เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

ยาแท้ ยาปลอม ยาหิ้ว !!!? ... ความจริงที่ต้องรู้



ทักทายด้วยคำว่า ห่างหายกันไปนานเช่นเคย ไม่ได้เขียนบล็อคนานมากจริงๆ ครั้งสุดท้ายปี 2515 ทั้งๆ ที่สัญญาว่าจะมาอัพเดทเรื่องราวการแพทย์ในด้านความงามให้ได้อ่านกัน


เริ่มด้วยคำถามที่มีมาถามหมอบ่อยๆ ค่ะ เรื่องว่า ยาที่ใช้ในคลินิกความงามน่ะ ว่า ... ยาจริง ... ยาปลอม ... ยาหิ้ว ... คืออะไรยังไง งงกันไปหมด มาดูกันค่ะ


ในปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ราคาค่ารักษาและบริการบางคลินิกนั้นถูกแสนถูกอย่างน่าตกใจ พูดกันแบบเปิดอกว่าราคาทุนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อยากให้ระรึกไว้เสมอ “ของถูกและดี” ... นั้นมี แต่ “ถูกที่สุด ... ไม่ใช่ของที่ดีที่สุด" ... อย่างแน่นอน และที่น่ากลัวมากๆ คือบรรดาหมอกระเป๋าที่ประกาศขายยาทางอินเตอร์เน็ทอย่างมาก โดยไม่ได้รับการควบคุม ที่ดูน่ากลัวขึ้นไปอีกนอกจากรับฉีดกันเองแล้วยังมีประกาศรับสอนฉีดอีกด้วย บ่อยครั้งที่คนไข้ถามหลังฉีดโบท็อกเสร็จว่า “อ้าว เสร็จแล้วหรือคะหมอ แค่เนี้ย แป๊บเดียวเอง” จริงอยู่ที่ดูเหมือนทำง่ายๆ แต่เบื้องหลังความง่ายเหล่านี้ แพทย์ผู้ให้การรักษาต้องผ่านการเรียนรู้ทั้งกายวิภาคศาสตร์ของร่างกายมนุษย์ กลไกการทำงานของยานั้นๆ ปริมาณยาที่ใช้ในการรักษา  เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้อง ไม่เกิดผลแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้น เช่น การแพ้ยาอย่างฉับพลัน (Anaphylaxis Shock) หรือ ข่าวฉีดฟีลเลอร์แล้วตาบอด ถ้าคนที่ให้การรักษากับคุณไม่ใช่แพทย์ คุณอาจไม่ได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและอาจเกิดความสูญเสียที่ร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตเหมือนในข่าวที่เราเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างบ่อยครั้ง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามักเกิดจากหมอกระเป๋า ไม่ใช่แพทย์จริงๆ


ในปัจจุบันที่ของปลอมได้ง่ายแม้กระทั่งไข่ไก่ยังมีปลอม นับประสาอะไรกับยาที่ขายได้ราคาเช่นนี้ ดังนั้นจริงมียาที่ปลอมหรือยาที่ถูกทำเลียนแบบออกมาขาย บอกเลยค่ะว่าเยอะจริงๆ นะคะ และปลอมเนียนมากทีเดียวเชียว รวมทั้งการที่คลินิกไม่ใช้ยาตามทีได้แจ้งไว้ในตอนแรก 


และคงเคยได้ยินคำว่า “ยาแท้ ... แต่เป็นของหิ้ว” กันมาบ้างนะคะ มันคือ ยายี่ห้อเดียวกัน เช่น โบท็อกยี่ห้อเดียวกัน แต่ที่สามารถนำมาขายให้กับคนไข้ในราคาที่ถูกกว่าได้ เพราะลักลอบนำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ ไม่ได้สั่งซื้อจากบริษัทที่นำเข้ามาจำหน่ายอย่างถูกต้องในประเทศไทย ข้อเท็จจริงคือ ยาอาจจะเป็นยาจริงๆ ที่ถูกสั่งมาจากบริษัทผู้ผลิตจากต่างประเทศโดยตรง ไม่มีการเสียภาษี ไม่มีการบวกค่าใช้จ่ายจากบริษัทจัดจำหน่ายในประเทศไทย ทำให้มีต้นทุนที่ถูกกว่าจริง จึงนำมาขายได้ถูกกว่าจริง แต่ลองคิดดูนะคะ ยาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกหรือฟีลเลอร์ เป็นยาที่ต้องมีการจัดเก็บในอุณหภูมิที่ได้รับการควบคุมที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะไม่ทำให้ยาเสื่อมสภาพเมื่อนำมาฉีดให้เรา นอกจากยาจะไม่ให้ผลเต็มที่แล้ว นอกจากนี้ก็อาจเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ 


ยาจริง ยาแท้ คือ ยาที่มีบริษัทนำเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาในประเทศไทย ซึ่งยาเหล่านี้สามารถเช็คได้จาก ระบบตรวจสอบผลิตภัณฑ์ THAI FDA


การสังเกตผลิตภัณฑ์ยาแท้เหล่านี้ได้ง่ายๆ โดยดูได้จากบรรจุภัณฑ์ค่ะ ความละเอียดและความสวยงามของวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่มักจะสังเกตเห็นได้ชัดเจน หรือความเนียนของแพคเกจจิ้งนั่นเอง และยาที่นำเข้าอย่างถูกต้องจะมีฉลากภาษาไทยกำกับที่ข้างกล่องเสมอ



ถ้าเราเลือกใช้บริการสถานพยายาลที่ใช้ยาที่นำเข้าอย่างถูกต้อง เราจะได้รับการรับประกันผลการรักษาทั้งจากสถานพยาบาลนั้น เพราะจะเป็นสถานพยายาลที่เชื่อถือได้ รวมทั้งจากบริษัทยาซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายให้กับเราได้อีกด้วย 



FACT

1 ยาจากบริษัทหนึ่งๆ อาจมีชื่อยี่ห้อที่ไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศที่วางจำหน่าย

2 กล่องอาจจะมีรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

3 ยี่ห้อยาที่เชื่อถือได้ จะมี official website ของยาเหล่านั้นที่สามารถค้นหาข้อมูลได้จริง



แต่การขอดูกล่องหรือขวดยาก็ใช่ว่าจะเป็นตัวรับประกันได้เสมอไป ท้ายที่สุดอยู่ที่จรรยาบรรณของผู้ประกอบการคลินิก ที่ต้องใช้คำนี้เพราะปัจจุบันเจ้าของคลินิกจำนวนมากไม่ใช่แพทย์ ความรับผิดชอบของสถานพยาบาลนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดจริงโดยจรรยาแพทย์ค่ะ เลือกเข้ารับบริการกับคลินิกที่มีคุณภาพไว้ใจได้ก็จะดีที่สุดค่ะ แต่ทั้งนี้ผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์จากการเข้ารับการรักษาหรือบริการใดๆ แม้จะเป็นแพทย์ที่เก่งแค่ไหนก็อาจเกิดขึ้นได้นะคะ แต่คลินิกที่ดีต้องดูแลคุณอย่างถึงที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่คนไข้ทุกคนพึงพอใจค่ะ


เค้าสัญญานะ ว่าจะกลับมาเขียนบ่อยๆ แล้วจริงๆ ^______^




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2560    
Last Update : 7 สิงหาคม 2560 19:24:10 น.
Counter : 2419 Pageviews.  

การปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม...ทำได้แค่ไหน



สวัสดีค่ะหมอห่างหายการเขียนบล็อคไปเนิ่นนาน มาเปิดดูของเก่าๆ โอ้โหตั้งแต่ปี 2513 ตอนนี้หมอทำงานเกี่ยวกับด้านความงามเต็มตัวเสียแล้ว ไม่ค่อยมีเรื่องความเจ็บป่วยมาเล่าสู่กันฟัง มีเพียงเรื่องความสวย จะพยายามกลับมาเขียนอีกครั้งเพื่อเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้อ่านกันค่ะ

ในปัจจุบันเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์มีความสำคัญอย่างมากในการดำเนินชีวิตในสังคม เพราะจากสถิติบอกได้ชัดเจนว่าบุคคลที่มีหน้าตาดีจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่าคนที่มีความสามารถเท่ากันแต่ขี้เหร่กว่าเรื่องราวHow to และ Makeover อย่างไรให้สวยนั้นมีเยอะเยอะมากมายเสียจนตามข้อมูลแทบไม่ทันไหลบ่ามาอย่างกับน้ำป่าไหลหลากพัดพาเราไปในกระแสของโฆษณาชวนเชื่ออย่างต้านทานไม่ได้หมอเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่แม้ว่าจะดูลุยๆ พูดว่าไม่แคร์แต่ส่วนลึกก็มีห่วงสวยอยู่เหมือนกัน นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อความงามนั้นมีมากมาย การหาข้อมูลให้เพียงพอก่อนตัดสินใจที่จะเลือกใช้หรือทำอะไรกับตัวเราเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่งใบหน้าที่สวยงามนั้นเกิดขึ้นจากความสมส่วนขององค์ประกอบที่อยู่บนใบหน้า เช่นหน้าผาก ตา จมูก คาง หากเอาใบหน้าของคนสวยหล่อมาลองวัดออกมาเป็นตัวเลขแล้วจะพบว่าสัดส่วนของอวัยวะต่างๆ นั้นมีตัวเลขที่เท่ากันอย่างน่าตกใจ ดังนั้นการปรับรูปหน้านั้นสามารถทำให้เราสวยขึ้นได้ก็คือการปรับสัดส่วนต่างๆ บนใบหน้าให้ใกล้เคียงกับตัวเลขนั้นแต่คนเอเชียกับฝรั่งนั้นต่างกันนะคะมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้อาหมวยหน้ากลายเป็นแองเจลิน่าโจลี่นะ

ซึ่งการปรับรูปหน้านั้น แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1 การปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรม ซึ่งสาวไทยส่วนใหญ่กว่า 80% ไม่ต้องถึงขึ้นนั้น แค่เพียงใช้โบท๊อกฟิลเลอร์ ก็ทำให้สวยขึ้นได้ในพริบตาแต่การปรับรูปหน้าแบบนี้เราต้องทำความเข้าใจถึงยาที่ใช้ในการปรับหน้าให้เรานั้น ว่าแต่ละอย่างมีหน้าที่ทำอะไรได้บ้างเพราะยาแต่ละอย่างมีหน้าที่ไม่เหมือนกันนั่นหมายความว่าการปรับรูปหน้าโดยการไม่ศัลยกรรมนั้นอาจต้องใช้ยาหลายๆชนิดและอาจต้องค่อยเป็นค่อยไป เรามาดูกันว่า 4 อย่างหลักๆที่ใช้ในการปรับรูปหน้ามีอะไรบ้าง

1. โบท๊อก (Botox) เป็นสารที่มีความสามารถในการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อบางคนหน้าบานกรามใหญ่เกิดจากกล้ามเนื้อเราก็ใช้เจ้าโบท๊อกฉีดเข้าไปเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดเล็กลง โดยจะใช้เวลาหลังฉีดราว 1 เดือนหน้าจะค่อยๆ ดูเรียวเล็กลงได้ แต่ถ้าลดขนาดกล้ามเนื้อจนสุดๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใจก็อาจต้องไปจบที่ศัลยกรรมเป็นอย่างสุดท้าย

2. เมโสไลโปไลซิส (MesoLipolysis) การฉีดสลายไขมัน โครงหน้าคนเอเชียอย่างเรามักจะมีปัญหาปริมาณไขมันที่แก้มเยอะ จึงทำให้แก้มดูอวบป่องเต่งเหมือนอมส้มไว้ในปากตลอดเวลาการทำเมโส ( Mesotherapy) คือการฉีดยาเข้าไปยังบริเวณที่เราต้องการให้มันออกฤทธิ์ในกรณีนี้เราต้องการให้ไขมันสลายหายไป คือใช้ตัวยาที่ออกฤทธิ์สลายไขมัน จึงมีชื่อเรียกว่าLipo (ไขมัน) – สลาย (Lysis) นั่นเองซึ่งปริมาณของยาที่เราฉีดเข้าไปต้องมากเพียงพอที่จะครอบคลุมพื้นที่ๆ เราต้องการให้ไขมันถูกทำลายสลายไปเมื่อฉีดเข้าไปแล้วตัวยาจะทำให้เซลล์ไขมันตายแล้วก็จะถูกกำจัดออกไปทางระบบน้ำเหลืองขับออกทางอุจจาระในที่สุดหลังฉีดก็อาจมีการบวมเกิดขึ้นได้และต่อเนื่องไปราวๆ 1 สัปดาห์กว่าจุดที่เราฉีดนั้นจะเริ่มเล็กลงอย่างที่บอกว่าปริมาณยาต้องมากพอ ถ้าแก้มยุ้ยมากหรือบริเวณที่เราต้องการสลายไขมันมีขนาดใหญ่ก็อาจจะต้องฉีดหลายครั้ง

3. ฟีลเลอร์ (Filler) แปลตรงตัวว่า “เติมเต็ม”สารที่เรียกว่าฟีลเลอร์นี้คือสารที่มีหน้าที่เติมเต็ม ชื่อมันบอกหน้าที่อยู่แล้วเราจึงนำมาใช้เพื่อเติมในจุดที่พร่องไป จริงๆ สามารถเติมส่วนใดก็ได้ในร่างกายสารตัวนี้มีมากมายหลายชนิด มีทั้งแบบถาวรคือไม่สลายไปจากร่างกาย อยู่ได้ตลอดชีวิตคือ ซิลิโคนเหลวนั่นเอง ปัจจุบันไม่ใช่ฉีดกันแล้วเพราะเรารู้ว่าร่างกายสามารถเกิดปฏิกิริยาต่อต้านและแถมยังไหลไม่ยึดเกาะทำให้หน้าผิดรูปได้ส่วนแบบไม่ถาวรนั้นก็มีหลายแบบ คือร่างกายเราสามารถสลายสารเหล่านี้ได้เองแต่ในประเทศไทย สารที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยามีเพียงตัวเดียวคือ Hyaluronic acid หรือที่เราเรียกสั้นๆกันว่าไฮยานั่นเอง มีหลากหลายยี่ห้อมากซึ่งในปัจจุบันนานที่สุดที่มีการอ้างอิงในท้องตลาดจากบริษัทเวชภัณฑ์ต่างๆเท่าที่หมอทราบคือ 2 ปีแต่หลังจากฉีดแล้ว ไม่ใช่ว่าครบตามเวลาแล้วถึงจะยุบ มันจะค่อยๆ ยุบไปเรื่อยจากวันที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายโดยจะสลายเร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ เช่น ตัวฟีลเลอร์เองการดูแลสุขภาพของตนเองการปรับรูปหน้าโดยใช้ฟีลเลอร์นี้นอกจากจะใช้เติมส่วนที่พร่องให้เต็ม เช่น ร่องแก้มร่องน้ำตา ร่องน้ำหมาก แก้มและขมับตอบ มันยังสามารถเติมส่วนที่อยากให้เกินออกมาได้ด้วยเช่น การเติมจมูกให้โด่งมากขึ้น หรือการเติมให้มีคางที่ยาวมากขึ้นนั่นเอง

