ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 

ลงแข่งลากูน่าภูเก็ตอินเตอร์เนชั่นแนลมาราธอนปีที่ ๓

เป็นเพราะเราเป็นขาประจำกับการแข่งขันวิ่งกีฬามาราธอน ดังนั้นทางผู้จัดมักจะส่งใบสมัครการแข่งมาราธอนรายการต่างๆมาให้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับรายการลากูน่าภูเก็ตอินเตอร์เนชั่นแนลมาราธอน...ทางผู้จัดการแข่งขันโทรมาถามผมว่าสนใจจะไปแข่งไหม? เพราะปีที่ผ่านมาผมสมัครผ่านผู้จัดการแข่งขันเสมอ...ซึ่งได้อัตราห้องพักราคาพิเศษของโรงแรมในเขตลากูน่าภูเก็ต ปีนี้ตัดสินใจลงแข่งระยะฟูลมาราธอนเหมือนเช่นทุกปี ที่ผ่านมาทางผู้จัดได้จัดการประสานงานหน่วยงานต่างๆเป็นอย่างดี...นักวิ่งมาวิ่งแล้วอยากกลับมาวิ่งใหม่


ปีนี้ผมยอมรับว่าฟิตซ้อมได้แย่กว่าปีที่ผ่านๆมา ดังนั้นจึงไม่คาดหวังกับเวลาที่ทำได้...แต่เชื่อว่าวิ่งครบระยะ ๔๒.๑๙๕ กิโลเมตรสำเร็จ

ผมอยู่ในกลุ่มที่ปล่อยตัวตอนตี ๔ พอเขาบีบแตรเสียงดัง....นักวิ่งต่างออกวิ่ง แต่คราวนี้ไม่ค่อยเห็นใครวิ่งเร่งทำความเร็ว วิ่งไปเรื่อยๆมากกว่า เจอนักวิ่งชาวญี่ปุ่นในวัย ๖๐ ชื่อ คุณ ฮาจิเม นิชิ เขาวิ่งเพื่อความสนุกสนาน วิ่งเพื่อเก็บขยะ หาเพื่อนใหม่ เขามาแข่งรายการนี้แล้วเจอเพื่อนนักวิ่งต่างชาติอื่นที่เคยเจอกันในการแข่งขันมาราธอนสนามอื่น คุณน้านิชิเขาไม่สนใจเรื่องเวลา...วิ่งเอาสนุกมากกว่า

ผมวิ่งสบายๆระยะ ๑๐ กิโลเมตรแรก คืนนี้เป็นเดือนหงาย ตอนที่วิ่งผ่านสวนยางที่ไม่มีไฟข้างทาง แสงจันทร์ตอนที่เราวิ่งผ่านทำให้เรามองเห็นคนที่วิ่งข้างหน้าได้ค่อนข้างชัดแม้จะไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าสองข้างทางก็ตาม


ที่ระยะ ๑๒ กิโลเมตร...ภายหลังจากดื่มเกเตอเรดไป...แล้วทางลงลาดชัน....ทำให้เกิดแรงเสริม ผมทำเวลาเร็วขึ้นมาได้กว่าที่ระยะ ๑๐ กิโลเมตร วิ่งทำเวลาดีขึ้นเรื่อยๆ มาถึงทางเลี้ยวไปหาดในทอนมีสาวนักวิ่งสิงคโปร์สองคนวิ่งตามมา พวกเธอแซวผมเล่น หนึ่งในสองของนักวิ่งที่เป็นสาวผมยาวเธอใช้แชมพูสระผมกลิ่นหอมทีเดียว ตอนลมพัดผ่านได้กลิ่นหอมของแชมพูโชยมา

วิ่งผ่านชายหาดแบบสบายๆ มีผลไม้ที่วางไว้ให้นักวิ่งได้ทานกันที่ระยะเกือบ ๒๐ กิโลเมตรและเป็นระยะเช็กพอยท์เพื่อกันนักวิ่งบางคนโกงลัดเส้นทางเข้าเส้นชัยเร็วกว่าปกติ

ที่ระยะ ๒๐ กิโลเมตรทำเวลาได้ ๒ ชั่วโมง ๑๗ นาที เวลาไม่ดีแต่ไม่สนใจสำหรับการแข่งคราวนี้ ขอแต่วิ่งถึงเส้นชัยได้ก็โอเค

พอวิ่งที่ระยะ ๒๑ กิโลเมตรเริ่มเป็นเส้นทางขึ้นลงเนินบ่อยมาก เริ่มมีอาการปวดน่อง ที่วิ่งมาสบายๆเริ่มชะลอความเร็วลง พอปวดน่องมากๆเพราะกล้ามเนื้อโป่งขึ้นมาแข็งเป็นลูก เรารู้ดีว่าถ้าฝืนวิ่งต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เริ่มเดินสลับกับวิ่งเป็นระยะๆ

ที่ระยะ ๒๗ กิโลเมตรวิ่งเข้าไปในเขตสวนยาง มีฝรั่งสามีคู่หนึ่งมาจากสิงคโปร์ สามีถอดเสื้อวิ่งเพราะร้อนอบอ้าวมาก สามีเริ่มเดินเพราะไม่ไหว มีภรรยาสวมเสื้อยืดมีรูปสกรีนตัวภรรยาและลูกเขียนข้อความว่า "Go Daddy, Go Go...I love you" ขี่จักรยานตาม ผมเห็นแล้วชื่นชมมาก สำหรับนักวิ่งการมีคนคอยเชียร์ตลอดทางทำให้นักวิ่งมีกำลังใจมากขึ้น แล้วการที่เขามีภรรยาที่เข้าใจให้การสนับสนุนอยู่ข้างๆมันให้ความารู้สึกทีดีและนี่เป็นความหมายของคำว่า "ครอบครัว" ภรรยาตื่นมาแต่เช้ามืด...ขี่จักรยานตามสามีตลอดทางร่วม ๔๒.๑๙๕ กิโลเมตร ภรรยาคอยถ่ายภาพสามี คอยเอาครีมนวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อให้ ตอนที่ผมเดินอยู่ภรรยาเขาถามว่าจะเอาครีมนวดกล้ามเนื้อไหม? ผมยังไหวอยู่เลยขอบคุณและปฏิเสธไป

พยายามกลับมาวิ่งอีกที...แต่เจ็บกล้ามเนื้อน่องมาก วิ่งได้ไม่นานก็มีอาการปวดขึ้นมา ทนไม่ไหวก็เลยต้องกลับมาเดิน

ที่ระยะ ๓๐ กิโลเมตรวิ่งสลับกับเดิน แต่พอถึงระยะ ๓๑ กิโลเมตรก็มีอาการปวดน่องอย่างมาก พยายามยืดกล้ามเนื้อจนอาการดีขึ้น... เจ้าหน้าที่ที่จัดการแข่งขันเห็นผมหยุดยืนยืดกล้ามเนื้อก็เข้ามาถามว่า Are you OK? พอตอบเป็นภาษาไทยว่า "ยังไหวครับ" เจ้าหน้าที่ก็ยิ้มเพราะเข้าใจว่าเป็นนักวิ่งต่างชาติ เขาถามว่าถ้าไม่ไหวจะเรียกรถพยาบาลให้ สำหรับนักวิ่งถ้าออกจากเส้นทาง...การแข่งมาราธอนก็ไม่มีความหมาย ผมรู้ว่ากำลังขายังพอไหวแต่ไม่แน่ใจว่าจะทำเวลาเข้าเส้นชัยกี่ชั่วโมง?

เริ่มเดินเพราะเหนื่อยและอาการปวดน่องไม่ทุเลา ผลลัพธ์ของการซ้อมไม่ดีเป็นแบบนี้ ยอมรับโดยดุษฎี มีนักวิ่งสิงคโปร์ชื่อ สก็อตซ์ เดินตามมา เราเลยเดินคุยเป็นเพื่อนกันระหว่างทาง เขาถามเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยในฐานะนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยบ่อยมาก สำหรับลากูน่าภูเก็ตมาราธอนเป็นการลงฟูลมาราธอนครั้งแรกสำหรับสก็อตซ์ ดูจากเวลาที่ใช้แล้ว...ตกราว ๑๐ นาที/ ก.ม. เวลาคาดหมายคือถ้ายังคงเดินไปเรื่อยๆแบบนี้คงถึงเส้นชัยก่อน ๖ ชั่วโมง

เจอนักวิ่งชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในไทย ผมเจอนักวิ่งรายนี้มาก่อนในการแข่งขันมาราธอนรายการนี้เมื่อปีที่แล้ว เขาชื่อซูซูกิ ปีนี้ซ้อมแย่มากเขาเลยยอมแพ้เดินสลับวิ่ง

เดินมาจนถึงระยะ ๓๗ กิโลเมตรเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเดินเร็ว คนที่ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านคงหัวเราะที่เห็นท่าเดินเร็วที่เราพยายามเดิน ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับมาวิ่งระยะ ๒ กิโลเมตรสุดท้าย แต่พอถึงระยะ ๓๘ กิโลเมตรผมบอกกับตัวเองว่า "ขอให้วิ่งสมศักดิ์ศรีนักกีฬาวิ่งมาราธอนในระยะ ๔ กิโลเมตรสุดท้าย" พอตั้งใจกับตัวเองแบบนี้ กลายเป็นพลังแล้วขาที่เคยมีอาการปวดน่อง....กลับกลายเป็นอาการปวดน่องหายไป ผมวิ่งอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากระยะ ๓๘ กิโลเมตรเป็น ๓๙ กิโลเมตร ผ่านระยะ ๔๐ กิโลเมตร เหลือแค่ ๒ กิโลเมตรสุดท้าย เริ่มแซงนักวิ่งที่วิ่งนำเราก่อนหน้าซึ่งหลายๆคนแรงตกไปแล้ว...ส่วนมากจะเดิน วิ่งเข้าเขตลากูน่า...เหลือแค่ ๑ กิโลเมตรสุดท้าย

ตอนนั้นซอยเท้าถี่ขึ้น....ดูจากนาฬิกาข้อมือน่าจะวิ่งเข้าเส้นชัยทัน ๕ ชั่วโมง ๕๐ นาที เริ่มวิ่งเร่งขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงพิธีกรฝรั่งตะโกนชื่อนักวิ่งคนแล้วคนเล่าที่วิ่งผ่านเส้นชัย เสียงพิธีกรดังชัดขึ้นเรื่อยๆ จนก่อนเข้าเส้นชัยเขาเรียกชื่อเราบ้าง กดนาฬิกาข้อมือจับเวลาเอาไว้ที่ ๕ ชั่วโมง ๕๐ นาทีสำเร็จ

ได้เหรียญที่ระลึกมาคล้องคอสำเร็จเป็นเหรียญที่ ๑๐ ของการแข่งขันมาราธอนในประเทศไทย


ทุกทีที่ผ่านมา...เข้าเส้นชัยทีไร ปวดเมื่อยมากๆแต่บริการนวดให้นักวิ่งมักจะปิดให้บริการก่อน แต่สำหรับปีนี้...เราได้ใช้บริการของลากูน่า พนักงานเขากดบริเวณกล้ามเนื้อน่องของเราแล้วบอกว่าน่องเป็นก้อนเลย เขาจัดการบีบกดจนอาการกล้ามเนื้อที่เกร็งมีการคลายตัว กล้ามเนื้อไหล่คลายอาการเกร็ง ลดอาการปวดเมื่อยไปได้มาก

มีโอกาสได้เจอเพื่อนเก่าสมัยไปโครงการเรือเยาวชนที่ไม่ได้เจอกันอีกตั้งแต่โครงการเสร็จสิ้นลง เพื่อนผมพาลูกสาวมาด้วยพร้อมสามี มีโอกาสได้คุยกันนานทีเดียว ก่อนพี่โอมาร์จะแวะมารับไปทานข้าวด้วย..ได้เจอปุ้มและครอบครัวที่ร้านอาหาร สามีเขาพาลูกสาวไปวิ่งด้วยตอนเช้า

เครื่องบินกำหนดออกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง....พี่โอมาร์พาเรามาส่งที่สนามบินก่อนเวลา แต่ความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้น

พอเช็กอินที่สนามบิน...เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเครื่องบินดีเลย์ ๒ ชั่วโมง เราก็นั่งรอไปหลับไปเพราะเพลีย ก่อนจะมีประกาศแจ้งว่ามีปัญหาเทคนิคเครื่องจากเชียงใหม่บินมาที่ภูเก็ตไม่ได้ ขอเลื่อนเป็น ๑ ทุ่ม เรานั่งหลับไปในระหว่างอ่านหนังสือ ก่อนจะมีการแจ้งว่าเที่ยวบินที่เราจะเดินทางมีการยกเลิก และผู้โดยสารทั้งหมดจะถูกถ่ายโอนไปขึ้นเครื่องของเที่ยวบินอื่นแทน สุดท้ายได้ขึ้นเครื่องตอน ๓ ทุ่ม (คิดดูว่าจากบ่าย ๓ เป็น ๓ ทุ่ม มันเลข ๓ เหมือนกันแต่คนละเวลากันเลย) มาถึงกรุงเทพฯก็ ๕ ทุ่มกว่า เข้านอนหลังเที่ยงคืน...เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจลากูน่าภูเก็ตอินเตอร์เนชั่นแนลมาราธอน ๒๐๐๙




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2552    
Last Update : 17 มิถุนายน 2552 15:32:39 น.
Counter : 934 Pageviews.  

Nostalgia (รำลึกถึงอดีต)

ในช่วงนี้ที่ผมอยู่ระหว่างจัดข้าวของภายในบ้าน...

