ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 

ข้อคิดจากการไปร่วมทำบุญที่วัดพระบาทน้ำพุ

สมัยผมเริ่มทำงานที่ธนาคารในระยะแรกๆ...ดูเหมือนเวลาเกือบทั้งหมดหมกมุ่นไปกับงาน เสาร์-อาทิตย์ในหัวยังหมกมุ่นอยู่กับงาน กลับบ้านก็ยังคิดหาทางแก้ปัญหาเรื่องงาน ซึ่งนี่ไม่ใช่หลักการในการใช้ชีวิตที่ดี

มีอยู่อาทิตย์หนึ่งที่ผมตัดสินใจลองแวะไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้พบธรรมชาติที่สวยงาม...จิตใจที่เครียดกับงานได้ผ่อนคลาย อารมณ์ผมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจนผมบอกกับตัวเองว่า

"ควรจะหาเวลาพักผ่อนบ้าง มีธรรมชาติที่สวยงามให้เราค้นหา เติมความสุขและความสงบให้แก่จิตใจ ชีวิตไม่ใช่มีแค่บ้านกับที่ทำงาน ถ้าอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวผมควรพยายามสร้างสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง"

ตอนที่ขับรถไปลพบุรีคราวนั้นเห็นป้ายบอกทางไปวัดพระบาทน้ำพุ คิดในใจว่าน่าจะลองแวะไปดู แต่อีกใจหนึ่งก็ผัดผ่อนว่าเอาไว้คราวหลังดีกว่า...

นับจากนั้นผมไม่มีโอกาสได้ไปวัดพระบาทน้ำพุ...จนกระทั่งเพื่อนกลุ่มที่ไปอบรมการพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน (BCL 16) ชักชวนกันไปบริจาคเงินร่วมสร้างบ้านพักให้ผู้ป่วยโรคเอดส์ให้วัดพระบาทน้ำพุ สุดท้ายกิจกรรมตรงนี้ก็นำเราไปสู่การมีโอกาสไปวัดพระบาทน้ำพุเสียที

มีญาติสนิทมิตรสหายของสมาชิก BCL เห็นดีเห็นงามกับกิจกรรมตรงนี้ ศรัทธาในการทำความดีร่วมกันตรงนี้ของทั้งสมาชิก BCL และเพื่อนๆที่ไม่ใช่ BCL ทำให้เราสามารถมีเงินบริจาคมากพอที่จะจัดสร้างอาคารผู้ป่วยโรคเอดส์ให้วัดได้ ๑ หลังและเงินส่วนที่เหลือทางวัดเอาไปใช้ประโยชน์ในการสร้างอาคารและสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่หนีทุกข์จากโรคเอดส์ เด็กกำพร้าที่พ่อแม่ติดเอดส์และเสียชีวิตลงจำนวนมาก

พวกเราตกลงกันว่าวันอาทิตย์ที่ ๑๓ กันยายนจะไปร่วมกันบริจาคเงินให้วัดพระบาทน้ำพุ อ.เมือง จ.ลพบุรี จุดนัดพบคือแวะทานอาหารกลางวันที่เชอร์รี่เชียร์ว่าร้านนี้อร่อยมากในลพบุรี ชื่อร้านอาหารกุ้งหลวง ใกล้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

หลังจากอบรมเสร็จลงปลายเดือนพฤษภาคม...เพื่อนๆหลายคนไม่ได้เจอหน้ากัน แต่เราส่งข่าวถึงกันและกันเป็นระยะๆผ่านอีเมล พอมาเจอกันอีกทีเห็นความเปลี่ยนแปลง...ดูกันเอาเองครับว่าเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน? (เปรียบเทียบกับรูปที่ถ่ายในบล็อกในเรื่อง ๖ วันจากการสัมมนา "การพัฒนาภาวะผู้นำเพื่อชุมชนและสังคม" (BCL รุ่น ๑๖) โดยคลิกที่นี่ครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cheevaprapha&month=05-2009&date=28&group=2&gblog=16 )





หลังจากอิ่มอร่อยกับร้านกุ้งหลวง พวกเราก็เดินทางไปวัดพระบาทน้ำพุ...