4. การร้อยไหมยกกระชับ (Thread Face Lift) จริงๆ แล้วไหมยกกระชับมีมานานแล้วแต่เพิ่งจะมาเริ่มบูมในบ้านเราก็สัก 2ปีที่ผ่านมาไหมยกกระชับมีหลายชนิด เช่น ไหมก้างปลา ไหมกรวย และมีหลากหลายวัสดุ เช่น ไหม PDO, ไหม Silicon, ไหมทอง หมอจะเลือกให้เหมาะกับปัญหาที่มี เมื่ออายุเพิ่มขึ้นผิวเราจะเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่น(Elasticity) สูญเสียปริมาตร (Collagen and Fat lost)ทำให้หน้าหย่อนคล้อยห้อยย้อยลงไปตามแรงโน้มถ่วง การร้อยไหมทำให้ใบหน้าตึงกลับไปได้จาก2 ส่วน คือ ตัวมันเองทำให้ที่เป็นสลิงดึงขึ้นไป และกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมสร้างใหม่ของสิ่งที่หายไปเหล่านั้น

5. เครื่องยกกระชับ ในกลุ่มเครื่องมือนี้จะมีหลากหลายเทคโนโลยี ที่ให้ผลใกล้เคียงกัน ได้แก่เครื่องมือในกลุ่ม RF (Radiofrequency) เช่น Thermage และ E-Matrix, เครื่องมือกลุ่ม Infrared เช่น Almar, เครื่องมือกลุ่ม Ultrasound เช่น Ulthera เครื่องมือเหล่านี้จะให้พลังงานเพื่อสร้างความร้อนเข้าสู่ชั้นต่างๆของโครงสร้างผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการยกกระชับและทำให้ไขมันบางส่วนสลายตัวจึงสามารถให้ผลในการลดไขมันและยกกระชับได้เช่นกัน

หมอจะยกตัวอย่างการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องศัลยกรรมให้เข้าใจคร่าวๆเช่น สาวน้อยคนหนึ่ง มีลักษณะหน้ากลมคางสั้นไร้สันจมูกเริ่มแรกหมอจะดูว่ามีปริมาณไขมันเยอะไหม ถ้าเยอะมากก็จะเริ่มต้นด้วยการฉีดสลายไขมันเพื่อลดไขมันส่วนเกินออกไปก่อน นัดมาดูอีก 2 สัปดาห์ ถ้ายังมีไขมันเยอะก็อาจฉีดสลายไขมันซ้ำได้อีกจนกว่าไขมันส่วนเกินจะลดจนเป็นที่พอใจต่อมาก็จับดูว่าหน้าที่บานเกิดจากกล้ามเนื้อกรามที่โตก็ฉีดโบท๊อก จากนั้นอีก 1เดือนหมอจึงจะนัดมาประเมินซ้ำ โดยทั่วไปหลังจากแก้มยุ้ยๆ กับกรามบานๆ ยุบไปแล้วโครงหน้าจะยังไม่เป็น V-shape หมอจะทำการใส่ไหมยกกระชับใบหน้าร่วมกับการเติมฟิลเลอร์ไฮยาที่คางหากคางสั้นและจมูกเพื่อให้จมูกโด่งยาวขึ้นได้จากที่หมออธิบายลำดับขึ้นตอนและวิธีการ คงพอจะนึกภาพตามออกนะคะ

2 การปรับรูปหน้าโดยการศัลยกรรม ทำได้ทุกสิ่งอย่างจริงหรือ!!?  คนดั้งแฟบก็เสริมจมูก บางคนอยากทำให้ริมฝีปากบางลงก็ตัดออกซะตาตี่ไม่มีชั้นก็ทำให้มีตาสองชั้นได้ไม่ยากเย็นอะไร โหนกแก้มสูงหน้ากว้างหน้าบานก็ทุบออกได้หรืออยากหน้าเรียวเป็นรูปตัววีก็เลือกตัดกรามออกเลยได้หน้าเรียวสมในหมอได้มีโอกาสไปดูหมอเกาหลีผ่าตัดสดๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปเพราะอยากรู้ว่าเขามีเทคนิคที่แตกต่างไปจากหมอไทยหรือไม่จริงๆ แล้วเทคนิคไม่ต่างกันเลยค่ะก็นำเทคนิคของฝรั่งมาปรับให้เข้ากับคนไข้ในแต่ละชาติของตนมากกว่าแต่ต่างกันที่มุมมองว่าแบบไหนถึงสวย แล้วสามารถทำออกมาได้อย่างที่คิดหรือเปล่า

จากที่หมอได้เล่าให้ฟังคร่าวๆ คงพอจะมีคำตอบให้กับตัวเองได้เบื้องต้นว่าจะเริ่มต้นทำให้ตัวเองสวยขึ้นแบบไหนดีการมีใบหน้าที่สวยงามนั้นส่งเสริมให้เรามีความสุขกับตนเองและมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตการปรับแต่งเสริมสร้างตนเองให้มีความสวยงามนั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่การมองและความต้องการความสวยงามของตนเองที่มีนั้น อยากให้ตั้งอยู่ในความพอดีบางคนทำไปทำมาจนแย่กว่าเดิมก็มี เยอะเสียด้วย การหาข้อมูลให้ลึกว่าแต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างหากเกิดผลเสียตามมาแล้วเรารับมือกับมันได้ไหม การเปรียบต่างเรื่องราคาและความคุ้มค่าของการรักษาในแต่ละแบบการเลือกหมอที่ไว้ใจได้ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญมาก จะว่าสำคัญที่สุดก็ว่าได้เพราะเรื่องของความงามเป็นเรื่องของศิลปะ หมอแต่ละคนจะมีมุมมองไอเดียในรูปแบบของความสวยงามที่ต่างกันความสวยในแบบที่หมอมองเห็นตัวคุณกับสิ่งที่คุณต้องการนั้นสื่อสารกันได้เข้าใจตรงกันไหมถ้าไม่ตรงกันแม้จะเป็นหมอฝีมือดีแค่ไหน สุดท้ายก็จบด้วยความไม่พอใจอยู่ดี ความสวยในแบบที่หมอมองถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดไว้แต่แรกถ้าสวยจริงหมอต้องอธิบายให้คุณนึกภาพออกได้ว่าความสวยแบบนั้นมันเป็นอย่างไรจนเห็นภาพไปในทิศทางเดียวกันนั่นก็คือยอมรับทั้งหมอทั้งคนไข้ว่าสวย นี่ก็เป็นอีกประเด็น จากการที่หมอได้มีโอกาสสังเกตการผ่าตัดหมอศัลยกรรมพลาสติกเกาหลีหมอมองว่าก็คนไข้ที่เขาทำออกมาสวยมากนะ สวยทุกคนเลย แต่เหมือนๆ กันไปหมดเลยพอหมอเดินก้าวออกมาจากคลินิก ถ้าเจอสาวๆเหล่านั้นอีกทีหมอมั่นใจได้เลยว่าจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ไม่อยากจะเม้าท์คนเกาหลีจริงๆ คนไทยสวยกว่าเยอะนะ เดินไปตามถนนหนทางบ้านเขาหาสวยได้น้อยจริงๆดีที่ขาวกับสูงนี่ล่ะ ถ้าวัดจากปริมาณคลินิกเสริมความงามของเค้ากับบ้านเราแล้วละก็ที่เราคิดๆ ว่าประเทศไทยมีเยอะแล้วละก็ เทียบกันไม่ติดค่ะคลินิกความงามเค้ามีมากกว่าเรา 3 เท่าเห็นจะได้คนไข้เดินเข้าเดินออกต่อวันเกือบ 50 คนต่อคลินิกเลย บางเรื่องก็เคยเขียนรายละเอียดไว้เป็นเรื่องๆ นะคะ แต่ก็หลายปีมาแล้ว เดี๋ยวจะค่อยๆ ทยอยๆ เขียนอัพเดทให้ใหม่ในทุกๆ เรื่องเลยค่ะ




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 14 กันยายน 2560 18:29:24 น.
Counter : 2063 Pageviews.  

