Group Blog
All Blog
--- พี่ นั ก เ ขี ย น ม า เ ที่ ย ว บ้ า น ---

















1.

เวลาความสุขจากการได้พบกันนั้นผ่านไปเร็ว แต่วันเวลาดี ๆ จะอยู่กับเราชั่วชีวิต

ไม่ได้พูดเกินจริงหากเราพบกับสิ่งดี ๆ และคนดีในชีวิต จะยกให้เป็นเรื่องของบุญเก่าก็ไม่เชิง แต่มันก็ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลไปทุกอย่างหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญ น่าจะเป็นเหตุที่เราทำก่อนหน้านี้ด้วย และสิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้คือ เราชอบอ่านหนังสือและเพราะหนังสือทำให้เรามาพบกัน

ฉันอ่านนวนิยายเรื่อง เวียดนามตามลำพังของคุณขจรฤทธิ์ รักษา เมื่อครั้งตีพิมพ์เป็นรายปักษ์ในนิตยสารกุลสตรี อ่านแล้วชอบ รอซื้อรวมเล่ม อ่านทั้งเล่มยิ่งชอบ เขียนไปเล่าความชอบในหนังสือเล่มนี้ให้พี่เขาฟัง จากนั้นก็เขียนถึงหนังสือเล่มนี้ส่งไปยังคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์กรุงเทพวันอาทิตย์ เขียนถึงเพราะชอบ นวนิยายเรื่องนี้เดินเรื่องเร็วมาก เป็นสไตล์ส่วนตัวของนักเขียน อ่านสนุกจนต้องขอซื้อหนังสือเล่มอื่น ๆ ของนักเขียนมาอ่านทุกเล่ม หนังสือเล่มเดียวไม่สามารถบอกเล่าความคิด ชีวิต ประสบการณ์ของเขาได้มากมายนัก แต่อย่างน้อยก็พอมองเห็นทัศนคติ มุมมองบางอย่าง ความคิดมีผลต่อการดำเนินชีวิตและมันไม่ควรผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงจนเกินไป แต่ถามว่าอยากรู้จักเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดเพราะเท่าที่ได้พูดคุยทักทายผ่านตัวหนังสือก็มากพอแล้วแต่อยากขอบคุณเขาที่เขียนหนังสือดี ๆ ให้อ่าน อ่านแล้วอยากเขียนแบบนี้บ้าง ชอบวิธีการเล่า เขียนให้เห็นภาพชัดเจนโดยไม่มีภาพประกอบ บันทึกเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ ได้ละเอียดลออเหมือนเราอยู่ร่วมเหตุการณ์นั้น ๆ ดูเหมือนไม่ยากแต่ฉันเขียนไม่ได้

ครั้งหนึ่ง ฉันเคยเขียนบันทึกการออกกำลังกายผ่านบล็อกแกงค์และเฟซบุ๊ก พี่จะมาอ่านและเขียนคอมเม้นต์ทิ้งไว้ ให้กำลังใจและแนะนำตลอด จนกระทั่งลองเอามารวมเล่มดู ฝีมือ ชั้นเชิง ลูกเล่นอะไรไม่มี งานของฉันเป็นการเล่าเรื่องเรียบ ๆ ตามความจริง พอหนังสือเป็นรูปเล่ม ฉันก็อยากให้พี่เขาเขียนคำนิยมให้เพราะเป็นหนังสือเล่มแรก มีความหมายและคุณค่าสำหรับการเริ่มต้น พี่ก็ให้เกียรติเขียน ประทับใจมากจนรู้สึกว่า พี่เขียนถึงเราจริง ๆ เหรอ ในสายตาของพี่เขาที่มองเราเป็นแบบนี้เองเหรอ ปลื้มใจมากเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินใครสักคนพูดถึงเราได้แบบนี้ อีกใจหนึ่งก็เขินมาก แต่ก็อยากให้ทุกคนในครอบครัวอ่าน ดูเป็นเกียรติประวัติของชีวิตยังไงไม่รู้