ผมบังเอิญไปพบถุงกระดาษเก่าๆของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเข้า พอหยิบเอาของที่อยู่ภายในถุงกระดาษใบนั้นออกมา พบซองสีสันต่างๆภายในเป็นการ์ดอวยพรที่บรรดารุ่นน้องสมัยผมเรียนปริญญาตรีเขียนแสดงความยินดีและอวยพรเนื่องในโอกาสที่ผมสำเร็จการศึกษา

เหตุการณ์ผ่านไปร่วม ๑๘ ปีแล้ว...แต่เหมือนเวลาแห่งความสุขหยุดอยู่ตรงนั้น การไปพบการ์ดอวยพรเหมือนเราย้อนเวลากลับไปหาอดีตได้ ข้อความที่บรรดาน้องๆที่สนิทกันช่วยกันเขียนและมอบให้แก่เราในวันรับปริญญา กลับมาอ่านใหม่ก็ยังได้ความรู้สึกเหมือนเดิม

หลายๆคำอวยพรจนถึงวันนี้ยังไม่เป็นจริง... แต่เรากำลังพิสูจน์ว่าคำอวยพรที่น้องๆเหล่านั้นเขียนไว้ให้จะไม่ใช่เป็นแค่ข้อความในการ์ดเก่าๆที่ผ่านกาลเวลาร่วม ๑๘ ปี... วันที่คำอวยพรเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมา...คนที่มอบการ์ดอวยพรเหล่านั้นจะเป็นคนที่เราติดต่อและแจ้งข่าวให้ทราบ เจ้าตัวที่เป็นคนมอบการ์ดใบนั้นให้..ตอนนี้พวกเขาอาจจะลืมไปแล้วว่าเขียนว่าอะไร...และไม่คิดว่าคำอวยพรที่เขียนเอาไว้จะทำให้รุ่นพี่อย่างผมทำให้คำอวยพรของพวกเขาเป็นจริง

บรรยากาศงานวันรับปริญญาที่พี่บัณฑิตได้รับช่อดอกไม้หลากสีจากน้องๆมันทำให้สีสันของภาพถ่ายวันรับปริญญาดูสดใส แต่...จะมีพี่บัณฑิตกี่คนที่จะเก็บดอกไม้เหี่ยวๆจากงานรับปริญญาเอาไว้ดูเป็นที่ระลึก????

ถ้าผมจะบอกว่าดอกไม้วันรับปริญญาที่ได้รับจากน้องๆ ผมมาทำเป็นช่อดอกไม้แห้งเก็บเอาไว้จนถึงทุกวันนี้...คุณจะเชื่อไหม?

อ่านลายมือเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่เขียนให้ในการ์ดใบหนึ่งที่ได้รับก่อนผมจะไปร่วมโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ชื่อเล่นเพื่อนผู้หญิงมักจะซ้ำกัน...แต่ลายมือพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ผมลืมไปแล้วว่าเพื่อนผมรายนี้เขียนการ์ดให้ผมเอาไว้ก่อนผมลงเรือ ตอนนั้นเราเรียนหลักสูตร MBA ด้วยกัน ผมอาศัยรถเพื่อนรายนี้กลับทางเดียวกันบ่อยๆ

พอมาอ่านการ์ดใบนั้นอีกทีตอนนี้...ผมอมยิ้มที่รู้ว่าความปรารถนาดีของเพื่อนคนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง โทรไปหาเพื่อนรายนี้ที่ธนาคารตอนเย็นเพราะไม่รบกวนเวลาทำงานและรู้ว่าเวลานี้นี่แหละที่เธอจะว่าง...เพราะปกติแล้วเธอจะประชุมเป็นงานหลัก อย่างที่เดาไว้เป็นจริง ได้เจอเจ้าตัวว่างพอที่จะคุยได้...ก่อนจะเข้าประชุมต่อตอนเย็น

พอเล่าว่าเก็บกวาดบ้านแล้วไปเจอการ์ดใบนี้เข้า...และเชื่อว่าเพื่อนผมรายนี้เธอเป็นคนเขียน เธอจำได้คลับคล้ายคลับคราว่าเป็นการ์ดที่เธอเขียนเอง...แต่วลีที่ใช้แม้ว่าเวลาผ่านไปหลายปี...เธอยังจำได้ว่าเป็นวลีที่เธอใช้ คราวนี้ก็เลยหัวเราะกัน เพราะอดีตมีสีสันของความสวยงามของมิตรภาพ ที่วันนี้ก็ยังมีความงดงามของมิตรภาพที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ผมไม่ได้ฟังเพลง Whatever will be นานมากแล้วจนลืมไปแล้วว่ามีเพลงนี้ จนวันนึงผมได้มาฟังในขณะที่ทานอาหารเย็นแล้วดูรายการทีวีที่นำเสนอเพลงอมตะของญี่ปุ่นในรายการ NHK Kayo Concert มันทำให้ย้อนอดีตกลับไปวัยเยาว์ที่รู้จักเพลงนี้ครั้งแรกตอนกิจกรรมของชมรมภาษาอังกฤษสมัยประถมศึกษา คุณครูแปลความหมายของเพลงนี้ให้ฟังด้วย

...ชีวิตคนเรานี่แปลกดี
อะไรเกิดข้างหน้าที่เรายังไม่รู้ณ.วันนี้มากมาย
ตอนเป็นเด็ก...เราก็อยากรู้ว่าโตขึ้นแล้วเราจะเป็นอย่างไร
พอเราโตขึ้นเราก็อยากรู้ว่าหลังจากนั้นเราจะมีชีวิตเป็นอย่างไร
พอวันที่เรามีลูก...
เราก็จะเจอคำถามเดียวกันกับที่เราเคยถามพ่อแม่สมัยเราเป็นเด็ก
อะไรจะเกิดในชีวิต...มันก็เกิดจนได้
อนาคตอยู่เหนือการคาดหมายและอาจจะเปลี่ยนแปลงได้
ใช้ชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุด คุ้มค่ากับการมีชีวิตอยู่ณ.ตอนนี้



มีโอกาสหยิบเอาแผ่นซีดีเพลงบรรเลงด้วยกล่องเพลง (Musical box) มาฟัง....ชวนให้นึกถึงบรรยากาศสมัยเรียนในญี่ปุ่น ช่วงที่อยู่อพาร์ทเมนท์ที่ไซตาม่า มีเสียงตามสายที่เป็นช่องรายการเพลงและวิทยุตลอด ๒๔ ชั่วโมง ผมมักจะเลือกฟังช่องที่มีเพลงบรรเลงด้วยกล่องเพลง...ช่วยรีแล็กซ์ได้มากทีเดียว ผ่อนคลาย แล้วก็จิตใจสงบ เพลงแบบนี้ไม่ค่อยได้ยินนักในห้างสรรพสินค้าในไทย เพลงที่บรรเลงด้วยกล่องเพลงที่ชอบมากมีเพลง When you wish upon a star แผ่นซีดีที่ซื้อกลับมาเมืองไทยที่อยากฟังคืนนี้เป็นเพลง Last Waltz ชวนให้นึกถึงบรรยากาศชั้นเรียนลีลาศที่เข้าไปเรียนสมัยเรียนปริญญาตรี ตอนนั้นผมไม่ทราบชื่อเพลงหรอกแต่เป็นเพลงที่ชวนให้เต้นลีลาศในจังหวะวอลซ์มาก เคยเห็นรายการสอนลีลาศทางทีวีในญี่ปุ่น....วอลซ์ที่สอนกันดูสง่างามมาก....ไม่ว่าคนในวัยขนาดไหนถ้าเต้นถูกสเต็ปมันดูสง่างามมาก


เมื่อคืนมีโอกาสแวะไปเยี่ยมเพื่อนรุ่นน้องที่ไม่ได้เจอกันนานมาก สองคนนี้เป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่อยู่หอของมหาวิทยาลัย หลังจากจบแล้วไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ การได้กลับมาเจอกันอีกเป็นความสุข

น้องคนหนึ่งเขายังจำเรื่องราวความคิดของเราที่พูดคุยกับเขาสมัยเรียนปริญญาตรี วันนึงเขาเข้ามาในห้องแล้วได้ยินผมฟังเพลงของชรินทร์ นันทนาครแล้วก็วิจารณ์เปรียบเทียบกับคนร้องเพลง (นักร้องสมัยใหม่...ที่ไม่มีพลังเสียง อาศัยการโปรโมทและท่าเต้น) ให้เห็นว่านักร้องที่ดีเป็นอย่างไร (ตอนผมอยู่ชมรมนักร้องประสานเสียง อาจารย์เขาสอนวิธีการร้องเพลงที่ถูกต้องว่าต้องทำอย่างไร เราเลยรู้ว่าการจะเป็นนักร้องที่ดียาก เสียงอย่างเราอย่าคิดไปร้องเพลงเสียงสูงๆเป็นอันขาดไม่อย่างนั้นได้ขายหน้าแน่ ) น้องรายนั้นเลยหันมาชอบเพลงอมตะมากขึ้น

ถ้าเขาไม่เล่าเรื่องนี้..ผมอาจจะลืมไปแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดวันนั้นจะมีอิทธิพลต่อเขา เขายังจำภาษามือที่ผมสื่อสารกับเขาได้ ผมไปจำมาจากหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ไปดูมาที่ตัวเอกของเรื่องเป็นใบ้ พระเอกกับนางเอกสื่อสารกันด้วยมือก็จริงแต่ข้อความกินใจและน่าประทับใจมาก ผมจำได้ว่าเวลาจะบอกว่า "ฉันมีความสุข" เขาจะเอามือชี้ไปที่ตัวเองก่อนหลังจากนั้นจะค่อยๆเอานิ้วชี้กวาดใต้คางขึ้นไป ตอนเรียนหนังสือในญี่ปุ่น...ได้เรียนรู้คำที่ใช้ในภาษามือมากมาย เพราะมีรายการสอนภาษามือทางทีวี NHK สังคมญี่ปุ่นสอนให้คนพิการอยู่ร่วมกันกับคนปกติและพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไม่ใช่ภาระของสังคม...ทุกคนเท่าเทียมกัน

เมื่อวานมีโอกาสได้สนทนากันจนดึกกับเพื่อนรุ่นน้องสองรายนี้ มีของแถมติดมือกลับมาเป็นภาพถ่ายคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ถ่ายมาจากอาคารสูงในเขตสีลมในยามค่ำคืน กรุงเทพฯในยามราตรีช่างงดงามจริงๆ นานมากแล้วที่ไม่ได้ถ่ายภาพในลักษณะนี้




เราทุกคนต่างมีอดีต...
เรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้...
ถึงจะย้อนเวลากลับไปอดีตไม่ได้
แต่ตอนที่เราหวนนึกถึงอดีตที่ประทับใจ...มันเป็นความสุข
คนโดยมากมีช่วงหนึ่งหรือว่าหลายๆช่วงในอดีต..ที่ประทับใจ
เก็บความรู้สึกดีๆเหล่านี้เอาไว้
เพราะความรู้สึกแบบนี้มันเป็นสีสันของชีวิต
ความรู้สึกแบบนี้ ฝรั่งใช้คำว่า "Nostalgia" หละ


ผมเชื่อว่าคุณมีความประทับใจในอดีตนะ...
คุณอาจจะเก็บเอาไว้ที่มุมลึกๆของจิตใจ
วันนึงถ้าคุณบังเอิญไปค้นพบเข้า...
ผมเชื่อว่าคุณคงรู้สึกเบิกบานใจ...ไม่ต่างจากผมในวันนี้




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2552    
Last Update : 12 มิถุนายน 2552 0:58:23 น.
Counter : 1249 Pageviews.  

๖ วันจากการสัมมนา "การพัฒนาภาวะผู้นำเพื่อชุมชนและสังคม" (BCL รุ่น ๑๖)

Entrepreneur ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกตอนที่เรียนปี ๑ ในหลักสูตรปริญญาตรี พออาจารย์ที่สอนเขาขยายความหมายให้ฟังว่าคำนี้หมายความว่าอะไร..ยิ่งชื่นชอบมากๆ มีคนพยายามแปลความหมายคำนี้เป็นภาษาไทยเชิงวิชาการได้คำไทยๆว่า "ผู้ประกอบการ" แต่ถ้าแปลแบบภาษาจีนแต้จิ๋วหรือเฉาโจว ก็จะได้ความหมายที่คุ้นเคยกันดีว่า "เถ้าแก่"


จังหวะชีวิตของคนเรา...บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมตอนที่เราโหยหาโอกาสอะไรบางอย่าง มันกลับไม่มา แต่ตอนที่เราอยู่เฉยๆมันกลับแวะเข้ามาเคาะประตูแล้วก็หยิบยื่นประสบการณ์ดีๆมอบให้กับตัวเรา แต่ว่าตอนนั้นเราพร้อมที่จะเปิดประตูรับมันไหม? เพราะหลายๆคนไม่อดทนที่จะรอโอกาสนั้นหรือว่า...ตอนที่มันแวะเข้ามาทักทายเรา...เราเองต่างหากที่ไม่พร้อมจะเปิดประตูรับโอกาสดีๆแบบนั้น


ผมแวะไปเจอเพื่อนเก่าตอนกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด เขารับทราบว่าผมกำลังจะลาออกจากธนาคารแล้วกลับไปช่วยกิจการของครอบครัวในต่างจังหวัด เขาพูดถึงโครงการดีๆที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ในท้องถิ่นร่วมกันทำกิจกรรมดีๆเพื่อพัฒนาท้องถิ่น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ส่งอีเมลเรื่องการสัมมนา "การพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน" มาให้ผมแล้วก็ถามว่าสนใจไหม? หลังจากอ่านรายละเอียดแล้วก็คิดว่ามันน่าสนใจ...แล้วคิดว่าจากการเข้าสัมมนาคราวนี้เราคงได้อะไรเป็นแนวคิดใหม่ๆ ก่อนจะไปเริ่มสานต่อกิจการของครอบครัวต่อไป


ส่งใบสมัครเข้าร่วมสัมมนาโครงการนี้ไปที่มูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชน (The Foundation for Business and Community Leadership Development) ดูเหมือนเขามีการคัดเลือกผู้สัมมนาก่อนจะตอบรับ แต่สุดท้ายผมก็ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการก่อนวันทำงานวันสุดท้ายที่ธนาคาร


พออ่านรายละเอียดกำหนดการของการสัมมนาคราวนี้.......


อบรมตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งถึง ๔ ทุ่มครึ่งตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม จนถึงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม สัมมนาเสร็จสิ้นลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคมตอนเที่ยง


คิดในใจว่ามันจะหนักอะไรขนาดนี้ เพราะยังไม่เคยเข้าอบรมหรือเข้าร่วมสัมมนาครั้งไหนที่เลิกดึกขนาดนี้ มันคงมีอะไรน่าสนใจในการสัมมนาคราวนี้..เขาถึงได้อบรมเลิกดึกขนาดนี้


สถานที่จัดสัมมนาทางผู้จัดเขาเลือกศูนย์ฝึกอบรมบ้านผู้หว่าน ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นสถานที่ในการจัดสัมมนา


ค่าใช้จ่ายในการสัมมนาคราวนี้ผู้เข้าอบรมจ่ายเพียงค่าที่พักและอาหารเท่านั้น ผู้เข้าร่วมสัมมนามาจากหลายจังหวัด มีทั้งผู้ประกอบการและข้าราชการ


การสัมมนา "การพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน รุ่นที่ ๑๖" เริ่มต้นที่ห้องประชุมนี้






กฎเกณฑ์ถูกกำหนดเอาไว้สำหรับคนเข้าสัมมนาว่า...

ใครเข้าห้องประชุมแล้วลืมเซ็นต์ชื่อเสียค่าปรับ ใครลืมคล้องป้ายชื่อก็โดนปรับ ใครเข้าห้องประชุมเกินกว่าเวลาเริ่มสัมมนาก็โดนปรับ ใครเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังออกมาในห้องสัมมนาโดนปรับแพงทีเดียวถึง ๑๐๐๐ บาท

กฎระเบียบแบบนี้...ผมไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน แต่กฎเกณฑ์แบบนี้ทำให้การสัมมนา ๖ วันผ่านไปอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วลองเดาดูว่าผมโดนปรับหรือไม่?





ชั้นเรียนตอนบ่ายของวันแรก...ผมลืมเซ็นต์ชื่อ แล้ววันที่มีการซื้อเสื้อของชมรม...มัวแต่มองดูเสื้อ...ลองเสื้อ...จนลืมเซ็นต์ชื่อไปเลย ผมเลยบริจาคเงินเข้ากองกลางไปตามกฎกติกาและมารยาทของการสัมมนาครั้งนี้ถึงสองครั้ง


เงินที่มีผู้บริจาคก็จะถูกหย่อนลงในกล่องลูกอมแบบนี้แหละ แต่ว่าคนบริจาคคนนี้เขาไม่มีแบงก์ย่อย เขาเลยบริจาคด้วยแบงก์พันแต่ไปขอแลกทีหลัง







หลายๆคนไม่อยากให้มีเสียงโทรศัพท์รบกวนคนอื่นและเคารพกฎของการสัมมนา...เลยเอาโทรศัพท์มือถือฝากไว้หน้าห้องแบบนี้ โดยเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าห้องช่วยรับโทรศัพท์แทนและจดข้อความสำคัญไว้ให้ พอเสร็จการประชุมหรือว่าช่วงเบรก...เจ้าของโทรศัพท์มือถือก็มารับโทรศัพท์มือถือไปโทรติดต่อธุระของตนเอง






ตอนทำงานกับหลายองค์กรที่ผ่านมา....ดูเหมือนบรรดาผู้บริหารบางคนให้ความสำคัญกับโทรศัพท์มือถือมากจนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประชุม


ความจริงเรื่องของการรักษาเวลาในการประชุมมันเป็นมารยาทที่ทุกคนควรให้ความสำคัญแต่...หลายคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของเวลาในการประชุมเอาเสียเลย บางครั้งผมมีคำถามในใจว่า...เวลาของคนบางคนสำคัญมากขนาดที่ให้ทุกคนมารออย่างนั้นหรือ?...ทั้งๆที่เวลาของทุกคนสำคัญเท่ากัน คนมาก่อนเวลาแต่ต้องเสียเวลารอคนมาสาย และกว่าการประชุมจะเริ่มต้นก็กินเวลาไปอย่างน้อย ๒๐ นาทีแล้ว ในญี่ปุ่นเป็นที่รู้กันว่าถ้ารอกันถึง ๓๐ นาทีแล้วยังไม่มา...การประชุมเป็นอันยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ แต่ในเมืองไทยผมเคยเจอประสบการณ์ที่ต้องมารอคนๆเดียวเพื่อเข้าประชุม เราเสียเวลารอคนๆนั้นกว่า ๔๐ นาทีเพียงเพราะคนๆนั้นมัวแต่คุยโทรศัพท์


คนเราไม่ได้มีประชุมเพียงประชุมเดียว...บางครั้งเราก็มีนัดอื่นที่ต้องทำต่อจากประชุมนั้น เมื่อประชุมเลิกล่าช้ากว่ากำหนด มันย่อมส่งผลกระทบต่อตารางนัดหมายที่ตามมา... จะมีกี่คนที่ตระหนักว่าสิ่งที่เราทำมีผลกระทบต่อคนอื่น?


เพื่อนใหม่คนแรกที่รู้จักจากการอบรมคราวนี้คือพี่หมอไก่ พี่หมอไก่จบทันตแพทย์ จุฬาฯ แต่ด้วยเหตุผลที่เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว ก็ต้องกลับไปช่วยกิจการของครอบครัว การที่พี่หมอไก่เคยเป็นเด็กกิจกรรมสมัยเป็นนิสิตมาก่อน...แกเลยมาทำกิจกรรมของ BCL (Business Community Leadership) ให้กับจังหวัดนครสวรรค์ เหตุผลของพี่หมอไก่ใกล้เคียงกับผมในการกลับไปช่วยกิจการครอบครัวถึงผมจะไม่ใช่ลูกชายคนโตก็ตาม แล้วก็สมัยเรียนผมก็เป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่ง จบออกมาแล้วก็ยังทำกิจกรรมโน่นกิจกรรมนี่มาตลอด...ราวกับว่าชีวิตมันไม่เคยหยุดนิ่ง อยู่เฉยๆไม่ค่อยเป็น การได้มารู้จักพี่หมอไก่ในการสัมมนาคราวนี้...มันทำให้การกลับไปทำกิจกรรมที่นครสวรรค์ง่ายขึ้นเพราะมีคนที่เรารู้จักแล้ว คุ้นเคยกันแล้ว









พอดูรายชื่อคนที่เข้ามาร่วมสัมมนาคราวนี้มีคนที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกถึง ๔ คน ทั้งหมดเป็นอดีตนักเรียนทุน


ดร.ป้อม เป็นอดีตนักเรียนทุนอานันทมหิดล แม่พูดถึงดร.ป้อมให้ฟังอยู่บ่อยๆว่าจบด็อกเตอร์มา...แต่ก็กลับมาทำกิจการครอบครัวที่นครสวรรค์ เหตุผลที่ดร.ป้อมต้องกลับมาทำกิจการครอบครัวเพราะว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ช่วงนั้นคุณพ่อเขาเสียชีวิตลงไม่มีคนสานกิจการต่อ ดร.ป้อมตัดสินใจยุติบทบาทอาจารย์ Finance ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาเป็นเถ้าแก่บริหารกิจการพลาสติกรีไซเคิลของครอบครัว ที่ร้านผมก็เป็นลูกค้ารายหนึ่งของโรงงานของดร.ป้อม





ดร.ยูจบด็อกเตอร์ด้านฟิสิกส์จาก Hannover ในเยอรมนี ได้ฟังดร.ยูอธิบายความหมายของทฤษฎีสัมพันธภาพและทฤษฎีควอนตัมทำให้ผมเชื่อว่า "กรรมจัดสรร" ให้เราพบผู้คนในช่วงเวลาที่เหมาะสมเอง


พี่โด่ง ไปจบด็อกเตอร์ด้านกฎหมายจากเยอรมนี ตอนเล่นเกมส์วันแรก ไปคว้าป้ายชื่อพี่โด่งมา...ตามหาตัวเจ้าของป้ายชื่อจนเจอ แต่ระหว่างอบรมไม่ค่อยได้ทำ Workshop กลุ่มเดียวกับพี่โด่ง พี่โด่งให้ผมยืมจักรยานไปขี่ออกกำลังกายเล่นตอนเช้ารอบๆศูนย์อบรมบ้านผู้หว่าน...ถึงได้รู้ว่าสถานที่มันกว้างและมีธรรมชาติที่สวยงามขนาดไหน







ทุนอานันทมหิดลไม่ผูกมัดผู้ได้รับทุน ทุนของเยอรมันที่ดร.ยูและพี่โด่งได้รับก็ไม่มีการผูกมัดผู้ได้รับทุน เช่นเดียวกันทุนรัฐบาลญี่ปุ่นที่ผมได้รับก็ไม่มีสัญญาผูกมัดอะไรกับผู้ได้รับทุน



มีความรู้สึกว่าด็อกเตอร์ทั้งสี่คนมีลักษณะนิสัยร่วมกันที่พอสัมผัสได้...ในเรื่องของความเชื่อมั่นในตัวเอง, การคิดอะไรแบบมีระบบและหลักการ อาจจะเป็นเพราะว่าระบบการเรียนในหลักสูตรปริญญาเอกสอนให้คิดแบบนั้น กว่าวิทยานิพนธ์จะผ่านพ้นการอนุมัติจากอาจารย์ที่ปรึกษา....เราต้องโต้แย้งด้วยเหตุผลและน้ำหนักที่เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้อาจารย์ที่ปรึกษาคล้อยตามได้ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างเราทั้งสี่คนคือยังเป็นโสดอยู่




วิทยากรที่มาให้ความรู้มาจากนิด้าเป็นส่วนใหญ่ ที่มาที่ไปของ BCL ก็มาจากนิด้าไอเม็ทซึ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์ดร.นิกร วัฒนพนมมาก่อน เหล่าศิษย์พวกนั้นตอนนี้ก็อยู่ในวัยเกษียณแล้วมีรุ่นลูกที่มารับช่วงกิจการต่อ หลังจากนิด้าไอเม็ทเงียบหายไปแล้ว ก็มีการฟื้นการจัดอบรม BCL (Business Community Leadership) ขึ้นมาให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่เพื่อให้นักธุรกิจผู้ประกอบการเหล่านั้นไปเป็นผู้นำของชุมชนพัฒนาสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นโดยอยู่บนพื้นฐานของความมีคุณธรรม ทุนสนับสนุนของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชนได้มาจากจิตศรัทธาด้วยความสมัครใจของเหล่าศิษย์เก่า BCL ไม่มีการเรี่ยไรจากบรรดาศิษย์เก่า

วัตถุประสงค์จริงๆของ BCL ก็เพื่อสร้างผู้นำธุรกิจและชุมชน เครือข่ายของผู้นำธุรกิจและชุมชนเหล่านั้นมาร่วมมือกันพัฒนาท้องถิ่นที่ตนเองอยู่ และเครือข่ายทั่วประเทศถ้ามาร่วมมือกันมันก็จะมีพลังผลักดันสร้างสิ่งดีๆให้แก่สังคม ประเทศชาติต่อไป

ทางคณะกรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิธิเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าความตั้งใจที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมในลักษณะนี้จะต้องเกิดภายในระยะเวลาอันสั้น แต่การจะขับเคลื่อนให้สังคมไปในทิศทางที่ถูกต้องต้องใช้เวลา...ผ่านการล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจจนกว่าเครือข่ายผู้นำธุรกิจและชุมชนทั่วประเทศจะช่วยกันผลักดันขับเคลื่อนสังคมไทยไปในครรลองที่ถูกต้อง วันนึงมันคงไปถึง


เคยได้ยินชื่ออาจารย์นิกร วัฒนพนม ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี แต่ไม่มีโอกาสได้เจอ ผมยังไม่มีโอกาสได้ฟังอาจารย์นิกรบรรยายที่ไหนมาก่อน...

การมาร่วมสัมมนาคราวนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้สัมผัสกับอาจารย์ดร.นิกร วัฒนพนมตัวจริง แนวคิดที่อาจารย์นิกรถ่ายทอดปลูกฝังให้แก่พวกเรา มันทำให้พวกเราหัดมองย้อนสะท้อนตัวเราเอง ค้นหาตัวเราเอง ซึ่งหลายครั้งที่พวกเราเองก็มองข้ามเรื่องพวกนี้ วันแรกอาจารย์ตั้งคำถามให้พวกเราตอบกับตัวเองว่า


เราคือใคร?, เราทำงานไปทำไม?, ความฝันที่เราอยากจะให้มันเกิดขึ้นในชีวิตคืออะไร?, แล้วตอนนี้เราไปถึงไหนแล้ว จุดหมายที่เราจะไปให้ถึงกับความจริงณ.ปัจจุบันมันมีความห่างกันแค่ไหน?, แล้วรู้ไหมว่าจะไปถึงจุดหมายนั้นควรและต้องทำอย่างไร?


อาจารย์นิกรยังไม่ได้ให้เราตอบคำถามเหล่านี้วันแรก ให้เก็บเอาไว้ในใจก่อน


อาจารย์นิกรมักจะมีรูปมาให้เราดู แล้วถามพวกเราว่าเรามองรูปเหล่านั้นแล้วนึกถึงอะไร?