ปากทางเข้าวัดพระบาทน้ำพุ






เลยไปอีกนิดนึงก็จะเห็นพิพิธภัณฑ์ชีวิต






พอมองเห็นว่าข้างในเป็นอะไร? ทำไมเขาถึงใช้ชื่อว่าพิพิธภัณฑ์ชีวิต พอย่างเท้าเข้าไปข้างใน...ก็จะเข้าใจ สิ่งที่เราพบเห็นในพิพิธภัณฑ์ก็คือ ศพของผู้ป่วยโรคเอดส์ที่บริจาคร่างกายให้เป็นวิทยาทานเพื่อคนที่มาที่วัดจะได้เตือนสติ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์









ในบรรดาร่างไร้วิญญาณของอาจารย์ใหญ่ทั้ง ๙ ท่านนี้ มีทั้งที่เป็นชาย หญิง สาวประเภทสอง เด็ก หรือแม้แต่ว่าพระภิกษุที่ติดเชื้อเอดส์ก่อนเข้ามาอุปสมบท หลายคนติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ จากการใช้บริการทางเพศ จากการใช้เข็มฉีดยาเสพติด หรือติดเชื้อจากมารดาที่เป็นเอดส์








เด็กกำพร้าจำนวนหลายคนที่พ่อแม่เป็นเอดส์และเสียชีวิตลง เด็กเหล่านี้ทั้งที่เป็นเด็กปกติและเด็กที่ติดเชื้อ HIV ต่างใช้ชีวิตร่วมกันที่โครงการธรรมรักษ์ ๒ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากวัดร่วม ๘๐ กิโลเมตรที่เขตอำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี เด็กพวกนี้ท่านเจ้าคุณอลงกตได้อุปการะให้เรียนหนังสือ มีอาหารและที่พักให้เด็กพวกนี้ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ทุกวันอาทิตย์น้องๆเหล่านี้มาที่วัดร่วมกันทำกิจกรรม มีการแสดงให้แก่แขกที่แวะมาที่วัดได้ชมกัน





เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิธรรมรักษ์พาพวกเราไปที่อาคารผู้ป่วยโรคเอดส์ ตอนที่เราไปถึงก็ตกใจว่ามีป้ายกลุ่ม BCL บนอาคาร แสดงว่าอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ? เจ้าหน้าที่รายนั้นเธออธิบายให้ฟังว่า อาคารผู้ป่วยโรเอดส์ที่เราร่วมกันบริจาคนั้นอยู่ที่โครงการธรรมรักษ์ ๒ ในเขตอำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี ซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่ร่วม ๘๐ กิโลเมตร มันไม่สะดวกสำหรับญาติโยมที่มาบริจาคที่วัด ทางวัดจึงใช้อาคารผู้ป่วยโรคเอดส์หลังนี้เป็นฉากในการถ่ายภาพที่ระลึกโดยเอาป้ายชื่อผู้บริจาคมาเข้าฉากก่อน หลังจากนั้นจะเอาป้ายไปติดตั้งที่อาคารผู้ป่วยที่สร้างเสร็จแล้วที่โครงการธรรมรักษ์ ๒





ในระหว่างที่พวกเรารอหลวงพ่ออลงกต เราถ่ายภาพที่ระลึกกันหน้าอาคารตัวอย่างผู้ป่วยโรคเอดส์





ไม่นานหลวงพ่ออลงกตก็มาถึง เรามีโอกาสได้ถ่ายภาพร่วมกับหลวงพ่อเป็นที่ระลึก






พวกเรามีโอกาสได้สนทนากับหลวงพ่ออลงกต หลวงพ่อชื่นชมกับกิจกรรมดีๆที่พวกเรามีส่วนช่วยเหลือสังคม กลุ่มเพื่อน BCL จำนวนหนึ่งได้ไปบริจาคให้โรงพยาบาลสงฆ์ตอนเช้าก่อนมาที่วัดพระบาทน้ำพุ





มีโอกาสได้สอบถามเจ้าหน้าที่ของวัดเรื่องโครงการธรรมรักษ์ ๒ ทางวัดทำโมเดลขึ้นมาให้ดู เนื้อที่ของโครงการธรรมรักษ์ ๒ ประมาณ ๒๔๐๐ ไร่ อยู่ในเขตอำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี ภายในโครงการมีวิหาร มีโรงเรียน เตาเผาศพสำหรับเด็กที่ติดเชื้อเอดส์และเสียชีวิตลง มีบ้านพักของผู้ป่วยโรคเอดส์





ผมมีโอกาสได้เดินขึ้นบันไดไปดูโบสถ์ที่อยู่บนเขา สภาพที่มองลงมาจากบนเขาเห็นทิวทัศน์ของทุ่งนาที่อยู่ใกล้ๆวัด








เดินลงมาข้างล่างแล้วก็เดินผ่านอาคารวลัยลักษณ์ อาคารนี้เป็นอาคารที่พักสำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ที่อาการรุนแรง ช่วยเหลือตัวเองลำบาก




