SmileySmiley :: How Do I Enjoy Life while "Living with Cancer" ::
Group Blog
 
All blogs
 
ไปเที่ยวเมืองงอย...

กลางเดือนสิงหาคม 2549 อ้ายกลางชวนพวกเราไปเมืองงอย เค้าเป็นอ้ายฮักของเรา อ้ายกลางโปรโมตชักชวนไปเที่ยวคราวนี้ว่า ธรรมชาติสวยมาก ทางไปต้องนั่งรถ 140 กิโลเมตร แล้วไปลงเรือช้า นั่งไปอีก 40 นาที หรือเรือเร็ว ก็ 20 นาทีก็ถึง เป็นที่ท่องเที่ยวที่หลายคนยังไม่รู้จัก คนเมืองหลวงพระบางเยอะเลยที่ไม่เคยไป เพราะการเดินทางไปต้องขึ้นรถลงเรือนี่ล่ะ

ที่เมืองงอยมีแม่น้ำเป็นแหล่งกุ้งธรรมชาติ เรียก “กุ้งเมืองงอย” เคยได้กินเมื่อตอนที่แม่ค้ารับมาขายที่ตลาด ซื้อมาทอดแล้วกินทั้งตัวได้ ไม่มีเหลือหลักฐานให้หาหัวกุ้งหางกุ้งในจาน... เรื่องกุ้ง นี่ล่ะ ที่ทำให้พวกเราตอบรับว่าจะไปเที่ยวด้วย เราเองแม้ต้องจำกัดโปรตีนและไขมัน แต่ถ้าเป็นกุ้งเมืองงอยล่ะก็ต้องขอกินด้วยนิดนึง...

กำหนดออกเดินทางเป็นวันเสาร์อาทิตย์ที่ 26 – 27 สิงหาคม ที่เป็นช่วงปลายๆ ฤดูกุ้งเมืองงอย ปกติจะมีสองเดือนคือกลางกรกฎาคม ถึงกลางกันยายน ทริป 2 วัน 1 คืน

ออกเดินทางจากหลวงพระบางตอนสาย ประมาณ 10 โมง ขนข้าวของขึ้นรถ แล้วไปแวะซื้อบาเก็ตปาเต สไตล์เวียตนาม เป็นแซนด์วิชที่ใช้ขนมปังฝรั่งเศส เอาติดรถไปด้วย 5 อัน ตามจำนวนคนโดยสาร ก็มี อ้ายกลาง ทำหน้าที่คนขับรถและไกด์กิติมศักดิ์ หมอนหรือนางเพ็ดสะหมอน เป็นหลานสาวคนสวยของอ้ายกลาง นางรัศมี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ต้อนรับของโรงแรมเมซองสุวรรณภูมิ คุณโธมัสและเราเอง

พอออกรถได้ ก็ได้กลิ่นหอมๆ ของบาเก็ต เพราะอ้ายกลางเอาออกมาจัดการ “หม่ำไปขับไป” จากหลวงพระบางออกเดินทางไปทางบ้านผาโคม ตรงที่มีท่ารถสายเหนือ แล้วผ่านบริเวณสถานที่ก่อสร้างมหาวิทยาลัยสุพานุวงค์

จากนั้นก็เห็นไหสีทองขนาดใหญ่หน่อย ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าของสวนที่มีบึงน้ำใหญ่ ที่นี่เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจตกปลา ขี่เรือถีบ รับประทานอาหารของชาวหลวงพระบาง ส่วนใหญ่พ่อแม่จะพาลูกหลานไปเที่ยวเล่นในวันหยุดที่ “สวนไหคำ” แห่งนี้ จอดรถเห็นป้ายกระดาษที่ทางเข้าเขียนอย่างง่ายๆ ว่า “ปิดชั่วคราว”อ้ายกลางจอดรถแล้วลงไปเปิดรั้ว กลับขึ้นรถมา พูดว่า “ตอนนี้ เปิดชั่วคราว!!” แล้วขับเข้าไป พวกเรานั่งรถเข้าไปเห็นเรือนไม้หลายหลัง บึง สองสามบึง เรือถีบเป็นรูปหงส์เก่าๆ พอเดินไปที่เรือนอาหาร อ้ายกลางว่า “เค้ารื้อชานไม้ที่กะว่าจะมานั่งกินบาเก็ต รื้อออกไปหมดแล้ว งั้นเราต้องไปกันต่อ” หิวแล้วๆ

