดยทั่วๆ ไปปิดตี 3แต่ฝรั่งมั่วๆ หรือตีกันก็ใช่น้อย เพราะหน้าโรงแรมที่พัก ช่วงสุดสัปดาห์ ตกดึก ถึงขนาดมีการ์ดมายืนคุมหน้าโรงแรมเลย

วันนี้ก็บ่ายแก่มากแล้ว แผนจึงแค่ไปขึ้น Sydney Tower ชมเมือง (จองตั๋วผ่าน Internet ราคาลดกว่าซื้อที่ Box office 50%  นะคะ) จากโรงแรมเราขอใช้บริการ Subway ซะหน่อย ตั๋ว 4 ใบรวมเป็นเงินเกือบ 12 AUD

Photobucket

 Subway เป็นรถไฟ 2 ชั้น

Photobucket

ภายในตึก Queen Victoria เป็นตึกเก่าแก่ ที่ปัจจุบันนำมาปรับปรุงทำเป็นศูนย์การค้า

Photobucket

รถ Monorail นั่งชมเมือง

Photobucket

นั่นไง Sydney Tower

Photobucket

มีหนัง 4 มิติฉายให้ชมก่อนขึ้นไป (รวมอยู่ในค่าตั๋วอยู่แล้ว)


Photobucket

เราจองไว้รอบ 19:30 น. กะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตก แต่ดูเหมือนที่นี่ พระอาทิตย์จะตกเร็วกว่า Melbourne ขึ้นไปถึงก็มืดซะแล้ว น่าเสียดาย ต่อด้วยการหาข้าวทานกันที่ Sydney Harbor แล้วก็กลับไป Hang Out  ต่อแถวๆ ที่พัก แหม...ก็แหล่งท่องเที่ยวมันอยู่ติดที่พักขนาดนั้น ก็ต้องลองดูซะหน่อย เรานั่ง Taxi กลับที่พักราคา 11 AUD ด้วยจำนวนคนหาร ทำให้ราคาการขึ้น Subway กับการนั่ง Taxi  ดูจะพอๆ กัน ทำให้ต่อจากนี้พวกเราจึงเดินทางด้วย Taxi ทั้งหมดค่ะ

Photobucket

Photobucket
Harbor Bridge ยามค่ำคืน


Photobucket

สวนสนุก Luna Park

วันที่ 7 ของการเดินทาง ตื่นสายๆ มานั่งซึมซับบรรยากาศเมือง Sydney ผู้คนขวักไขว่ แต่ไม่เร่งรีบมากนัก ออกกาศสบายๆ ที่ 20 กว่าองศา ที่นี่ผู้คนส่วนใหญ่จะเรียนไม่สูงนัก หลังจบมัธยมก็จะออกมาทำงานและใช้ชีวิตสักพัก ก่อนกลับไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะค่าแรงที่นี่สูงมาก แค่จบ ม.ปลาย ทำงานวันละ 5-6 ชม ก็ได้เงินเดือนละ 2-3 พัน AUD  คนจบปริญญาตรีได้ค่าแรงขึ้นมา 4-5 พัน AUD ซึ่งก็ดูเหมือนจะต่างกันไม่มาก แต่แค่นี้ก็เพียงพอต่อการใช้ชีวิตแล้วจึงไม่ค่อยรีบเรียนกันเท่าไหร่

แผนเดิมคือไป Blue Mountain แต่จากที่คุยๆ กันว่าไม่อยากเหนื่อยขับรถไปๆ มาๆ และเมืองนี้ผู้คนพลุกพล่าน จึงอยากซึมซับสำรวจผู้คนมากกว่า จึงสรุปว่าปักหลักในเมือง เน้นชิว ชิม ช็อป ดีกว่า

ช่วงบ่ายเราไปนั่งเรือเฟอรี่ชมอ่าวต่างๆ ใน Sydney เราเลือกใช้บริการ Captain Cook Cruises ให้บริการแบบ Hop-on Hop-off คือ สามารถโดดขึ้นลงที่ท่าต่างๆ ได้โดยไม่เสียบริการเพิ่ม จะว่าไปก็มีอยู่เจ้าเดียวแหละ ^^ ไปขึ้นเรือที่ Circular Quay ระหว่างรอรอบเรือก็ไปเดินเที่ยว  The Rocks ซึ่งอยู่ใกล้ๆ

Photobucket

Photobucket

มีทัวร์เดินบน Harbor Bridge แพงเอาการอยู่ แต่เขาว่าถ้ามีบัตรนักเรียนเหลือ 26 AUD เอง

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Maritime Museum เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการเดินเรือสมุทร มีเรือดำน้ำและเรือรบโชว์อยู่ด้วย

เราโดดลงจากเรือที่ Darling Harbor เดินข้ามถนนนิดเดียวก็มาโผล่ตรง Queen Victoria Building แล้ว ใกล้นิดเดียว ช็อปปิ้งต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็กลับที่พักหาอะไรกินแถวๆ ที่พัก เดินหาอยู่นาน เต็มเกือบทุกร้าน จนมาเจอะร้านนี้ Tomislav Restaurant ดูน่าทาน เข้าไปนั่งในร้าน พนักงานเสริฟถามว่าได้จองหรือเปล่า "ไม่ได้จอง" เป็นคำตอบ เขาบอกเลยนะว่าอาหารนานมาก เป็นทานแค่ไวน์ได้ไหม เราก็โอเค แต่เราก็นั่งนานมาก จนพนักงานเสริฟคงเห็นว่าพอจะเสิรฟให้เราได้ก็เข้ามาถามอีกว่าหิวแล้วหรือยัง นำเมนูมาให้ดู โอวววว...แนวมาก มี 4 คอร์ส ถือเป็น 1 เซ็ท โดยแต่ละคอร์สมีแค่ 2-4 อย่าง มีแค่เนี้ยะ ^_^ ก็เปิดขายได้ และขอบอก...คนเต็มร้าน

Photobucket

Photobucket

เมนูเนื้อจิงโจ้...ต้องลอง

วันที่ 8 ของการเดินทาง วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวที่นี่ ค่ำนี้ต้องบินไป  NZ  แล้ว