เลยไปหน่อยเป็นอาคารเมตตาธรรม ผู้ป่วยที่มาใหม่จะมาที่อาคารนี้เพื่อให้แพทย์ประจำบ้านดูอาการและคัดเลือกให้ไปพักที่อาคารใด ถ้าผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้ อาการดีขึ้นบ้างก็จะพักที่อาคารนี้





ในกรณีที่ผู้ป่วยแข็งแรงพอ ดูแลตัวเองได้ดี ก็จะย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ แยกโซนชาย-หญิง




เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจะพักอยู่ในบ้านสีเหลืองด้านซ้าย แต่ผู้ป่วยจะอยู่บ้านสีเขียวๆหลังเล็กๆด้านขวา สำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มากับครอบครัว...จะไปพักบ้านพักด้านหลังเลยไปอีก

เลยจากบริเวณนี้ไปเล็กน้อยเป็นศาลาที่เก็บกระดูกของผู้ป่วยโรคเอดส์ที่เสียชีวิตลงซึ่งทำการเผาศพแล้วแต่ไม่มีญาติมารับกระดูกไป กระดูกถูกบรรจุลงในถุง ถุงที่บรรจุกระดูกเหล่านี้ถูกวางเรียงรายเป็นแถวๆ ปริมาณถุงที่เรียงรายกันบ่งบอกถึงจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มาเสียชีวิตที่วัดนี้






ผมมีโอกาสได้สนทนากับผู้ป่วยโรคเอดส์หลายๆคน ผู้หญิงคนที่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับศพในพิพิธภัณฑ์ชีวิต เธอติดเชื้อเอดส์มาจากเข็มที่ใช้สักร่างกาย ยารักษาโรคเอดส์ที่เธอต้องกินตลอดชีวิตได้รับการช่วยเหลือจากโครงการ ๓๐ บาทของรัฐบาล ผู้หญิงที่อยู่ห้องขายของที่ระลึกเธอติดเชื้อเอดส์จากสามี ของที่ระลึกหลายๆชิ้น...ทำขึ้นจากฝีมือของผู้ป่วยที่อยู่ในวัด

ในแต่ละวันผู้ป่วยโรคเอดส์ต่างมีกิจกรรมที่ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อวัด มีการเก็บกวาดทำความสะอาด กวาดลานวัด ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เป็นยามคอยเปิดประตูเข้า-ออกวัด เป็นวิทยากรให้ความรู้แก่บุคคลภายนอกเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์

บริเวณโซนบ้านพักผู้ป่วยชายอยู่ด้านหน้าใกล้ปากทางเข้าวัด นนท์พันผ้าขนหนูเดินเข้ามาคุยด้วยเมื่อเห็นผมสอบถามวินมอเตอร์ไซด์รายนึงว่าเตาณาปนกิจศพของวัดอยู่ที่ไหน

นนท์เล่าที่มาที่ไปของตัวเขาเองและเรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุให้ฟัง

"หนูมาอยู่ที่นี่เกือบปีแล้วพี่ หนูติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหนู หนูเปลี่ยนคู่นอนบ่อย แล้วตอนมีเพศสัมพันธ์บางครั้งหนูไม่ได้ป้องกัน

พวกเราที่ติดเอดส์และอยู่ที่นี่...ไม่คิดจะไปแพร่เชื้อให้ใครอีก มันเป็นบาป สิ่งผิดพลาดที่เราทำลงไป...เราไม่อยากให้ผู้คนเขาเดินตามอย่างเรา หนูไปเป็นวิทยากรให้สถาบันต่างๆ สอนน้องๆว่าอย่าเอาแบบอย่างผิดพลาดที่หนูทำลงไป... ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นเขาไม่คิดแบบนี้...เอาเชื้อมาแพร่ให้เรา

หนูหนีออกมาจากบ้านเป็นสิบปีแล้ว เลือกทางเดินของหนู หนูไม่กล้ากลับไปบ้านเพราะว่ากลัวญาติๆเขาอับอาย รับไม่ได้ ครอบครัวหนูเป็นครอบครัวราชการมีหน้ามีตาในสังคม

ถ้าหนูแข็งแรงดีพอ...ก็อยากออกจากวัดไปใช้ชีวิตข้างนอก แต่นึกไม่ออกว่าจะไปทำอะไร สังคมเขาจะต้อนรับ มีงานให้คนอย่างพวกเราทำหรอ? อยู่ที่วัดพวกเราก็เป็นภาระให้กับวัด มีหลายคนเหมือนกันที่ออกไปจากวัดเมื่อร่างกายแข็งแรงพอ แต่หลายคนภายหลังออกไปสู่โลกภายนอกวัดแล้วไปไม่รอด สุดท้ายกลับมาในสภาพที่แย่กว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะว่าในวัดมีบรรยากาศ มีกฏเกณฑ์ที่คุมให้ผู้ป่วยห่างจากสิ่งยั่วยุ พอผู้ป่วยเหล่านี้ออกไปโลกภายนอกก็กลับไปทำพฤติกรรมเดิม...สุดท้ายก็ไปไม่รอด"



ถามนนท์เกี่ยวกับเตาเผาศพที่เสียชีวิตลง...