เส้นทางที่ไปผ่าน เป็นบ้านปากอู เป็นทางแยกไปบ้านซ่างไห่ ที่ต้องขับไปอีก 6 กิโลเมตร แต่พวกเราเคยไปเที่ยวแล้วก็เลยไม่แวะ พวกเราไปที่บ้านแสนสนุก ไปบ้านญาติของหมอน เพื่อแวะกินบาเก็ตและดื่มน้ำ พร้อมกับรับ “นาง"”ซึ่งเป็นพี่สาวของหมอน

เดินทางต่อตอนเที่ยงพอดี ผ่านแถวบ้านห้วยเหือง บ้านห้วยแปง ช่วงนี้จะมีนาเขียวขจีมีกระท่อมพักในนา วิวสวย บ้านตามหมู่บ้านมีทั้งบ้านไม้ และบ้านไม้ไผ่สาน พอถึงสามแยกไปซ้ายเป็นทางไปอุดมไซย ทางขวาไปปากมอง แวะลงเข้าห้องน้ำ เลยอุดหนุนซื้อส้มเกลี้ยง เด็กเล็กๆ ขาย บอกราคาพร้อมกัน สามคน “กิโลละสามพัน สองโลห้าพัน” สงสัยพ่อแม่คงสั่งให้ท่องกันแบบนั้นจะได้ขายไม่ผิดราคา...

แล้วพวกเราก็เลี้ยวขวาไปทางบ้านปากมอง บ้านแถวนี้สวยขึ้นอีก ในแบบที่เราชอบ คือเป็นบ้านยกพื้น ใต้ถุนเป็นที่เก็บยุ้งข้าว หรือไม่ก็มียุ้งข้าวแยกอีกหลังอยู่ข้างบ้าน แล้วใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่ทำงานอเนกประสงค์ บ้านทำด้วยไม้แป้นและไม้ไผ่ โดยเฉพาะแบบไม้ไผ่ตีฟากแบบพื้นถิ่นสวยๆ ชอบหน้าต่างที่เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีบานเปิดบานเดียวนั่นมากๆ ที่สังเกตอีกอย่างที่ไม่ค่อยเห็นในไทย เป็นหลังคามุงไม้ไผ่ เป็นธรรมชาติ แต่ดูเป็นระเบียบ สวยดี

ข้างหน้าเป็นบ้านน้ำบาก แยกเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 300 เมตร จะเป็นทางลงท่าเรือ ส่ง”นาง” ให้ข้ามฟากไปบ้านเพื่อเยี่ยมพ่อแม่อยู่ที่บ้านโค้ง อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำบาก ที่เรียกบ้านโค้ง ก็เพราะมีถนนโค้งยาว.. ส่วน”หมอน”ไปเที่ยวเมืองงอยกับพวกเรา เพราะเธอวางแผนจะกลับมาแล้วอยู่บ้านกับพ่อแม่อีกสักสี่ห้าวันก่อนวันเปิดเรียนเทอมใหม่...