Photobucket

แวะไป Bondi Beach

Photobucket

Photobucket

แวะช็อปปิ้งที่ Paddy Market เหมือนตลาดนัดบ้านเรา อารมณ์คลองถม

ขึ้นแท็กซี่จาก รร. ไปสนามบิน เจอรถติดทำให้นอยพอสมควร เพราะต้องไปทำ Tax Refund อีก กลัวทำไม่ทัน (อ่านเรื่องนี้ได้ในตอนที่ 1 นะคะ) สุดท้ายก็ไม่มีปัญหา แต่แวะทานข้าวก่อน  Boarding time 10 นาที แต่ปรากฏว่าหลัง  Boarding time ได้ 10 นาทีก็มีประกาศเรียกให้ขึ้นเครื่อง เพราะขึ้นกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกเรา อาหารก็ยังไม่มา เดือดร้อนต้องสั่งห่อ วิ่งขึ้นเครื่องขาแทบขวิด ปรากฏว่าขึ้นเสร็จกว่าเครื่องจะออกอีกกว่าครึ่ง ชม. ฝากไว้ก่อนเถอะ JetStar ทำป่วนมาหลายรอบแล้ว

ถึงสนามบิน Christchurch เกือบตี 1 อาหารที่ห่อมาผ่าน  Custom ไม่ได้แน่ๆ ก็เลยนั่งทานมันหน้า ตม. นั่นแหละ จนเจ้าหน้าที่เดินมาถามว่ารออะไรอยู่ เพราะเรามาเป็นไฟลท์สุดท้าย ประมาณว่าจะปิด ตม.ละนะ จะเข้าประเทศไหมเข้า ผ่าน ตม.เข้าไปได้ ขณะรอกระเป๋าก็มีสุนัขพันธ์บีเกิ้ลเดิมเข้ามาดมมือ เจ้าหน้าที่ๆจูงหมามาก็ถามว่ามีอาหารอะไรในกระเป๋าไหม บอกเขาไปว่ากินหมดแล้ว กลิ่นคงยังติดมืออยู่ ผ่าน Custom ไปด้วยดี เห็นคนอื่นที่ลืม Declare แม้แค่ส้มผลเดียวก็โดนยกใหญ่ ไม่รู้ว่าสุดท้ายโดนปรับไหมนั่น

จากสนามบินก็มาเอารถที่เช่าไว้ อย่างที่บอกใน NZ อะไรๆ ก็ปิดค่อนข้างเร็ว เราหารถเช่าได้เพียงยี่ห้อเดียวคือ  Omega  ที่ยอมส่งรถให้หลังตี 1 ส่งอย่างไรเหรอ เขาเอากุญแจแปะไว้ใต้ทะเบียนรถ ซึ่งให้ข้อมูลกับเราว่ารถทะเบียนอะไร จอดอยู่ที่ไหน ทางอีเมล์ไว้แล้ว ไปถึงที่พักซึ่ง Reception ก็ปิดแล้วอีกนั่นแหละ เขาแปะกระดาษบอกไว้หน้าออฟฟิสว่าเราพักห้องไหน เขาไขกุญแจเปิดไว้ให้เราแล้ว ง่ายๆ ประการฉะนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องเช็คข้อมูลให้ดีก่อน แล้วแจ้ง Requirement ไปล่วงหน้านะคะ 

เอาล่ะ...ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็เป็นการขับรถตะลุยนิวซีแลนด์ ดินแดนในฝันแล้ว









 

Create Date : 05 เมษายน 2555    
Last Update : 17 เมษายน 2555 17:54:41 น.
Counter : 1921 Pageviews.  

1 หนุ่มแสบ 3 สาวซ่าส์ ... พาตะลุย Australia และ New Zealand ตอน 2 Melbourne

1 หนุ่มแสบ 3 สาวซ่าส์ ... พาตะลุย Australia และ New Zealand ตอน จุดเริ่มต้นและการหาข้อมูล

วันแรกของการเดินทาง
บินจากสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบินราวๆ 9 โมงเช้า จากบ้านเราไป Melbourne ใช้เวลา 9 ชม. ปกติการบินไทยจะมีเที่ยวบินไป Melbourne ทุกวัน วันจะ 2 เที่ยว คือ เช้ากับกลางคืน ทำไมไม่บินกลางคืน? แหะๆ ... ก็อยากอยู่ค่ะ แต่ตอนจองมัวแต่โอ้เอ้ ไอ้วันที่อยากได้ก็เลยเต็มๆ ไปหมด T_T เอ้า...บินกลางวันก็ได้ ข้อดีของมันก็มีอยู่ พรุ่งนี้เราจะได้เริ่มเที่ยวแบบสดใสร่าเริงไง

ไฟลท์ของเราถึง Melbourne ราว 3 ทุ่ม เวลาเร็วกว่าบ้านเรา 3 ชั่วโมง สนามบิน Tullamarine International Airport จะอยู่ห่างจากตัวเมืองราวๆ 20 km รับรถเช่าแล้วขับไปยังที่พัก เราพักกันนอกเมือง ไปทางตะวันออกของเมือง เพราะบ้านญาติเพื่อนอยู่แถวๆ นั้น

Tip & Trick ในการขับรถ
- ถนนโดยส่วนใหญ่จะจำกัดความเร็วที่ 100 km/hr แถมกล้องยุ่บยั่บ อึดอัดไม่น้อย แถมโดนจับค่าปรับราวๆ 200 AUD
- ทางด่วน (Toll) จะไม่มีป้อมเก็บเงินเหมือนบ้านเรา สามารถขับเข้าไปได้เลย โดยสามารถจ่ายเงินทางอินเตอร์เน็ทได้ไม่เกิน 3 วันหลังจากที่ใช้เส้นทาง หรือจะจ่ายผ่านตู้อัตโนมัติก็ได้
- ค่าจอดรถใน CBD แพงมากๆ
- ในการเข้าเขต CBD จะมี Tram หรือรถรางวิ่งเต็มไปหมด การ "เลี้ยวขวา" ในแยกที่มี Tram บางแยกจะเป็น "Hook Turn" ต้องดูป้ายให้ดีๆ


