Group Blog
All Blog
--- น ก ป ร อ ด ด ำ กั บ ด อ ก ไ ม้ สี ช ม พู ---



















พวกเขาอยู่ที่นี่กันค่ะ :)








































































นกสีดำปากแดง ดูมาดแมน เสียงดังเพราะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่
เหมือนนกเอี้ยงตามต้นจำปีที่บ้านฉัน
แต่พอมาอยู่บนดอกไม้สีชมพู
พี่ปรอด(ตัว)ดำดูน่ารักขึ้นเยอะเลย

นกปรอดดำ Himalayan Black Bulbul
กับดอกนางพญาเสือโคร่งบนดอยอ่างขาง
ภูพเยีย
18 มกราคม 2558


















Create Date : 19 มกราคม 2559
Last Update : 21 มกราคม 2559 8:27:46 น.
Counter : 1574 Pageviews.

0 comment
--- น ก จ า บ ปี ก อ่ อ น สี กุ ห ล า บ : Common Rosefinch ---




















































นกจาบปีกอ่อนเพศผู้จะมีอกสีชมพูเข้ม ส่วนตัวเมียจะมีสีจาง ๆ
ภาพนี้คือภาพคู่ภาพเดียวที่เก็บไว้ได้
เห็นเขาตอนจวนตัวและไล่ตามไม่ทัน
ไม่กล้าขยับตัวมากกลัวพวกเขาหนี
มุมที่ถ่ายคือมุมแหงน พอได้ภาพไว้เป็นที่ระลึกค่ะ

ที่ ดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่






นกจาบปีกอ่อนสีกุหลาบเป็นนกอพยพที่เข้ามาในฤดูหนาวนอกฤดูผสมพันธุ์ และเป็นนกใหม่สำหรับฉันในปีนี้ค่ะ
ตื่นเต้นจังเลยที่เจอเขาแม้จะเก็บภาพมาไม่ดีสักภาพ แต่ก็บรรจงเก็บมาเพราะเขาเป็นนกขี้อาย ตื่นคนและเกาะสูงมาก คิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาเพราะเรากำลังยิงนกกะรองทองแก้มขาวฝูงใหญ่ที่กำลังกินน้ำหวานของดอกซากุระกันอยู่
มองเผิน ๆ เขาเหมือนนกกระจอกธรรมดา แต่อกสีชมพูนอกฤดูผสมพันธุ์ของเพศผู้นั้นทำให้ฉันละสายตาไม่ได้ ตอนเห็นผ่านกล้องตอนแรก ใจเต้นมากเพราะนึกไม่ออกว่าจะเป็นนกอะไร เจ้าโรสฟิรช์ที่ใคร ๆ พูดถึงหน้าตาแบบนี้นี่เอง เขากินดอกซากุระหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ได้ภาพที่เขาจิกดอกมาคาบหลายใบ ฉันไม่ได้ครอปภาพเพราะระยะไกลมาก ภาพจะแตก และกล้องของฉันไม่สามารถขยายดูได้มากขนาดนั้น ฉันเก็บภาพมาเป็นที่ระลึกในวันนี้

หวังจะได้เจอเขาอีกในวันหน้าค่ะ

Common Rosefinch
@Doi Angkhang
ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
18 มกราคม 2558

















Create Date : 19 มกราคม 2559
Last Update : 19 มกราคม 2559 7:53:56 น.
Counter : 813 Pageviews.

2 comment
--- เ มื่ อ อ ย า ก รู้ ว่ า กิ โ ล ที่ 3 5 มี ปี ศ า จ จ ริ ง ห รื อ ไ ม่ ---








เ มื่ อ อ ย า ก รู้ ว่ า
กิ โ ล ที่ 3 5 มี ปี ศ า จ จ ริ ง มั้ ย
ก็ เ ล ย ต้ อ ง ล อ ง วิ่ ง ดู :)








เช้านี้ ประมาณตี 4 เราจอดรถไว้ข้างศูนย์ประชุมนานาชาติ
อากาศหนาวมาก แต่ไม่ใส่เสื้อแจ็คเก็ต คิดว่า วิ่งสักพักน่าจะอุ่นขึ้น มีบัฟคลุมหัวและปิดหูไว้ รู้สึกอุ่นขึ้น ลืมถุงมืออีกแล้ว !