ขับรถต่อไปที่สาธารณะสุขเมืองน้ำบาก ส่ง “นางรัศมี” ให้ลง เธอมาเยี่ยมเพื่อนพยาบาลที่ทำงานและมีห้องพักอยู่ที่นี่ อ้ายกลางขับรถลงที่แฉะๆ รถเลยติดหล่ม “เข็นกันหมดแรง”

เดินทางต่อไปอีกสักพักก็ถึงบ้านเมืองงอยใหม่ ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นภูเขาสูงชันมากๆ บางแห่งเป็นหน้าผาหินปูนชันในลักษณะที่ต้องย่อตัวลงมองยอดเขาผ่านทางหน้าต่าง เพราะภูเขาก็อยู่ใกล้กับถนนด้วย ตอนนี้ เอากล้องวิดีโอออกมาถ่าย ภูเขาสูงมากจนล้นเฟรม ต้องแพนกล้อง ป่าไม้แถบนี้อุดมสมบูรณ์มากๆ มองไปมีแต่ยอดไม้แบบหัวบล็อกเคอรี่ทั้งนั้น

ขับไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ เป็นสะพานขนาดใหญ่มาก ได้เงินสนับสนุนจากประเทศจีน เพื่อสร้างไว้สัญจรไปมา พวกเราข้ามสะพานไปอีกสัก 1 กิโลเมตร เห็นภูเขาชัน รอบๆ เป็นทุ่งนา บนผานี้ มีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านบน เป็นจุดที่เคยใช้หลบภัยระหว่างสงคราม

ย้อนกลับมาที่สะพานอีกครั้ง แล้วเลียบลงไปตรงท่าเรือ จะไปเมืองงอยเก่า เข้าห้องน้ำที่เค้าล็อกกุญแจไว้ ต้องให้มาเปิดกุญแจด้วยการจ่ายสตางค์คนละ สองพันกีบ (แพงนิ) คุณโธมัสต่อรอง สองคนสองพัน ได้ด้วยแหละ อ้ายกลางติดต่อฝากรถไว้กับร้านค้าที่เป็นบ้านพักอาศัยอยู่ตรงท่าเรือ

แล้วติดต่อเช่าเรือเร็วเหมาลำไปเมืองงอยเก่า ลงเรือพร้อมสัมภาระ พวกเราไม่ได้ใส่หมวกกันน็อค เรือแล่นเร็วมากๆ ทำให้เห็นสายน้ำที่เชี่ยวกรากอยู่ตรงหน้า บางแห่งมองเห็นเป็นน้ำวน แต่เรือก็แล่นเร็วผ่านผิวน้ำแถบนั้นไป บางคราวก็แล่นฉิว บางคราวกระแทกกะทั้น ทำให้หวาดเสียวได้เหมือนกัน

โชคดีที่อากาศดีมากๆ แดดอ่อนๆ ฝนไม่ตก เลยไม่ต้องกางร่ม ชวนกันดูภูเขาที่พวกเราแทบต้องเอนตัวลงนอนเพื่อมองให้เห็นยอดเขา ป่าไม้สมบูรณ์มาก มีกล้วยไม้ บอน สะไบนางเยอะแยะให้ดู

นั่งเรือยังไม่ทันเบื่อ ก็เห็นท่าน้ำอยู่ทางขวามือ มีกระท่อมหลายหลังตรงแถบนั้น มีป้ายเขียนไว้ว่าเป็นเกสต์เฮาส์ ทางขึ้นเรือตรงท่าน้ำเป็นบันไดปูนอย่างดี จากโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวลุ่มแม่น้ำโขง ตอนพวกเราขึ้นจากเรือมีผู้หญิงวัยกลางคนกับวัยสาว กำลังนุ่งผ้าซิ่นอาบน้ำอยู่ เลยต้องขยับตัวไปให้พวกเราขึ้นจากเรือซะก่อน...