# เดือนมีนาคม ที่ออสเตรเรียเป็นปลายฤดูร้อน ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศกำลังสบายๆ กลางวัน 20 กว่าๆ กลางคืน 10 กว่าองศาเซลเซียส แต่ถ้าอยากมาเห็นใบไม้เปลี่ยนสี จริงๆ ต้องมาปลาย มีค. หรือ เม.ย เลยค่ะ

# ทั้งที่นี่และนิวซีแลนด์ เช็คเวลาทำการของโรงแรมหรือที่พักให้ดี บางที่ไม่ได้เปิด 24 ชม. เพราะถ้าไปแล้วเกิดปิด มีสิทธิ์ได้นอนในรถแน่ๆ ^^ ถ้าไปถึงหลังเวลาทำการ ให้โทรแจ้ง เขาจะมีวิธีส่งมอบห้องให้คุณสามารถเข้าพักได้

# การใช้จ่าย จะว่าไปเงินสดก็ดีที่สุด แต่จะให้พกกันเป็นฟ่อนก็ไม่ไหว ถ้าจะใช้บัตรเครติด บางที่ก็มี Surcharge บางที่ก็ไม่ สามารถบอกพนักงานให้ปริ้นท์สลิปออกมาเซ็นต์เหมือนบ้านเราก็ได้ แต่ถ้าจะให้สะดวกที่สุด จำ PIN กด ATM 4 ตัวไปด้วยก็จะดีมาก เพราะตู้จ่ายอัตโนมัติทั้งหมด แม้กระทั่งตั๋วจอดรถ สามารถใช้บัตรเครดิตได้หมด แถมบางตู้รับแต่บัตรเครดิตเท่านั้นน่ะสิ

Photobucket

การแลกเงิน จริงอยู่สามารถนำเงินไทยไปแลกที่นั่นได้ แต่จากเรทในภาพจะเห็นว่าถ้าทำแบบนั้น...ขาดทุนย่อยยับ ให้แลกเงินดอลล่าหรือยูโรไปสำรองดีกว่าค่ะ ^^

# Public Transport Ticket มีหลายแบบ บางแบบสามารถขึ้น Public Transport ได้ทุกรูปแบบ คือ รถไฟ, Tram, และ Bus ศึกษารายละเอียดให้เหมาะกับรูปแบบการท่องเที่ยวของคุณ เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้

วันที่ 2 ของการเดินทาง เนื่องจากพวกเรามาครั้งแรก ยังไม่เคยขับรถเข้าเขต CBD  ญาติเพื่อนจึงแนะนำให้นั่งรถไฟเข้าเมืองก่อน รวมทั้งตั๋วรถไฟเข้าเมืองวันนี้จะถูกกว่า เพราะเป็นวันอาทิตย์ พวกเราจึงนั่งรถไฟไปลงที่ Flinder Station ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวจุดหนึ่งด้วยพอดี

Photobucket

มองจากหน้า Flinder Station ไปฝั่งตรงข้ามก็เจอ St Paul's Cathedral

แยกนี้ (จากมุมนี้) ทางขวามือจะมี Tourist Information Center  อยู่ ตึกถัดไปคือ Federal Square ภายในก็จะมีโรงหนัง หอศิลป์ แล้วก็ร้านอาหาร ด้านหลังติดแม่น้ำ Yerra ทริปนี้ตัวเองไม่ได้แวะจำพวก Museum เพราะไม่ชอบ ^^



Flinder Station อาคารสีเหลืองเด่นเป็นสง่า

สถานที่ท่องเที่ยวหลัก แหล่งชอปปิ้ง ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขต Central Business District (CBD) เกือบทั้งหมด หรือ รอบนอกไม่ไกลนัก โดยจะมีรถรางโบราณ สาย Circle วิ่งวนรอบ CBD ให้บริการฟรี แต่รถรางไม่มีแอร์ แล้วก็วิ่งหวานเย็นนิดหน่อย นั่งชมเมืองสักรอบก่อน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.



แหล่งท่องเที่ยวจะอยู่ในระยะเดินถึง แต่ก็เดินกันขาลากนิดนึง
ระหว่างเดินก็ชมเมืองไปเรื่อยๆ มีตึกโบราณและตึกเก่าๆ สวยๆ เป็นระยะ

Photobucket

รถราง...วิ่งขวักไขว่อยู่เต็มเมือง (สีขาวนี่เสียตังค์นะคะ)
เป็นที่มาของการขับรถว่าทำไมต้องทำ Right Hook Turn

Photobucket

มีรถม้าสำหรับบริการนักท่องเที่ยวนั่งชมเมืองด้วยล่ะ

Photobucket

ห้องน้ำสาธารณะชายแบบโบราณ  ยังใช้งานได้จริง แต่กลิ่นต้องปรับปรุง

Photobucket

ภายในรถรางสาย Circle (ฟรี) เป็นรถรางรูปทรงโบราณ ไม่มีแอร์ วิ่งหวานเย็นๆ นิดนึงนะ

Photobucket

Photobucket

แวะตลาด Queen Victoria Market แต่ไปช้าเกิน ตลาดเริ่มวายแล้ว

Queen Victoria Market มีเหมือนลักษณะจตุจักรของบ้านเรา ประมาณว่ามีทุกอย่างและขนาดใหญ่มาก ต้องเช็คเวลาให้ดี เพราะแต่ละวันเปิดปิดไม่เท่ากัน ขนาดไปถึง 4 โมงเย็นตลาดก็เริ่มวายแล้ว เก็บของกันไปเยอะแล้ว อดช็อปเลย

ใช่แต่ตลาดจะปิดไม่ตรงกันในแต่ละวันแล้ว แม้กระทั่งแหล่งช๊อปปิ้งต่างๆ ก็เช่นกัน บางวัน 6 โมงเย็นห้างต่างๆ ก็เริ่มปิดแล้ว เล่นเอาคนเริ่มชีวิตหลังพระอาทิตย์ตกดินอย่างเราเป็นงง ทั้งๆ ที่ข้อดีของที่นี่คือกว่าจะมืดก็ปาไปหลัง 2 ทุ่มแท้ๆ