ความแตกต่างระหว่าง "หมอผิวหนัง" "หมอความงาม" "หมอศัลยกรรมความงาม"

ในปัจจุบันเรามีชิวิตที่สุขสบายมากขึ้น มีกำลังทรัพย์ที่จะมอบให้กับเรื่อยที่แตกต่างจากที่ผ่านมาออกใป หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ "ความสวยความงาม"





เราจะเห็นว่าทุกวันนี้คลินิกที่เกี่ยวกับผิวพรรณความงามผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทุกหย่อมหญ้า ในฐานะที่ตัวเองเป็นหมอคนหนึ่ง จึงอยากมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับศาสตร์นี้ให้ฟังกัน


"หมอผิวหนัง"

"หมอศัลยกรรมความงาม"

"หมอความงาม"


แตกต่างกันอย่างไร


ศาสาตร์แห่งความงาม เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานที่หลากหลาย ต้องการองค์ความรู้ทั้งจาก ตจวิทยา รวมทั้งศัลยกรรม เข้าด้วยกัน เพราะเพียงศาสตร์เดียวไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดๆ ว่าคลินิกเสริมความงามเหล่านี้ ต้องใช้แพทย์ผิวหนังเท่านั้น ส่วนบางคลินิกเริ่มนำศัลยกรรมเข้ามาเสริม เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้มากสุด จำเป็นต้องเป็นเพียงศัลยกรรมพลาสติกหรือไม่ แล้วมันยังไงกันนะ  !!?

แพทย์ผิวหนัง คือ แพทย์ที่จบเฉพาะทางสาขาตจวิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์แยกย่อยจากอายุรกรรม มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่าอายุรกรรมผิวหนังก็ว่าได้ หมายความว่าแพทย์ที่จบเฉพาะทางสาขานี้จริงๆ แล้วหลักๆ จะเน้นไปทางการรักษาโรคอายุกรรมทางผิวหนัง ในอดีตแพทย์ที่จบเฉพาะทางสาขานี้ก็ไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของความงามแต่อย่างใด เช่น การฉีดโบท๊อกซ์ การฉีดฟีลเลอร์ หรือแม้แต่กระทั้งการยิงเลเซอร์ แต่ในปัจจุบันเพราะเหตุที่กิจการเหล่านี้บูมมาก จึงได้มีการบรรจุไว้ใน 3 เดือนสุดท้ายของการเรียนเฉพาะทางตจวิทยา

ถ้าจะว่ากันแล้วศาสตร์ทางด้านความงามเป็นศาสตร์ที่ใหม่และไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรค จึงไม่การเปิดสอนแบบเบ็ดเสร็จเกี่ยวกับความรู้ในด้านนี้ แม้แต่ในต่างประเทศก็ตาม แต่พื้นฐานของการให้รักษาและการดูแลอยู่ภายใต้พื้นฐานของกายวิภาคศาสตร์และชีววิทยาทั่วไปที่แพทย์ทุกคนสามารถเรียนรู้และเก็บเกี่ยวจากประสบการณ์ได้

แพทย์ศัลยกรรมความงาม ขึ้นชื่อว่าศัลยกรรมก็ต้องเกี่ยวกับการผ่าตัด โดยความเข้าใจทั่วไปแล้ว เมื่อพูดถึงแพทย์ที่เกี่ยวกับความงาม เรามักจะเข้าใจว่าต้องเป็นศัลยกรรมพลาสติกเท่านั้น แต่ถ้าดูตามความเป็นจริงแล้ว แพทย์เฉพาะทางจักษุ (ตา) ก็สามารถผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่โดยรอบดวงตาได้, แพทย์เฉพาะทางหูคอจมูก ก็สามารถผ่าตัดในพื้นที่บริเวณใบหน้าได้ แล้วศัลยกรรมพลาสติกล่ะ !!? จริงๆ แล้วแพทย์ศัลยกรรมพลาสติก งานหลักๆ คือ Reconstructive เน้นด้านการซ่อมแซมความพิกลพิการหรือทุกพลภาพให้กลับมาใช้การได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด ไม่ได้เน้นแต่ความสวยงามแต่อย่างใด แต่แพทยศัลยกรรมความงาม (Plastic Surgeon) จะมีความสามารถที่กว้างกว่า คือ เรียกว่าทำได้ทั้งตัว
แต่เอาจริงๆ แล้วแพทย์ทุกคนมีความสามารถในการผ่าตัดระดับหนึ่งหลังจากเรียนจบแพทย์ศาสตร์บัณฑิต แพทย์บางท่านอาจมึความสนใจที่แคบจนไม่ได้ไปเรียนต่อเฉพาะทางในแขนงหลักๆ ต่างๆ เหล่านั้น แต่ก็สามารถที่จะมีความรู้ความชำนาญในบางด้านได้จากการสนใจขวนขวายหาความรู้จากตำรา, การคอร์สการเรียนเฉพาะในระยะสั้นๆ หรือได้รับการสอนจากแพยท์ท่านอื่น  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ในขอบเขตขององค์ความรู้และหลักวิชาทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด จึงอาจจะพบว่าแพทย์บางท่านไม่ไว้มีวุฒิบัตรทางผิวหนัง แต่ก็มีความสามารถในการรักษาโรคในด้านผิวหนัง แพทย์บางท่านไม่ได้มีวุฒิบัตรทางด้านศัลยกรรม แต่ก็มีความสามารถในการผ่าตัดเพื่อเสริมความงามได้เช่นกัน

แพทย์ความงาม จึงเป็นแพทย์ที่จบแพทย์ศาสตร์บันฑิต คือแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ไม่ได้ต่อเฉพาะทาง หรืออาจจะจบเฉพาะทางๆใดทางหนึ่ง เช่น แพทย์ผิวหนัง จักษุแพทย์ แพทย์ศัลกรรมพลาสติก แพทย์หูคอจมูก  ที่สนใจเกี่ยวกับความงาม แล้วนำความรู้ทางการแพทย์ที่มีมุ่งเน้นมาทำการรักษาเพื่อก่อให้เกิดความงดงามของมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันนี้ รวมศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging) และแพทย์ทางเลือกอื่นๆ เข้าไว้ด้วย แล้วแต่ความสนใจส่วนตัวของแพทย์ที่จะดึงมาใช้ประกอบการรักษาดูแลคุณให้เป็นไปตามต้องการ


มารู้จักกับคำว่า "แพทย์เฉพาะทาง หรือ "Board Certificate" กันว่าคืออะไร


แพทย์ทุกคน คือ บุคคลที่เรียนจบแพทย์ศาสตร์บันฑิต ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 6 ปี มีความรู้เกี่ยวกับโรคทุกโรค เมื่อจบแล้วจะต้องสอบในประกอบวิชาชีพหรือเรียกอีกอย่างว่าใบประโรคศิลป์ (เรียกสั้นว่าใบ ว.) แม้บางคนจะเรียนจบแพทย์ในประเทศไทย ได้รับปริญญา แต่สอบใบประกอบโรคศิลป์ไม่ผ่านก็ไม่ทะเบียนแพทย์ในประเทศและไม่สามารถรักษาโรคได้ตามกฏหมาย รวมทั้งผู้ที่จบแพทย์จากต่างประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ในอเมริกาที่ดูจะมีภาษีดีกว่าบ้านเช่นกัน