แบกของขึ้นทางซ้ายมือของท่าเรือ มีร้านอาหารและเกสต์เฮาส์ ชื่อ “รัตนวงศา” ขอดูห้องพัก เป็นห้องมุ้งลวด มีห้องน้ำในตัว ไม่มีพัดลม เตียงขนาดกลาง สองเตียง เรือนสร้างด้วยไม้และไม้ไผ่ แต่ห้องน้ำทำด้วยกระเบื้องอย่างดีเชียว

ห้องนอนที่นี่คิดห้องละ 5 ดอลล่าร์ จะนอน 4 คนก็ได้ แต่พวกเราแยกสองห้องชายหญิง เก็บของเสร็จไปเดินเล่นที่หมู่บ้าน เป็นถนนกว้างสัก 4 เมตร มีร่องระบายน้ำเทปูนซีเมนต์ สองข้างทางมีร้านรวงและบ้านชาวบ้านอยู่เรียงราย ต้นไม้หลากหลายชนิดมีให้เห็นตั้งแต่ต้นหมู่บ้านไปท้ายหมู่บ้านที่ติดอยู่กับภูเขาสูง

เดินไปดูเกสต์เฮาส์ของ “ติ้ง” ชายหนุ่มร่างสันทัด อยู่ริมน้ำ เป็นกระท่อมไม้ไผ่มีที่นอนหมอนมุ้ง เปลญวน ห้องน้ำรวม คิด 1 ดอลล่าร์ เมื่อถามว่าผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนกี่วันซักที?? คำตอบที่ได้คือ “ถ้าไม่เปื้อนก็ไม่ต้องซัก” อืม..เป็นไปตามที่คาด ราคาแบบนี้เนอะ เวลาไปเที่ยวที่ไหนๆ ลุยๆ หน่อย ถึงต้องเอาถุงนอนไปด้วย ไม่ก็มีผ้าปูที่นอน และผ้าห่มบางๆ ติดตัวไปด้วยเสมอ อย่างน้อยเวลาคลุกขี้ไคลหรือคราบน้ำลาย มันก็ยังเป็นของเราเอง!!

พวกเราเดินย้อนกลับมาตามถนนของหมู่บ้าน เด็กๆ วิ่งเล่นกันยามเย็น เด็กบางคนเอาจักรยานมาขี่ พอถึงเกสต์เฮาส์ ก็สั่งลาบไก่ กับข้าวเหนียวมา เรากินเห็ดหอมแดดเดียวที่เอามาเองกับข้าวเหนียว สักครู่หนึ่ง “ติ้ง” ก็มาตามให้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารของเขา เพราะเค้าเตรียมต้อนรับอ้ายกลางและพวกเรา ก็เลยสั่งให้คนไปซื้อกุ้งเมืองงอยหนึ่งกิโล เอาไปให้แม่ครัวของติ้งทำกุ้งคั่วเกลือกินกัน

มีลุงคงตุ้ย ตัวอ้วนตุ้ย อารมณ์ดีมานั่งคุยและกินข้าวด้วย เค้าสนิทกับอ้ายกลาง สักพักนึงลุงก็ไปเอาเหล้าดองยาสมุนไพรมาให้ชิม ลองดมดู โอ้โห..กลิ่นเหมือนแอลกอฮอล์ล้วนๆ ลุงโชว์ด้วยการเอานิ้วจุ่มแล้วจุดไฟ ไฟลุก แล้วแกก็เอานิ้วใส่ปาก.. ลุงเล่าให้ฟังว่า เมื่อสองสามปีก่อนแกเมียแกตายไป ตอนนี้ กำลังจีบสาวอายุ 25 ปี ลุงแกมีลูกจากเมียเดิม 9 คน นี่ก็อายุ 60 ปีพอดี จะมีเมียสาวกว่าจะไม่แต่ง จะพามาบ้านแล้วเลี้ยงฉลองทีเดียวตอนขึ้นปีใหม่ลาว แกบอกว่าที่ยังสดชื่นฟิตปั๋งก็เพราะเจ้าเหล้าดองยาของแกนี่ล่ะ แถมยังเชียร์ให้คนอื่นๆ ทดลองอีกด้วย

ดวงไฟจากพลังน้ำดับไปแล้ว เหลือแต่บางบ้านที่สตาร์ทเครื่องปั่นไฟ แต่ที่ร้านของติ้ง ช่วงนี้ เลือกที่จะจุดเทียนคุยกันต่อ ฝนเริ่มตก แล้วก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก พวกเราเลยขอตัวลากลับ มานั่งคุยกันต่อกับเจ้าของเกสต์เฮาส์ จุดเทียนเล่มหนึ่ง สักสี่ทุ่มเผอิญเทียนดับลง บริเวณนั้นมืดสนิทเลย ไม่เห็นเดือนเห็นดาว ก็มันมีเมฆฝนบังอยู่ สักครู่หนึ่งเราถึงชินกับความมืด ....