แต่รู้สึกเป็นห่วงสำนักพิมพ์เพิงพเยียว่าจะขายได้หรือเปล่า หน้าใหม่ มือใหม่ ไม่รู้จะขายอะไร ภาษาเขียนไม่ค่อยลงตัวนัก หรือเห็นนักเขียนไทยเก่ง ๆ มากมายเมื่อประเมินตนเองอย่างจริงใจได้ แต่ดีใจที่ได้เริ่มต้นแม้จะต้องเจอคำวิจารณ์ก็ต้องฟัง เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอ หนังสือของฉันคือความเรียบง่ายในการใช้ชีวิตเท่านั้น ฉันเขียนในสิ่งที่คิดและเป็น

ฉันตามอ่านหน้าเฟซบุ๊กของพี่เขาทุกวัน มีช่วงหนึ่งเขาหายไปสองเดือน เพราะเขาเสียเวลากับหน้าเฟซบุ๊กมากเกินไป เขาอยากใช้เวลากับการอ่านให้มากขึ้นเหมือนเดิม หนังสือสักเล่ม จิบกาแฟในร้านกาแฟ มีความสุขกับชีวิต ฉันได้แต่หวังว่าพี่เขาจะกลับมา

ในวันที่เขากลับมาที่เฟซบุ๊ก ฉันแอบดีใจ เพราะเขามาพร้อมกับแนะนำหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ คัดลอกบทความดี ๆ มาฝากเพื่อนเฟซบุ๊ก มุมมองต่อโลกเป็นพลังบวกทั้งสิ้น ถ้อยคำกระชับสั้น ๆ ก็ชวนตรึกตรองและนำไปใช้ พอเป็นเรื่องเล่า เราก็ติดตามอีกเพราะเขียนอะไรยาว ๆ ก็ชักชวนให้เราอยากอ่าน แทบจะไม่คุยกัน คลิกไลค์ไม่คลิกไลค์ก็ไม่สำคัญ แต่ฉันตามอ่านเป็นปกติ

เหตุการณ์ก็ปกติแบบนี้มาเรื่อย ๆ รู้สึกสนิท เป็นพี่เป็นเพื่อน แต่ไม่คุยเจ๊าะแจ๊ะ ไม่วุ่นวายกัน ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เจอกันและได้คุยกัน ฉันพูดราวกับหนุ่มสาวจีบกันจนมาลงเอยได้แต่งงานกันอย่างนั้นเลยนะ แต่เปล่าเลย มิตรภาพสูงส่งกว่านั้น ความเป็นเพื่อนนี่ก็แปลก มันสนิทใจกันตอนไหนนึกไม่ออก สบายใจเมื่อได้คุยกัน เป็นความรู้สึกที่ส่งกลับไปกลับมาได้ รับรู้ได้โดยไม่ต้องรำพันกันเยอะ (แต่วันนี้ฉันพล่ามเยอะ)

วันหนึ่ง ที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พี่เชิญเราไปงานหนังสือ อยากเลี้ยงข้าว ฉันอยากไปนะ อยากไปทุกปี แต่ก็ต้องดูว่า คนที่บ้านว่างหรือเปล่าในช่วงเวลานั้น ๆ ได้ไปบ้าง ไม่ได้ไปบ้าง ไม่คิดมาก แต่ปีนี้ อยากไป อยากไปกราบสวัสดีพี่เขาสักครั้ง

เจอพี่ครั้งแรกน่ะเหรอ ไม่ตื่นเต้นมาก แต่ประหม่า และพี่นัดคุณคามิน คมนีย์ นักเขียนในดวงใจของเรามาด้วยนี่สิ โคตรตื่นเต้นเลย อยากกระโดดโลดเต้นไปตามเส้นลวด ดีใจมาก ๆ นึกไม่ถึง ราวกับพี่ขจรฤทธิ์อ่านใจเราออกว่า เราอยากเจอคุณคามิน นักเขียนนักวิ่งแต่ไม่กล้าบอก คุณคามินเขาดังมากและเป็นขวัญใจของใครต่อใครใช่เพียงเรา