เราเริ่มวิ่งเส้นทางเลียบคลองชล เป็นเส้นทางสำหรับจักรยาน 5 กิโลบวกอีก 3 กิโลถึงปากทางห้วยตึงเฒ่า

วิ่งสองรอบห้วยตึงเฒ่าสองรอบ ๆ ละ 3 กิโลโดยประมาณ
วิ่งออกมาสี่กิโลและวนเข้าไปอีก
วนห้วยตึงเฒ่าอีกสองรอบ

เราลองจิบน้ำกิโลที่ 5 / 12 / 17 และ 28 ตามที่รับรู้มาเพื่อหมุนเวียนความมีชีวิตชีวาของร่างกาย ไม่ให้ดื่มเมื่อกระหายเพราะนำไปใช้ไม่ทัน

ครบ 28 กิโล ฉันนึกว่าจบการวิ่งยาวของเช้านี้แล้ว คนที่บ้านพาไปร้านของชำให้เลือกน้ำดื่ม ฉันเลือกเกเตอเรด ใจน่ะอยากกินข้าวผัดกระเพราไข่ดาวมาก หิวซะงั้น
แต่คนที่บ้านเดินนำหน้าไป ฉันเลยจิบน้ำไปหนึ่งส่วนสี่เท่านั้นทั้งที่ขวดเล็ก เขาบอกว่า อย่าเดินช้า กินน้ำก็สาวเท้ายาว ๆ เราก็งง เดินช้าก็บ่นนิ เขาถามอีก จะเก็บน้ำรึยัง (คือให้ใส่น้ำในเป้ของเขา) เราก็เก็บ เพราะชื่นใจแล้ว แต่หิวข้าวจัง จากนั้นเขาก็บอกว่า วิ่งต่อนะ วิ่งไปที่รถเลย

ครั้งแรกฉันคิดว่าแค่ปากทางห้วยตึงเฒ่า เหตุเพราะวิ่งนานเกินไปประสาทอาจกลับได้ คำนวณเลขไม่ได้ นึกไม่ออกว่าต้องวิ่งอีกกี่กิโลจึงจะถึงรถ

วิ่งไป ๆ ก็ไม่ถึงปากทางซะที พอถึงปากทาง เอ้า .. เลี้ยวขวา เพิ่งถึงทางจักรยาน คิดออกแล้ว วิ่งอีก 5 กิโลกว่าจะหมดทางจักรยาน ฉันก็จ็อกกิ้งช้า ๆ เร่งไม่ได้

หมดเส้นทางจักรยาน ยังเหลืออีก 2 กิโลโอย...หน้าศูนย์ประชุมทำไมไกลอย่างนี้
ระหว่างทางไป มีเพื่อนนักวิ่งที่น่าจะมาเวลาเดียวกับเรา เขาวิ่งกันสามคน ไม่คิดสงสัยว่ามาวิ่งกันทำไมตั้งแต่ตีสี่ ถามตัวเองก็พอ เหตุผลไม่น่าต่างกัน

ฉันหยุดตอนข้ามถนน แกล้งทำยืดเหยียด ลิ้นห้อยจนเกือบจะถึงพุง แอบดีใจที่ได้พักตอนรอรถแล่นผ่าน ฝรั่งรูปหล่อกำลังวิ่งมา เห็นลิ้นจิพื้นฉันแน่เลย เขาตบบ่าให้กำลังใจและบอกฉันว่า สู้ ๆ