ตอนเช้าตื่นแล้วนั่งเรือไปทางเหนือทวนกระแสน้ำขึ้นไป เมฆลอยต่ำ บังภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ ไปบางส่วน เรือพาเราเลียบภูเขาเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ ต้นบอนเยอะแยะ ต้นไม้ป่านานาพรรณ ผ่านจุดที่ชาวบ้านดักกุ้งตรงปากถ้ำเล็กๆ ที่มีน้ำใสไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำอู



คุณติ้งบอกว่า กุ้งมันจะขึ้นจากแม่น้ำไปหาน้ำที่ใสเย็นกว่า มันถึงไปติดอยู่ในไซที่ชาวบ้านเอามาดักไว้ ปีนึงๆ ได้กุ้งรวมๆ กันเป็นสิบตัน ตอนนี้ราคากุ้งขึ้นไปที่ห้าสิบห้าพัน ถึงเจ็ดสิบพันต่อกิโล บางทีหาซื้อแถวนี้ไม่ค่อยมีเพราะพ่อค้ารับซื้อออกไปทีละมากๆ


ขึ้นไปจากท่าเรือรวม 20 นาที ก็ถึงบ้านสบแจม ตรงท่าน้ำของหมู่บ้านเป็นบันไดปูนอย่างดีจากการพัฒนาโครงการลุ่มแม่น้ำโขงเหมือนกัน เป็นการทำหมู่บ้านให้เป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ พอขึ้นบันไดไปก็เห็นถนนเป็นพื้นดินเรียบกว้างเป็นทางยาวๆ ตรงเข้าไป ด้านในสุดของถนนเป็นเนินเขียวๆ ลานดินของถนนเชื่อมต่อกับลานดินของบ้านชาวบ้านที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง มีทั้งบ้านชั้นเดียว บ้านสองชั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแบบยกพื้นสูง ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่ทำงานและทำกิจกรรมหลากหลาย

บ้านหลังแรกแม่บ้านกำลังตำข้าวด้วยครกกระเดื่องใช้เท้าเหยียบ หลังที่สองมีคนอยู่ที่หน้าบ้านสองสามคน ผู้หญิงอายุราวห้าสิบปี กำลังทอผ้าสีขาวนวล ทำเป็นม้วนยาวๆ พอถามว่าขายอย่างไร เค้าว่า “ไม่ได้ขาย แต่ถ้าจะซื้อก็คิดวาละ เจ็ดพันกีบ” คุณโธมัสก็ถามว่า วานึงมีกี่เซ็นติเมตร สามีเค้าก็บอกว่า “เป็นวา” แล้วทำท่ายืดแขนออกสองข้าง คุณโธมัสเลยว่า “วาของข้อยได้บ่” (ตัวโตมากๆ วาย้าวยาว) เค้าเลยว่า “วาของผู้ทอ” อือ..ยุติธรรมดีแฮะ ใครทอก็วาของคนนั้น แต่คนทอตัวสูงไม่ถึงร้อยห้าสิบเซนติเมตรเลย ต้องคิดดีๆ ว่า ราคาเหมาะสมหรือไม่.....

