Filler แปลตรงตัวได้ว่า... "สารเติมเต็ม" ... ชนิด และ การใช้งาน ?
วัยที่เพิ่มขึ้น...ทำให้องค์ประกอบของ "สารโครงสร้าง" ในชั้นผิวหนังลดลง จึงเกิดรอยเหี่ยวย่นปรากฏให้เห็นเพิ้มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นร่องแก้ม ร่องใต้ตา สารโครงสร้างนี้มีองค์ประกอบหลายอย่าง โดยองค์ประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง คือ คอลลาเจน (Collagen) เจ้าคอลลาเจนนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างที่ซับซ้อนเป็นเกลียว
ใครที่รักความสวยงามปัจจุบัน คงคุ้นเคยกันดีกับคำว่า Filler ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า "การเติมเต็ม" ในทาง cosmetic คำว่าสาร Filler คือ สารที่ใช้ในการเติมเต็ม ในประเทศไทยมีการฉีดสารเติมเต็ม (Filler Agents) เข้าผิวหนังมานานแล้ว เพื่อการแก้ไขความบกพร่องของผิวหน้า เช่น ปรับรูปหน้า เสริมจมูก เสริมคาง เสริมร่องแก้ม เติมรอยหลุม แก้มตอบ เติมก้น เสริมหน้าอก ฯลฯ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีหลากหลายชนิดมากมาย ไม่ได้มีแต่ Hyaluronic acid เพียงอย่างเดียวเหมือนที่เราเข้าใจกัน
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้า Filler นี้กัน ว่ามีอะไรบ้าง
- Filler แบบไม่ถาวร (Temporary) 1. คอลลาเจนที่สังเคราะห์จากสัตว์ ได้แก่ Bovine (วัว), Pocine (หมู) แต่ลดความนิยมไปในปัจจุบันเพราะมีอัตราการแพ้ที่สูงเมื่อเทียบกับแบบอื่น 2. Bioengineered Human Collagen แม้จะไม่มีการแพ้ แต่เพราะราคาที่แพงกว่ามาก โดยไม่สามารถอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์อื่นๆ จึงไม่เป็นที่นิยม 3. Hyaluronic Acid (HA) จริงๆ แล้วเป็นสารโครงสร้างที่มีอยู่แล้วในร่างกาย เราจึงสร้างกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) สังเคราะห์ขึ้นเพื่อทดแทนคอลลาเจนในผิวที่เริ่มสูญเสียลงตามวัย โดยสารตัวนี้จะช่วยโอบอุ้มน้ำในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและกระชับขึ้น ในระยะแรก Hyaluronic Acid สังเคราะห์จากสัตว์ ได้แก่ Hyaform ต่อมา Hyarulonic ที่สกัดมาจากน้ำตาลที่ถูกย่อยโดยแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (Non -bacteria derived synthetic hyaluronic acid : NASHA) เกิดขึ้น จึงทำให้แพทย์นิยมใช้มากกว่าสารชนิดอื่นๆ เพราะไม่ต้องกังวล เรื่องการแพ้ ฉีดง่าย และมีความคงตัวนาน โดยสามารถอยู่ได้ 8-12 เดือน (แล้วแต่ชนิดตำแหน่งที่ฉีด) เมื่อไม่พอใจผลการรักษา สามารถแก้ไขใหม่ได้โดยการฉีด Hyaluronidase หรือหลังจากสารได้สลายตัวเองไปตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีมากมายหลายยี่ห้อ เช่น Restylane (Q-Med AB, Sweden), Teosyal (Teoxane, Switzerland), Esthelis (Anteis Switzerland), Skinfill (Promoitalia, Italy), Revanesse (Proleenium, Canada), Perfectha (Obvieline,France), Dermyal (CosmoScience, Switzerland) - Filler กึ่งถาวร 4. Calcium Hydroxylapatide: Radiesse (Merz, USA) 5. Poly-L-lactic acid (PLLA): Sculptra (Dermik, USA) 6. Polyacrylamide (PAA) ผลิตโดยกระบวนการ polymerisation ของ acrylamide และ N,N1-methylenbisacrylamide แม้ว่าตัวของ acrylamide เองจะเป็น