นะ... คนวิ่งเหมือนกันจะเข้าใจ ฉันหยุดแป๊บ เพื่อจะจ็อกกิ้งต่อ นึกไม่ออกว่า หากเดิน จะไปถึงรถเมื่อไหร่ ไม่มีทางที่ฉันจะเดินไปถึงได้เลย พอเริ่มจ็อกกิ้ง มันดีกว่าเยอะ รู้สึกว่า ระยะมันใกล้เข้ามาได้ ถึงว่า นักวิ่งประสบการณ์บอกนักบอกหนาว่า อย่าเดิน ขามันจะหนักและจะขาตายวิ่งไม่ออก กัดฟันยกขาสูง ๆ และจ็อก ๆ ให้เป็นนิสัย มันจริงมาก ๆ

35 กิโลที่ไม่มีปีศาจ เพราะฉันพอแค่นี้ ไม่รู้ว่า หลังจากนี้จะเจออะไร อาการตะคริว ชนกำแพง ขาตาย เป็นยังไง มันยังไม่เกิด ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิด คิดแต่แรกว่า หากตะคริวจับน่อง เราจะทำยังไง จะวิ่งต่อได้หรือเปล่า เราจึงลอง คนที่บ้านจะวนกลับอีกรอบ ฉันไม่เอาแล้ว พอแค่นี้ก่อนวันนี้ กลัวหัวใจจะหยุดเต้น

ถึงกระนั้น วันซ้อมกับวันจริงอาจไม่เหมือนกัน สนามวิ่งก็เหมือนสนามชีวิต มีเหตุพลิกผันได้ตลอด ไม่เคยมีสูตรสำเร็จว่า วิ่งได้ขนาดนี้แล้วจะวิ่งแบบนี้ได้อีกบนสนามจริง มีตัวแปรและปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิดได้ เพียงแต่การซ้อมนั้นทำให้เรารู้ตัวเอง ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้บ้างจากการซ้อมวิ่งระยะจริงหรือใกล้เคียง ไม่วิ่งดิบหรือเอาแต่ใจถึงเข้าว่า มันไม่พอและไม่คุ้ม สงสารร่างกาย เพราะหากบาดเจ็บแล้วฟื้นตัวยาก เสียดายมากหากไม่ได้วิ่งอีก

ระหว่างวิ่ง เราไม่ได้คุยกัน แต่วิ่งจบถามกันว่า เธอคิดอะไรระหว่างสี่ชั่วโมงกว่าที่วิ่งตามกัน

เราคิดเหมือนกันเป๊ะคือ ไม่คิดอะไร วิ่งไปเรื่อย ๆ ดูเท้าไม่ให้สะดุดล้ม ระวังเรื่องข้อเท้าพลิก ชะลอวิ่งเมื่อลงเนิน พยายามจ๊อกกิ้งเวลาขึ้นเนินแทนการเดิน วิ่งจังหวะของเรา คุม pace ของเรา ไม่เร่งตามใคร

แต่ที่คิดต่างกันคือ เขาบอกว่า วิ่งได้แล้ว ต่อไปต้องวิ่งเวลาดีกว่านี้

ฉันไม่หือไม่อือ เข้าใจเขานะ แต่ฉันยังไม่นึกเรื่องสถิติ กลัวร่างกายจะพัง สงสารข้อเท้าและเข่า อยากถนอมมากกว่าเพราะเราอายุมากขึ้น ๆ ทุกวัน

ฉันอยากวิ่งเก็บเหรียญที่ระลึกระยะสิบกิโลไปนาน ๆ ขอมีสติวิ่งแบบวันนี้ได้ก็ดีใจแล้ว วิ่งสนุก มีความสุขและไม่เจ็บด้วย
เรายืดเหยียดหลังวิ่งเกือบยี่สิบนาที
แต่ฉันหิวมาก หิวจนตาลาย ไม่มีอะไรกินระหว่างวิ่งเลยนอกจากน้ำ ยังไม่เคยลองกลูเจล กล้วยตาก อินทผลัมหรือเยลลี่ที่เพื่อน ๆ แนะนำไว้ เอาไว้ลองคราวหน้า