พี่ขจรฤทธิ์และภรรยาพาเราไปรับประทานบุฟเฟ่ต์ ฉันขัดเขินอย่างไรไม่ทราบเพราะสามีไม่ได้ไปด้วย อุ่นใจที่มีพี่โดมพามาให้รู้จักกับนักเขียนหลายท่านในวันนั้น ได้กราบสวัสดีคุณชมัยพร แสงกระจ่าง /คุณนรีภพ สวัสดิรักษ์ บก.สกุลไทยที่ท่านจำฉันได้จากการอ่านรีวิวที่เขียนถึงคุณเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม ประทับใจมาก ๆ ฉันเองรู้สึกเสียดายที่ไม่มีหนังสือตัวเองในมือเลย อยากมอบให้ท่านไว้อ่านเล่นสักเล่ม แค่เปิดดูแมวที่ฉันวาดก็ยินดีมากนัก ยังได้สวัสดีนักเขียนท่านอื่น ๆ อีกหลายท่าน จากนั้น เรามานั่งคุยเล่นตอนรับประทานอาหารกัน ฉันฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้สบาย ๆ และพี่ขจรฤทธิ์อยากจัดงานเปิดตัวหนังสือให้ที่ร้านหนังสือเดินทาง คุณคามินจะเป็นพิธีกรให้ ฉันลังเล รับปากไป แล้วสุดท้าย ความประหม่าก็ทำให้ไม่มีงานนี้เกิดขึ้น ฉันไม่พร้อม เชื่อว่าทุกคนเข้าใจ ฉันเสียใจแต่ว่า ฉันไม่สามารถเป็นผู้รับที่ดี ทำให้การให้ด้วยความปรารถนาดีของพี่ขจรฤทธิ์ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ (เศร้าแพร๊พ ย้อนคิดใต้จิตสำนึก)

เราต่างดำเนินชีวิตกันไป ฉันมีกิจกรรมมากมายในชีวิตเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งคือการวิ่ง ฉันเมามันกับการวิ่ง ซ้อมวิ่ง อ่านและเขียนบันทึกเรื่องวิ่งที่ตะลอน ๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดเพื่อวิ่ง กิน เที่ยวให้ฉ่ำปอด และเขียนเล่าอย่างเมามันทุกครั้ง พอลงมือเขียน ก็กลับมาหาบล็อกเพราะใจสงบ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนอ่านงานฉันเท่าไหร่ สาเหตุหนึ่งเพราะฉันไม่ค่อยได้ตอบใคร ( ฉันไม่เคยกังวลกับการไม่มีใครตามอ่านสิ่งที่ฉันเขียน ฉันกลัวแต่ว่า หากเขาตามอ่านฉันจริง ๆ แล้วฉันไม่มีอะไรดีพอที่เขาจะอ่าน ) บางที ฉันไม่รู้จักปราศัยกับใครนักแต่ชัดเจนในเรื่องมิตรภาพและความจริงใจ รุ้ตัวว่านิ่งเกินไป เส้นประสาทการปฏิสัมพันธ์ฉันเสีย มนุษยสัมพันธ์ฉันมีแต่ไม่ดีนัก ฉันยอมรับผลลัพธ์จากการกระทำที่เป็นรูปธรรมนี้ได้ ที่เห็นชัดสุดคือ เพื่อนน้อยลง ไม่มีใครมาสนใจเรื่องราวของฉัน แต่นั่นไม่ทำให้ฉันเลิกเขียนหรือเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ฉันยังอ่านหนังสือ เขียนหนังสือตามปกติแต่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนลดลงอย่างน่าใจหาย เป็นคุณธรรมที่ถูกต้องแล้ว เราเฉยครั้งที่หนึ่ง สอง สาม ใครจะให้โอกาสเธอล่ะ

ฉันแคร์ทุกความรู้สึกนะ แต่ฉันไม่สามารถดูแลความรู้สึกของใครได้ นอกจากดูแลจิตใจตัวเองให้ดี มันมีผลต่อการสื่อสารทุกรูปแบบที่เป็นสาธารณะ









2.

ชีวิตฉันก็ดี๊ดีไนแต่ละวัน ใส่ใจคนใกล้ตัวมากขึ้น ยินดีและมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ สนใจกับคนที่ฉันรักและรักฉัน เป็นความผูกพันที่เป็นไปตามธรรมชาติ อบอุ่นมากพอที่จะไม่รู้สึกเคว้งคว้างเมื่อเดินมายังโลกของเฟซบุ๊ก ที่นี่มีอะไรดี ๆ มากเท่าที่เราอยากรู้ บวกมากกว่าลบ สงบมากกว่าฟุ้งซ่าน อ่านมากกว่าเขียน ถ้าอยากเขียนก็กลับมาบล็อกแกงค์ เป็นแบบนี้ทุกวัน