neurotoxin และ genotoxin ในสัตว์ แต่ polyacrylamide กลับไม่มีพิษ เพราะว่ามีความทนทาน/ต้านทานต่อ biodegradation และไม่สามารถ ผ่าน biological membranes ได้ เนื่องจากมันมีโมเลกุลใหญ่ PAA จึงเป็น non-soluble and physically and chemically stable, กลายเป็นส่วนหนึ่งของ connective tissue สามารถให้น้ำ ions, oxygen และ metabolites ที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำผ่านได้, ผลการศึกษาย้อนหลังไม่พบว่ามีการเคลื่อนออกจากบริเวณที่ฉีดความปลอดภัยของ Acrylamide ด้วยเหตุนี้ปริมาณ acrylamide ที่ตกค้างใน PAA จึงเล็กน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับ การได้รับจากภาวะแวดล้อมในแต่ละวัน ดังนั้น implantation ของ PAA ไม่สร้างความเสี่ยงให้สุขภาพ และนอกจากนั้นไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาตั้งข้อสงสัยว่า PAA เป็นตัวก่อมะเร็ง ไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการรับ acrylamide เข้าร่างกายกับมะเร็ง มี 2 ยี่ห้อ Aquamid (Contura, Denmark) , Royamid (Interfall, Ukrain) 7. Polyamide: Aqualift (Pharmatsia, Ukrain) 8. Hydrofilic gel เช่น Carboxymethyl Cellulose [CMC] + Polyethylene Oxode [PEO] 9. Polymethylmethacrylate (PMMA) 10. Polytatrafluoroethylene (PTEF)
ชื่อยี่ห้อที่กล่าวในที่นี้ คือ ยี่ห้อที่มีใช้ในประเทศไทยค่ะ แต่จริงๆ แล้วยังมียี่ห้ออื่นๆ อีกมากมายค่ะ
4-8. เป็น filler ที่มีโครงสร้างเป็นสารสังเคราะห์ เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และจะกระตุ้นให้เกิดซ่อมแซม ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นใหม่ได้ด้วย จึงอยู่ได้นานกว่า Hyaluronic acid หรือ collagen มาก โดยทั่วไปอยู่ที่ 2-5 ปี ตำราบางเล่มกล่าวว่า Filler ที่เป็นสารสังเคราะห์เหล่านี้ไม่สลาย ทำให้แพทย์หลายท่านไม่กล้าใช้ เพราะกลัวจะเกิดปฏิกิริยา เช่น การติดเชื้อ การเกิดผังผืดของเนื้อเยื่อโดยรอบ แต่จากผลวิจัยและจากตำรา เปอเซ็นต์การเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ ไม่ได้มากกว่าการใช้ Hyaluronic acid เลย รวมทั้งประสบการณ์ส่วนตัว ยังไม่เคยพบเลยแม้ซักเคสเดียว
8. Autologus Fat การนำเซลล์ไขมันของตัวเอง จากส่วนอื่นในร่างกาย มาฉีดในบริเวณที่ต้องการ เคยนิยมแล้วเสื่อมความนิยมไปแล้ว เพราะเซลล์ไขมันที่เอามาฉีดอยู่ไม่ได้นาน ถ้าการเก็บเซลล์ไขมันไม่ดีพอ แต่ปัจจุบันเริ่มกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น แต่มักเอามาใช้กับบริเวณที่ใหญ่ๆ เช่น การเสริมเต้านมด้วยไขมันตัวเอง หรือ เติมแก้มตอบ
- Filler ถาวร (permanet) ที่เราคงคุ้นเคยกันดี คือ Silicone จริงๆ แล้วในต่างประเทศยังคงมีใช้อยู่ แต่ silicone ที่ใช้ต้องเป็น medical grade เท่านั้น เพราะการใช้ silicone ที่คุณภาพไม่ดี (unpurified product) จะทำให้เกิดปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบเมื่อเวลาผ่านไป เช่น เป็นก้อนแข็ง จนถึงการเกิด granuloma และสามารถไหลได้นั่นเอง ในประเทศไทยไม่มีการฉีดซิลิโคนเหลวแล้ว