นนท์เล่าว่าช่วงปลายปีมีคนเสียชีวิตลงจำนวนมาก ยิ่งอากาศหนาวมากๆ คนป่วยโรคเอดส์หลายคนทนสภาพนั้นไม่ไหว สุดท้ายก็ตายลง ตอนที่นนท์มาใหม่ๆมีคนตายทีละวัน เขาพันผ้าใส่โลงลากรถเข็นผ่านบ้านพักที่เขาอยู่ จนเขาขวัญเสีย แต่ช่วงนี้จำนวนคนป่วยที่เสียชีวิตลงมีจำนวนลดลง...อาจจะเป็นเพราะดูแลร่างกายดี นนท์บอกว่า

"เอดส์ไม่ได้เลวร้าย น่ากลัวหรอก ถ้าดูแลรักษาตัวเองดีๆ ไม่ให้มีโรคแทรกซ้อน ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน"

ตรงข้ามที่พักของนนท์เป็นห้องแช่ศพ เมื่อมีคนตายใหม่ๆจะเอาศพห่อผ้าแล้วเอามาแช่ไว้ที่อาคารหลังนี้ ทางวัดจะติดต่อไปที่ญาติให้มารับศพ ซึ่งถ้าญาติไม่มารับศพ ทางวัดจะทำบุญแล้วทำการเผาและเก็บกระดูกเอาไว้





อาคารณาปนกิจอยู่ไม่ไกลจากอาคารห้องแช่ศพ มีอาคารที่ใช้ทำบุญให้แก่ผู้ตายด้านหน้า





มีทางเดินเชื่อมไปยังเตาเผาศพข้างหลัง ทุกวันนี้ยังคงมีการใช้เตาเผาศพนี้อยู่ จากการสนทนากับผู้ป่วยโรคเอดส์ในวัดและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิรับทราบว่าปริมาณผู้ป่วยโรคเอดส์ที่เสียชีวิตลงในวัดได้ลดปริมาณลงมากแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณในอดีต อาจจะเป็นเพราะผู้ป่วยโรคเอดส์รู้จักดูแลตัวเองกันดีขึ้น ไม่ให้มีโรคแทรกซ้อน












สอบถามนนท์ว่าเห็นอาคารเตาเผาศพที่มีผู้บริจาคให้วัด แล้วได้ใช้ไหม?





นนท์บอกว่า....ในอดีตมีคนตายแต่ละวันจำนวนมาก จนคิดว่าเตาเผาที่มีอยู่มันแตกเป็นรอยร้าวอาจจะไม่พอเผาศพ จึงมีคนสร้างเตาเผาศพให้วัด แต่จำนวนผู้ป่วยที่มาเสียชีวิตที่วัดลดลงอย่างมาก จนเตาที่สร้างขึ้นมาใหม่ไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะศพที่เสียชีวิตลงถูกนำมาเผาที่ณาปนกิจ ๓ เดาเผาศพที่ใช้อยู่ปัจจุบัน

ผมมีโอกาสได้สนทนากับฝ่ายการเงินของมูลนิธิธรรมรักษ์ ณ.ตอนนี้วัดมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ ๓ ล้านบาท ในขณะที่รายรับจากการบริจาคเฉลี่ยเดือนละ ๑ ล้านกว่าบาท ทางวัดพยายามลดค่าใช้จ่ายทุกๆทางเพื่อให้รายรับสมดุลกับรายจ่าย

ผมมองว่าถ้าสังคมไม่พยายามสร้างเงื่อนไขให้คนหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอันนำไปสู่การเป็นโรคเอดส์....ภาระที่ตกกับวัดมากขึ้นเรื่อยๆก็คงทำให้ในทีสุดวัดพระบาทน้ำพุก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน

สังคมควรสร้างค่านิยมที่ถูกต้องเรื่องการมีเพศสัมพันธ์...ไม่ใช่มองแค่เพียงว่าเพศสัมพันธ์เป็นแค่กิจกรรมที่สนองความต้องการพื้นฐานของสัตว์โลก สังคมควรปลูกฝังแนวคิดเรื่องของความรับผิดชอบต่อการมีเพศสัมพันธ์ ความปลอดภัยจากการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงกระแสสังคมควรจะต่อต้านแนวคิดเรื่องการมีกิ๊กเปลี่ยนคู่นอนที่นำมาซึ่งปัญหาสังคมมากมาย