แล้ววันหนึ่ง พี่ขจรฤทธิ์อยากมาเยี่ยมเยียนเพราะไม่เคยมาไชยปราการเลย บอกแต่ว่า อยากเห็นบรรยากาศที่ฉันเขียนในหนังสือ แต่ถามความสะดวกเราก่อน ฉันสะดวกเพราะอยู่ร้านตลอด แต่ช่วงหลัง ๆ จะต้องขอให้เพื่อนนัดเนื่องจากว่า วันเสาร์อาทิตย์มีธุระ เพื่อน ๆ จะเข้าใจ สะดวกเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อย่าทำเซอร์ไพร้ส์เพราะจะเซอร์ไพร้ส์กว่าเพราะเราอาจมีธุระด่วนวันนั้น (ไม่ชอบธุระด่วนนะ เพราะเรื่องด่วนส่วนใหญ่ไม่ค่อยดี) อยากมีเวลาได้ต้อนรับบ้าง ก็เท่านั้น

เมื่อทราบว่าพี่จะมาก็ดีใจ บอกคนที่บ้านช่วยลาหยุดด้วย จะได้พาพี่ไปตระเวนอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ อยากมีเวลาพูดคุยกันด้วย แต่ก็ต้องแล้วแต่ความสะดวกของพี่เขา การเดินทางต้องการความสบายใจ อยากแวะไหนแวะนั่น เก็บเกี่ยวความสุขไปเรื่อย ๆ เราก็ตั้งตารอ ถามว่าฉันตื่นเต้นไหมทั้งที่เคยเจอกันมาก่อนแล้ว ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะนึกไม่ออกว่าจะพาพี่ไปไหน คุยอะไร กินอะไร ดูอะไรดี แต่พอมีสามีอยู่ด้วยก็เบาใจ

พี่มาถึงบ่ายสามกว่า ๆ หน้าตาสดใส พี่จิ๋ว(ภรรยาของพีขจรฤทธิ์)สดใส ร่างเล็ก ๆ ดูบอบบางแต่แข็งแรง เรานั่งคุยกันที่ร้านและชวนพี่ไปที่บ้าน เอารถไปไว้ก่อนเพื่อจะไปรถคันเดียวกัน

พาพี่ไปฟิตเนสอันดับแรก วันนี้เด็ก ๆ เยอะ พี่จิ๋วว่า เล็กกว่าที่วาดภาพในใจไว้ ส่วนพี่ขจรฤทธิ์ก็บอกว่า เข้าใจแล้วที่ว่า ผงะกับกลิ่นเหงื่อเป็นยังไง เจอป้า เพื่อนรุ่นพี่ซึ่งเป็นตัวละครในหนังสือเราด้วย เธอเลยเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่าช่วงนี้มีใครบ้าง ชายจริง หญิงแท้ ป้าแก่ ๆ กี่คน มากันช่วงไหน แต่ฉันดีใจที่มีคนมาฟิตเนสมากกว่าแต่ก่อนแม้จะมีเปิดฟิตเนสอีกสองแห่ง

เราวนไปทางเส้น รพช. แวะซื้อพุทรานมที่บ้านเฮีย เลยได้ชิมแยมสตรอเบอรี่อีกหน่อย

และพาพี่ไปไหว้พระที่วัดป่าไม้แดงเหมือนตอนพ่อมาเที่ยวหา พาพี่เดินชมรอบ ๆ เจอคนดูแลวัดเชิญชวนมานอนที่นี่ได้ เปิดห้องหับให้พี่ดูเผื่ออยากมาโอกาสหน้า พี่ขจรฤทธิ์ก็น่ารักมาก พูดคุยและไม่ให้ผู้ชวนเก้อ รับน้ำใจของเขาแต่จะอยากมาหรือไม่นั้นค่อยว่ากันตามสะดวกกายและความสบายใจ อย่างหลังนี่ล่ะคือใจความสำคัญในการตัดสินใจ