คำตอบของเพื่อนๆร่วมรุ่นสะท้อนว่าหลายคนในที่นี้เป็นคนสนใจธรรมะ เพราะคนที่ไม่สนใจธรรมะจะไม่คิดแบบนั้นแล้วจะไม่ตอบแบบนั้น การที่คนสนใจอะไรเหมือนๆกันมันก็เลยเกิดแรงดึงดูดให้คนเหล่านี้มาเจอกัน รู้จักกัน ได้ทำกรรมร่วมกัน เสริมกันสร้างกรรมดีร่วมกัน


อาจารย์นิกรปูพื้นความหมายของคำว่า "ผู้นำ" และผู้นำที่ดีควรจะเป็นอย่างไร? ตัวอย่างผู้นำที่ประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือ

"คนเหล่านั้นทำอะไรอยู่บนพื้นฐานของการมีหลักการ มีคุณธรรม และมโนธรรมเป็นตัวคุมคนเหล่านั้นไม่ไปทำในสิ่งที่ผิดหลักคุณธรรม ไม่ว่าสิ่งที่ไร้คุณธรรมนั้นสังคมส่วนใหญ่จะยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ใครก็ทำกันได้ทั้งนั้น แต่ผู้นำที่ดีจะไม่ทำสิ่งไร้คุณธรรมนั้น"


"อุดมการณ์ต้องไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างอื่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา"


อาจารย์นิกรหยิบยกตัวอย่างขึ้นมาให้เราเห็นก่อนจะสรุปแนวคิดของอาจารย์เอาไว้ว่า

"ความสวย ชัยชนะ และความสำเร็จ เป็นของชั่วคราว

แต่

ความงาม ความดี และความถูกต้องเป็นของถาวร"









ตอนค่ำของวันแรก อาจารย์สุภัท ตันสถิติกร อดีตนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เป็นคนนำพวกเราทำ Worskshop ฝึกการฟังและการพูดโน้มน้าวคนอื่น โดยหยิบหัวข้อที่เราสนใจมาถกปัญหากัน กลุ่มเราหยิบหัวข้อ "รัฐบาลควรเปิดบ่อนเสรีไหม?" และ "อยู่เป็นโสดหรือว่าแต่งงานดีกว่ากัน?" มาถกกัน บังเอิญมาเจอลักษณะของผู้เห็นด้วย ๓ คนแต่ผู้ไม่เห็นด้วย ๑ คนต่อหัวข้อดังกล่าว แม้ว่าหัวข้ออยู่เป็นโสดหรือชีวิตแต่งงานจะถูกเขียนไว้เยอะแล้วในบล็อกนี้ แต่การที่คนไม่เห็นด้วยต้องพยายามโน้มน้าวให้คนเห็นด้วยคล้อยตามมาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว...ไม่ง่ายนัก มีคนในกลุ่มเป็นคนคอยสังเกตการณ์แล้วสรุปให้ฟังเพื่อคนพูดจะได้พัฒนาตนเองและหาทางปรับปรุงในการพูดให้ดีขึ้น


วันที่สองของการสัมมนา อาจารย์นิกรพูดถึงนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง อาจารย์ชี้ให้เห็นของสิ่งที่เรียกว่า "กระแส" และตัวนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมากและรุนแรง ตัวนี้ถูกมองข้ามไปเวลามีการสอนในชั้นเรียนในมหาวิทยาลัย

ตัวอย่างของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในโลกหลายคนออกจากการเรียนกลางคันอย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์, บิล เกตต์, หรือสองหนุ่มคนก่อตั้ง Google ขึ้นมาแต่ลาออกกลางคันในระหว่างเรียนหลักสูตรปริญญาเอก

ตอนที่ฟังเรื่องราวคนดังเหล่านั้นที่ทิ้งการเรียนกลางคัน...ในใจเถียงเล็กๆว่า...สำหรับเรา...ปริญญาเอกไม่ใช่เพื่อตัวเราคนเดียว..จะให้เลิกล้มกลางคันเป็นไปไม่ได้...เพราะว่ามันมีความหมายต่อครอบครัวเรา เพื่อนเรา คนที่คอยให้กำลังใจเรามาตลอด พวกเขาคอยรอความสำเร็จของเรา หรือถ้าวันนึงเราตัดสินใจแต่งงานแล้วก็มีลูกต่อไป ตัวอย่างของความพยายามกว่าจะได้ปริญญาเอกมันเอาไปสอนลูกได้ว่า "ความพยายามของผู้คนไม่จบลงด้วยความสูญเปล่า" ถ้าไม่มีตัวอย่างนี้จะกล้าสอนลูกไหม?


เส้นทางในชีวิตของผู้คนมีทางเลือกที่แตกต่างกัน สำหรับผมขอเลือกที่จะไล่ล่าฝันที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เด็ก การมีคำว่า "ดร." นำหน้า ทำสำเร็จแล้วก็เกิดความภูมิใจแล้ว แล้วคิดว่ามันเป็นแบบอย่างให้คนอื่นเห็นว่าผลลัพธ์ของความเพียรมันตอบแทนกับผู้คนเสมอถ้าไม่เลิกล้มความตั้งใจไปเสียก่อน


อาจารย์ดร.นิกร หยิบยกเรื่องราวของ สตีฟ จ็อบส์ คนที่ปั้นแม็คอินทอชขึ้นมาในโลกใบนี้มาให้พวกเราฟัง คนมักจะชื่นชมกับความสำเร็จของคนดังแต่ไม่รู้หรอกว่ากว่าเขาจะมาถึงวันนี้เขาผ่านเรื่องเลวร้ายมานับไม่ถ้วน ชีวิตที่ลำบากของสตีฟ จ็อบส์ มันทำให้ชีวิตเขามาถึงวันนี้ ถ้าสตีฟ จ็อบส์ไม่เข้าไปนั่งเรียนด้านการออกแบบตัวอักษรในชั้นเรียนภายหลังจากเขาลาออกจากมหาวิทยาลัย....เขาคงไม่สามารถสร้างแม็คอินทอชขึ้นมาในโลกใบนี้ มองย้อนกลับไปเขาถึงได้รู้ว่า...ไอ้จุดที่เขาเคยนั่งจุดไปเรื่อยๆในระหว่างชั้นเรียน...มันโยงมาถึงอนาคต

บางทีชีวิตก็เป็นแบบนี้ สิ่งที่เราทำวันนี้ เราไม่รู้หรอกว่ามันนำทางให้เราไปเจออะไรหลายๆอย่างในอนาคต


อาจารย์นิกรหยิบเรื่อง แจ๊ค มาร์ อดีตครูสอนภาษาอังกฤษชาวจีนที่ไม่เคยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มาก่อน...แต่ใครจะรู้ว่าจากการที่ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย...เขาหันมาสนใจคอมพิวเตอร์จากการได้สัมผัสแป้นคีย์บอร์ดตอนไปอเมริกาและคิดค้นการค้นหาคำในภาษาจีนจนมาก่อตั้งเว็บไซต์ค้นหาคำที่ชื่อ Alibaba.com เขาเป็นคนนึงที่นิตยสาร Times ลงว่าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อโลกใบนี้

แจ็ค มาร์ บอกว่า

"เขาไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อเงิน แต่เขาทำธุรกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ต่างหาก"


อาจารย์นิกร สรุปตอนท้ายว่า

"ถ้าโลกใบนี้ยังมีฝัน
มีจินตนาการ
มีแรงบันดาลใจ
สามารถทำสิ่งต่างๆในโลกใบนี้ได้"



การอบรมวันที่สองพวกเราถูกให้ฝึกคิดเป็นระบบ คิดหาสาเหตุของปัญหา อาการของปัญหาไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาจริงๆ มีการทำ Workshop แต่ละกลุ่มพยายามคิดว่ามีปัญหาอะไรในการทำงาน ปัญหานั้นต้นเหตุมาจากอะไร ปัญหานั้นโยงไปสู่ปัญหาอื่นอย่างไร มีการโยงมาถึงปัญหาคอร์รัปชั่นในเมืองไทย ค้นหาต้นตอรากเหง้าของปัญหาว่ามันเกิดจากอะไร ผลกระทบตามมาจะเป็นอย่างไร ไปเกี่ยวโยงกับอะไรบ้าง เราสมควรวางเฉยต่อปัญหานี้ต่อไปหรือว่าพยายามหาทางขจัดค่านิยมที่ผิดๆตรงนี้ออกไปจากสังคมไทย


วันที่สามของการอบรม...อาจารย์นิกรให้พวกเราค้นหาตนเอง การทำ Workshop อาจารย์ให้เวลาพวกเรานั่งเขียนสรุปสะท้อนตัวเราออกมาว่า เราเป็นใคร เราทำงานไปเพื่ออะไร เรามีความฝันว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร แล้วก็ตอนนี้เราอยู่ห่างจากเป้าหมายนั้นมากน้อยแค่ไหน ทำอย่างไรจะไปถึงจุดนั้น คุณค่าที่ตัวเราให้ความสำคัญคืออะไร? และคุณค่านั้นมันมีความหมายต่อตัวเราอย่างไร อาจารย์ให้เรานั่งเขียนแบบสบายๆตลอดภาคเช้าของการสัมมนา...จะไปน้่งเขียนที่ไหนก็ได้ ใช้เวลาเขียนกัน ๓ ชั่วโมงเพื่อค้นหาตัวเอง

เป็นเรื่องยากนะ...หลายคนไม่เคยหยุดคิดและถามตัวเองเลยว่า เราเป็นใคร? เราชอบและสนใจอะไรกันแน่ในชีวิต? อะไรคือเป้าหมายแท้จริงในชีวิต?









ตอนบ่ายอาจารย์นิกรให้โอกาสพูดว่าพวกเราค้นหาตัวเองแล้วรู้ไหมว่าเป้าหมายในชีวิตเราต้องการเป็นอะไร

มีลูกยุจากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งทำงานด้วยให้ผมพูด.....อาจจะเป็นเพราะปกติผมมักจะแสดงความคิดเห็นเสมอเวลาอาจารย์ถามความคิดเห็นของคนที่มาสัมมนา


ไมโครโฟนถูกวางที่โต๊ะ....คนอื่นกำลังรอฟังว่าผมจะพูดว่าอะไร?

ความจริง....ผมใช้เวลาค้นหาตัวเองมานาน นานมากพอที่จะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร แต่ว่าไม่มีโอกาสได้พูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เคยพูดกับเพื่อนสนิท บางคนได้ยินสิ่งที่เราพูดเรื่องเป้าหมายในชีวิตก็หัวเราะทันทีแล้วก็พูดออกมาว่ามันยากที่จะไปถึง

วันนี้เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้พูดถึงเป้าหมายในชีวิตที่เรามีความชัดเจนมานานแล้วต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้...


"ผมรู้ว่าผมเป็นผู้ชายที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบในชีวิต แล้วก็ไม่เคยยอมแพ้แม้ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าความล้มเหลวคือบันไดก้าวแรกของความสำเร็จที่จะตามมา ถ้าเราอดทนต่อความพ่ายแพ้ แต่ยังคงเพียรพยายามต่อไป วันนึงเราจะสัมผัสความหอมหวลของความสำเร็จในที่สุด

ผมมีชีวิตดำรงอยู่เพื่อพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและโลกใบนี้ให้เกิดการพัฒนาไปในทางที่ถูกต้อง

แล้วทำไมชีวิตต้องพัฒนาด้วย?

ก็เพราะว่าถ้าเราไม่มีการพัฒนาแต่ปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปเรื่อยๆ ชีวิตเหมือนไม่มีคุณค่า ไม่มีสีสัน คุณค่าในตัวเราลดไปเรื่อยๆเหมือนรอให้วินาทีสุดท้ายของชีวิตมาถึง

แล้วทำไมต้องมีการสร้างคุณค่าด้วย?

ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่า และคุณค่าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อตัวเขาตระหนักในสิ่งที่เขาทำว่ามีคุณค่า มีความภูมิใจในสิ่งที่เขาทำ และเมื่อเขาทำในสิ่งที่มีคุณค่า เขาก็จะมีความสุขในการใช้ชีวิตในโลกใบนี้และคุณค่าที่เขาได้ทำมันยังสามารถถ่ายทอดไปสู่บุคคลอื่นได้ด้วย

พื้นฐานของมนุษย์ทุกคนมีเรื่องราวของความภาคภูมิใจ แต่เรื่องราวความภาคภูมิใจจะมีไม่กี่เรื่องในชีวิตถ้าเขาไม่คิดที่จะสร้างเรื่องราวในชีวิตด้วยการทำสิ่งที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นให้กับตนเอง ให้แก่ผู้อื่น ความภาคภูมิใจช่วยหล่อเลี้ยงให้จิตใจเบิกบานและรู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าที่จะดำเนินต่อไป

ผมประกอบอาชีพไปเพื่ออะไร?

การที่ผมมีอาชีพทำให้ผมมีรายได้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รายได้ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายสามารถนำไปบริจาคช่วยเหลือบุคคลที่สมควรช่วยในสังคม มีเงินสำรองเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เจ็บป่วย ในยามชรา โดยไม่เป็นภาระแก่ใคร



ความฝันในอนาคตของผม...

ผมอยากมีผลงานที่เป็นแนวคิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนบนโลกใบนี้ให้เกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่เจริญขึ้น ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ ผลงานตรงนี้เกิดการยอมรับของคนทั่วโลก ผลงานดีพอที่สมควรกับการได้รับรางวัลโนเบล

คุณอาจจะหัวเราะเยาะที่ได้ยินว่าผมมีความฝันว่าจะไปให้ถึงรางวัลโนเบล

แต่ไม่เป็นไรหรอก...

วันที่ผมได้รับรางวัลโนเบลเมื่อไหร่...วันนั้นผมขอเปลี่ยนเสียงหัวเราะเยาะในวันนี้..เป็นเสียงชื่นชม เสียงของการแสดงความยินดี แล้วก็เสียงปรบมือ


ถ้าสมมติว่าผมได้รับรางวัลโนเบลแล้วณ.ตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร?

ผมจะมีความภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตนเองและสังคม ช่วยพัฒนาโลกใบนี้ให้น่าอยู่ขึ้น แต่ก็จะพยายามสร้างสรรค์ผลงาน แนวคิดดีๆออกมาให้แก่ผู้คนบนโลกใบนี้ต่อไป โดยไม่มุ่งหวังรางวัลอื่นตอบแทนอีก ขอเพียงแนวคิดที่เราถ่ายทอดให้แก่ผู้คนบนโลกใบนี้ช่วยพัฒนาโลกใบนี้ให้ดีขึ้น ไม่ว่าผมจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ตาม ผู้คนบนโลกใบนี้กล่าวขวัญถึงผลงานที่ผมสร้างและทิ้งเอาไว้กับโลกใบนี้ด้วยความชื่นชม


ตอนนี้เป้าหมายที่จะไปถึงรางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลโนเบลกับปัจจุบันมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหน?


ตอนนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น...แต่เห็นการพัฒนาคืบไปข้างหน้าเรื่อยๆ"



พอพูดจบลงมีเพื่อนบางคนเข้ามาชื่นชมในสิ่งที่ผมพูดแล้วก็จะคอยรอความฝันที่ผมจะทำให้มันเป็นจริงในอนาคต..โดยไม่หัวเราะเยาะความฝันของผม

ข้อความจากหนังสือ "ความฝันโง่ๆ" ของ คุณ วินทร์ เลียววาริณ พูดถึงความฝันของคนตาบอดคนหนึ่งที่ชื่อ แอริค วิลีนไมเยอร์ ที่ต้องการปีนยอดเขาเอเวอร์เรสท์ แค่ฟังหลายคนอาจจะบอกว่านี่ช่างเป็นความฝันที่โง่มากๆที่ตาบอดแล้วยังไม่เจียมตัวคิดจะปีนยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกที่คนตาดีหลายคนไม่เคยทำได้ แต่ว่า แอริค วิลีนไมเยอร์ก็พิสูจน์ว่ากำลังใจมนุษย์อยู่เหนือความทุพพลภาพ เขาพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๑

บ่อยครั้งที่มนุษย์เรามีความฝันแต่ความฝันนั้นกลับถูกมองว่าเป็น "ความฝันโง่ๆ" แล้วเราก็ทิ้งฝันนั้นไป แต่ถ้าเราไม่สนใจว่าใครจะว่าเป็นความฝันอันโง่เง่าขนาดไหน...แต่เรายังคงไล่ล่าฝันของเราต่อไปโดยไม่ท้อต่อเสียงเย้ยหยันเหล่านั้น....ใครจะรู้ว่าฝันที่ใครๆก็บอกว่าเป็นความฝันโง่ๆมันกลายเป็นจริงขึ้นมา



พูดถึงความฝันแล้วมีเรื่องที่ขอโยงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย....ในรุ่นนี้มีญาติคนดังมาร่วมสัมมนาด้วยหลายคน

คนแรกที่จะขอแนะนำคือน้องเม่ย(妹)เม่ยเป็นญาติกับคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ผมมักจะอ่านบทความของคุณบัณฑิตอยู่บ่อยๆ ในบล็อกนี้ก็ยกข้อความของคุณบัณฑิตมาลงบ่อยๆ ระหว่างอบรมมักเจอเม่ยตาปรืออยู่บ่อยๆระหว่างที่ฟังการบรรยาย แต่ก็มีจรรยาบรรณของช่างภาพที่จะไม่เก็บภาพแบบนั้นไว้เป็นที่ระลึกให้คนในรุ่นรู้
 
เม่ยมีความฝันอยากเป็นอึ้งย้ง...แต่ไม่ต้องการก๊วยเจ๋งเพราะก๊วยเจ๋งที่บรรยายเอาไว้ในมังกรหยกเป็นผู้ชายที่ซื่อบื้อไปหน่อย







ตอนบ่ายวันนั้นวิทยากรเป็นรุ่นพี่ที่เป็น BCL รุ่นที่ ๑ ชื่อ เกรียงศักดิ์ วิริยะอาชา พี่เกรียงศักดิ์(หลี)เป็นนายกเทศมนตรีตำบลหนองแก อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น เทศบาลตำบลหนองแกได้รับรางวัลเทศบาลดีเด่น พี่หลีเล่าให้เราฟังว่าเขาสร้างระบบเทศบาลที่ปลอดจากระบบคอร์รัปชันได้อย่างไร บริหารเทศบาลอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ บทบาทของเทศบาลต่อการให้บริการประชาชน ความจริงถ้ามีคนคิดอย่างพี่หลีเราคงไม่หงุดหงิดกับการให้บริการประชาชนของระบบราชการ ตราบเท่าที่หัวหน้าไม่คิดเรื่องการโกง....ลูกน้องไม่กล้าที่จะโกง....การคอร์รัปชันจะไม่เกิดขึ้น





ค่ำคืนนั้น...เราทำ Workshop ที่เป็นกระจกส่องให้กัน ว่าเรามองตัวเราอย่างไร แล้วคนอื่นมองเราอย่างไร เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าวันนั้นจะเลิก ๕ ทุ่มกว่า


วันนั้นมีเสียงสะท้อนออกมาจากรุ่นพี่เก่าว่าผมใช้เวลากับการบันทึกภาพมากไปหน่อย ความจริงก็มองว่าทุกคนคงอยากมีอะไรเป็นที่ระลึกเก็บเอาไว้จากการสัมมนาคราวนี้ แต่ไม่เห็นใครจะมาทำหน้าที่บันทึกภาพบรรยากาศในการอบรมเท่าไหร่ เราเลยทำหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ระหว่างสัมมนาตามประสาคนชอบถ่ายภาพ พอมีเสียงเตือนเราเลยเพลามือลง






วันที่สี่ของการอบรม อาจารย์ดร.มณีวรรณ ฉัตรอุทัย มาสอนให้ความรู้โดยหยิบยกเรื่องของการคิดและการบริหารคน หยิบเอาแนวคิดของโนนะกะ กูรูด้านนวัตกรรมของญี่ปุ่น เรื่อง SECI มาอธิบาย อาจารย์มณีวรรณมีวิธีการดำเนินการสอนได้สนุกสนานมาก มีการหยิบเอาตัวอย่างบ้านขนมนันทวัน ร้านขนมชื่อดังในเพชรบุรีของพี่นันทวันมาสอนโดยอธิบายกับโมเดล SECI ของ Nonaka ได้อย่างลงตัว







ตอนบ่ายมีการเลือกประธานรุ่น เงื่อนไขในการเลือกประธานได้รับการแนะนำจากรุ่นพี่ว่าปัญหาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ถ้าจะให้การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพประธานรุ่นควรจะมีความสมัครใจและพร้อมที่จะมาทำงานตรงนี้ ตรงนี้เลยได้ข้อสรุปว่าประธาน BCL รุ่น ๑๖ ควรมาจากความสมัครใจ มีเพื่อนๆในรุ่นที่ออกมาเป็นตัวแทนของรุ่นทั้งหมด ๖ คน เป็นประธานรุ่น ๑ คน รองประธานรุ่นที่ดูแลประสานงานกับเพื่อนในแต่ละภาคจำนวน ๓ คน มีเลขานุการ ๑ คนและเหรัญญิก ๑ คน ส่วนเพื่อนในรุ่นที่เหลือทุกคนก็ถือว่าเป็นกรรมการของรุ่นไปด้วย พี่วันดี(ลี่)เป็นประธานรุ่น ๑๖ ผมเป็นรองประธานภาคกลาง พี่แหม่มเป็นรองประธานภาคใต้ เชอร์รี่เป็นรองประธานภาคอีสาน หนูเป็นเหรัญญิก และยอดเป็นเลขานุการของรุ่น






อาจารย์สุภัท มาสอนเรื่อง Presentation ปกติอาจารย์ก็มีเรื่องตลกที่ต้องฟังดีๆถึงจะเข้าใจมาเล่าให้พวกเราฟังอยู่แล้ว

คราวนี้พอมาหยิบประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่อง Presentation มาพูด เรียกเสียงฮาจากชั้นเรียนได้ไม่ยาก














ตอนค่ำมีกิจกรรมที่ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่า "ทีม" คืออะไร โดยอาจารย์วิวรรธน์ มิ่งเมือง การจะสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพมันผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง...จะเอาชนะความขัดแย้งอย่างไรจึงจะมาสู่ขั้นตอนของการสร้างสรรค์ได้เร็วที่สุด


วันที่ห้าของการอบรม อาจารย์ดร.ชัยรัช หิรัญยะวิสิต มาพูดถึงธุรกิจขนาดย่อม โมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมันมีหน้าตาอย่างไร ทั้งในไทย ในอเมริกา ความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ไม่สร้างเงื่อนไขวุ่นวายให้ลูกค้า แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ตัวอย่างแฟรนไชส์ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว...เป็นคำตอบที่มองเห็นภาพได้ เจ้าของก็เริ่มจากธุรกิจง่ายๆไม่ซับซ้อนแล้วก็ขยายไปเรื่อยๆจนตอนนี้ธุรกิจมียอดขายหลายร้อยล้านบาท


ตอนที่ทำ Workshop พี่น้อยได้พรีเซ็นต์ว่าจะเติมช่องว่างที่ไม่ลงตัวทางธุรกิจสำหรับธุรกิจรีสอร์ทอย่างไร?






ฟังในสิ่งที่พี่น้อยนำเสนอแล้วทำให้นึกถึงเหตุการณ์กรณีคุณคาชิโอะเจ้าของธุรกิจนาฬิกา CASIO เข้าไปพบกับคุณฮัตโตริเจ้าของธุรกิจนาฬิกา SEIKO ตอนนั้นคาสิโอยังเป็นนักมวยใหม่ที่มีแบรนด์ใหญ่อย่างไซโก้เป็นแชมป์อยู่

คุณคาชิโอะเข้าไปพูดกับคุณฮัตโตริว่า

คาชิโอะ: "ผมขอเข้ามาแข่งขันในตลาดนาฬิกา"

ฮัตโตริ: "ยินดี..แต่สู้กันอย่างสุภาพบุรุษในตลาดนี้นะ ช่วยกันขยายตลาดนี้ให้ใหญ่ออกไป"


การไม่หวงความรู้ แต่การแข่งขันกันอย่างมีสปิริตของนักกีฬาและแฟร์เกมส์ สุดท้ายมันทำให้มูลค่าตลาดขยายออกไปเอง แทนที่จะไปห้ำหั่นฆ่าฟันอีกฝ่ายให้หายไปจากตลาดนี้ แต่เข้ามาแข่งขันกันเพื่อขยายตลาดออกไป ถ้าเพียงคอนเซ็ปต์ในการทำธุรกิจแบบนี้เกิดขึ้่นจะไม่มีใครต้องเป็นฝ่ายเดินออกไปจากตลาด ทุกคนยังคงอยู่ในตลาดและเค้กของตลาดที่ทุกคนต้องการก็จะขยายออกไปเรื่อยๆ ผู้บริโภคเองก็จะได้รับสินค้าและบริการที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ


วันที่ห้าเป็นชั้นเรียนที่สอนแบบ Combination ระหว่างอาจารย์ชัยรัช กับอาจารย์สุภัท โดยที่ตอนบ่ายมีการพูดถึง Social Entrepreneur





มีการขยายความ Grameen Bank ของ โมฮัมหมัด ยูนูส นักเศรษฐศาสตร์ชาวบังคลาเทศที่ได้รางวัลโนเบลในปี ๒๕๕๐ โดยส่วนตัวผมคิดว่าโมเดลนี้อาจจะใช้ไม่ได้ในเมืองไทยเพราะคนกู้จำนวนไม่น้อยชักดาบ


ในระหว่างสัมมนามีเพื่อนอีกสองสามคนที่อยากจะขอกล่าวถึง...


ในบรรดาญาติของคนดังที่มาสัมมนาในรุ่นเดียวกันมีเอ๋รวมอยู่ด้วย เห็นนามสกุลเอ๋ครั้งแรกก็ว่าถ้าสะกดว่า "ศิริพงษ์ปรีชา" ก็จะกลายเป็นญาติกับอดีตนางงามจักรวาลปุ๋ย(ภรณ์ทิพย์) บังเอิญนามสกุลเธอสะกดว่า "ศิริพงษ์ปรีดา" ดังนั้นเธอจึงเป็นญาติกับ นางเอกคนโปรด "กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา" (นิ้ง) ผมว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ปลื้มคุณ กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา เพราะเพื่อนในรุ่นที่เป็นผู้ชายหลายคนก็ชื่นชมดาราคนนี้





เชอร์รี่ได้ฉายาว่า "คุณนาย" ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งให้ กิจการที่อุบลของเชอร์รี่ทำธุรกิจปั้นน้ำเป็นตัว(น้ำแข็ง) ทำ Worskshop กลุ่มเดียวกับเชอร์รี่หลายครั้ง เลยสนิทกันพอสมควร ทุกครั้งที่ทำงานกลุ่มเดียวกันพบว่า...........เชอร์รี่มักจะขีดๆเขียนๆตัวอักษรหรือรูปภาพลงบนกระดาษมากกว่าจดอะไรที่วิทยากรพูด เห็นแล้วพลอยนึกถึงรุ่นน้องที่ธนาคารคนนึงที่ไปอบรมด้วยกัน รายนั้นก็ชอบเอาสีเทียนมาระบายเล่นในระหว่างฟังวิทยากรบรรยาย





พี่ชิตจากสงขลาเก็บภาพเหตุการณ์หลายๆอย่างในระหว่างสัมมนา ทำให้มีภาพประกอบบล็อก เพราะหลายๆช่วงเหตุการณ์ผมก็ไม่ได้บันทึกภาพ แต่พอมีเสียงติงๆเรื่องถ่ายภาพ ผมและพี่ชิตเลยลดการถ่ายภาพลงไป





อาจารย์วิวรรธน์มีธุระไม่สามารถอยู่ต่อวันสุดท้ายของการอบรมได้ เลยมีการมอบของที่ระลึกให้อาจารย์และถ่ายภาพร่วมกัน





กิจกรรมสันทนาการของคืนสุดท้ายของการอบรม...เริ่มจากท่านประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชน คุณอารีย์ ภู่สมบุญ กล่าวเปิดงาน





หลังจากนั้นก็มีกิจกรรต่อเนื่องไปจนถึงดึก......