Photobucket

หลังจากเดินชมเมือง ช๊อปปิ้งกันจนขาลากแล้ว ท้องก็ร้องประท้วง ได้เวลาชิวแล้ว

Photobucket

ตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้า

กลุ่มตึกในภาพ คือ Southbank (ข้ามแม่น้ำ Yerra ไปอีกฝั่ง) ส่วนตึกที่สูงที่สุดใน Melbourne คือ ตึก Eureka สามารถขึ้นไปชมวิวได้ (Sky deck ชั้น 88) และมี Outlet Mall อยู่ด้วย รู้เมื่อกลับมาแล้ว T_T เพื่อนบอกว่าถูกมาก (ทำไมไม่บอกก่อนไปละเนี่ย)

วันที่ 3 ของการเดินทาง วันนี้เราวางแผนขับรถไปเที่ยว Great Ocean Road (GOR) เป็นเลียบชายฝั่งทะเล ความพิเศษอยู่ตรงที่บางช่วงเป็นเลาะหน้าผาที่ติดทะเล เรียกว่าเป็นถนนสายโรแมนติกติดอันดับ Top ของโลก ที่ครั้งนึงในชีวิตควรจะได้มากันเลยทีเดียว

อย่างที่บอกว่าที่ Melbourne กำหนดความเร็วการใช้ถนนไว้ที่ 100 km/hr  จากที่พัก ไปจนถึง Port Campbell (325 km.) บวกกับช่วงเข้า GOR ถนนคดเคี้ยว ไหนจะจุดแวะต่างๆ ทำให้ต้องออกกันแต่เช้า (เช้ามากแค่ไหนก็ไม่เร็วกว่า 8 โมงไปได้สำหรับอิช้าาาน)

Photobucket

จุดแวะแรก คือ Bell Beach เป็นจุดเล่น Surf ขึ้นชื่อ

Photobucket

ที่เห็นจุดดำๆ นั่่น คือ คนนะ ... ไม่ใช่แมวน้ำ
แต่จะว่าไปที่นี่ไม่ว่าจุดไหนๆ ก็มีคนเล่น Surf เต็มไปหมด คลื่นแรงซะขนาดนั้น น่าเล่นน้ำเฉยๆ ซะที่ไหนกัน

Photobucket

Photobucket

จุดแวะที่ 2 Split Point Lighthouse

เราแวะทานข้าวกันที่เมือง Lorne เป็นเมืองติดทะเล มีชายหายกว้าง พอที่จะเล่นน้ำปกติเหมือนบ้านเราได้ มีโรมแรมสวยๆ ริมหาดมากมาย ขับผ่านๆ ยังเปรยๆ กันเลยว่าน่าแวะนอนที่เมืองนี้จัง

Photobucket

จุดแวะที่ 3 Erskine Falls ในเมือง Lorne

ขับต่อไปเรื่อย เจอป้าย Cape Oteway จากการหาข้อมูลมาก็รู้ว่าเป็นจุดแวะอีกจุด คือ มีประภาคาร แต่พอไปถึงพบว่าต้องเสียตังค์ค่าเข้า และก็เดินไกลพอสมควร จึงขอบาย แต่ระหว่างทางที่ขับเข้ามา จะผ่านป่ายูคาลิปตัสใน Oteway national park สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะเจอตัวไหม พอดูให้ดีๆ ก็เห็นหมี Koala ตัวเป็นๆ เกาะอยู่ตามยอดไม้เต็มไปหมด

Photobucket

ดง  Koala ดง Koala ใน Great Otway National Park

ตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงกว่าแล้ว ต้องขับอีกเกือบ 100 โล เพื่อไปดู Highlight  ของถนนเส้นนี้

Photobucket

Photobucket

นั่นคือ Twelve Apostles
ปัจจุบันผุพังไปตามกาลเวลา เหลือไม่ถึง 12 แล้ว อีกหน่อยคงพังหมดไม่เหลือ

Photobucket

จุดเก็บ RC สุดท้ายของวัน ก่อนสิ้นแสง London Bridge

London Bridge Scenic View จะเลย Port Campbell ไปไม่ไกลนัก หลังจากแวะจุดสุดท้ายก็ย้อนกลับไปกินข้าวที่นั่น จนถึงเวลา 3 ทุ่ม แล้วก็ขับกลับโดยเส้นทางสายใน ให้ตั้ง GPS ไป Colac เพราะเส้นทางจะไม่คดเคี้ยว ถึงที่พักก็ราวๆ เที่ยงคืน (แต่ขอบอกว่าเส้น Local Road เหยียบกระจายเลยนะคะ ^^ ช่วงถนนใหญ่หรือผ่านเมืองห้ามเหยียบเด็ดขาดนะ เด๋วจะมีใบสั่งตามส่งถึงบ้าน)

วันที่ 4 ของการเดินทาง
ช่วงเช้าเราวางแผนไปนั่งรถไฟไอน้ำ Puffing Billy กัน จริงๆ แล้วควรไปขึ้นตั้งแต่ต้นสาย คือ Belgrave Station จะมีจุดที่เป็นสะพานไม้ข้ามถนนอยู่ ซึ่งถือเป็น Highlight แต่เราดันตาม GPS ไปผิดสถานี จึงไปขึ้นที่ Menzies Creek ซึ่งเป็นสถานีที่ 2 เลยพลาดจุดนั้นไปอย่างน่าเสียดาย แต่อย่างไรก็ตาม วิว 2 ข้างทางตลอดเส้นทางจนไปถึงสถานี Lake Side ก็ยังสวยงามไม่น้อย ผ่านดงต้นไม้ใหญ่ มองเห็นวิวเมือง (รถไฟเที่ยวแรกคือ 10:30)

Photobucket

Photobucket

ถัดจากรถไฟไอน้ำ ตามแผนคือ จะไปหา Winery นั่งชิวๆ แต่ลองเปิด GPS ดูแล้วต้องขับรถขึ้นเหนือไปอีกว่า 50 km กลัวว่าจะไป Phillips Island ไม่ทัน เพราะต้องขับรถจากตรงนี้ไปอีกกว่าร้อยกิโล และบนเกาะ นอกจาก Penguin Parade  แล้วก็ยังมีจุดให้เที่ยวชมอีกหลายแห่ง (ลองเข้าไปดูในเวปที่ให้ไว้นะคะ)