เราออกจากวัด คุยกันสัพเพเหระก่อนไปร้านเจ๊เหมย กินสุกี้ยูนนาน ตามรอยหนังสือที่ฉันเขียนนั่นเลย อยากให้พี่ ๆ ได้ชิมสุกี้ที่ว่านี้ จะสั่งหม้อเล็กก็กลัวจะไม่เห็นบรรยากาศจริง เอาหม้อกลางแม้ดูหวาดหวั่นตอนเห็นหม้อเพราะใหญ่มาก แต่ก็บอกพี่ว่า ไม่เป็นไร ห่อกลับได้ กินได้เท่าไหนเท่านั้น การพูดคุยราบรื่น บาย ๆ โชคดีที่วันนี้ไม่ค่อยมีแขกมากินสุกี้เหมือนวันหยุด

เราคุยกันเรื่องหนังสือมากที่สุด เรื่องนั้น เล่มนี้ นักเขียนที่เราปลื้ม คุยเพลิน ได้เวลาตามสมควร พี่จะได้พัก อยากไปส่งพี่ม่อนแสนดาว ไม่แน่ใจว่าพี่จะชอบหรือเปล่า ค่อยว่ากันทีละวัน เพราะมาถึงที่นี่ก็อยากให้ได้พักชมวิวในอำเภอ

ฉันกับสามีค่อยหายเกร็งลงบ้าง พี่ขจรฤทธิ์คุยเก่งมาก ร่าเริง เชื่อว่าใครอยู่ใกล้จะรู้สึกสบายใจ หน้าตารับแขกตลอดเวลา พลอยยินดีชื่นชมคนรอบข้างด้วยน้ำเสียงจริงใจ มีแต่เรื่องพาใจเบิกบาน คุยเรื่องการบ้านการเมืองก็คุยได้ คุยเรื่องความโลภของคนก็มีอะไรให้คิด ชีวิตนี้เราอยู่เพื่ออะไร ชอบใจในเรื่องที่พี่เล่าถึงนักเขียนใหญ่ท่านหนึ่งที่ปลูกป่าเป็นสิบปี คนหนึ่งคนทำอะไรได้มากกว่าที่คิด และคนหนึ่งคนก็คิดเอาเปรียบธรรมชาติและทำลายโลกได้เช่นกัน




3.

เช้าวันรุ่งขึ้น พี่จิ๋วส่งข่าวมาว่า นอนหลับสบาย ขอนอนต่ออีกคืน วันนี้พี่ ๆ เขาจะเที่ยวดอยอ่างขางกันเอง

คนอ่านข้อความดีใจ พี่หลับสบาย เสียดายที่เราไม่ได้พาเที่ยวเพราะสามีหยุดงานไม่ได้จริง ๆ แต่ตอนเย็นนัดทานข้าวด้วยกันเพราะวันศุกร์คงไม่ได้เจอสามีของฉัน เขาไปประชุมจังหวัด

ฉันเตรียมหนังสือของพี่ขจรฤทธิ์มาหน้าบ้านเพื่อขอลายเซ็น ดีใจมาก ๆ อยากกรี๊ดเพราะพี่เต็มใจนั่งเซ็นให้ ค่อย ๆ เขียน ลายมือพี่สวยมาก ดีใจเพราะเซ็นในวันที่เรารู้จักกันแล้ว ลายเซ็นดูอบอุ่นขึ้น ฉันไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ มันมีค่าในการเก็บรักษาอย่างยิ่ง (ตะโกนบอกปลวกดัง ๆ ว่า ได้โปรด กรุณา อย่ามารบกวนหนังสือมีลายเซ็นนักเขียนของฉัน )

เราถามพี่ว่าอยากทานอะไรดี อาหารเมืองและอาหารไทย พี่ว่าอาหารเมืองก็ได้แต่พี่กินหมูไม่ค่อยได้ กินได้แต่ไม่ค่อยย่อย งั้นเราไปร้านอาหารไทยดีกว่านะ

ไม่ว่าพาพี่ไปที่ไหนก็ดูพี่ชื่นชอบรื่นรมย์ไปเสียทุกที่ เชื่อว่าสิ่งที่เขาเป็นเป็นเรื่องดีมาก ไม่ทำให้คนพาไปเสียน้ำใจ ซื้ออะไรมาให้กิน พี่ก็ลองกิน เอร็ดอร่อยไปอีก คนซื้อก็ปลื้มใจ ไม่ว่าข้าวปุก ของกินพื้น ๆ ของชาวดอย หรือข้าวกั๊นจิ๊น ของกินเล่น พี่ก็กินอย่างมีความสุขปานอาหารชาววัง อาหารดี ร้านดีพี่นั่งมาหมดแล้ว แต่ร้านที่เราพาไปก็เป็นร้านที่อาหารดีที่สุดแถวบ้านเรา