กิจกรรมสัมมนาตลอด ๖ วันมีความหลากหลาย พวกเราได้เรียนรู้ ได้สะท้อนตัวเอง ค้นหาตัวเอง ได้หัวเราะ...ฯลฯ






เพื่อนๆที่เข้าร่วมสัมมนาคราวนี้มีทั้งที่เป็น BCL รุ่นเก่าและ BCL รุ่น ๑๖ นอกจากนี้ยังมีผู้สังเกตการณ์ด้วย ทุกๆคนต่างมีส่วนเติมให้การสัมมนาคราวนี้สมบูรณ์ ถ้าไม่ใช่เพื่อนๆเหล่านี้ที่มาร่วมสัมมนาด้วยกันคราวนี้บรรยากาศในการสัมมนาก็คงออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง







ตอนเช้าๆเจอพี่มอญออกกำลังกายเสมอ และมักจะสนทนาระหว่างทานอาหารเช้าในห้องอาหารกับพี่มอญอยู่บ่อยๆ พี่มอญเป็นอดีตคนเดือนตุลา พี่มอญบอกว่าตอนที่อาจารย์นิกรให้พูดถึงความฝันของตนเอง พี่มอญเห็นผมกล้าที่จะพูดความฝันที่ผมไม่กลัวใครจะหัวเราะเยาะ เลยมีแรงจูงใจให้พี่มอญขอพูดถึงความฝันของพี่มอญบ้างที่อยากเห็นคนไทยรักและสามัคคีกัน น่าเสียดายที่บรรดาพวกพี่ๆคนเดือนตุลาที่เคยลำบากต่อสู้มาด้วยกันในอดีต แต่วันนี้...กลับมาแตกแยกกันแบ่งเป็นกลุ่มสีต่างๆ






มีโอกาสได้คุยกับพี่โอมาร์ตอนเบรกครั้งแรกของการสัมมนาวันแรก คุยกันถึงเรื่องผมจะไปแข่งภูเก็ตลากูน่ามาราธอน วันสุดท้ายของการอบรม...พี่โอมาร์ก็เป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยด้วยในห้องอาหารก่อนจะแยกย้ายกัน ถึงจะคุยกันได้ไม่นานเขาสามารถสรุปได้ถูกต้องพร้อมให้ฉายาผมว่า "คุณชายละเอียด"







มีสุภาษิตญี่ปุ่นกล่าวว่า


"พบกันเพื่อพลัดพราก แล้วก็พลัดพรากเพื่อจะกลับมาพบกันใหม่"


คงมีโอกาสได้กลับมาเจอกับเพื่อนๆที่มาอบรมคราวนี้อีกในเวลาที่กรรมจัดสรรให้






อย่างที่เกริ่นเอาไว้ตอนเริ่มต้น.....จังหวะชีวิตของคนเรามันบอกไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน อย่างไร

ถ้าผมไม่ตัดสินใจลาออกจากธนาคาร ผมก็คงไม่ได้เริ่มต้นก้าวเข้าไปสู่เส้นทาง Entrepreneur เสียที ยังคงอยู่ในวงจรของหนูถีบจักร (โรเบิร์ต คิโยซากิ คนเขียนหนังสือยอดฮิต "Rich Dad, Poor Dad" เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้นว่า มนุษย์กินเงินเดือนกว่าจะหลุดออกมาเป็นผู้ประกอบการใช้เวลานานมากๆเหมือนกับหนูถีบจักร) ทันทีที่ตัดสินใจลาออกจากธนาคาร การก้าวเข้ามาสู่การเป็นผู้ประกอบการทำให้มีโอกาสได้เข้าร่วมสัมมนาคราวนี้ การร่วมสัมมนาคราวนี้ทำให้ผมรู้จักเพื่อน รู้จักวิทยากร ถ้าไม่สมัครเข้าสัมมนา BCL รุ่น ๑๖ ก็จะไม่มีโอกาสจะได้รู้จักเพื่อน BCL รุ่น ๑๖ และพี่ๆ BCL รุ่นก่อนหน้าที่มาร่วมฟังสัมมนาร่วมกันกับรุ่นเรา


นี่อาจจะอธิบายได้ว่าเป็นเหตุผลของกรรมจัดสรร ให้ได้มารู้จักผู้คนมากมายในช่วงเวลาของการสัมมนา ๖ วันที่ศูนย์การอบรมบ้านผู้หว่าน ขอบคุณทุกคนสำหรับช่วงเวลาดีๆที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน

...แล้วก็ไม่ลืมขอบคุณเพื่อนเก่าที่ชื่อ ไช้ (財)ที่แนะนำโครงการดีๆแบบนี้ให้ผมได้มีโอกาสเข้าร่วม




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 9:13:52 น.
Counter : 5398 Pageviews.  

Friendship beyond time

I received a call last Saturday from my friend who had ever lived in the same dormitory when I was an undergraduate. We did not see each other more than 15 years ago. He thought of me and searched my name from Google. Thanks to new technology which make us to find our old friends who we never see each other for long time. In the past, there was not such kind of technology. When I lost contact with my friends, I had to call their former work places to find how I could contact them when they moved to new places. Finally, I can keep in touch with my old friends.

It's great time when we have a chance to talk with old friends.

When we get older, responsibilities in terms of work, family do not allow us to see each other easily. However, if we intend to see each other, I believe that we can allocate time for our old friends. Because we give priority to meeting with old friends over other issues!!!!

One of my best friends promised to attend my commencement last year. However, her boss assigned urgent job for her to do then she could not attend my commencement in Japan. She felt guilty because she could not keep her promise.

Today she came to my home because she knew that recently I am busy with making my Bangkok home tidy and will leave for my hometown soon to help my family run family business. Because we know each other for more than 12 years, we don't mind how we wear. We take it easy and do what we want as long as it does not offend each other. Wording may hurt friend's feeling then we avoid saying anything which may hurt other's feeling. However, when I lost my way, she brought me back to the right track with strong words. I am obliged to her help.

I played DVD titled "Graduation Trip" for her because she did not attend my graduation ceremony and she never had a chance to see this DVD before. She could understand atmoshpere on my commencement how it is important and meaningful for me. Even if graduation ceremony took place last year, I felt that it seemed to happen a couple months ago.

I mentioned her name in acknowledgement part of my doctoral dissertation as one of many people who is behind my success for doctoral course. Unfortunately, she never took picture with my doctoral degree. I asked her why didn't we take picture with my doctoral degree.


This is the first casual graduation picture which I have ever taken





We come up with smile picture It's unique indeed!!


Friendship is treasure...
Older it is, more valued it is...




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2552 23:23:46 น.
Counter : 857 Pageviews.  

อำลาชีวิตพนักงานธนาคาร

ทุกอย่างมีการเริ่มต้นและสุดท้ายแล้วย่อมมีการสิ้นสุด...

ย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว...วันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปเริ่มต้นงานวันแรกที่ธนาคาร ถึงแม้ว่าเราไม่เคยทำงานวงการธนาคารมาก่อนแต่เราเชื่อว่าประสบการณ์ในญี่ปุ่นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อธนาคาร ธนาคารกสิกรไทยเป็นองค์กรที่เรารักเราจึงเลือกที่จะทำงานกับองค์กรนี้...

ชุดทำงานวันแรกออกจะแปลกไปจากชุดทำงานที่เคยสวม สมัยอยู่เมืองไทยก่อนไปเรียนหนังสือในญี่ปุ่นหรือช่วงที่เป็นครูสอนภาษาไทยในญี่ปุ่นก็สวมแต่เสื้อเชิ้ตไปทำงาน แต่เพราะวันเริ่มต้นทำงานวันนั้นตรงกับวันจันทร์ ธนาคารจึงเชิญชวนพนักงานให้ใส่เสื้อโปโลสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์ครบรอบในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา





มีปฐมนิเทศพนักงานใหม่ชั้น ๑๒ ก่อนที่พนักงานจะแยกย้ายกันไปทำงานที่ฝ่ายตนเองสังกัดอยู่ ผมทำงานที่ชั้น ๑๙ แล้วชีวิตพนักงานธนาคารของผมก็เริ่มต้น...


ทุกเช้าตอน ๗ โมงครึ่งและตอนหลังเคารพธงชาติเวลา ๘ นาฬิกา เราจะได้ยินเสียงเพลงมาร์ชของธนาคารที่คุ้นหู ถึงจะดูล่ามภาษามือประกอบเพลงอยู่หลายครั้งแต่ถ้าให้ทำท่าทำทางแบบนั้น....บางคำผมก็จำไม่ได้ว่าต้องทำท่าอย่างไร

งานช่วงแรกๆดูเหมือนเยอะแยะจนเราคิดว่าธุรกิจธนาคารไม่แตกต่างจากธุรกิจโฆษณาที่เคยทำมาเพราะว่าอยู่จนดึกจนดื่นและกลับบ้านในเวลาไม่ต่างกัน ขาประจำที่กลับบ้านดึกๆพอๆกันก็มีเจ้พร ถึงจะอยู่คนละทีมแต่นั่งอยู่ใกล้ๆกันเราเลยกลายเป็นบัดดี้กันไปเลย เจ้พรมักจะเอื้อเฟื้ออาหารว่างยามเย็นให้อยู่บ่อยๆ มีเอ็มที่นั่งข้างๆ...เวลามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์มักจะขอความรู้จากเอ็มอยู่บ่อยๆ เอ็มเห็นผมคุยโทรศัพท์เป็นภาษาญี่ปุ่นบ่อยๆ....เขาเลยอยากพูดได้บ้าง เผื่อเวลามีโทรศัพท์มาตอนผมไม่อยู่เอ็มจะได้ช่วยโต้ตอบแทน อุตส่าห์เขียนประโยคสนทนาทางโทรศัพท์ภาษาญี่ปุ่นให้เอ็มเอาไว้ใช้เผื่อไว้กรณีผมไม่อยู่....แต่จนแล้วจนรอดเอ็มกลับไม่มีโอกาสได้ใช้ ช่างน่าเสียดายสิ้นดี


ในชั้น ๑๙ แทบจะหาคนอายุมากกว่าผมไม่มีเลย เจ้พรแก่กว่าเดือนเดียว ดังนั้นเพื่อนในฝ่ายจึงเรียกเราว่า "พี่" เป็นส่วนใหญ่


มิตรภาพนี่มันเริ่มจากอะไร? เราควรให้เขาเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้เราก่อนหรือว่าเราควรเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้เขาก่อน? ไม่มีสูตรสำเร็จในความหมายของคำว่า "มิตรภาพ" ใครจะให้ก่อนให้หลังไม่สำคัญแต่สิ่งสำคัญมิตรภาพเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและหอมหวลเมื่อเวลายิ่งผ่านไป ผมเห็นคุณค่าของสิ่งนี้ เราเชื่อว่า "มิตรภาพอยู่เหนือกาลเวลาและไร้พรมแดน"


ไม่รู้ว่าอะไรจูงใจให้ผมไปเกี่ยวข้องกับทีมของเรวดีทั้งๆที่งานของผมแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับงานของเรวดีเลย ถ้าจะให้วิเคราะห์...น่าจะป็นกฎว่าด้วยแรงดึงดูด....ที่ทำให้คนสนใจเรื่องคล้ายๆกัน มีทัศนคติในการดำเนินชีวิตคล้ายๆกัน จะมาพบปะเกี่ยวข้องกัน จนสนิทสนมกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผมกลายเป็นสมาชิกกิจกรรมของทีมเรวดีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แต่เวลามีอะไรน้องๆในทีมของเรวดีจะนึกถึงผมแล้วแจ้งให้ทราบเสมอ

ที่นั่งทำงานใกล้ๆกันและกลายเป็นเพื่อนสนิทกันอาจเพราะด้วยวัยใกล้เคียงกัน อุปนิสัยคล้ายๆกัน ก็คือเคี้ยง มีคนแซวว่าเป็นบัดดี้กันเพราะเห็นไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ โทรคุยกันบ่อยมาก เคี้ยงเข้ามาทำงานก่อนหน้าผมไม่กี่อาทิตย์ น้องๆในทีมเคี้ยงก็คุ้นเคยกัน คุยกันบ่อยๆ เพราะนั่งใกล้กัน แล้วเคยทำงานวิจัยด้วยกัน

เข้ามาทำงานที่ธนาคารได้ไม่นานก็ได้เดินทางไปญี่ปุ่นกับผู้บริหารระดับสูง ไม่อยากเชื่อว่าจะมีโอกาสได้กลับไปญี่ปุ่นอีก แต่คราวนั้นไปเรื่องงานซึ่งแตกต่างจากการเดินทางไปท่องเที่ยวทีเคยทำสมัยเรียนอยู่ในญี่ปุ่น เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเรื่องงานโดยเฉพาะ เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับท่านผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายๆอย่างจากการเดินทางไปธุรกิจในญี่ปุ่นครั้งนั้น หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่นได้เดือนเศษๆก็มีเหตุผลให้เดินทางไปงานสัมมนาในญี่ปุ่น การเดินทางคราวนั้นมีปัญหามากมายตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และหลังจากเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย แต่ปัญหามีไว้ให้แก้ไข...ดังนั้นจึงหาทางคลี่คลายปัญหาเหล่านั้นจนในที่สุดเรื่องเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป


ตอนกลับมาจากญี่ปุ่นได้ไปติดต่อกับฝ่ายจัดการบัญชีทำให้ทราบว่าพี่โจ้ที่พึ่งรู้จักได้ไม่นานจะเกษียณเดือนธันวาคม พี่โจ้เอ่ยปากเองว่า...มันช่างบังเอิญที่ได้รู้จักผมตอนขึ้นไปห้องพยาบาล...แล้วเหมือนถูกชะตากัน พี่เขาเลยเอ็นดูและคอยแนะนำช่วยเหลือเรื่องต่างๆให้แก่ผม พี่โจ้ทำงานจนถึงวันสุดท้าย มีโอกาสได้ถ่ายรูปกับพี่โจ้เป็นที่ระลึก ของที่ระลึกที่ทำให้พี่โจ้ในโอกาสเกษียณเป็นโปสการ์ดที่ทำเองมีรูปถ่ายที่ถ่ายด้วยกันพร้อมที่อยู่ติดต่อได้ ถึงวันนี้พี่โจ้จะเกษียณไปแล้วแต่ก็ยังติดต่อแจ้งข่าวให้ทราบเป็นระยะๆ


การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนปลายปีเมื่อธนาคารมีนโยบายตั้งฝ่ายใหม่ พวกเราที่ดูแลลูกค้าต่างประเทศ...โดนโอนไปอยู่ฝ่ายใหม่ซึ่งเราย้ายฐานบัญชาการไปอยู่ชั้น ๑๖ กัน มีผู้อำนวยการอาวุโสคนใหม่มาดูแลฝ่ายใหม่ที่มีสมาชิกเริ่มต้นเพียง ๑๐ คน พี่ตู่เชิญพวกเราไปทานข้าวกันแต่สาวๆติดธุระกันเลยมีแต่ชายหนุ่มไปทานข้าวมื้อแรกกับพี่ตู่ ชั้น ๑๖ ก่อนหน้านั้นเป็นอาณาเขตของฝ่ายวิเทศพาณิชย์แต่เราก็ไปขอเฉือนอาณาเขตมาเป็นของฝ่ายเรา

บรรยากาศชั้น ๑๖ ช่างแตกต่างกับชั้น ๑๙ มากๆ ผู้คนฝ่ายวิเทศพาณิชย์อายุเฉลี่ยน่าจะน้อยกว่าผม ๓-๔ ปีได้ ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว บรรยากาศในการทำงานจึงดูเงียบกว่า เหมาะอย่างยิ่งกับงานที่ต้องใช้ความคิด

อาจเป็นเพราะเราอยู่ไม่สุขชอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับชาวบ้าน ผลลัพธ์คือเพื่อนๆในฝ่ายวิเทศพาณิชย์จึงรู้จักเราเป็นอย่างดี กุลเป็นเพื่อนบ้านที่ชวนคุยได้บ่อยๆเพราะนั่งติดกันโดยมี Partition กั้นเอาไว้ เจ๊ไข่ปกติจะส่งเสียงดังจนวันไหนที่เจ๊ไข่ไม่อยู่สังเกตได้ง่ายเพราะเสียงจะเงียบผิดปกติ กชพูดรัสเซียได้เพราะเคยไปเป็นนักเรียนโครงการแลกเปลี่ยนที่นั่น กชเป็นคนเดียวที่เจอแล้วยกมือไหว้เสมอ...จนแอบปลื้มที่ยังมีเด็กรุ่นใหม่ที่รักษาวัฒนธรรมไทยดีๆแบบนี้เอาไว้ เพราะคนไทยส่วนมากที่เคยเห็นมักจะยกมือไหว้กันตอนรู้จักตอนแรก แต่หลังจากสนิทกันแล้วเจอกันก็ไม่ยกมือไหว้กันอีก แก้วไปๆมาๆระหว่างสำนักพหลโยธินกับสำนักงานใหญ๋ราษฎร์บูรณะ พี่ตู๋มักจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเล่าให้ฟังอยู่เสมอๆเพราะเขาสนใจประวัติศาสตร์


มีน้องๆวัยจ๊าบทีมวิเทศพาณิชย์หลายคนที่รู้จัก....น้องในฝ่ายวิเทศคู่หนึ่งขึ้นไปแสดงงาน CBS Star Award ด้วย ผมก็ได้รับการขอร้องให้ไปแสดงในงานนี้เหมือนกัน

ผมหลวมตัวไปร่วมแสดงในงาน CBS Star Award ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ น้องๆเห็นแวว...เวลาเขาจัดงานเลยมาขอร้องให้ไปช่วยแสดงในงานนี้ซึ่งปีนึงจัด ๒ ครั้ง ไอ้ที่่ไปแสดงให้เขาไม่ใช่อยากดังหรือว่าเป็นพวก Born to be performer แต่มองว่าเวลาองค์กรเขาจัดกิจกรรมอะไรขึ้นมา ไม่ว่ามันจะลงทุนจัดแค่ไหน ถ้าไม่มีใครให้ความร่วมมืองานก็จะไม่สนุก เวลาขอให้น้องๆช่วยอะไรเขาช่วยเหลือเราเป็นอย่างดีถ้าเขาจะขอร้องอะไรเราบ้างจะทำให้เขาบ้างไม่ได้เชียวหรือ เวลาเขามาขอให้แสดงอะไรก็เลยไม่ขัด พอเขาเห็นแสดงออกมาแล้วคนดูชอบใจ..งานนี้ก็เลยทาบทามเอาไว้ก่อนแล้วก็รู้ว่าเราไม่ปฏิเสธ

งาน CBS Star Award เป็นงานแจกรางวัลให้แก่พนักงานธนาคารที่มีผลงานดีเด่นในรอบผลการดำเนินงานระยะเวลาครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลัง เราไม่ใช่พนักงานดีเด่นอะไรหรอก แต่การแสดงบนเวทีเขาก็มีรางวัลให้นักแสดงด้วย บังเอิญมีกองเชียร์ที่รู้จักเราอยู่เยอะ...เวลาแสดงบนเวทีเลยมีคนกรี๊ดให้ แล้วเขาก็โหวตให้เราแม้ว่าฝ่ายเราจะมีคนมาร่วมงานน้อยก็ตาม คนที่ไม่รู้จักกันแต่ชอบที่เรากล้าทำอะไรแบบนั้นบนเวที...ก็เทคะแนนมาให้ผม การแสดงบนเวทีเลยมีรางวัลติดปลายนวมลงมาทั้งสองครั้ง จนตัดสินใจว่าควรปลดระวางแล้วให้คนอื่นแสดงบ้าง...ไม่ยึดติดกับตำแหน่งว่าผมต้องเป็นตัวแสดงของฝ่ายเอาไว้คนเดียว รุ่นน้องมาใหม่เลยเกลี้ยกล่อมให้เขาเป็นตัวแทนของฝ่ายไปแสดงซึ่งได้ผล...น้องรายนั้นหลวมตัวจริงๆ






หลังจากรอมานานว่าเมื่อไหร่มหาวิทยาลัยจะอนุมัติปริญญาเอกให้เสียที และแล้วเมือปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วคณะกรรมการของมหาวิทยาลัยก็มีมติให้อนุมัติปริญญาบัตรให้แก่ผม ทันทีที่ส่งข่าวแจ้งเรื่องที่ผมสำเร็จการศึกษาออกไปผ่านอีเมล....มีข้อความแสดงความยินดีจากเพื่อนๆกว่า ๓๐ ข้อความ อ่านอย่างอารมณ์ดี ตามมาด้วยงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่สำเร็จการศึกษา แล้วก็บินไปรับปริญญาบัตรพร้อมกับครอบครัวที่มหาวิทยาลัยเคโอที่ญี่ปุ่น กลับมาถึงที่ทำงานก็เอาปริญญามาถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนที่ธนาคารซึ่งไม่สามารถบินไปร่วมงานได้ จะมีก็แต่คุณยามาดะที่เขาลาพักร้อนช่วงนั้นและอยู่ที่ญี่ปุนพอดี คุณยามาดะก็จบจากสถาบันเดียวกัน...ดังนั้นต้องถือว่าคุณยามาดะเป็นรุ่นพี่เหมือนกัน คุณยามาดะให้เกียรติไปร่วมพิธีรับปริญญาด้วย





ช่อดอกไม้ที่ได้รับจากทีม Japanese-SME ไม่ได้ขว้างทิ้งภายหลังจากมันเหี่ยวไปแล้ว...ผมมาจัดเรียงเป็นดอกไม้แห้งแล้วเคลือบลามิเนตเก็บไว้ดูตลอดไป ความรู้สึกดีๆที่เพื่อนแสดงความยินดีกับเราโดยเฉพาะโอกาสเรียนจบด็อกเตอร์ซึ่งในชีวิตนี้คงมีแค่ครั้งเดียว มันน่าจะเก็บความรู้สึกดีๆแบบนั้นเอาไว้นานที่สุด






ภายหลังจากย้ายมาอยู่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจต่างประเทศเมื่อต้นปีที่แล้ว...มีเหตุการณ์และกิจกรรมมากมายเกิดขึ้นภายในฝ่ายนี้ มีพนักงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็มีเพื่อนในฝ่ายบางคนอำลาจากไป...ด้วยหลากหลายเหตุผล






แล้ววันที่ทำงานครบรอบ ๑ ปีที่ธนาคารก็มาถึง วันนั้นตรงกับวันพุธ อารมณ์ดีถ่ายภาพกับเพื่อนร่วมงานจนมีคนสงสัยว่าถ่ายเนื่องในโอกาสอะไร ตอบไปว่าเพราะทำงานครบรอบ ๑ ปีที่ธนาคารเลยอยากถ่ายภาพเป็นที่ระลึก















เมื่อเวลาผ่านไปก็เฝ้าถามตัวเองว่าเป้าหมายในชีวิตคืออะไร? งานที่ทำมันตอบโจทย์ไหม? เรายังสนุกกับมันอยู่ไหม? มนุษย์กินเงินเดือนหลายๆคนคงเคยมีความรู้สึกแบบนี้

ในขณะเดียวกันเราก็กลับมาดูกิจการครอบครัวที่เป็นธุรกิจค้าส่งที่บริหารโดยพ่อแม่เรา เขาทำกันสองคนตายายจนอายุเขามากขึ้นเรื่อยๆ กิจการนี้เราเห็นมาตั้งแต่ตอนก่อตั้งที่เริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย แล้วกิจการนี้ถ้าไม่มีคนไปสานต่อในที่สุดก็จะหายไป พ่อแม่เราจะทำต่อไปได้อีกกี่ปี? ตอนนี้ยังมีคนสอนและถ่ายทอดความรู้ให้เราได้ควรที่จะรีบเรียนรู้ ถ้าวันนึงกิจการตรงนี้ไม่มีคนรับช่วงหายไปแล้ว...ไม่ว่าเราจะโหยหาอย่างไรมันก็ไม่กลับคืนมา ในฐานะลูกชายการดูแลพ่อแม่ในยามสูงอายุมันเป็นพันธะและความผูกพันและการสานต่อกิจการครอบครัวให้คงอยู่และก้าวต่อไปข้างหน้าเป็นหน้าที่

ถึงแม้ว่าจะกลับไปสานต่อกิจการครอบครัวในต่างจังหวัด ในต่างจังหวัดก็ยังมีโอกาสที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นได้มากมาย ความรู้และประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมาตลอดเวลาที่ผ่านมา การใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนในญี่ปุ่นกว่า ๙ ปี คงเป็นประโยชน์ต่อเด็กรุ่นใหม่ที่อยู่ต่างจังหวัดซึ่งไม่ค่อยจะมีใครอยากไปถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้มากนัก ถ้ารู้จักบริหารเวลาให้ดีพอก็จะสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้แก่เด็กรุ่นใหม่เหล่านั้น ร่วมกันสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพให้แก่ท้องถิ่นต่อไป

ภายหลังจากได้ปรึกษากับเพื่อนสนิท พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเจ้านายที่ทำงานเก่าซึ่งเป็นคนที่เราให้ความเคารพ ใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นานหลายเดือนจนในที่สุดก็ได้ความคิดที่ตกผลึก ตัดสินใจยื่นใบลาออกวันที่ ๓๐ มีนาคมที่ผ่านมา วันนั้นตรงกับวันจันทร์พอดี ดูเหมือนเรามีความสุขมากที่หาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้







พี่ตู่ให้โอกาสเราพูดกับเพื่อนในฝ่ายในที่ประชุมเช้าวันจันทร์ถึงเหตุผลในการลาออกที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม เพื่อนในฝ่ายหลายคนตกใจ เพื่อนฝ่ายอื่นที่สนิทกัน...หลายคนใจหายเพราะไม่คิดว่าวันที่เราลาออกจากธนาคารจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เมื่อทุกคนทราบว่าเราจะไปสานต่อกิจการของครอบครัวและกลับไปดูแลพ่อแม่ เพื่อนๆต่างสนับสนุนและให้กำลังใจเราขอให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราตัดสินใจเลือก

ช่วงสุดท้ายของการทำงานที่ธนาคารผมมีโอกาสบันทึกภาพสถานที่ต่างๆภายในธนาคารเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะว่าภายหลังจากลาออกจากธนาคารแล้วคงหาโอกาสจะบันทึกภาพเหล่านี้จากมุมที่ดีที่สุดภายในธนาคารลำบาก







มีโอกาสได้ไปร่วมการแข่งขันมินิมาราธอนรายการ ๑๒๑ ปีศิริราชวิ่งผสานชุมชนซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทำในเดือนสุดท้ายของการทำงานที่ธนาคาร

มีโอกาสได้เจอคุณแบทแมนคนเดียวกับที่เป็นฮีโร่ไปปิดวาล์วรถแก๊สที่แฟลตดินแดงช่วงที่เกิดเหตุการณ์จลาจลในเทศกาลสงกรานต์ เขาเป็นคนที่มีน้ำใจมาก วิ่งๆไปก็เป่านกหวีดคอยโบกรถให้นักวิ่ง วิ่งๆไปหยุดคอยให้บริการน้ำดื่มแก่นักวิ่ง เขาวิ่งโดยไม่สนใจเรื่องของเวลาเลย เอามัน-ฮา เข้าไว้ เท่าที่ทราบจากข่าว....คุณแบทแมนเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวจริง เขาลงแข่งหลายๆรายการ...เป็นคนอุบลราชธานีมีอาชีพเป็นเซลส์ขาย Talking-Dict.