แต่เนื่องด้วยโรคภัยไข้เจ็บนั้นมีมากมายหลายหลากกว้างขวางสุดๆ การที่จะมีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง จึงต้องมีการเรียนเพิ่มเติม ซึ่งก็ได้มีการจำแนกแยกกลุ่มโรคที่ใกล้เคียงกันออกมา เพื่อสร้างเป็นหมวดหมู่ให้เรียนรู้เพิ่มเติม เช่น แพทย์อายุรกรรม แพทย์ศัลยกรรม แพทย์สูตินรีเวช โดยการเรียนนั้นก็คือการเข้าไปทำงานในแผนกที่ต้องการมีความเชียวชาญในโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยสาขานั้นๆ ว่ามีศักยภาพในการให้การอบรมเป็นเวลา 3-6 ปี ขึ้นอยู่กับสาขาที่เรียน ซึ่งไม่เท่ากัน แล้วจึงมีการสอบให้ผ่านเกณฑ์ เพื่อได้รับใบประกาศนียบัตรในสาขานั้น (Board Certificated) นอกจากนี้ในแต่ละสาขายังมีสาขาแยกย่อย (Sub-board) ออกไปอีกด้วยซึ่งต้องเรียนต่อหลังจากเรียนจบเฉพาะทางอีกที เรียนกันจนแก่ บางคนเรียนรวมๆ แล้วสิบกว่าปีเลยทีเดียว


ทีนี้คงพอเข้าใจแล้วนะคะ ที่เขาเรียกว่าหมอเฉพาะทางหรือจบบอร์ดมา นี่คืออะไร


ย้อนกลับมาในเรื่องของแพทย์ผิวหนัง ในประเทศไทย หนึ่งช่องทางคือที่ได้อธิบายไปในข้างต้น ก็คือการเรียนเฉพาะทาง ซึ่งแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง ตามหลักเกณฑ์ของราชวิทยาลัยนั้นต้องเรียนถึง 4  ปี โดยปีแรกต้องไปเรียนกับแพทย์อายุรกรรมทั่วไป พอจินตนาการออกไหมคะ ว่างานมันหนักหน่วงขนาดไหน ซึ่งเทรนปัจจุบันแพทย์ผิวหนังใช้ความรู้เพื่อการรักษาโรคน้อยมากกว่างานด้านความสวยงาม และความต้องการแพทย์ด้านนี้มีมากขึ้น จึงมีการเรียนหรืออบรมอีกหลายแบบที่มีระยะเวลาที่สั้นลง ไปดูกันว่ามีการเรียก การอบรมอื่นๆ ว่าอะไรบ้าง

M.S. ย่อมาจาก Master of science คือ ปริญญาโท (Master Degree) ทางสาขาวิทยาศาตร์ ออกจะแปลกๆ อยู่หน่อย เพราะแพทย์ศาสตร์บัณฑิ (M.D. - Medical Doctor) จริงๆ แล้วมีศักดิ์เทียบเท่าปริญญาเอก แล้วจะกลับไปเรียนทำไม

ในประเทศไทยการเรียนแพทย์ระบบจะเป็นไปตามอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากอเมริกา คือ ในประเทศไทยหลังจากจบ ม.6 แล้วเราก็เข้าเรียนแพทย์ได้เลย ซึ่งต้องเรียนเป็นระยะเวลา 6 ปี แต่ในประเทศอเมริกา คุณจะต้องจบปริญญาตรีในสาขาวิทยาศาสตร์ใดๆ ก็ได้ก่อนเป็นเวลา 4 ปีตามปกติ แล้วจึงจะเข้าเรียนแพทย์ต่ออีก 4  ปี นั่นหมายความว่าต้องใช้เวลาเรียน 8 ปี จึงจะจบแพทย์มารักษาคนได้ ส่วนใหญ่คนอเมริกันหลังจากจบปริญญาตรีก็มักจะใช้เวลาทำงานอีกสักพัก จึงจะมาต่อแพทย์ นั่นทำให้แพทย์ของอเมริกานั้นดูค่อนข้างจะมีอายุ ซึ่งหมอเองก็พบปัญหานี้บ่อยที่บ้านเราว่าคนไข้ต่างชาติมักจะตกใจว่าทำไมหมอไทยถึงเด็กนัก นี่เป็นที่มาของ M.S. ด้านตจวิทยาซึ่งมีสอนในต่างประเทศรวมถึงในประเทศไทยเองด้วย ใช้เวลาเรียน 2 ปีเหมือนๆ กับปริญญาโททั่วๆ ไป

Diploma (หรือ Diplomat, Diplomacy เหมือนกันค่ะ) เป็นการเรียนรู้ให้มีความชำนาญในด้านในด้านหนึ๋งเช่นกันจากศูนย์ฝึกอบรบที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย หรือ สมาคมที่ได้รับการรับรองต่างๆ ในที่นี้ก็คือโรคทางผิวหนังนี่แหล่ะ แต่คอสจะสั้นกว่า ซึ่งมักจะใช้เวลา 1  ปี

ส่วนใบประกาศนียบัตรอื่นๆ เช่น คำว่า Certificate of attendant มักหมายถึงการเข้าประชุมวิชาการสั้นๆ หรือ การอบรมสั้นๆ ต่างๆ ซึ่งก็ถือเป็นการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ให้กับแพทย์ท่านนั้นเช่นกัน

แพทย์เฉพาะทางนั้น สาขาหลักๆ จะเป็นสาขาที่มีการยอมรับในทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย แต่ในปัจจุบันยังมีศาสตร์ใหม่ๆ ที่ก่อกำเนิดขึ้น แต่องค์ความรู้ยังไม่ยอมรับกันทั่วโลกตามหลักสากล ก็จัดเป็นสาขาที่ยังไม่มีตัวตน แพทย์สภาในประเทศเรายังไม่ยอมรับเช่นกัน แต่หากการรักษาที่เกิดขึ้นตามองค์ความรู้ใหม่เหล่านี้ ไม่ทำให้เกิดอันตราย ก็ไม่ผิดกฏหมายแต่อย่างใด



ว่าด้วยเรื่องวุฒิต่างๆ ผ่านไป

มาต่อกันด้วยว่า คลินิกเสริมความงาม คือ คลินิกอะไรกันแน่


จากข้างต้นจะเห็นว่าเมื่อศาสตร์นี้มันไม่เฉพาะทางมารองรับ มันจึงอาจจะเป็นแค่ "คลินิกประกอบวิชาชีพเวชกรรมทั่วไป" เท่านั้นเองก็ได้


ข้อสังเกตุ หากแพทย์ที่ดูแล จบเฉพาะทางด้านไหน แล้วต้องการแสดงให้เห็นกันชัดๆ จะเห็นป้ายหน้าคลินิกว่าเป็น "คลินกเวชกรรมเฉพาะทาง  ด้าน.... " ไม่ใช่เวชกรรมทั่วไป (แพทย์ที่ดูแล ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของนะคะ)


