คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^
เพราะเธอเปลี่ยนไป...ฉันจึงได้มีวันนี้ >>>> ส่งการบ้านจุดเปลี่ยนของฉันค่ะ







ได้รับการบ้านมาจากคุณครูหนูใหม่
เป็น Tag (ที่ไม่ใช่แทคฮอยเออร์ )
เรื่องจุดเปลี่ยนของฉานนนนนน

ได้รับการบ้านมาแล้วก็มานั่งวิเคราะห์
คิดๆๆๆ ดูซิว่าเรามีจุดเปลี่ยนอะไรในชีวิตที่จะบอกเล่าให้ฟังบ้างน้อ....

แล้วเราก็นึกขึ้นได้

เมื่อประมาณเจ็ดปีก่อนเราเคยมีแฟน...
เป็นคนที่ทำงานในแผนกเดียวกับเรา
และเป็นแฟนคนแรกในชีวิตของเรา
ด้วยความที่ไม่เคยคบใครมาก่อน จึงอยากคบกันไปนานๆ
เราคิดว่าเราสองคนจะรักกันตลอดไป

V
V
V
V

เริ่มแรกทุกอย่างมันก็ดูดี เหมือนกับคู่รักกันทั่วไป
แต่พอผ่านไปสามเดือนเหมือนที่เค้าว่าหมดโปรโมชั่น
ความหวานชื่นมันน้อยลงจริงๆ
ไอ้ลำพังความหวานน่ะ ไม่เท่าไหร่
เราก็เข้าใจว่ามันต้องลดลงไปตามระยะเวลาบ้าง
เค้าจะไม่ค่อยสวีทกับเราก็คงเป็นเรื่องธรรมดา
คนรักกันยังไงก็ต้องคบกันได้อยู่แล้ว
แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การปรับตัวเข้าหากัน
เราจะพยายามประคับประครองความรักของเราให้ได้ดีที่สุด
เราตั้งใจไว้อย่างนั้น

จากนั้น จึงเป็นมหกรรมการปรับตัว (ของเรา) แต่เพียงฝ่ายเดียว

เขาชวนกินหมูกะทะ เราก็กิน ทั้งที่เราอยากกินสุกี้.....

เขาชวนดูหนังแอคชั่นบู๊ระห่ำเลือด เราก็ดู ทั้งที่เราอยากดูหนังคอมมิดี้.....

เขาชวนขึ้นเขาประเภทโหดและลุย เช่น ขึ้นภูกระดึง เราก็ขึ้น ทั้งที่เราอยากพักผ่อนสบายๆ (วันหยุดต้องมาขึ้นเขาสามลูก น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ)
เพื่อสนองความต้องการของเขา....

แต่เราก็ทำ



เราทำทุกอย่างที่เค้าต้องการ.....

แม้ในบางทีจะเป็นเรื่องที่เราลำบากใจ
เช่นเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี
ไม่ชอบมีเรื่องกับใคร เป็นคนง่ายๆ ไม่มากเรื่อง
แต่พี่แกเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมาก
ชอบเถียงกับคนอื่น มีปัญหากับคนอื่นประจำ

และเวลาที่เขาไม่ชอบใคร เขาจะไม่ชอบให้เราไปทำดีกับคนนั้น
ซึ่งมันลำบากนะ ในเมื่อทุกคนทำงานในแผนกเดียวกัน
ในการบังคับให้เราเลือกที่รักมักที่ชังคนทำให้เราลำบากใจมาก...

และอีกอย่างคือเขาชอบเอาคนที่ตัวเองเกลียดมานินทาให้เราฟัง
โดยหวังว่าเราจะผสมโรงเออออห่อหมกไปด้วยเพื่อความสะใจ
แต่เมื่อเจอเราไม่ทำ ก็เพราะเราไม่รู้จะเอาอะไรไปคุยกะเค้า
เพราะไม่เคยไปจับตาดูว่าไอ้คนนี้ทำงานยังไง มีอะไรบ้าง
(แปลกจัง ไม่ชอบเค้า แต่รู้เรื่องทุกอย่างที่เค้าทำยิ่งกว่าคนทั่วไปอีก)
ยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจเราเข้าไปทุกที.....