การเลือกใช้ Filler Filler ต่างชนิด ยี่ห้อ รุ่น จะมีความแตกต่างกันในแง่ของความหนืด ยิ่งหนืดก็จะเกาะเป็นก้อน ปั้นรูปได้สวย อยู่ได้นาน แต่ไม่เหมาะจะฉีดในบริเวณตื้นหรือผิวบาง ดั้งนั้นในบางพื้นที่ เช่น ใต้ตา ร่องหัวคิ้ว ต้องใช้ Filler ที่มีหนืดน้อย ซึ่งก็จะอยู่ได้ไม่นานนัก แค่เพียง 6 เดือน ปัจจุบันตัวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Hyaluronic acid เพราะมีโครงสร้างเหมือนสารในร่างกายมนุษย์ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ร่างกายสามารถสลายได้หมด แต่ด้วยอายุการใช้งานที่ไม่นาน นานสุดคือ 18 เดือน ทำให้ต้องมีการเติมบ่อย ก็หมายถึง...เปลือง และการฉีดจมูก จะไม่สามารถปั้นรูปได้สวยเท่า Filerl ชนิดที่มีความเป็นสารสังเคราะห์ ซึ่งอยู่ได้ 3-5 ปี แน่นอน...ราคาก็จะแพงกว่า filler ชนิด Hyarulonic acid ^^
ขั้นตอนการฉีด Filler 1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการจะฉีด แล้วทายาชาทิ้งไว้ 30-45 นาที 2. ทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วกำหนดตำแหน่งและบริเวณที่ต้องการ 3. ฉีดเติม Filler Agents ในบริเวณดังกล่าว อาจจะรู้สึกเจ็บบ้าง ในกรณีที่ตำแหน่ง ที่ลึกลงไป หรือใช้ปริมาณมากในการฉีด 4. หลังฉีด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพักฟื้น อาจจะมีรอยเข็ม หรือ รอยจ้ำเลือดเล็กๆ บ้าง แต่ใช้เวลา 2-3 วันก็หายเป็นปกติ
ผลเสียที่อาจจเกิดตามหลังการฉีด Filler 1. ผิวตะปุ่มตะป่ำ ไม่เรียบเนียน เกิดจากการเติมสาร Filler มากเกินไป หรือเลือกใช้ filler ที่มีความเหนียวมากเกินไป จึงปั้นรูปไม่ได้ มักพบปัญหานี้บริเวณใต้ตา วิธีแก้ - นวดคลึงเบาๆ เพื่อปั้นรูปให้เนื้อเจลกระจายออก - นวดด้วยเครื่อง RF - ถ้า 2 วิธีแรกไม่ได้ผล และ Hylaluronic acid สามารถสลายได้โดยใช้ Hyaluronidase ฉีดเข้าไปยังตุ่มนั้น จะทำให้ filler นุ่มลง จนปั้นได้ - การฉีดสารสเตียรอยด์ เข้าไปยังตุ่มนั้น
2. การอักเสบติดเชื้อ อาจเกิดจากทางฝั่งแพทย์เอง (การทำความสะอาดจุดที่ทำการฉีดไม่ดีพอ, การใช้ Filler ที่ไม่ผ่านการเตรียมความสะอาดที่ได้มาตรฐาน) หรือ อาจเกิดจากสภาพร่างกายของคนไข้เอง เช่น มีโรคประจำตัวที่ติดเชื้อง่าย ได้แก่ โรคเรื้อรังต่างๆ (เบาหวาน ไตวาย หรือภูมิแพ้ตัวเอง [Autoimmune disease]) วิธีแก้: - การให้กินยาปฏิชีวนะ กันไว้ตั้งแต่แรก ถ้ามีความเสี่ยงดังกล่าว ^^
3. เกิดกรานูโลมา หรือ เป็นก้อนแข็งๆ อาจแข็งเหมือนเป็นเหมือนเม็ดกรวด หลังจากที่ฉีดไปได้ซักระยะหนึ่ง สาเหตุ: - เกิดหลังการติดเชื้อ, - หรืออาจเกิดขึ้นได้เองจากปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายที่มีต่อสาร Filler ที่ฉีดเข้าไป กรณีหลังแม้จะพบน้อยมาก แต่ก็มีเกิดขึ้นได้ วิธีแก้: - การแทงเข็มเข้าไปลองดูดออก หรือ ไปแทงบริเวณก้อนให้แตก - ลองฉีด Hyaluronidase หรือ Steroid - สุดท้ายคือการ ผ่าตัด เพื่อเอาก้อนนั้นออก
หวังว่ารายละเอียดคร่าวๆ เหล่านี้ คงช่วยให้รู้จักกับ Filler สามารถเลือกใช้ได้ในเบื้องต้น และทราบถึงอาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่สามารถทำนายได้ ที่อาจเกิดขึ้นได้เหล่านี้ ให้เตรียมตัวเตรียมใจเผื่อเกิดขึ้นเอาไว้ด้วย ไม่ใช่คิดว่าสุดท้ายจะสวยได้อย่างเดียวนะจ๊ะ
Create Date : 02 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 10 กันยายน 2554 17:38:58 น. |
|
2 comments
|
Counter : 4275 Pageviews. |
|
|
|