สมัยผมเรียนหนังสือในญี่ปุ่น ออกจะตกใจที่ญี่ปุ่นตื่นตัวเรี่องการป้องกันโรคเอดส์น้อยกว่าเมืองไทย จนตัวเลขคนเป็นเอดส์ในญี่ปุ่นเพิ่มในอัตราที่น่ากลัว....จึงมีการรณรงค์ป้องกันโรคเอดส์กันมากขึ้น มีโฆษณาชิ้นหนึ่งที่เห็นทางทีวี เขาเขียนก็อปปี้ให้ชวนคิดว่า

"ฉันนอนกับแฟนฉันคนเดียวนี่

แต่...เธอรู้ไหมว่าแฟนเธอ อาจจะเป็นแฟนเก่าของใคร และแฟนเก่าของแฟนเธอก็อาจจะเป็นแฟนเก่าของแฟนเก่าคนอื่น?"



ลองอ่านแล้วคิดตาม...คุณเข้าใจใช่ไหมว่าเรื่องไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นได้ และใครก็อาจจะเป็นเหยื่อของโรคเอดส์ได้โดยไม่คาดคิดมาก่อน


ถึงแม้กิจกรรมดีๆที่ร่วมกันทำกับเพื่อน BCL จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือสังคม แต่ผมคิดว่าสังคมคงต้องช่วยกันด้วยถ้าเราอยากจะให้จำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ลดลง ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกให้กับคนในสังคมหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์


ทิ้งท้ายกระทู้นี้ด้วยข้อคิดของหลวงพ่อพุทธทาสที่พบเห็นภายในพิพิธภัณฑ์ชีวิต





 

Create Date : 13 กันยายน 2552    
Last Update : 14 กันยายน 2552 21:50:11 น.
Counter : 4744 Pageviews.  

Tsarskoye Selo, the last day in St. Peterburg

เช้าวันเสาร์ผมเดินทางไป Tsarskoye Selo โดยรถเมล์ รถเมล์แล่นผ่านอนุสาวรีย์วีรชนผู้ปกป้องเมืองเลนินการ์ด

ช่วงที่เยอรมันบุกมาที่เมืองเลนินการ์ดสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารรัสเซียได้รับคำสั่งให้ปกป้องเมืองเลนินการ์ดอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะขาดแคลนอาวุธและทหารได้รับการฝึกซ้อมในระยะเวลาที่สั้นมากๆ แต่คนรัสเซียก็รวบรวมพลังต่อต้านกองทหารเยอรมันอย่างเหนียวแน่นเป็นเวลาเกือบ ๔ ปีเต็ม จนในที่สุดก็สามารถขับไล่ทหารเยอรมันแตกพ่ายกลับไป มีการประเมินว่ามีทหารและประชาชนเสียชีวิตเพื่อการปกป้องเมืองเลนินการ์ดร่วม ๑ ล้านคน

สงครามเป็นสิ่งเลวร้าย...ไม่ว่าฝ่ายชนะหรือว่าฝ่ายแพ้...ต่างสังเวยชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามเพื่อศักดิ์ศรีของประเทศตัวเอง

( I got on a bus bound for Tsarskoye Selo. Bus passed Monument to the Heroic Defenders of Leningrad (1941-1944). During the Second World War Leningrad lived through the most tragic episode in its existence, the 900-day seige lasting from September 1941 to January 1944. In 1941, German troops tried to seige Leningrad. A division of militia men, citizen soldiers who were badly armed and hastily trained, played a vital role in defending the city, resolving to protect it at the cost of their own lives. Over one million people died in Leningrad during the war.

War is bad thing...no matter which country is the winner or loser, many war victims who are not related to the war die for the sake of the honor of their countries)


รถเมล์แล่นผ่านทุ่งนาที่เขาเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว มองเห็นโรงงานใหม่ๆของบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกผุดขึ้นมาสองข้างทาง โรงงานของเป๊บซี่ โรงงานของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ค่ายดังๆทั้งจากญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา เมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีความสวยงามทางวัฒนธรรมของรัสเซียกำลังเปลี่ยนโฉมเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ


(Bus passed rice field which farmers had harvested already. There are many new factories of big international manufacturers along both sides, e.g. Pepsi, European, American and Japanese Automobile makers. St.Peterburg which is the important city in terms of Historical city, Beautiful and splendid cultural city may change to New Industrial Center)