........เราเริ่มไม่ชอบสิ่งที่เขาเป็น
แต่เนื่องจากเพราะยังรักเขาอยู่ จึงพยายามอดทน
และหวังว่าเวลาผ่านไป เขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้
แล้วเราก็ยังหวังว่าเราจะยังคบกันต่อไปได้
สิ่งไหนที่เราพอทำได้ เราก็ยังยืนยันที่จะทำให้เขาเหมือนเดิม

V
V
V


แต่มาถึงสิ่งสุดท้ายที่เขาขอ เราทำให้เค้าไม่ได้จริงๆ

นั่นคือเมื่อแม่เค้าเสียตอนเราคบได้ 4 ปี ซึ่งก็ได้เวลาที่เหมาะสมแล้ว
แต่ตามธรรมเนียมคนจีนจะแต่งงานไม่ได้ 2 ปี
เค้าจึงมาขอเราว่า ให้มาอยู่กับเค้าเลย ไม่ต้องแต่งงาน...

ตรงนี้แหล่ะ ที่เรารู้ตัวว่าทำให้เค้าไม่ได้
เราทำให้พ่อแม่เราเสียใจไม่ได้
เราจึงบอกปฎิเสธเค้าไป
และบอกว่าเราอยากให้มีการแต่งงานเพื่อเป็นการให้เกียรติพ่อแม่เรา
รอไปก่อน อีก 2 ปีเราค่อยแต่งก็ได้

เค้าพยักหน้าว่าเข้าใจ
แต่ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเค้าก็มาบอกขอเลิกกับเรา
โดยไม่บอกเหตุผลในการเลิก
พูดแค่เพียงเค้าไม่ใช่คนดีเหมือนเดิมแล้วเท่านั้น
ทิ้งให้เราสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร

จนตอนหลังจึงมารู้ว่า
เค้ามีแฟนใหม่เป็นน้องที่ทำงานในแผนกเดียวกัน
ซึ่งคงแอบคบกันได้ไม่กี่เดือน โดยที่เราไม่รู้
และได้พากันไปอยู่บ้านผู้ชายแล้ว....
หลังจากที่เราปฎิเสธไปไม่ถึงเดือน
และได้รู้ว่ามาว่า เค้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเราจะไม่ไปอยู่ด้วย
จึงได้ทำเป็นถาม และเมื่อเราปฎิเสธจะได้มีเหตุอ้างในการนำคนนี้มาอยู่แทน
ซึ่งในขณะนี้เค้าเปิดเผยกันเต็มตัว
โดยไม่สนใจว่าจะทำให้เราเจ็บเจียนตายได้ขนาดไหน....







และเมื่อเรารู้ว่าเราจบกับเค้าแล้ว
เราคิดแต่เพียงว่าเราจะทำยังไง
จะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงในสังคม
เนื่องจากเราสามคนทำงานในแผนกเดียวกัน
เมื่อมีเรื่องฉาวโฉ่ขนาดนี้ เค้าสองคนรวมพลังกันคงไม่เจ็บมาก
แต่เรานี่สิ จะรับมือกับสายตาของคนรอบข้างได้ขนาดไหน
เราซึ่งคบกับเค้ามาเกือบสี่ปี โดนเขี่ยทิ้งเพราะกิ๊กใหม่ที่แอบคบไม่กี่เดือน
มันน่าเจ็บใจมาก เมื่อยิ่งคิดไป

โดยเฉพาะพ่อแม่
เราจะบอกเค้ายังไง
เค้าจะทำยังไง ถ้ารู้ว่าเราทุกข์ใจขนาดนี้
ความทุกข์ของลูกก็เหมือนความทุกข์ของพ่อแม่.....
เรารู้ดี

.................................................................