พี่อัศวชัยที่อยู่ห้องพยาบาลก็เป็นนักวิ่งตัวจริง พี่อัศวชัยลงวิ่งหลายรายการ ผมมักเจอพี่อัศวชัยโดยบังเอิญในระหว่างที่วิ่่งหลายรายการแต่เราไม่เคยถ่ายภาพด้วยกัน วันที่วิ่งรายการ ๑๒๑ ปีศิริราชเดินวิ่งผสานชุมชนก็เลยถือโอกาสบอกพี่อัศวชัยว่าจะลาออกจากธนาคารแล้วและถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก






แม่บ้านชั้น ๑๖ พี่บุญมีและแม่บ้านชั้น ๑๙ พี่ฉลวย ทั้งคู่นี้สนิทกับผม พอบอกพี่เขาว่าเราจะลาออกแล้ว....เขาก็ไม่อยากเชื่อ ใจหายเหมือนกัน ขอสองสาวถ่ายรูปด้วยที่ห้อง Pantry ชั้น ๑๖ พยายามจะโชว์วิวของคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยมากเมื่อมองจากชั้น ๑๖ แต่ไม่สำเร็จได้แค่รู้ว่ามีแม่น้ำเป็นฉากหลัง






ปกติเวลาไม่สบายขึ้นไปห้องพยาบาลจะเจอคุณหมอวิลาวรรณ์ ตอนไปร่ำลาก็คิดว่าคงไม่ได้มาใช้บริการห้องพยาบาลอีกแล้ว แต่ก็มีเหตุเกิดอาการคอเคล็ดเพราะนั่งหลับนกหน้าจอคอมพิวเตอร์ในยามค่ำคืนเพราะมัวเล่นบล็อกแบบนี้ เลยขึ้นไปขอครีมนวดบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอกกล้ามเนื้อจากคุณหมอแหม่ม เลยได้รูปนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก ไม่ได้เอากล้องขึ้นไปด้วยใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปนี้ วันนั้นเป็นวันศุกร์สุดท้ายที่ทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย







ศุกร์เย็นไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุกับทีมของเรวดีที่วัดยานนาวาแล้วชวนกันไปทานอาหารญี่ปุ่นที่ร้าน "ฮานาย่า" ย่านถนนสี่พระยา มีคนพูดถึงร้านนี้กันมากว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรกในเมืองไทย รสชาติก็ใช้ได้เพียงแต่รู้สึกแปลกที่เขาไม่ใช้ข้าวจาโปนิกามาเสิร์ฟและเสิร์ฟด้วยชาจีนแทนที่จะเป็นชาเขียว????






อาทิตย์สุดท้ายของการทำงานเพื่อนๆจัดงานเลี้ยงอำลาให้...ต้องขอบคุณในน้ำใจที่ทุกคนมีให้ ระลึกถึงกัน อาลัยในยามที่ต้องจากกัน บรรยากาศของการทำงานตั้งแต่วันแรกจนมาถึงอาทิตย์สุดท้ายของการทำงานมันมีสีสันที่หลากหลาย....เป็นความทรงจำที่ดีในระหว่างที่ทำงานที่ธนาคารแห่งนี้







คงจะไม่ลืมความประทับใจที่เกิดขึ้นในโรงอาหารของธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ราษฎร์บูรณะ พี่จั๊กจั่นร้านเบอร์ ๒ มักจะจำได้เสมอว่าตอนเช้าผมจะทานข้าวกล้องในปริมาณมากกว่าปกติ ทุกครั้งที่ยืนหน้าร้านแกจะส่งยิ้มให้แล้วก็คดข้าวกล้องใส่จานแล้วก็ให้ปริมาณเพิ่มโดยที่ผมไม่เคยพูด น่ายกย่องว่าแม้แต่ร้านอาหารเล็กๆก็ยังใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของลูกค้า ลูกค้าประทับใจก็อยากจะมาใช้บริการร้านนี้อีก พอบอกว่าจะลาออก...พี่เขาใจหายคิดว่าผมพูดเล่น ทำการ์ดให้พี่จั๊กจั่นเป็นรูปข้างล่างนี้พร้อมพิมพ์ข้อความว่า

"ขอบคุณที่ทำอาหารอร่อยให้ผมทานระหว่างที่ผมทำงานที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ราษฎร์บูรณะ"






คุณนรินทร์เป็นน้องในฝ่ายที่สนิทกันมาก พอรู้ว่าผมทำการ์ดให้พี่จั๊กจั่นเกิดอาการอยากได้การ์ดเป็นที่ระลึกบ้าง... เลยถ่ายภาพนี้แล้วก็ทำการ์ดให้ตามคำขอไม่อย่างนั้นจะเกิดอาการน้อยใจ ผมลาออกจากธนาคารแล้วนรินทร์คงจะเหงาเพราะขาดเพื่อนคุย ขาดคนให้คำปรึกษา






ไม่ได้ออกไปติดต่อธุระข้างนอกนานมากแล้ว ตอนฝ่ายจัดงานเลี้ยงส่งให้ผม ผมขอใช้บริการของพี่วิลาศซึ่งเป็นคนขับรถของฝ่าย พี่วิลาศยินดีและเต็มใจให้บริการขับรถพาผมและน้องในฝ่ายไปทานอาหารมื้อกลางวันมื้อนั้น มามีโอกาสเจอพี่วิลาศหน้าลิฟต์ในวันทำงานวันสุดท้าย ขอร้องให้พี่วิลาศถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก ผมส่งรูปนี้ผ่าน MMS ให้พี่วิลาศทันที แต่โชคไม่ดีที่พี่วิลาศยังไม่เปิดใช้บริการ MMS







ตอนฝ่าย Channel เลี้ยงส่งผม....พี่เอ็ดดี้ที่ชอบถ่ายภาพเสนอความคิดที่จะถ่ายภาพผมกับสถานที่รอบๆธนาคารให้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนจะทำเรื่องแบบนี้ให้เรา

พี่เอ็ดดี้อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน มีโลกทัศน์และมุมมองการใช้ชีวิตเหมือนๆกัน ที่สำคัญชอบถ่ายภาพเหมือนกัน






ปกติช่างภาพจะไม่ค่อยมีรูปตัวเองเท่าไหร่ แล้วก็จะหาคนที่ถ่ายภาพในรูปแบบที่ตัวเองต้องการยาก การที่พี่เอ็ดดี้เสนอตัวถ่ายภาพให้...เป็นความกรุณาสูงสุดที่ไม่อาจจะลืมได้ ต้องขอบคุณอย่างมาก


เคยเป็นแต่ช่างภาพแล้วก็อยู่หลังเลนส์นานๆ ถ่ายภาพระยะหลังผมไม่ค่อยเน้นภาพตัวเองเท่าไหร่ พอมาเป็นนายแบบบ้าง...งานนี้เกิดอาการเขิน ตอนที่เรากำลังโพสทฺ์ท่าอยู่แล้วมีพนักงานธนาคารเดินผ่าน พวกเขาก็มองมาแล้วก็อาจจะเกิดคำถามว่าหมอนี่มาโพสท์ท่าถ่ายแบบทำไม? งานถ่ายแบบเริ่มตอนห้าโมงครึ่งมาเสร็จเอาตอนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ตอนพี่เอ็ดดี้ Write CD ให้ผมมาเฉลยให้ฟังว่า...บันทึกภาพผมไปกว่า ๖๐๐ รูป!!!!!!! ฟังแล้วตกใจเพราะไม่เคยถ่ายภาพตัวเองมากขนาดนี้มาก่อน น้องๆในฝ่ายพี่เอ็ดดี้บางคนรู้เข้าเกิดอาการตัดพ้อต่อว่าที่รู้ว่างานนี้ผมแอบไปถ่ายแบบจำนวนภาพมากตามลำพังขนาดนั้นโดยไม่ชวนนางแบบเข้ากล้องด้วย

เชิญชมภาพนายแบบสมัครเล่นครับ






วันที่ลงไปเจอเพื่อนที่ฝ่ายบุคคลชั้น ๑๒ ได้มีโอกาสเจอดร.ภัทท์ ที่เป็นผู้บริหารการจัดการองค์ความรู้ของธนาคาร มารู้จักกับดร.ภัทท์ตอนที่ไปอบรมเรื่องการจัดการองค์ความรู้ ที่คิดว่าจะหลับในรถกลายเป็นว่าเม้าท์แตกกับดร.ภัทท์และบีจนไปถึงศูนย์การเรียนรู้บางปะกง งานนี้ลูกน้องดร.ภัทท์จัดให้ตามคำขอ...บรรจงถ่ายภาพนี้ให้ไว้เป็นที่ระลึก







ในธนาคารมีผู้บริหารที่ผมเคารพนับถือหลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นที่สนิทกันมากคือคุณนิตะโดริ(似鳥)คุณนิตะโดริสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับผม นิสัยอาจจะเป็นคนช่างพูดและพูดตรงเหมือนกัน คุณนิตะโดริช่วยเหลือและคอยแนะนำหลายๆเรื่องตลอดระยะเวลาที่ทำงานในธนาคาร รู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาที่ได้รับ อาจจะเป็นเรื่องของกรรมในอดีตชาติที่เคยทำร่วมกันมาจึงมีส่วนทำให้ผมเข้ามาทำงานที่ธนาคารกสิกรไทยแล้วได้รู้จักผู้คนที่มีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน คุณนิตะโดริเขียนการ์ดที่ระลึกให้ผมในวันสุดท้ายของการทำงาน มันเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตที่มีความหมายมากๆ







สภาพโต๊ะทำงานที่ผมนั่งทำงานประจำที่ธนาคารในวันสุดท้ายของการทำงาน ผมจัดการเก็บข้าวของบนโต๊ะจนเรียบร้อยเพื่อพร้อมให้พนักงานใหม่ที่จะเข้ามาใช้โต๊ะทำงานตัวนี้สามารถทำงานได้ต่อไปทันที








เกือบ ๕ โมงครึ่งของวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ สมบัติชิ้นสุดท้ายที่เก็บจากโต๊ะทำงานคือ

ข้อความเตือนสติของอาจารย์พุทธทาสที่ผมเคลือบกรอบรูปเอาไว้

สมบัติชิ้นนี้นำมาวางบนโต๊ะทำงานตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานที่ธนาคาร







ทีมเรวดีขอนัดเลี้ยงส่งมื้อเย็น บังเอิญทีมเขามีงานด่วนเข้ามา ผมเลยนั่งรอและพูดคุยกับเพื่อนฝ่ายเก่าที่ทำงานอยู่ชั้น ๑๙ ในระหว่างนั้นธรรมชาติเป็นใจ...ผมได้ภาพบรรยากาศดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดินเป็นของที่ระลึก






งานเลี้ยงอำลาที่ทีมเรวดีจัดให้ผม เราไปทานอาหารค่ำกันที่ย่านประชาอุทิศ น้องๆในทีมเรวดีเปิดโอกาสให้ร้องเพลงคาราโอเกะที่อยากจะร้อง

ตอนไปอบรม Knowledge Management มีคนแซวว่าผมคงถนัดร้องได้แต่เพลงแนวสุนทราภรณ์ น้องคนนั้นมารู้ทีหลังว่าผมเคยเป็นสมาชิกชมรมนักร้องประสานเสียงมาก่อนสมัยเรียนที่จุฬาฯ ดังนั้นเพลงอะไรก็ร้องได้ แต่เจียมเนื้อเจียมตัวว่าไม่ใช่คนร้องเพลงที่น้ำเสียงเลอเลิศดังนั้นไม่จำเป็นก็จะไม่ค่อยชอบร้องเพลงโชว์ต่อหน้าผู้คน

ช่วงสุดท้ายของงานเลี้ยงส่ง...น้องๆในทีมเรวดีรวมทั้งแม่หมอปุ๊กและสามี มอบสมุด Friendship ให้ผม นี่คือสิ่งที่ผมอยากได้จริงๆจากเพื่อนๆที่เคยทำงานด้วยกันมากกว่างานเลี้ยงส่ง เพราะคุณค่าของข้อความที่เพื่อนๆเขียนให้มันมีความหมายต่อเรา ความรู้สึกดีๆที่ถ่ายทอดลงบนตัวอักษร ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี...กลับมาอ่านใหม่ก็สามารถสัมผัสความรู้สึกดีๆที่เพื่อนร่วมงานถ่ายทอดให้เราณ.วันที่เราอำลาจากธนาคาร






คนเราพบกันแล้วก็ต้องทำใจว่าวันนึงก็จะต้องพลัดพรากจากกัน...
แต่การพลัดพรากกันก็เพื่อที่จะกลับมาพบกันใหม่วันนึงในอนาคต
วันที่กรรมจัดสรรให้คนสองคนได้กลับมาพบกันใหม่
ในระหว่างนี้ชีวิตอาจจะมีเรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามามากมาย
แม้จะไม่ได้เจอกัน...แต่ก็ยังระลึกถึงกัน
คอยเป็นกำลังใจ ห่วงใยซึ่งกันและกัน
ขอบคุณทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวดีๆในชีวิต
ดูแลสุขภาพดีๆ
จนกว่าเราจะพบกันใหม่...







 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 15:47:21 น.
Counter : 4289 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.