....รถแล่นจนเข้าเขตเมือง มีสาวรัสเซียที่นั่งข้างๆเราบอกว่าให้เราลงรถเมล์ป้ายนี้ กล่าวขอบคุณเธอ

เดินจากสามแยกเลี้ยวขวาแล้วเดินขึ้นไปตามเนิน....วันนี้ฟ้าครึ้มมาก

ก่อนถึงทางเข้ามีซุ้มขายบัตร เจ้าหน้าที่ขายบัตรเขาแจ้งว่าวันนี้เขาไม่เปิดโอกาสให้เข้าไปชมภายใน Catherine Palace แต่สามารถเดินชมภายใน Catherine Park น่าเสียดายจัง

( I went to ticket booth and officer told me that today Catherine Palace was closed but they allow visitors to walk around Catherine Park. It made me disappointed.)


ตามสถานที่ท่องเที่ยวมักจะมีส้วมสาธารณะไว้ด้านหน้าให้นักท่องเที่ยวได้ปลดทุกข์ก่อนจะเข้าไปชมภายใน ที่ Tsarskoye Selo ก็เช่นเดียวกัน ก่อนจะมารัสเซียพยายามฝึกออกเสียงคำในภาษารัสเซียว่า "ห้องน้ำอยู่ที่ไหน?" เพราะคิดว่าได้ใช้ประโยคภาษารัสเซียประโยคนี้แน่ๆ แล้วก็ได้ใช้จริงๆ
ประโยคนี้ลองจำกันดูครับ

где туалет (Where is toilet?)


(There are private toilets in front of attractions in Russia. So is Tsarskoye Selo! Before I came to Russia, I listened Russian language CD. I tried to memorize important phrase e.g. Where is toilet? which I believed that I had to have a chance to say this phrase! )


ตอนฟังซีดีสอนภาษารัสเซีย ได้ยินเขาออกเสียงว่า

"กเสียท ตัวเลียท"

แล้วก็พูดแบบนี้กับคนรัสเซีย พวกเขาก็เข้าใจ แต่น้องรายหนึ่งที่เคยไปโครงการแลกเปลี่ยนที่รัสเซียบอกว่า น่าจะออกเสียงว่า

"กเดียท ตัวเลียท"

ช่างมันเถอะ...ข้าพเจ้าก็ปลดทุกข์โดยไม่ได้ปล่อยให้เรี่ยราดอุดจาดตาในรัสเซียสำเร็จ





Catherine Palace อยู่ระหว่างซ่อม ทาสีใหม่ เขาจึงไม่เปิดให้เราเข้าไปชมภายในตัวพระราชวังที่ได้ยินว่าอลังการมาก แต่เขากลับให้นักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์สามารถเข้าไปชมข้างในพระราชวังได้...เอ้าเป็นอย่างนั้นไป


(Catherine Palace was closed. Palace is under repair but they allow only group tour to visit inside the palace!!!!)


ข้อดีของการที่ผมมาในช่วงที่เขากำลังซ่อมพระราชวังก็คือ....ผมมีภาพระหว่างเขาซ่อม ทาสี เก็บเอาไว้ เพราะถ้ามาคราวหน้าหรือคนอื่นมาไม่ตรงช่วงที่เขากำลังซ่อมพระราชวังก็ไม่มีทางได้ภาพแบบนี้ ไม่เห็นบรรยากาศแบบนี้ ซึ่งนานๆจะมีให้เห็น คุณว่าไหม?






ผมมีโอกาสเจอนักศึกษาจีนกลุ่มหนึ่งที่มาเที่ยวที่นี่...ลองถามเป็นภาษาจีนกลาง ได้ความว่าพวกนี้เขามาเรียนที่รัสเซียแล้วเลยแวะมาเที่ยวที่นี่กัน พวกเธอพอพูดภาษาอังกฤษได้แต่ไม่ดีนัก ตอนที่ถามเธอเป็นภาษาอังกฤษบางครั้ง เธอตอบว่า

Да (ออกเสียงว่า Da แปลว่า Yes)


( I met Chinese students by chance. I talked with them in Mandarin. They study in Russia and visit this palace. They can speak English but not good at. When I asked them in English, they replied me that "Da" which means "Yes" in English.

I understood why they replied me in Russian instead. When I studied in Japan, I sometimes thought in Japanese and when I replied my European friends, I replied in Japanese even if I was talking with them in English!)