เราแวะที่ i-site เพื่อซื้อตั๋วเข้า Phillips Island Nature Park เราเลือกซื้อตั๋ว 3 Park Pass + Penguin Plus คือ เข้าดู Penguins Parade, Koalas Conservation Center and Churchill Island

- Churchill Island เป็นเกาะเล็กๆ ที่เข้าเกาะได้โดยผ่าน Phillips Island อีกที มีโชว์ตัดขนแกะ รีดนมวัว ตัวอย่างฟาร์มในอดีต มีสัตว์ต่างๆ มากมาย มีโชว์อย่างละ 1 รอบต่อวันเท่านั้น ถือว่าเพลินๆ ดีค่ะ

Photobucket Photobucket

Sheep Shade Shearing
เขาว่าคนตัดขนแกะ เป็นอาชีพที่มือนุ่มที่สุด เพราะขนแกะมี Lanolin เยอะ

- Koalas Conservation Center อันนี้ผิดหวังอย่างแรง นึกว่าจะมีเยอะ ที่ไหนได้มีไม่กี่ตัว และไม่ได้อยู่อย่างธรรมชาติ เป็นการจัดฉาก แต่ถ้าไม่มีเวลาไปศูนย์อื่น ก็ถือว่าดีกว่าไม่ได้ดู เพราะจริงๆ ที่นี่มีศูนย์ Koala เยอะแยะมากมาย ได้ยินมาว่ามีอยู่ศูนย์นึงแถวๆ ทางไป Blue Mountain ที่ Sydney หรือไม่ก็ที่ Maru koala park อยู่บนเส้นทางที่จะไป Phillips Island นี่แหละ มี Encounter ด้วย

Photobucket

Photobucket

Wallaby จิงโจ้พันธุ์เล็ก

เห็นหมีแล้ว ก็ขับรถไปต่อ วันนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าน้องกวิ้นจะกลับบ้านราวๆ 2 ทุ่ม จึงพอมีเวลาเหลือ เราจึงไปที่ The Nobbies ซึ่งอยู่เลยที่ซุ่มโป่งดูน้องกวิ้นไปเล็กน้อย ตรงจุดนี้มีสะพานให้เดินชมวิว ซึ่งเนินหญ้าใต้สะพานไม้นี้ จริงๆ ก็มีรังเพนกวินอยู่ด้วย ก้มดูใต้สะพาน จะเห็นเพนกวินขนอ่อนๆ หลายตัวทีเดียว และเป็นจุดลงเรือไปดูแมวน้ำที่ Seal Rock

Photobucket

Seal Rock คือ เกาะเล็กสุดที่อยุ่ลิบๆ ทางซ้ายมือ

Photobucket

Photobucket

- Penguins Parade คือ ไปดูนกเพนกวิน (หน้าตาเหมือนรูปข้างบน) ที่ออกไปหาอาหาร เดินทางกลับบ้าน มีจำนวนเป็นร้อยๆ ตัว เราเลือกซื้อตั๋ว Penguin Plus อัตถจรรย์ที่นั่งชม จะแยกออกมา และมีขนาดเล็กกว่า แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าเพนกวินจะเดินมาทางนี้มากกว่า น่ารักมากๆ และก็มีเยอะมากจริงๆ ปัจจุบันห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด แม้จะไม่ใช้แฟลชก็ตาม

น้องแพนกวินกลับบ้านตรงเวลาแป๊ะ 3 ทุ่มกว่าก็ยังพากันกลับบ้านไม่หมด บางตัวก็ดูงงๆ หารังไม่เจอ จะมีบ้างไหมนะที่กลับบ้านไม่ถูก หน้าตากริยาท่าทางน่ารักชะมัด ^^ ไม่มีรูปตอนที่นั่งดู เพราะอย่างที่บอกห้ามถ่ายรูป ออกจากเกาะกว่ากลับถึงบ้านก็เที่ยงคืนพอดี แต่คืนนี้ฝันดีแน่ๆ เพราะแพนกวินน่ารักจริงๆ ค่ะ

วันที่ 5 ของการเดินทาง
สายๆ กลับเข้าไปในเขต CBD อีกครั้ง เพื่อไปเก็บตก (จริงๆ เข้าไปช็อปกันมากกว่า) บ่ายๆ ว่าจะไป Winery แต่ช็อปกันเพลินมากจนไม่สนใจจะไปไหนต่อแล้ว 555+

Photobucket

Photobucket




พรุ่งนี้...เราจะไป Sydney แล้ว ติดตามเป็นตอนต่อไปนะคะ




 

Create Date : 01 เมษายน 2555    
Last Update : 10 เมษายน 2555 18:17:11 น.
Counter : 4089 Pageviews.  

1 หนุ่มแสบ 3 สาวซ่าส์ ... พาตะลุย Australia และ New Zealand ตอน 1 จุดเริ่มต้นและการหาข้อมูล

ทริปตามคำเรียกร้องของเพื่อนสนิท
เพื่อน "แก...เราไม่เคยไปต่างประเทศด้วยกันเลยนะ ชั้นจะไปเยี่ยมญาติที่เมลเบิร์น ไปด้วยกันป่ะ เยี่ยมเสร็จแล้วก็ไปเที่ยวกันต่อ ไหนๆ ก็บินแล้ว"
หมอ "แต่ชั้นอยากไปนิวซีแลนด์มากกว่าอ่ะ ถ้าไป 2 ประเทศเลยได้ป่ะล่ะ"
ด้วยประการฉะนี้ จึงไปทั้ง 2 ประเทศในทริปเดียวซะเลย


การเตรียมตัวทั้งหมด ถูกโยนมาให้เต็มๆ โทษฐานมีจุดที่อยากแวะเยอะกว่าเพื่อน โจทย์สำหรับทริปนี้คือ ชิวๆ ไม่อัดจุดท่องเที่ยวเยอะในแต่ละวัน และจากประสบการณ์ที่เคยเที่ยวผ่านมา พบว่าการจัดตารางที่แน่นเกินไป ไม่ได้ทำให้รู้สึกซึมซับอะไรมากมาย แถมยังเหนื่อยโฮกกกก...อีกด้วย