เราคุยกันเรื่องหนังสือ เรื่องนักเขียน ฉันประทับใจสุดคือเรื่องครอบครัวของพี่เขา พี่จิ๋วพูดน้อยมาก เป็นผู้ฟังที่ดีและเป็นคนนิ่ง ๆ สบาย ๆ หากไม่ชอบไม่สนุกหรือรับไม่ไหวก็บอกตรง ๆ น่ารักน่านับถือในน้ำใจ ใจคอกว้างขวาง พูดถึงน้อง ๆ ที่เดินป่าด้วยกันจนเราอยากรู้จักผู้คนเหล่านั้นให้มากขึ้น ฉันชอบน้องคนไหนที่เที่ยวป่ากับสำนักพิมพ์บ้านหนังสือ ฉันก็ถามถึงเขา รับรู้ถึงตัวตนน่ารัก ๆ ของแต่ละคนได้น่าประทับใจจนคิดว่าจะหาเวลาไปเดินป่ากับสำนักพิมพ์บ้าง เป็นครอบครัวใหญ่ที่เราอยากอยู่ร่วมชายคาอบอุ่นนี้ด้วย

พี่ขจรฤทธิ์คุยสนุกมาก ๆ เชื่อว่าใครที่อยู่ใกล้ชิดก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน รู้รอบแต่ไม่พูด ไม่บ่นว่าใครให้เสียหาย ไม่ขัดคอใคร ไม่หักหน้าใคร อำบ้าง ขำมากกว่า บางทีก็แยกอะไรไม่ออกนักว่าไหนจริงไหนพูดเล่น(แต่พี่จิ๋วทราบเพราะใกล้ชิด) เมตตาและให้กำลังใจคนเสมอ ชื่นชมคนอยู่เป็นนิจ เป็นคนมีชีวิตชีวา นอกจากเป็นนักเขียน พี่ยังเป็นนักอ่านและแนะนำหนังสือน่าอ่านให้ได้อ่านอยู่เสมอ บางเรื่องที่เราอ่านเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน ก็คุยออกรสออกชาติขึ้น บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า คุยกับนักเขียนใหญ่ต้องคุยอย่างไร แต่พอคิดว่าเป็นพี่ เป็นเพื่อนกัน (สามหาวไปหรือเปล่าเนี่ย) ก็สบายใจ ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ คงเหมือนเพื่อนรักของฉันทั้งหลายที่ไม่ค่อยคุยกันนัก มาเมื่อไหร่ก็สนิทกัน ไม่ต้องเท้าความ มันสนิทอยู่ข้างใน

ฉันเรียนไม่เก่ง เล่นกีฬาได้ บ้ากิจกรรมสารพัด ทุกอย่างทำได้แต่ไม่เลิศเลอ แต่ที่โชคดีเสมอคือได้เจอเพื่อนดี พบเจอผู้ใหญ่ใจดีมีเมตตาและให้โอกาสสารพัด

แม้กับพี่ขจรฤทธิ์ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นึกไม่ถึงว่าเราจะคุ้นเคยกันผ่านตัวหนังสือได้ ไม่คิดฝันว่าจะได้รับความปรารถนาดีโดยเฉพาะเรื่องการเขียน พี่แนะนำเรื่องการเขียนตลอด มีมากมายหลายเรื่องที่เราซาบซึ้งใจบอกไม่หมด เป็นเกียรติกับครอบครัวและชีวิตของฉัน













แสงจากดวงอาทิตย์
ชุบชีวายามเช้า
เจิดจ้ายามสาย
นุ่มนวลยามฟ้าลาวัน

แสงแห่งพระจันทร์
สว่าง เย็น
เป็นกำลังใจ

แสงก็แค่แสง
แต่แสงที่สว่างส่องใจให้ใครบางคน
เป็นมากกว่านั้น




บันทึกวันแสนดีในชีวิต
ขอบคุณมากค่ะ
ภูพเยีย
มีนาคม 2559

















Create Date : 07 มีนาคม 2559
Last Update : 17 มีนาคม 2559 11:08:50 น.
Counter : 902 Pageviews.

0 comments

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com