หลังชานเรือนมีเป็ดไก่ เดินหากินอาหารอยู่บนพื้นลานบ้าน ใต้ถุนบ้านต่อไปมีผู้ชายถักทอแหอยู่ง่วนเลย เด็กๆ ผู้ชายผู้หญิงอยู่ตามใกล้บานหน้าต่าง และลงมาเดินคุยกันที่ลานบ้าน บ้านหลังหนึ่งมีสองชั้น ที่ชั้นล่างปิดหน้าต่างบานใหญ่ไว้ พอหันไปมองอีกที เค้าเปิดหน้าต่างยกขึ้นเอาไม้ค้ำไว้ ข้างในจัดเป็นร้านขายของชำกับขนมแห้งต่างๆ

เราสะดุดตากับภาพข้างหน้าเป็นบ้านสองชั้นผนังเป็นไม้ไผ่ส่วนใหญ่ แม่ยังสาวคนนึงกำลังทอผ้า และหันกลับมาไกวเปลลูก พวกเราเดินตรงเข้าไปพูดคุยด้วย และมองลูกน้อยของเธอ เธอชื่อ “วอน"”หน้าตาขาวสะอาด ตาเรียวคล้ายคนจีน เธอเป็นสะไภ้ของบ้านนี้ แม่สามีเจ้าของบ้านออกมาสมทบพร้อมพูดคุย

พอเราถามเรื่องผ้าที่กำลังทอว่า ทอยากไหม??อยากทอเป็นบ้าง.. วอนบอกว่า หัดได้ สักเดือนครึ่งก็เป็นแล้ว เราถามว่า “แล้วจะหัดยังไง?” วอนว่า ก็มาที่นี่ก็ได้ มาอยู่ที่บ้านด้วยกัน “เหรอจ๊ะ แล้วที่บ้านมีกันกี่คน??” มีทั้งหมดแปดคน ระหว่างนั้นสังเกตเห็นสมาชิกในครอบครัวเกือบครบมายืนอยู่พร้อมหน้าแล้ว เว้นก็แต่สามีของวอนและน้องชายที่ออกไปทำไร่ ลูกสาวบ้านนี้ตัวเล็กๆ ตากลมโต ยิ้มแย้มแจ่มใส แม่สามีของวอนตาคม ผิวเข้ม หน้าตาเด่นมากตรงที่เกล้าผมสูงเป็นมวยชั้นเสียบปิ่นปักผมเงินแท่งใหญ่งดงาม

เราขออนุญาตถ่ายรูป ก็ให้ถ่ายพร้อมกับนำเสนอผ้าทอผืนงามหลายชิ้น ให้เลือกซื้อ “ราคาขายแปดสิบพันกีบ แต่ให้เจ้าหกสิบพันกีบ” เราหันไปถามหมอน “ดูหน่อย ลายและราคาแบบนี้ เป็นไง??” หมอนบอกว่า “ลายไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร ถ้าจะช่วยซื้อก็ให้มากสุดห้าสิบห้าพันกีบ”

เราเลือกเอาผืนหนึ่ง เป็นลายซ้ำๆ กันแต่สลับไหมหลายๆ ชนิด “ลายเงือกตรงนี้ ลายโต๊ะตรงนี้” แม่เฒ่าชี้ให้ดู วอนบอกว่า “ลายโต๊ะที่ว่านั่น มันเป็นตัวกวาง” เราก็เลยแนะนำตัวว่า “ชื่อกวาง” แม่เฒ่าว่า “โชคดีแท้ ผ้ามันไปหาเจ้าของ” แล้วก็พากันหัวเราะชอบใจ เราบอกขอบใจแล้วก็ถามวอนว่า “ถ้าจะติดต่อมาจะต้องทำยังไง?” วอนบอกว่า “จะมาก็มาได้เลย อยู่นี่ล่ะ บ่ได้ไปไส”

เราใช้เวลามากจนถูกตามตัว เลยลาทุกคนที่บ้านวอน แล้วจะกลับมาที่ท่าเรือ แต่ก็ต้องหยุดอีก เพราเห็นเด็กหญิงอายุสักหกขวบ กำลังทอผ้ายอยู่ตรงพื้นข้างๆ หูกทอผ้าหน้าบ้าน โดยปักไม้เล็กๆ เรียงเป็นแถว สงสัยจะเป็นหูกที่เล็กที่สุดในโลก... ขนาดยาวสักหนึ่งคืบ กว้างสักความยาวนิ้วชี้ของเรานี่ล่ะ