จนสุดท้ายในวันที่เราเข้มแข็งพอ และไม่มีน้ำตาให้เรื่องนี้อีก
เราจึงได้บอกพ่อแม่เราถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เราได้กลับมา.....เป็นกำลังใจมหาศาล
พ่อกับแม่เราเข้าใจและห่วงใยเรามากที่สุด
ทำให้เรากลับมาเข้มแข็งได้ยิ่งกว่าเดิม......
พ่อเราถามว่าเราจะทำงานที่เดิมไหวไหม
ถ้าไม่อยากทำก็ออกได้นะ พ่อกับแม่เข้าใจ
เราจึงบอกเขาว่า
"หนูไม่ออก หนูไม่ทำอะไรผิด
ไม่ต้องห่วงนะ หนูทำงานต่อได้ สบายมาก"

พ่อพยักหน้า แล้วบอกกับคำที่เราต้องจำไว้คือ
"งั้นป๊าขอนะ ถ้ายังอยู่ที่นี่ ห้ามโทรมเด็ดขาด"


*************
**********
*******
*****

พ่อคงหมายถึงห้ามอยู่อย่างผู้แพ้
ถ้าเราปล่อยเนื้อปล่อยตัว ให้โทรมไปพร้อมใจที่เหี่ยวแห้ง
มันคงดูน่าเวทนา
เราจึงรับปากว่าเราจะไม่โทรม จะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด


ทั้งนี้ในใจเรารู้ว่า
เราสามารถทำทุกอย่างตามที่ใจเราอยากทำ
โดยที่ไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว


มันจึงมาถึงจุดเปลี่ยนของเรา
(อารัมภบทย๊าว ยาว ถึงซะที เฮ้อ)


V
V
V
V




เดิมทีเรามีผมตรงแหนวเนื่องมาจากการรีบอนด์ดิ้ง
......บางอารมณ์ก็อยากเปลี่ยนเป็นผมดัดบ้างเหมือนกัน
แต่ก็มิกล้า เพราะแฟนบอกว่าไม่ชอบผมดัด
เราก็ไม่ทำ (ก็บอกแล้วมายอมตลอด)
จนในวันที่ไม่เหลือเขาให้เกรงใจแล้ว
หัวเราจึงเป็นอิสระเสียที......


V
V
V
V





ทรงผมนี้มาจากคุณพ่อขอร้อง !!!
พ่อขอให้เราเปลี่ยนลุค ให้ทำตัวให้สดใส
เลยพาไปดัดผมที่ร้านที่ขึ้นชื่อว่าแพงและดีที่สุดในเมืองชล
และก็ออกตังค์ให้เสร็จสรรพ
ขอแต่ให้เราดูดีเท่านั้น.....
ขอบคุณนะคะ คุณพ่อขา


ออกมาเราก็ชอบนะ เปลี่ยนบุคลิกไปอีกแบบ
ผมดัดพองๆเนี่ย ทำให้หน้ากลมๆของเราดูเล็กลงเป็นกอง (รึปล่าว)
เหมาะเหม็งมาก ถูกใจที่สุด
จึงได้ไว้มาตลอด นับจนบัดนี้ก็สามปีกว่าแล้ว

เมื่อดัดผมแล้ว รู้สึกเลยว่าจำเป็นต้องแต่งหน้าเพิ่มขึ้น
มันจะดูเข้ากับผมดัดมากกว่าหน้าโล้นๆเปลือย
จึงได้แต่งหน้าไปทำงานพร้อมกับผมที่เซ็ตอย่างดี
ไปถึงที่ทำงานวันแรก ทุกคนวีดวิ้วด้วยว่าเป็นลุคใหม่
มีคนมาบอกว่ายิ่งมารู้ว่าเพิ่งเลิกกะแฟน ยิ่งสงสัยว่าทำไมสวยขึ้นๆ
ก็ยิ่งยิ้ม รู้สึกว่าบรรลุความประสงค์ของพ่อเรียบร้อยแล้ว หุหุ



2. เราเคยใฝ่ฝันว่าอยากไปเที่ยวเมืองนอกแบบแบคแพคเกอร์
ไม่ต้องง้อทัวร์ ไปกันเอง หาที่กินที่อยู่เอง
เคยอยากทำ แต่ได้แค่ฝัน
เพราะความที่ติดแฟนอยู่เมืองไทย
และสถานะแฟนที่ยังไม่ได้แต่งงานจึงทำให้เราไปค้างคืนตามลำพังไม่ได้