พอเข้าใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเพราะตอนผมอยู่ญี่ปุ่นนานๆ ในหัวก็มักคิดแบบญี่ปุ่น หลายครั้งที่คิดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วอธิบายออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นแม้ว่ากำลังคุยเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนชาวยุโรปอยู่ก็ตาม



ได้ยินเสียงสาวรัสเซียออกเสียงว่า " Да..Да..Да" ในระหว่างพวกเธอยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่บ่อยๆ ฟังแล้วน่ารักดี เพราะปกติเราจะคุ้นเคยแต่ได้ยินฝรั่งออกเสียงกันว่า "Yes...Yes...Yes"

(I often heard Russian females said "Da...Da...Da" when they were using mobile phone. It's so cute! Perhaps, I always hear Westerners say "Yes..Yes...Yes", but it is different for this time.)


ภาษาเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของชนชาตินั้นๆ


(Language is identity and charming for each nation)


คราวนี้มาชมความงามของพระราชวังแคทเธอลีนจากด้านนอกในมุมต่างๆดูนะครับ












มุมนี้ตอนฤดูใบไม้ร่วง...ใบไม้สีสันต่างๆผลัดใบ แล้วเป็นภาพสะท้อนลงในสระน้ำนี้เป็นภาพสวยขนาดไหน...ลองจินตนาการดู ผมเห็นภาพในโบรชัวร์แล้วประทับใจในความงามของฤดูใบไม้ร่วง สีสันสวยมากทีเดียว แต่เป็นเพราะว่าเรามาช่วงฤดูร้อนเราจึงเห็นธรรมชาติอีกรูปแบบหนึ่ง..มีแต่ใบไม้สีเขียวๆสะท้อนน้ำในสระมีรูปพระราชวังแคทเธอลีนเป็นฉากหลัง.....




รูปปั้นที่ Peterhof ดูเข้มแข็ง เน้นสรีระของชายหนุ่ม แต่ที่พระราชวังพระนางแคทเธอลีนเน้นความอ่อนช้อย ดูกันเอาเองนะครับ





รูปนี้เหมือนเธอกำลังเชื้อเชิญให้ชมความยิ่งใหญ่อลังการของพระราชวังพระนางแคทเธอลีน...คุณว่าไหม?





ในระหว่างที่นั่งกินอาหารกลางวันที่ม้านั่ง ผมเห็นเด็กเล็กวิ่งเล่นส่งเสียงร้องวี๊ดว๊ายตามประสาเด็ก...เด็กจะเป็นเด็กชาติไหนก็เหมือนกัน มีความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เวลาพวกเด็กๆหัวเราะ...มันเติมความสวยงามให้กับโลกใบนี้


โดยบังเอิญในระหว่างที่เดินหาห้องน้ำ ผมไปเจอสวนด้านข้างพระราชวังพระนางแคทเธอลีน พอได้เห็นความงามของดอกไม้ในสวนจิตใจเบิกบานทันที เพราะตั้งแต่ไปเดินเล่นในสวนต่างๆในรัสเซียมา...มักเจอแต่ต้นไม้สีเขียวๆไม่ค่อยเจอดอกไม้สีสันต่างๆมากนัก ผิดกับสวนในญี่ปุ่นที่มักประดับด้วยดอกไม้สีสันต่างๆที่เขามักจะเปลี่ยนไปแต่ละเดือนผลัดกันออกดอกสีสันต่างๆให้ผู้ชมได้ชื่นชมกัน

บางทีผมอาจจะเป็นดร.ซีโบลด์กลับชาติมาเกิด นอกเหนือจากใช้ชีวิตในญี่ปุ่นนานๆแล้วยังมีความสนใจในพฤกษศาสตร์ มีความสุขเวลาเจอดอกไม้สีสันต่างๆแล้วอยากจะรู้จักชื่อดอกไม้เหล่านั้น

(Perhaps, my last life...I might be Dr.Von Siebolds I spent long times in Japan and I have keen interested in Botany and flowers' names. I am happy whenever I see various flowers.)


ผมเจอดอกไอริชสีม่วง ดอกป๊อบปี้ แล้วก็ดอกเหมือนโบตั๋น อยากรู้ว่าดอกนี้ชื่อดอกอะไร ผมเลยลองเข้าไปถามยามที่เฝ้าสวนด้วยภาษารัสเซียง่ายๆที่สร้างขึ้นมาจากความเข้าใจว่า

Что это? (What is this?)