วิ่งเสร็จ บอกสีมาว่า ช่วยพาไปกินก๋วยเตี๋ยวน้ำตกหน่อย หิวมาก ๆ
ฉันสั่งพิเศษสองชามโต ๆ และกินหมดด้วย อร่อยเด็ดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวย่าภา


คงวิ่งเพราะเหตุนี้สินะ

















บันทึกการวิ่งยาวที่ห้วยตึงเฒ่า
เช้าวันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2559






















การอยู่อย่างสบายคือ
อย่าปล่อยให้อดีตหรืออนาคต
มาขโมยปัจจุบันของเราไป
::
::
เช้านี้วิเศษมาก เพราะหลังจากวิ่งยาว เราจะนึกสภาพหลังการวิ่งด้วยว่าเราจะเดี้ยงมั้ย จะเดินลงบันไดยังไง

ปรากฎว่า โอเคมาก ไม่ปวดกล้ามเนื้อหน้าขา น่อง ข้อเท้าและเข่า อาจจะดีเพราะเรายืดเหยียดได้ดีและนานพอที่กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย
นึกถึงที่เดินลงจากดอยหลวงเชียงดาวเมื่อเสาร์ที่แล้ว ปวดหน้าขามาก ๆ เพราะเดินจิกเท้าลงทางชันกว่าจะวิ่งได้เหมือนเดิมก็วันพุธ ( จันทร์-เดิน 5กิโล/อังคาร-จ็อกกิ้ง 5 กิโล/พุธ-วิ่ง12.27กิโล/พฤหัส-จ็อกกิ้ง5กิโล/ศุกร์-พักเพราะวันเสาร์จะวิ่งยาว จบที่ 35.15 กิโล 4.38 ชั่วโมง)

เรากินอาหารชดเชยให้มากและฉันกินได้มาก ดื่มน้ำมาก ๆ และรอวิ่งยืดเหยียดเบา ๆ ตอนเย็นหลังเลิกงานอีกที


ขอบคุณร่างกายและหัวใจในวันนี้
กินข้าวกับลูกก่อนกลับบ้าน
รออ่านประสบการณ์ของเพื่อน ๆ ที่จอมบึงมาราธอนในวันนี้




ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
17 มกราคม 2559













Create Date : 17 มกราคม 2559
Last Update : 17 มกราคม 2559 13:08:42 น.
Counter : 756 Pageviews.

2 comment
--- a Year of Running ---









ผมไม่เคยหยุดพักสองวันติดกัน กล้ามเนื้อของคนเราเหมือนวัวควายไถนา ไม่มีความคิดแต่หัวไว ถ้าเราเพิ่มน้ำหนักให้ทีละน้อย สัตว์บรรทุกเรียนรู้ที่จะแบกภาระเพิ่มตราบเท่าที่เราจู้จี้ชี้บอกว่าเราคาดหวังสิ่งใด โดยสาธิตให้เห็นว่านี่คือปริมาณงานทั้งหมดที่ต้องแบกรับ กล้ามเนื้อจะเชื่องเชื่อ ปฏิบัติตามและเพิ่มความแกร่งมากขึ้น ...
มูราคามิ
::
::
การเดินทางกลับบ้านมาทำงานทำให้ต้องงดวิ่ง เมื่อคืนอากาศเย็น( 17 องศา) แต่คิดว่าวิ่งเวลานี้ดีกว่าตอนตีสี่ หนาวจัดฉันวิ่งไม่ออก ร้อนจัดก็วิ่งไม่ไหว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องไปเพราะปีนี้ตั้งใจจะเน้นเก็บไมล์การวิ่งทั้งปี(ไม่ได้เลียนแบบมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กนะ)

สังเกตเห็นชัดว่า หากร่างกายหยุดวิ่งเกินสองวัน เหมือนกล้ามเนื้อต้องเริ่มต้นใหม่และลืมได้เลยว่าเคยวิ่งยี่สิบกิโลมาแล้ว ร่างกายอนุมานโดยอัตโนมัติว่า ไม่มีความจำเป็นต้องวิ่งหนักอีกแล้ว ถึงตรงนี้ ต้องยอมความฉลาดของกล้ามเนื้อที่สั่งงานโดยสมองแม้หัวใจจะฝังใจจำว่าเคยทำได้ก็ตาม