การจัดตั้งคลินิกนั้น บุคคลทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์แต่ต้องมีแพทย์เป็นผู้
ร่วมจดทะเบียนเป็นแพทย์ผู้ดำเนินการอย่างน้อย 1 คน จึงทำให้ปัจจุบันคลินิกผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด โดยเจ้าของอาจไม่ใช่แพทย์ ตัวหมอไม่ได้อยากโจมตี แต่ก็มีคลินิกไม่น้อย ที่เจ้าของไม่ใช่แพทย์ แล้วทำการตลาดโดยการตัดราคากัน จนทำให้การรักษาที่ออกมาไม่ได้มาตรฐาน คนไข้หลายคนจึงมีความเข้าใจที่ผิด หรือได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีมา จริงอยู่ที่กิจการคลินิกดูจะเป็นกิจการที่ได้กำไรมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนทางด้านวัตถุ แต่อย่าลืมว่ากำไรที่ได้นั้น จริงๆแล้วมาจากค่าวิชาชีพหรือค่าความรู้ความชำนาญทางการแพทย์นั่นเอง


จะเห็นว่าหมอที่ทำงานตามคลินิกความงามทั่วๆ ไปนั้น ส่วนน้อยค่ะ ที่จะจบแพทย์เฉพาะทาง มักจะเป็นแพทย์ทั่วไปที่มีความสนใจใฝ่หาความรู้ทางด้านความงามจากแหล่งอื่นๆ เพราะการอบรมหรือความรู้เหล่านี้ไม่ได้มีรวบรวมอย่างจริงจังจนเป็นศาสตร์เฉพาะแต่อย่างใด แต่แพทย์ที่ทำงานด้านความงามนั้นจึงมักต้องอัพเดทความรู้อยู่เสมอจากงานประชุมวิชาการที่จัดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เอาล่ะ... คงพอเข้าใจรายละเอียดในด้านความเฉพาะเจาะจงแล้วนะคะ


แม้ในปัจจุบัน คลินิกความงามจะได้รับการโจมตีจากแพทย์เฉพาะทางทุกแขนง (เพราะไปแย่งเขาทำมาหากิน) แม้กระทั่งแพทย์เฉพาะทางต่างสาขาก็ยังโจมตีกันเอง (อย่างฮา) แต่สิ่งที่อยากให้พิจารณาว่าศาสตร์แห่งความสวยความงามความหล่อเป็นเรื่องของศิลปะ ระหว่างผู้รับบริการ (คนไข้) ต่อผู้ให้บริการ (แพทย์) เน้นย้ำว่าเป็นศิลปะจริงๆ การเลือกแพทย์ที่จะมาดูแลคุณนั้น จริงๆ แล้วเราต้องศึกษารายละเอียดกันหลายๆ ด้าน วุฒิบัตรต่างๆ เป็นสิ่งรับประกันขั้นต่ำให้อุ่นใจ แต่ทั้งทั้งนั้นเราควรคุยกับแพทย์หลายๆ ท่านถึงทัศนคติว่าสื่อสารกันรู้เรื่องไหม  คุยแล้วคลิ้กได้ว่าความงามในแบบที่คุณต้องการกับความงามของแพทย์ท่านนั้นมองเห็นหรือเข้าใจตรงกันไหม ให้ความรู้กับเราได้เข้าใจกระจ่างชัด แล้วหลังจากคุยกับแพทย์อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทำคือการศึกษาหาข้อมูลของสิ่งที่เราได้รับมาว่าจริงหรือไม่ ทุกวันนี้เราเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วคลิ้ก แต่ขอให้เลือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้หน่อยนะคะ ก่อนจะตัดสินใจในการที่จะทำหรือไม่ทำอะไรกับตัวเองค่ะ




วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบแพทย์ ที่น่าสงสัย
... แพทยสภาได้ทำโปรแกรมในเว็บไซด์แพทยสภา ให้ประชาชนตรวจสอบได้ง่ายๆ แล้วค่ะ

//www.tmc.or.th/service_check_doctor.php




โดยจะแสดงว่าแพทย์ท่านนั้นจบวุฒิบัตรเฉพาะทางสาขาใดๆ ที่แพทยสภาไทยรับรอง ให้ทราบไว้เลย วุฒิบัตรเฉพาะทางซึ่งเป็นไปตามหลักแพทยสภาสากลนั้นมีประมาณ 80 สาขาค่ะ 

แต่หากไม่ขึ้นชื่ออย่าพึ่งระบุว่าเขาไม่ใช่แพทย์ค่ะ ไม่พบชื่ออาจมีเพราะหลายสาเหตุ เช่น
- ชื่อพิมพ์ผิด
- แต่งงานแล้วเปลี่ยนนามสกุล
- เปลี่ยนชื่อไม่แจ้งแพทยสภา
-
กรณีแพทย์-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจบใหม่ ชื่ออาจขึ้นหลังจากนั้นราว 1เดือน

ส่วน
แพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีนจะไม่สามารถเช็คจากทางนี้ได้นะคะ หรือ วุฒิบัตรนอกเหนือจ่ก 80 สาขาที่แพทยสภามีนั้นก็จะไม่ขึ้นว่าเป็นเฉพาะทางสาขาที่กล่าวอ้างให้

แพทย์ที่จบแพทย์ในประเทศไทย แล้วสอบใบประกอบวิชาชีพผ่าน (ใบ ว. - อ่านว่า "ใบวอ") อย่างน้อยๆ ก็ต้องขึ้นชื่อในเวปนี้ค่ะ

ท้ายที่สุดโทรถามแพทยสภาเลย ที่ 02-5901884 (เวลาราชการ) ก่อนจะสรุปความ

ถ้าไม่สามารถตรวจเช็คได้จากช่องทางสุดท้ายนี้แล้ว ก็น่าะเป็น "หมอเถื่อน" แล้วล่ะค่ะ



เท่านี้คงพอเป็นไกด์ในการเลือกคลินิกและแพทย์ที่จะมาดูแลความสวยให้คุณกันได้แล้วนะคะ


^___^











 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2556    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2557 16:33:07 น.
Counter : 11923 Pageviews.  

ผิวขาว...เทรนด์ความงาม ควรหรือไม่ควรทำอะไรกับตัวเองให้ได้มา? (2)

เรามาว่าเรื่อง...ผิวขาวกันต่อ จาก ตอนแรก ถ้ายังไม่ได้อ่าน แนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านก่อนนะคะ จะได้ต่อเนื่อง ^^

จากตอนที่แล้ว หมอได้แบ่งแยกไว้เป็น 3 หัวข้อ ขอกระโดดไปหัวข้อที่ 3 ก่อน เพราะเป็นอะไรที่ฮิตสุด คือ การฉีดสารต่างๆ

การฉีด...ช่วยให้ขาวได้ จริงหรือไม่?

ไปติดตามกันเลยค่ะ





อันนี้หล่ะที่อยากจะเขียนถึงที่สุด ... เริ่มจาก

1. Gluthathione

จริงแล้วเจ้าตัวนี้มีอยู่แล้วในร่างกายเราเอง เป็นสาร anti-oxident ซึ่งมีความสำคัญในการกำจัดพิษในร่างกาย มีมากที่ตับ (liver) เริ่มแรกมีคนทดลองเอามาฉีดชะลอแก่ แต่ดันเห็นผลว่าขาว เรื่องก็เป็นประการฉะนี้ค่ะ

ถาม : การฉีดจะมีอันตรายไหม?

ตอบ : ไม่เป็นอันตรายค่ะ เพราะอย่างที่อธิบายเบื้องต้น ว่ามันไม่เกิดมาเพื่อทำให้ขาว ยาถูกสร้างมาเพื่อรักษาโรค แต่เนื่องจากเรายังไม่รู้ผลกระทบต่อร่างกายในกรณีที่ฉีดมากๆในคราวเดียวหรือการฉีดที่ถี่เกินไป เนื่องจากตัวยานี้ยังไม่ได้มีการทำวิจัยในระยะที่ยาวมากพอ (คือมากกว่า 10 ปี)

ถาม : ผ่าน อย. (องค์การอาหารและยา หรือ ที่ต่างประเทศเรียก FDA) ในประเทศไทยหรือไม่?