เริ่มต้นด้วยการหาตั๋วเครื่องบิน เป็นจังหวะพอดีที่การบินไทยมีตั๋วราคาพิเศษและเปิดให้เลือก Round trip แบบที่บินไปที่หนึ่ง แต่กลับจากอีกที่หนึ่งได้ด้วย (ราคาแพงกว่า Jet Star ไม่ถึง 5000) สรุปคือ บินจากเมืองไทยไปลงเมลเบิร์น แล้วบินจากโอคแลนด์กลับไทย ด้วยราคา 29640 บาท

แผนคร่าวๆ
- วันที่ 1 บิน Flight กลางวัน ไปลง Melbourne
- วันที่ 2 เที่ยวใน Central Business District
- วันที่ 3 ขับรถเที่ยว Great Ocean Road
- วันที่ 4 เที่ยว Puffing Billy Steam Train และ Phillips Island
- วันที่ 5 เก็บตก CBD และ Winery
- วันที่ 6 เช้าบินไป Sydney บ่ายเที่ยวใน CBD
- วันที่ 7 ไป Blue Mountain
- วันที่ 8 นั่ง Ferry ชมอ่าวและเกาะต่างๆ กลางคืนบินไป New Zealand
- วันที่ 9 ขับรถไปทาง Authur's Pass ไปนอนแถวๆ Fox Glacier
- วันที่ 10 เช้านั่ง Helicopter เที่ยว Glacier บ่ายขับรถไปนอนที่ Te Anau
- วันที่ 11 เที่ยว Milford Sound ขับรถมานอนที่ Queenstown
- วันที่ 12 เที่ยวใน Queenstown หรือเมืองรอบๆ
- วันที่ 13 เที่ยวใน Queenstown หรือเมืองรอบๆ
- วันที่ 14 บินไป Auckland เพื่อขึ้นเครื่องของการบินไทยกลับบ้าน

จากแผนคร่าวๆ ข้างต้น สิ่งที่ต้องเตรียมการเป็นการถัดไป

1. หาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศและไป NZ จาก Sydney ซึ่งมีให้บริการอยู่ 2 สายการบินหลัก คือ Virgin Blue กับ Jetstar จากการค้นๆ จัดๆ แล้ว ลงตัวที่ JetStar ทั้งเรื่องเวลาและที่ถูกกว่า แต่ก็ต้องทำใจ เพราะ JetStar เป็น Low Cost อารมณ์ก็เหมือนๆ กับ  Airasia บ้านเรา ตกเครื่องได้ง่ายๆ และจำกัดน้ำหนักมากๆ แต่ก็ไม่ใจร้ายมากนัก ถ้ากระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเกิน อนุญาติให้นำของออกมาใส่กระเป๋าที่ใช้สำหรับลากขึ้นเครื่องได้ ซึ่งกระเป๋าลากไม่สนใจเรื่องน้ำหนักมากนัก (ยกเว้นที่สนามบิน NZ เจ้าหน้าที่สนามบินจะขอชั่งน้ำหนักกระเป๋าลากขึ้นเครื่องด้วย งงเหมือนกัน)

สรุป: เราซื้อตั๋วอีก 3 Flight ของสายการบิน JetStar รวมเป็นเงินหมื่นนิดๆ
1. Melbourne - Sydney
2. Sydney - Christchurch (NZ)
3. Queenstown - Auckland

ทริปนี้หมดค่าเครื่องบินทั้งหมดราวๆ 41000 บาท

2. จองรถที่จะใช้ขับ ลองเข้าไปดูตามยี่ห้อที่คุ้นเคย ราคาค่อนข้างสูงกว่าผ่านเวป agency จึงใช้บริการจองผ่าน www.rentalcars.com แต่รายละเอียดต่างๆ เช่น วงเงินประกันจะไม่มีให้เลือกมากนัก แต่ท้ายที่สุด เมื่อไปยังจุดรับรถ เราสามารถเพิ่มเติมอย่างอื่นได้อยู่แล้ว

สรุป: เช่ารถขับ 2 ที่
1. Melbourn 5 วัน ของ Europcar 27000 บาท ยี่ห้อ Subaru รุ่น Forester รถใหม่ สภาพดีเยี่ยม แพงที่ประกันนี่แหละ เพราะขับใน Melbourne รถเยอะกว่า เลยขอประกันแบบเต็มรูปแบบ ถ้าชน...ขอแบบไม่จ่ายสักแดงเดียว
2. NZ 5 วัน ของ Omegarentalcars 12000 บาท ยี่ห้อ Subaru รุ่น Legacy รถเก่า สภาพพอใช้

ผู้โดยสาร 4 คน กับกระเป๋าใบเขื่องๆ 4 ใบ ช่วงอยู่ Melbourne ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนอยู่ NZ นี่สิ ท้ายห้อยกันเลยทีเดียว แต่ก็เอาอยู่ค่ะ ^^

3. จองโรงแรม

- ในออสเตเรียคราวนี้จองผ่านเวป www.easytobook.com  เวปนี้จะมีการเปรียบเทียบราคาของเวปจองที่พักต่างๆ ให้ดู เมื่อเราเลือกจองแล้ว จะมีการออกใบจองให้ แต่จะยังไม่หักเงินไว้ เราต้องไปจ่ายที่โรงแรมเองก่อนเข้าพัก โดยราคาจะไม่แพงกว่าราคาในวันที่เราจอง ซึ่งอาจจะได้ถูกกว่าก็เป็นไปได้ แปลกดีไหมล่ะ ที่พักใน AUS ก็จะเหมือนบ้านเรา ก็คือรูปแบบโรงแรมนี่แหละ