...พอมาถึงคราวนี้ เราจึงได้มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ
ทริปที่ไปเอง ได้แก่ ฮ่องกง และอเมริกา
สนุกสนาน อิสระ เป็นของเราจริงๆค่ะ





ฮ่องกงเป็นทริปแรกที่ไปเองโดยไม่ง้อทัวร์
เกาะไปกับเพื่อนๆ พี่ ๆ รวมเจ็ดแปดคน
ไปสามวันสองคืน เที่ยวมันทั้งเกาะ ทั้งข้ามฟากไปมาเก๊า
เหนื่อยมากกก ไม่เคยเหนื่อยเท่านี้มาก่อนในชีวิต
ลากกระเป๋าเดินแกร่กๆๆๆ เพื่อไปโรงแรมมั่ง เพื่อไปสนามบิน
แต่มันสนุกมากๆๆๆๆ จริงๆค่ะ


เราเดินเที่ยวเดินช็อปกันจนถึงตีหนึ่ง
แล้วก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลียถึงที่สุด ตื่นมาตอนสิบโมงเช้า
อาบน้ำแต่งตัว ไปถึงดิสนีย์แลนด์เกือบเที่ยง
ซึ่งเราชอบตรงนี้แหล่ะ โปรแกรมเรา manage เองได้
เรานอนดึก แต่ก็ตื่นสายได้
แต่ถ้าไปกับทัวร์ ตื่นสายขนาดนี้เค้าคงไม่รอแน่
นี่อิสระเป็นของเราค่ะ เราอยากไปไหน..ไปกี่โมง สบาย
เป็นทริปแรกที่ประทับใจจริงๆ







ทริปที่สอง ไปอเมริกา
โดยเดินรอยตามความฝันที่อยากทำ...
คือไปเยี่ยมเพื่อนที่นิวยอร์ค
และไปเยี่ยมอาที่ฟลอริดา
โดยไม่ง้อทัวร์ (อีกแล้ว)
มันช่างท้าทายมากกกกก
ว่ากะเหรี่ยงอย่างเราจะทำได้ไหม


สุดท้ายฝันของเราก็เป็นจริงค่ะ




บรรยากาศสบายที่นิวยอร์ค







Central Park ค่ะ
สาวก Sex and City น่าจะคุ้นตากับฉากนี้
ตึกสวยๆในแมนฮัตตัน กับสวนงามๆที่นี่
พอมาอยู่เฟรมเดียวกันแล้วสวยเป็นบ้าเลย








มุมหนึ่งของพิพิธภัณฑ์กลางนิวยอร์ค




ไปขี่จรวดที่องค์การนาซ่า....
อยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณอาค่ะ โชคดีจัง




เดินเล่นในดิสนีย์แลนด์ที่ฟลอริดา
เล่นเอาซะเมื่อยเลยค่ะ กว้างมาก!



คุณอากำลังทำ dinner ให้หลานๆกินอยู่



คุณอาเขยสอนน้องชายขี่ช็อปเปอร์ชมวิวรอบชายหาด




ถ่ายคู่กับน้องชายที่มุมยอดนิยมค่ะ
มานิวยอร์คแล้วไม่ได้แชะภาพกับเทพีเสรีภาพ
คงเหมือนมาไม่ถึง USA เนอะ




รูปสุดท้ายเอามาฝากกัน
เพราะอยากให้เห็นว่าเราได้บินผ่านขั้วโลกเหนือด้วย !!!!
เป็นอะไรที่อเมซิ่งมากค่ะ ที่เราได้ภาพขั้วโลกเหนือจากบนเครื่องบิน
เป็นทางลัดที่จะบินจากกทม. ไปนิวยอร์ค โดยไม่ต้องไปต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น
ทริปที่เราไปจึงโชคดีมาก ทีไม่ต้องต่อไฟลท์เหมือนทุกๆครั้ง
แต่ตอนนี้เห็นว่ายกเลิกไฟลท์นี้แล้วค่ะ
สาเหตุน่าจะเพราะไม่คุ้มค่าใช้จ่าย