ตอบ : ในความเป็นจริงยาเหล่านี้ไม่ผ่าน อย.บ้านเรา และ อย.ประเทศอื่นด้วย เช่น USA และ ญี่ปุ่น แต่ผ่าน อย.ในยุโรปบางประเทศ

2. Vitamin C

เป็นวิตามินตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติละลายน้ำ จึงขับออกทิ้งทางไต ตัวมันเป็น anti-oxident เช่นกัน และช่วยให้ collagen แข็งแรง รวมทั้งกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ดังนั้นผลของมันก็จะเหมือน Gluthathione ค่ะ บางครั้งเราอาจจะเห็นว่ามีการฉีดในปริมาณมาก หรือที่เรียกว่า Megadose ในคนไข้มะเร็ง เพื่อเป็นการแพทย์เสริม (Alternative Medicine)

ถาม : ต้องฉีดมากแค่ไหน? ต้องระวังอะไรบ้าง?

ตอบ : ในการฉีดเพื่อการนี้ ไม่ควรเกิน 5 grams ค่ะ เพราะตัววิตามัน C เป็นกรด ถ้าเราให้ปริมาณมากๆ จะทำให้เลือดเราเป็นกรดได้ และควรเจือจางด้วยสารละลายอื่น จะทำให้ฉีดแล้วไม่เจ็บเส้นเลือด




จริงๆ แล้ว Anti-Oxidant บนโลกของเรายังมีอีกมากมายหลายตัว แต่บางตัวก็ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ ถ้านำมาใช้เดี่ยวๆ จึงมักนิยมนำมา add เข้ากับตัวหลักๆ เพื่อให้ออกฤทธิ์ร่วมกัน (synergistic)

3. Stem cell

คือ เซลล์ต้นกำเนิด เราเชื่อว่าในร่างกายเรามีเซลล์ที่สามารถแปลงไปเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งเราเรียกมันว่าเซลล์ต้นกำเนิด มีสองชนิด คือ

1) Embryonic stem cell ได้จากตัวอ่อน ไม่ว่าจะจากสัตว์ หรือ มนุษย์ก็ได้ แต่จากมนุษย์ ยังไม่ได้รับการยอมรับค่ะ เพราะมันดูเหมือนจะผิดหลักจริยธรรม แต่จริงๆ แล้วก็มีการทดลองแล้วในหลายๆ ประเทศ

2) Adult stem cell (ADSC) เป็น stem cell ที่มีในของตัวเราเองค่ะ จะลดน้อยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยจะมีมากที่สุดในไขกระดูก คงพอคุ้นเคยกับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้กับคนไข้มะเร็งเม็ดเลือดขาวกันมาบ้าง ในอวัยวะอื่นๆ ก็มีค่ะ ตอนนี้ทางเรื่องของความงาม กำลังสนใจ ADSC จาก เซลล์ไขมัน (Fat cell) ไขกระดูก (Bone Marrow) และรากฟัน

ที่นี้เรามาดูโปรดักที่มีขายตามท้องตลาด ที่พูดว่าเป็น Stem Cell ต่างๆ มีทั้งสกัดจาก พืช เช่น แอปเปิ้ล, สัตว์ เช่น แกะ และ รกเด็ก (Humen Placenta) บอกได้เลยนะคะว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ stem cell ที่เป็น live cell หรือเซล์สดๆ เป็นๆ ที่ยังมีชีวิตจริงๆ หรอก ความจริงแล้วเป็น Stem Cell Extract คือเรานำเซลล์สดมาสกัดสารเคมีในเซลล์มาใช้ เราหวังผลจากสารเคมี (cytokine) ในเซลล์อ่อนเหล่านี้ ให้ช่วยส่งสัญญานบางอย่างให้กับเซลล์ของเรา (เมื่ออายุเราเพิ่ม สารเคมีเหล่านี้จะลดลง หรือหายไป) ก็จะทำให้ร่างกายเราดูอ่อนวัยขึ้นได้ ทำให้ขาวใสตามมานั่นแหละ


ส่วนในกรณี Stem Cell แบบ Live Cell หรือเซลล์สดที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ถ้าเป็นเซลล์ที่ยังไม่ตาย การที่จะนำมาสู่มือเราได้นั้น ต้องเก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิติดลบ ต้องมีการนัดเวลาฉีดกันเลยล่ะ ดังนั้นสมัยก่อนก็ต้องบินไปฉีดกันถึงเมืองนอก แต่ปัจจุบันบ้านเราเองก็มีห้อง lab ที่สามารถทำได้เองแล้ว รวมทั้งการคมนาคมที่ดีขึ้น ทำให้เราสามารถเลือกที่จะทำที่เมืองไทยหรือที่เมืองนอกก็ได้ แต่แน่นอนว่าราคาก็ยังคงค่อนข้างสูง


จะเห็นว่าการฉีดสารใดๆ เข้าไปในร่างกายจริงๆ แล้วจุดประสงค์คือการชะลอหรือลดความเสื่อมสภาพที่เกิดตามอายุ หรือความเสื่อมที่เกิดจากการที่ร่างกายถูกทำร้ายมากกว่าปกติ เช่น การออกแดด การดื่มสุรา หรือการอดนอน เพราะถ้าเราสังเกตุจะเห็นว่าสภาพการณ์ต่างๆ ที่พูดเหล่านี้ ล้วนแต่แสดงออกสู่ผิวพรรณเป็นอย่างแรก เมื่อสุขภาพดีผิวพรรณก็สดใสไม่หมองคล้ำ จึงอยากจะเตือนว่าการฉีดสารเหล่านี้ ไม่มีทางจะเปลี่ยนให้คนผิวคล้ำกลายมาเป็นผิวขาวได้ถาวร ทำได้แค่เพียงให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นเท่านั้น เราไม่สามารถหยุดอายุได้ หรือหากเรายังมีพฤติกรรมที่มีทำให้ร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพได้มากกว่าปกติ ดังนั้นการฉีดสารเหล่านี้ จริงต้องมีการฉีดเพื่อคงสภาพเป็นระยะๆ

เรื่องราวของการฉีดสารเหล่านี้ ออกจะเป็นเรื่องราวส่วนบุคคลที่ต้องพิจารณานะคะ เพราะศาสตร์เหล่านี้ถึงแม้จะมีการทดลองและเก็บสถิติ แต่ก็ไม่ได้มีการทดลองที่ใหญ่หรือมากพอแบบยารักษาโรคที่เป็นแบบแผนหลักค่ะ


มีคนถามหมอว่า...ทำไมดาราที่แต่ก่อนดำๆ เดี๋ยวนี้ขาวได้ละคะ
ลองคิดดูนะคะ...ดาราเขาขายหน้าตาภาพลักษณ์
เป็นธรรมดานะคะ...ที่สาวๆ หนุ่มๆ เหล่านี้ ก็ต้องทำอะไรๆ มากมาย
สารบำรุงผิวต่างๆ ไหนจะทำทรีตเมนท์อีกตัวมากมาย
ออกกำลังกายดูแลรูปร่าง
แล้วอย่างนี้จะไม่สวยหล่อ ผิวสุขภาพดีไงไหวคะ
ถ้าอยากดูดี...เป็นธรรมดา ต้องแลกด้วยเงินและเวลาในการดูแลตัวเอง