- ส่วนในนิวซีแลนด์หาจาก www.newzealand.com เป็นเวปของประเทศเขาเลย อารมณ์ประมาณ ททท. แต่มีข้อมูลทุกอย่าง ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว สำหรับพักใน NZ นี่สิ น่าประทับใจมากๆ เพราะคนนิยมขับรถเที่ยว และมักไปกันเป็นครอบครัว ทำให้มีห้องประเภท 2  ห้องนอนและ มีห้องนั่งเล่น + ครัวพร้อมเครื่องครัวทุกแห่ง บางที่มีเครื่องล้างจานให้เลยทีเดีย ซึ่งจะมีชื่อเรียกหลากหลายรูปแบบ เช่น Motel, Self-Contained ส่วนที่พักแบบ B&B (Bed and Breakfast) ก็สนุกไปอีกแบบ

แนะนำ: ใน NZ ที่พักราคาประหยัด Top10HolidayPark มีที่พักอยู่ทั่ว NZ ทั้งเกาะเหนือเกาะใต้ แต่ถ้าไปพักเมืองใหญ่ๆ เช่น Queenstown ที่พักเยอะมากๆ จะลองไปหาเอาดาบหน้าก็ยังได้ ^^

4. สถานที่ท่องเที่ยวใน AUS และ NZ ส่วนใหญ่ สามารถจองผ่านเวปไซด์ได้ทุกอย่าง ซึ่งบางอย่าง ถ้าจองผ่านเวป จะมีราคาถูกกว่าไปซื้อที่หน้าจุดท่องเที่ยวนั้นๆ

5. ทำวีซ่า
- ออสเตรเรีย ไม่ต้องจองคิว ไปที่เอเจนซี่ได้เลย (สถานทูตจ้างเอเจนซี่ ซึ่งมีที่เดียวที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ) อยู่สาธร (www.vfs-au.net), เตรียมเอกสารให้พร้อม ค่ายื่นคำร้องสามารถจ่ายตรงนั้นได้เลย จะเป็นเงินสดหรือเครดิตก็ได้, วีซ่าจะไม่การติดสติกเกอร์ใดๆ มาในเล่ม แต่จะได้กระดาษเล็กๆ มา 1 ใบ เก็บไว้ให้ดีอย่าทำหายล่ะ
- นิวซีแลนด์ ไม่ต้องจองคิว ไปที่เอเจนซี่ได้เลย เหมือนออสเตเรียทุกประการ www.nzembassy.com/thailand  ถ้าไปเป็นกลุ่ม 4 คนขึ้นไป สามารถขอวีซ่ากลุ่มได้ จะเสียค่าขอวีซ่าลดลงครึ่งนึง แต่จะไม่มีสติ๊กเกอร์แปะในเล่ม จะได้เป็นเอกสารมาแทนให้กลับหัวหน้ากลุ่ม ถือแสดงต่อ ตม. ที่ NZ
ตอนที่ขอวีซ่าออสเตเรียมีเวลา 1 อาทิตย์ แต่ต้องเดินทางไปต่างประเทศที่อื่นก่อน พอแจ้งบอกเจ้าหน้าที่ เขาให้เราก๊อปปี้ทุกหน้าของพาสปอร์ตเราให้เขา เราสามารถเอาเล่มกลับบ้านได้ แต่คิดว่าถ้าเป็นประเทศอื่นที่ต้องมีสติกเกอร์แปะในเล่มเรา อาจจะทำแบบนี้ไม่ได้ก็เป็นได้ ใครมีประสบการณ์อย่างไร ลองแชร์หน่อยนะคะ ^^

การทำ  Tax Refund
- ออสเตรเรีย
  • ใบเสร็จที่สามารถ  Refund  ต้องมีมูลค่ามากกว่า 300 AUD ต่อใบเสร็จ
  • ให้ไปที่สนามบินก่อนเวลามากๆ หน่อย เพราะต้องโชว์ของให้  Custom ดูแล้ว Stamp  ใบเสร็จก่อนจะนำกระเป๋า  Check in แต่ถ้าเป็นของเล็กๆ ที่สามารถโชว์หลังผ่าน ตม.ไปได้ก็แล้วไป
  • ต้องมีเวลาไปทำ refund ก่อนเครื่องออกอย่างน้อย 30 นาที ไม่นับต่อแถวคอยนะ
- New Zealand ไม่มีการให้ทำ Tax Refund

หาข้อมูลครบ จองตั๋วเรียบร้อย วีซ่าผ่านหมด คนพร้อม ... ไปเที่ยวกันเล้ยยยย




 

Create Date : 01 เมษายน 2555    
Last Update : 5 เมษายน 2555 18:47:34 น.
Counter : 1438 Pageviews.  

หลุมยุบ หลุมยักษ์ 9 หลุมมหัศจรรย์ของโลก [Picture FWM]

จากเหตุการณ์พายุอธากาถล่มอเมริกากลาง จนทำให้เกิด ปรากฏการณ์หลุมยุบขนาดใหญ่ กลางกัวเตมาลาเมื่อปลายเดือนก่อน ทำให้ประเด็นหลุมยุบ กลายเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลกไปในชั่วข้ามคืน ด้วยรูปถ่ายจากอากาศที่เรียกได้ว่า ใครเห็นก็ต้องรู้สึกอึ้งและประหลาดใจกับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นแบบนี้

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีหลุมยักษ์เกิดขึ้นบนโลก เพราะหากลองศึกษาหาข้อมูลดู จะพบว่า หลุมยักษ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และบนโลกนี้ก็ยังมีหลุมในลักษณะเดียวกันอีกหลายหลุมเลยทีเดียว ทั้งที่ เกิดจาปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งนี้ หลุมใหญ่ ๆ ทั่วโลกมีถึง 9 หลุม ดังนี้


The Great Blue Hole


1. หลุมเกรทบลูโฮล ประเทศเบลิส เป็นหลุมตามธรรมชาติที่ใหญ่และน่ากลัวที่สุดในโลก มีลักษณะเป็นถ้ำลึกลงไปใต้ทะเล มีขนาดความกว้างปากหลุมประมาณ 300 เมตร ลึกประมาณ 125 เมตร ข้างล่างเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเลยทีเดียว และแม้ว่าหลุมนี้จะเป็นหลุมที่น่ากลัวที่สุดและคร่าชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่บริเวณนี้ก็ยังเป็นที่นิยมของนักประดาน้ำที่ชอบความท้าทายอยู่ไม่น้อย