แล้วเด็กน้อยก็เอาไม้สอดๆ สลับเชือกที่พาดไว้ แล้วเคลื่อนไม้ออกจากตัว สอดฝ้ายจากด้านหนึ่งดึงออกไปอีกด้าน แล้วก็ดึงไม้เข้าหาตัว ดึงเอาฝ้ายเข้ามาชิดกับเส้นก่อนหน้าที่สอดไว้แล้ว เด็กหญิงคนนี้ ชื่อ “นางแสงจันทร์” กลายเป็นการแสดงทอผ้าแล้ว เพราะมีเด็กชายหญิงอีกหลายคนมารุมดู ขอแสงจันทร์ถ่ายวิดีโอ เธอก็มองขึ้นมาดูกล้อง ขณะที่มือก็ทำงานชิ้นเอกของเธอต่อไป...

ออกจากบ้านสบแจมด้วยความรู้สึกที่ว่า “ยังไม่พอเลย ยังเที่ยวชมไม่ทั่วเลย อยากจะมาพักอยู่สักอาทิตย์นึง” ที่นี่มีหกสิบหลังคาเรือน มีประชากรสามร้อยกว่าคน เอาไว้จะมาใหม่ มาใช้เวลาที่สบแจมให้มากขึ้น รู้สึกได้ว่า หมู่บ้านสะอาดมากๆ ไม่อยากให้มีเกสต์เฮาส์กระท่อมเกิดขึ้นเลย ถ้าเป็นไปได้น่าจะจัดการในรูปแบบโฮมสเตย์อย่างแท้จริงแบบ Ecotourism จะดีมากๆ

แบบนี้แหละ หมู่บ้านในฝัน....

**ไม่มีกล้องถ่ายรูป ถ่ายมาเป็นวิดีโอรุ่นเก่าที่ยังเอาเข้ามาในคอมพ์ตอนนี้ไม่ได้..รูปมีแค่สองรูปนี้แหละ ถ่ายจากมือถือค่ะ



Create Date : 20 กันยายน 2549
Last Update : 20 กันยายน 2549 14:46:02 น. 4 comments
Counter : 1136 Pageviews.

 
ต๊ะเอ๋..แบมบูแวะมาทักทาย..อยากไปเที่ยวมั่งจัง


โดย: Bamboocrossing วันที่: 21 กันยายน 2549 เวลา:10:19:59 น.  

 
ผมกำลังจะเดินทางไปลาว เพิ่งได้มาอ่านข้อมูล น่าสนใจมากๆ

สอบถามนิดถึง ถ้าผมอยากไป เมืองงอย และ หมู่บ้านสบแจม

ในช่วง 9-13 ธ.ค.

ผมต้องเตรียมตัว และติดต่อ เดินทางอย่างไรบ้าง

ถ้าเดินทางจากหลวงพระบาง

ค่าเช่าเรือคิดยังไงครับ คือผมกะว่าจะไปกัน 2 คน

รบกวนด้วยครับ

หรือถ้าสะดวกตอบทางเมล์ก็ได้นะครับ

linpoza@yahoo.com


โดย: AKE IP: 58.8.64.182 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:37:41 น.  

 
คุณ AKE,

ตอบทางเมล์แล้วนะค๊ะ ขอโทษที่เพิ่งเห็นข้อความ ยังพอทันเนอะ


โดย: Minie' วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:34:04 น.  

 
ครั้ง ก่อน ไม่ ได้ ไป แต่ คราว นี้ ต้อง ไป ให้ ได้
อยาก ทราบ อา กาศ ว่า หนาว มาก มั้ย ครับ จะ ได้ เตรียม ตัว ไป ถูก


โดย: AKE IP: 58.8.65.27 วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:12:41:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Minie'
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]




รู้โลกเรียนธรรม

Friends' blogs
[Add Minie''s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.