ตลาดผลิตภัณฑ์ความงาม เป็นตลาดที่ใหญ่มาก
และมีเม็ดเงินเดินสะพัดเป็นจำนวนมหาศาศาล
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จึงมีมากมายหลายหลาก
อยากให้เลือกใช้อย่างมีวิจารณญาณ
ว่าถ้าจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้ว...เราจะต้องเสี่ยงกับอะไรบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพ เกี่ยวกับผลข้างเคียงที่จะเกิด
หรือเงินทองที่ใช้จ่ายในการหามาตอบสนองความต้องการ
เพราะร้อยทั้งร้อย...ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดให้ผลตอบสนองได้ 100%



จริงอยู่...ภาพลักษณ์ภายนอกนำมาซึ่งความสำเร็จก็จริง
แต่มันจะคุ้มหรือไม่...ที่เราต้องดิ้นรนไขว่คว้า ไล่ล่า วิ่งตาม อย่างเหน็ดเหนื่อย ไร้ซึ่งความพอใจแห่งตน
ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า...ความงามภายนอกกาย
ที่ไม่ได้มีความยั่งยืนจีรัง...
เพียงแค่เราพอใจในตัวเองหรือมีจุดยืน
เราก็จะมีจุดที่เราพอใจในตัวเองได้ไม่ยาก
การสร้างคุณค่าจากภายใน เพียงเท่านี้...คุณก็จะมีความงดงามไม่มีที่สุด
"ความงดงาม...อยู่ที่หัวใจ"

แต่สำหรับเราๆ ท่านๆ ที่ยังวนเวียนอยู่กับวัฏจักรของโลก
ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีหน้าตา รูปต่างที่ดูดี
เป็นสิ่งที่ยังต้องทำ เพื่อการเข้าสังคมละก็
คุณพร้อมหรือยังคะ...




 

Create Date : 18 มีนาคม 2556    
Last Update : 18 มีนาคม 2556 16:50:03 น.
Counter : 960 Pageviews.  

การแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine)

เมื่อวานได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการแพทย์แผนอื่นๆ ที่ไม่ใช่การแพทย์แผนปัจจุบันหรือที่เรียกว่า การแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine)

หมายถึง การรักษาโรคหรือความเจ็บป่วยด้วยวิธีอื่นใดที่มีขั้นตอนการปฏิบัตินอกเหนือไปจากที่ได้รับการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์

มีชื่อเรียกอื่นๆ ดังนีี้
- การแพทย์แผนเดิม เช่น การแพทย์แผนไทยโบราณ จำพวกยาสมุนไพรต่างๆ หรือการแพทย์แผนจีนโบราณ จำพวกการฝังเข็ม
- การแพทย์เสริม (Complementary medicine) คือการนำการแพทย์ทางเลือกมาใช้ในการรักษาควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเน้นไปที่การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic) ซึ่งเชื่อว่าสุขภาพเป็นเรื่องของความสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

การแพทย์ทางเลือก จะแนกเป็น 6 กลุ่มหลัก
1 กลุ่มแบบแผนประเพณีดั้งเดิม (Traditional medicine) เช่น ยาสมุนไพร, ฝังเข็ม (Acupucture)
2 กลุ่มการสร้างสมดุลของกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาพในร่างกาย (Bioelectromegnatic)
3 กลุ่มการบำบัดโครงสร้าง (Structural snd energy medicine) เช่น ไคโรแพรกติก (Cairopractic)
4 กลุ่มการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร (Diet/Nutrition/Lifestyle) เช่น แม็คโครไบโอติก
5 กลุ่มที่เน้นความสัมพันธ์ของการกับจิต (Body and Mind control)
6 กลุ่มที่ใช้สารชีวภาพในการบำบัดรักษาและส่งเสริมสุขภาพ (Bio-Treatment)

ทำไมการแพทย์แผนปัจจุบันจึงเป็นที่ยอมรับและจัดเป็นศาสตร์ในการดูแลสุขภาพหลัก?
เพราะการแพทย์แผนปัจจุบันมีการทดลองและการเก็บสติถิที่มีผลที่เชื่อถือได้
แต่เราก็ต้องยอมรับ...ว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมาย
ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด
ทำให้ตอนนี้กระแสของเรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือกต่างๆ เหล่านี้กำลังมาแรงมาก


ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก...มีมากมาย โดยที่บางศาสตร์เหล่านี้มีมากว่าหลายร้อยปีเสียด้วยซ้ำ แต่เรายังคงใส่มันไว้ในกลุ่มการแพทย์ทางเลือก ทั้งๆ ที่ทฤษฎีเบื้องต้นนั้นน่าจะเป็นไปได้หรือผลลัพท์ที่น่าประทับใจ แต่หลายๆ ศาสตร์หรือวิธีการยังไม่สามารถยอมรับให้เป็นการรักษาหลักได้ เพราะมักไม่มีหลักฐานการทดลอง, เก็บสถิติที่มากพอ หรือข้อมูลในการอธิบายหลักการที่แท้จริงๆได้

อาจจะเพราะ...หมอเอง เกิดในเมืองพุธ เติบโตมาพร้อมๆ กับการได้เรียนรู้ในหลักศาสนาพุธ ทำให้ยอมรับว่ายังมีอะไรหลายๆ อย่างที่ในโลกใบนี้ที่ยังอธิบายไม่ได้ ร่วมกับใจที่เปิดกว้าง...จึงเมียงมองสนใจในอะไรใหม่ๆ ที่สามารถจะทำให้คนไข้ดีขึ้นได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่บางอย่างเป็นเรื่องของความหวัง...ซึ่งเป็นแหล่งของกำลังใจ ช่วงนี้...ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าร่วมอบรมศาสตร์การแพทย์ทางเลือกเสมอๆ แต่จะเห็นว่ายังมีหมอหลายๆ ท่านที่ไม่ยอมรับแบบหัวชนฝา

แต่สำหรับหมอแล้ว...อยากแนะนำว่า การจะกระทำสิ่งๆ ใดๆ ต่อร่างกายของตัวท่านเอง ไม่มีใครกำหนดหรือห้ามได้ หมอเองยอมรับว่าศาสตร์การแพทย์ทางเลือกบางอย่าง มีเอกสารอ้างอิงถึงผลการรักษาที่ออกมาดีชัดเจน แต่สิ่งที่ขาด คือ คำอธิบายที่ชัดเจนเช่นกัน แม้กระทั่งเจ้าของทฤษฏีก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าการรักษาแบบนี้มีกลไกอะไรที่ทำให้อาการป่วยดีขึ้น จึงอยากให้ค้นหาข้อมูลให้ดี และตรึกตรองให้ถี่ถ้วนดีเสียก่อน ถ้าไม่เสี่ยงอันตรายจนเกินไป หรือ ราคาแพงจนเกินเหตุ ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนั้น รวมทั้งอย่าทิ้งการรักษาแผนปัจจุบัน ควรจะทำควบคู่กันไป คนที่ออกมาพูดว่ารอดจากรักษาด้วยแพทย์ทางเลือกเพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่หมดหวังแล้ว คนเหล่านี้เป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น คนส่วนใหญ่ได้ตายไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้บอกว่าไม่หายหรือไม่ดีขึ้น โดยพลาดโอกาสในการรักษาไปอย่างน่าเสียดายเสียด้วยซ้ำ

หาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองการแพทย์ทางเลือก




Re-post

Create Date : 25 กรกฎาคม 2552




 

Create Date : 11 มีนาคม 2556    
Last Update : 11 มีนาคม 2556 14:40:29 น.
Counter : 1208 Pageviews.  

1  2  3  4  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.