The Door to Hell


2. ประตูนรก อุเบกิซสถาน เป็นหลุมแก๊สพิษขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เมืองดาร์วาซ ของประเทศอุเบกิซสถาน ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อ 35 ปีก่อน และเนื่องจากเป็นหลุมที่ประกอบด้วยแก๊สพิษมากมาย นักธรณีวิทยาได้จุดไฟเผาตั้งแต่นั้นมา จนทุกวันนี้ผ่านมา 35 ปีแล้ว เพลิงไฟที่จุดขึ้นในวันนั้นก็ยังไม่เคยดับเลย ทำให้หลุมนี้ถูกเรียกว่าเป็นประตูนรกของโลก


Mirny Diamond Mine


3. เหมือง Mirny ทางตะวันออกของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย เป็นหลุมเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มขุดเมื่อปี ค.ศ. 1957 และปิดตัวลงเมื่อ 10 ปีก่อน มีขนาดปากหลุมกว้าง 1.2 กิโลเมตร และลึก 525 เมตร ขุดเพชรได้ประมาณ 10 ล้านกะรัตต่อปี และนอกจากนี้ หลุมนี้ยังมีแรงดึงดูดที่สามารถทำให้เครื่องบินชนกันได้อย่างง่าย ๆ ดังนั้น จึงมีการออกกฎห้ามไม่ให้เครื่องบินบินผ่านหลุมนี้


Kimberley Big Hole


4. Kimberley Big Hole หรือ เหมืองเพชร Kimberley ในแอฟริกาใต้ เป็นหลุมเพชรอีกแห่งหนึ่งที่เริ่มขุดเมื่อปี ค.ศ. 1871 และสิ้นสุดการขุดเมื่อปี ค.ศ. 1914 ปากหลุมกว้าง 463 เมตร ลึก 240 เมตร ส่วนเพชรที่ได้จากการขุดหลุมนี้ มีน้ำหนักถึง 2,720 กิโลกรัม หรือเกือบ ๆ 3 ตัน เลยทีเดียว


Kennecott Copper


5. เหมือง Bingham Canyon หรือที่ทั่วโลกรู้จักกันในนาม Kennecott Copper อยู่ในซอลท์เลค ยูทา เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1906 มีขนาดปากหลุมกว้าง 4 กิโลเมตร ลึก 1.2 กิโลเมตร ได้รับการยอมรับว่าเป็นหลุมที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก


Glory Hole


6. Glory Hole หลุมยักษ์หลุมนี้อยู่กลางเขื่อนมอลติเชลโล แคลิฟอร์เนีย สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการระบายน้ำ กรณีที่มีน้ำล้นเขื่อน ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดสิ่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว


Diavik Mine


7. เหมือง Diavik ประเทศแคนาดา เป็นอีกหนึ่งเหมืองเพชรที่ขุดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ เริ่มการสำรวจในปี 1992 ก่อนจะขุดเมื่อปี 2001




หลุมยักษ์ หลุม กัวเตมาลา 2007


8. หลุมยักษ์กลางกัวเตมาลา ปี 2007 เป็นหลุมจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกลางกัวเตมาลา มีความลึกประมาณ 100 เมตร ดูดเอาบ้านนับสิบหลังให้หายวับไปกับตาได้อย่างรวดเร็วในขณะนั้น




หลุมยักษ์กลางกัวเตมาลา ปี 2010


9. หลุมยักษ์กลางกัวเตมาลา ปี 2010 หลุมนี้เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในบริเวณที่ไม่ห่างจากหลุ มแรกมากนัก ปากหลุมมีความกว้าง 18 เมตร และลึกราว 30 เมตร

เห็นภาพแล้วเป็นความสวยงาม บนความน่ากลัวไงไม่รู้ค่ะ

ขออย่าให้มาเกิดบ้านเราเลยนะ

_______________________________________________________


มาทำความรู้จักกับหลุมเหล่านี้ดีกว่า หลุม (Hole) เหล่านี้ เกิดได้จาก ธรรมชาติ และฝีมือมนุษย์

- หลุมที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ เกิดจากการทำเหมืองแต่ทั้งหมด

- หลุมที่เกิดเองตามธรรมชาติจะแยกตามลักษณะการเกิด ดังนี้

1. Sinkhole หรือ หลุมยุบ เป็นหลุมที่เกิดจากการยุบตัวของธรรมชาติ จนเกิดเป็นหลุมยุบ โดยหลักการเป็นการที่หินปูนถูกกัดจากน้ำที่ละลายจากหินปูนเองจนบุบตัวกลายเป็นหลุมยุบในที่สุด อาจมีทางเชื่อมหรือไม่มีทางติดต่อกับทางน้ำใต้ดินก็ได้

ชื่ออื่นๆ เช่น shake hole, swallow hole, swallet, doline หรือ Cenote ซึ่งชื่อที่แตกต่างกันออกไป อาจเป็นชื่อเรียก หรือ อาจมีกระบวนการเกิดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ยังอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน

ส่วน Bluehole คือ หลุมยุบที่ปรากฏในทะเลนั่นเอง และ Blue Hole ที่ลึกที่สุด ชื่อ Dean's Blue Hole

2 กรณีหลุมยุบที่เกิดในกัวเตมาลานั้น ไม่ใช่ shink hole ดังที่อธิบายข้างต้น กัวเตมาลาซิตี้นั้นตั้งอยู่บนดินขี้เถ้าภูเขาไฟ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าฝน ทำให้เกิดจากการยุบตัวของดินเลนลงไปยังทางน้ำใต้ดินด้านล่าง เรียกว่า Piping Pseudokarst ค่ะ

ในภฺมิศาสตร์บริเวณที่เป็นเทือกเขาหินปูน เราจะเห็นเป็นลักษณะคล้ายคลึงกับขอบของ shink hole ค่ะ เรียกว่า Karst process พื้นที่เหล่านี้ ยกตัวอย่าง เช่น กุ้ยหลิน

อยากรู้ละเอียดๆ ก็ตามไปยัง link ที่ให้ไว้นะคะ




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2553 19:53:37 น.
Counter : 4022 Pageviews.  


blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.