เราวิ่ง 12 กิโลโดยไม่คุยกันสักคำ ฉันไม่โอดโอยกับอากาศเย็นประมาณนี้ เพื่อนฝูงลงเวรกลางคืนขับรถสวนทางระหว่างที่เราวิ่ง ทุกคนถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง 'บ่หนาวกันก๋าเจ้า'

ขณะคูลดาวน์ ฉันบอกโตว่า ช่วยหาเวลาพาไปวิ่งตอนแดดร้อน ๆ หน่อย สักสองชั่วโมงขึ้น ร่างกายไม่สู้แดดเอาเสียเลย




#ภูพเยีย
#ayearofrunning
#whenpoopayiaruns
20160105







Create Date : 07 มกราคม 2559
Last Update : 7 มกราคม 2559 11:47:47 น.
Counter : 622 Pageviews.

1 comment
--- ป้ า ก ะ ลุ ง ที่ บุ่ ง ต า ห ลั่ ว : วิ่ ง เ บิ ก ฤ ก ษ์ วั น ปี ใ ห ม่ ---

















ลุงบอกป้าตั้งแต่เช้าว่า เย็นนี้จะพาไปซ้อมวิ่ง กินอาหารให้อิ่มท้องจะได้ไม่บ่นหิว
เรื่องกินไม่มีปัญหา ป้ากินได้ทั้งวัน

พอถึงเวลาวิ่ง ป้าอิดออดนิดหน่อย ความที่ว่า สี่โมงเย็นน่ะ แดดร้อนมาก ไม่ได้กลัวฝ้าหรือกลัวผิวกระดำกระด่างหรอก แต่แดดทำให้หมดแรง แต่ลุงดูเหมือนไม่ได้ยินอะไร 4 โมงตรง ลุงเปลี่ยนชุดและสตาร์ทรถรอ

พอถึงบุ่ง...จิตใจก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันตาเห็น ลมเย็นแต่แดดร้อน ยังไม่มีใครมาวิ่งกันเลย มันดีตรงไม่ค่อยมีคนแต่มันร้อนเกินไป

ลุงพาวอร์มยืดเส้นยืดสายแล้วก่อนถามว่าพร้อมหรือยัง ป้าพยักหน้า พร้อมก็ได้ ลุงก็กดแอพฯจับเวลาการวิ่ง ป้าก็สงสัย กะอีแค่วิ่ง 10 กิโล ทำไมต้องใช้แอพนะ เรามาวิ่งเล่น ๆ นี่นา

หนึ่งรอบของบุ่งเท่ากับ 3,600 เมตร แต่ละรอบป้าสำรวจร้านขายน้ำ กาแฟและผลไม้แต่ละจุดไว้ ลุงไม่ซื้อให้กินหรอก แต่พอจ็อกกิ้งรอบที่สามลุงหยุดที่ร้านขายผลไม้ มีมะละกอสุก มะพร้าวอ่อนเป็นลูก น้ำมะพร้าวและเครื่องดื่มเกลือแร่หลายชนิ ที่ขาดไม่ได้คือน้ำเปล่า ลุงซื้อน้ำให้กิน

พอสิบกิโลผ่านไป นึกว่าพอแล้ว แต่ลุงว่า สถานที่วิ่งเลิศเลอเพอร์เฟ็คแบบนี้หายาก ไหน ๆ ก็มาวันที่สองแล้ว วิ่งต่ออีกสักหน่อยนะ ป้าพยักหน้าเห็นด้วยแบบไม่เจียมสังขาร
พอวิ่งถึงกิโลที่ 17 -- ป้าเริ่มบ่นกระปอดกระแปด เหงื่อเยอะ อยากล้างหน้า แสบตา หิวน้ำ วิ่งไม่ไหวแล้ว ร้อนโคตร ๆ