3. เราเป็นคนชอบเต้นแอโรบิกมาก
แต่เมื่อก่อนนานๆจึงจะมาเต้นที
เพราะแฟนเก่าเราไม่ชอบออกกำลังกาย
ชอบชวนกันไปดูหนังหรือหาข้าวเย็นกินมากกว่า

แต่ตอนนี้เราอิสระแล้ว
ลุยๆๆ


ทุกวันนี้หลังเลิกงานเราจะไปสิงสถิตย์ที่สวนสาธารณะใกล้ที่ทำงาน
เต้นแอโรบิกเป็นหลัก เต้นเสร็จก็ไปเดินเล่นในสวนเย็นๆ
ปล่อยใจสบายๆ ทำให้ผ่อนคลายความเครียดได้ดี



แถมสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นก็มาจากการที่เราไปสวนนี้ทุกวันๆนี่เอง

เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรากับพี่ศักดิ์รู้จักกันเป็นวันแรก
เนื่องจากมีผู้ใหญ่ที่เราสองคนให้ความเคารพแนะนำให้เรารู้จักกัน
เพราะพี่ศักดิ์เป็นข้าราชการที่เพิ่งย้ายมาที่ชลบุรีได้ไม่นาน
วันนั้นเรากินข้าวแบบกลืนมิค่อยลงค่ะ (เขิน)
ต้องสงวนท่าทีนิดนึง อย่าเปิดเผยตัวตนมาก
เขาจะได้ไม่ตกใจ คริคริ

มีตอนหนึ่ง.....
พี่ศักดิ์คุยกะเราว่าพี่ไปวิ่งที่สวนสาธารณะนี้ทุกวันเลย
น้องแฮ็กเคยไปบ้างไหม
เราหัวเราะก๊ากเลย บอกว่าหนูไปมาหลายปีแล้วคร่าคุณพี่
(แต่ไปเต้นนะ ไม่ค่อยได้วิ่ง)









จากนั้นเราก็กลายเป็นคู่หูคนใหม่ของสวนสาธารณะที่บอกไป
เราไปเต้น พี่ศักดิ์ไปวิ่ง
พอคลายกล้ามเนื้อเสร็จ เราทั้งคู่ก็จะหาอะไรกิน
เป็นอย่างนี้มาปีครึ่งแล้วค่ะ
เราจึงพัฒนาความสัมพันธ์ด้วยกันได้อย่างเร็ว
เพราะเราชอบอะไรคล้ายๆกันนี่เอง
และสวนดังกล่าวก็เป็นแหล่งนัดพบของเราไปแล้วค่ะ



จุดเปลี่ยนของเราจึงเริ่มต้นด้วยความเศร้าและน้ำตา
และฟันฝ่าเวลาที่โหดร้ายมามากมาย
แต่ก็จบลงด้วยความสุขค่ะ
เป็นจุดเปลี่ยนที่พลิกชีวิตเราจริงๆ

ขอบคุณคนที่ไม่รักกันจริง
ที่เดินจากเราไปง่ายๆ
ทำให้เรากลับมามีชีวิตใหม่แบบที่ไม่เคยพบมาก่อน...

และขอบคุณความเข้มแข็งของตัวเอง
ที่สามารถประคองชีวิตช่วงที่เลวร้ายที่สุดผ่านมาได้
เพื่อที่จะพบว่า วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า มีจริงๆค่ะ



......................................................


เป็นอันว่าจบค่ะ
ตอบ TAG ครบถ้วนกระบวนความใช่มั้ยค่ะ หนูใหม่
แต่เนื่องจากว่าอันตัวเรานี้ยังบ่ มีเพื่อนประจำบล็อค
(เพราะทำมิเป็น)
จึงมิอาจโยนแทคนี้ไปให้ใครได้
แต่ว่าจะแอบไปดูที่หนูใหม่โยนให้เพื่อนๆนะจ๊ะ
(แล้ววันหลังมาโยนให้อีกนะจ๊ะ อิอิ)


สุดท้าย ขอบคุณค่ะที่รับชมกระทู้ย้าวยาว
Bye จ้า














Create Date : 10 ตุลาคม 2552
Last Update : 16 มิถุนายน 2557 19:21:10 น. 0 comments
Counter : 1121 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.