อะไร ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย ลุงว่า
ครึ่งทางอะไร
ก็เห็นรำพันว่าจะวิ่งมาราธอนไม่ใช่รึ
ใช่...ก็ตอนนั้นไม่ใช่ตอนนี้หนิ มันร้อนน่ะ วิ่งไม่ไหว เหนื่อย
งั้นก็ตามใจ จะวิ่งคนเดียว
อิป้า ลมออกหู เหนื่อยก็เหนื่อย แถมจะมาทิ้งกันกลางคัน ก็วิ่งต่อสิแต่มีข้อต่อรอง
อยากกินเป๊ปซี่
ใครเค้ากินเป๊ปซี่กัน
ก็อยากกินนี่ เป๊ปซี่มีน้ำตาลเยอะ จะได้มีแรง

อิลุงลากแขนอิป้าข้ามถนนไปเซเว่นฯข้างบุ่ง ซื้อเป๊ปซี่ให้กิน ป้าซดเป๊ปซี่โฮกใหญ่ ตบอกแล้วยิ้มร่าก่อนบอกว่า วิ่งต่อได้ ลุงใจดีจริงที่ตามใจ
จากนั้นก็วิ่งกันอีกสองรอบ อิป้าก็หมดแรงอีก ถามซ้ำ ๆ ว่ากี่กิโลแล้ว
ลุงไม่ตอบ

ลุงกะป้าวิ่งผ่านร้านผลไม้ แม่ค้าส่งเสียงมาบอกลุงว่า ช่วยซื้อผลไม้ให้คุณผู้หญิงกินหน่อยค่ะ

ลุงทำหูทวนลม อิป้าก็วิ่งตามลุง ส่งสายตาละห้อยให้แม่ค้าเสียงหวาน แต่ก็วิ่งไปบอกลุงว่า อยากกินมะละกอ ลุงไม่หันมามองแต่ตอบว่า วิ่งอีกรอบจะซื้อให้กิน และชี้ให้ดูนกกะเต็นอกขาวที่ต้นมะพร้าว

ป้าไม่อยากดูอะไรแล้ว วิ่งตามเฉย ๆ ผ่านไปสองชั่วโมง มีนักวิ่งมาวิ่งเต็มบุ่ง นอกจากนี้นักขี่จักรยานก็ไม่ใช่น้อย ปั่นกันเร็วมากจนคิดว่า ถ้าจักรยานล้มนี่เจ็บน่าดู ใครขี่จักรยานได้นี่ไม่ธรรมดานะ เหนื่อยกว่าวิ่งอีก

กิโลที่ 22 ป้าจุกอก บอกลุงว่า ขอหยุดได้หรือเปล่า จุกน่ะ

ลุงบอกว่า อยากหยุดก็หยุดไปเลย บอกแล้วว่าไม่ให้กินน้ำอัดลม มีแต่แก๊ซ เคยมีใครเค้ากินน้ำอัดลมเวลาวิ่งบ้างหรือเปล่า

ป้าฉุน ... ทำไมต้องมาว่าฉันล่ะ จุกก็จุกแต่แรงบ้าทำให้ป้าวิ่งนำหน้า แต่ก็ไม่กี่ก้าว ลุงวิ่งมาประกบและบอกว่า วิ่งอีกรอบก็พอแล้ว วันหลังค่อยวิ่งใหม่
วิ่งจบเกือบ 26 กิโล ไม่เป็นตะคริว ไม่ปวดขา แต่เรียนรู้ใหม่ว่า อย่ากินน้ำอัดลมแทนน้ำ จุกมาก





วิ่ง 25:58 กิโล 3:24 ชั่วโมง
วิ่ ง ไ ป บ่ น ไ ป
บันทึกการวิ่งเบิกฤกษ์ปี 2559 ที่บุ่งตาหลั่ว
ภูพเยีย
1 มกราคม 2558











Create Date : 05 มกราคม 2559
Last Update : 5 มกราคม 2559 10:05:25 น.
Counter : 819 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com