ยามตอบกลับมา ผมฟังแล้วพอเข้าใจว่าเขาออกเสียงว่า "Peony" ซึ่งก็คือ "ดอกโบตั๋น" (牡丹)นั่นเอง

(I saw Iris, Poppy and some flowers which were similar to Peony. I wanted to know the name then I asked a guard by making simple Russian sentence. What is this? A guard replied to me "Peony")





ผมชอบภาพนี้มากในความลงตัว รูปถ่ายนี้เหมือนสาวน้อยเธอกำลังค่อยเก็บดอกไอริชขึ้นมา ฉากหลังเป็นสีสันของดอกไม้หลายพรรณ ทั้งโบตั๋นสีส้มและโบตั๋นสีชมพู ดอกป๊อบปี้ โบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีของหญิงสาว

ธรรมชาติทุกชนิดมีความงาม...แต่จุดที่สวยงามที่สุดมันมีอยู่จุดเดียว เลยจุดนี้ไปแล้ว มันเป็นความงามณ.จุดใหม่ที่สวยในสภาพและเงื่อนไข ณ.เวลานั้นแต่ไม่ใช่จุดที่สวยที่สุด ความงามจึงเป็นสิ่งที่ไม่คงทน...เหมือนสภาวะธรรมทั่วไป ที่เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...แล้วก็หายไป

(I like this picture in terms of complementary. It looks like a girl is going to deflower. Background consists of various colorful flowers. Pink and orange Peony, Poppy. Poppy is the symbol of happiness for females.

Nature has its own beauty but the most beautiful period is only one period. When it passed this period, beauty is beauty but under different condition and it is not regarded as the most beautiful. Therefore, beauty is not permanent. Like other general nature, it is born, exists, and finally will disappear!)



 ภายในสวนพระนางแคทเธอลีนกว้างมาก สามารถเดินได้ทั้งวัน สวนถูกแต่งดูร่มรื่น เขียวชอุ่ม

โชคไม่ดีก็ตรงที่วังหลายๆหลังอยู่ระหว่างซ่อมแซม เลยไม่มีภาพสวยๆถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกกลับมา แต่ก็มีภาพวังที่เหลืออยู่ติดมือมาให้ดูกล้อมแกล้มได้บ้าง





Cameron Gallery ถูกประดับด้วยดอกไม้ในสวนข้างๆ มีดอกโบตั๋นสวยๆแซม  





Grotto Pavillion ตั้งอยู่ริมสระน้ำ มี Cameron Gallery เห็นเป็นฉากหลัง

 



Grotto Pavillion ถ่ายจากอีกมุมนึง


เดินเล่นในสวน...อากาศสบายๆ ได้ภาพสวยๆของสถานที่ต่างๆออกมา










เดินไปยังประตูทางออกอีกด้านของ Tsarskoye Selo ระหว่างทางมีต้นโซบะสีขาวๆกำลังออกดอกข้างทาง เป็นมุมสวยอีกอย่าง ที่บริเวณทางออกมีอาคารหลังนี้ปรากฏขึ้นมา เขาเข้าใจสร้างลวดลายบนผนังอาคารเหมือนเป็นอิฐแตกเป็นรอยร้าว




เดินออกจาก Tsarskoye Selo แล้วขึ้นรถเมล์กลับเข้าตัวเมืองเซ็นต์ปึเตอร์เบิร์ก

ไปนั่งทานอาหารรัสเซียที่ร้านอาหารที่ชื่อ Hamlet ในเขต Nevsky Prospekt อยากรู้ว่าไข่ปลาคาร์เวียของรัสเซียเป็นอย่างไร? ไหนๆก็มารัสเซียแล้ว...ก็น่าจะลองทานดู เครปพร้อมไข่ปลาคาร์เวียแดงหน้าตาแบบนี้แหละครับท่านผู้อ่าน





ผมไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้นจึงไม่ได้จิบว็อดก้า ถึงแม้จะไม่ได้ดื่มว็อดก้า...แต่ก็มาถึงรัสเซียแล้วนะ รสชาติไข่ปลาคาร์เวียคล้ายๆกับซูชิที่แต่งหน้าด้วยไข่ปลาสีส้มๆที่เคยทานสมัยเรียนหนังสือในญี่ปุ่น

( I tried tasting red Russian Carviar but did not drink Vodka! Umm..this is Russian taste. I felt that caviar taste similar to some sushi which I ate when I studied in Japan.)







อาหารรัสเซียที่สั่งมาทานวันนั้นเป็นข้าวอบเนยพร้อมปลา...อืมม รสชาติอาหารยุโรปจริงๆ


ผมออกเดินทางจากเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กด้วยขบวนรถไฟตู้นอนมุ่งหน้ากลับไปมอสโคว์ เพื่อนร่วมเดินทางด้วยสองคนเป็นนักศึกษาเวียดนามที่ไปเรียนในอเมริกา เขาเก็บเงินจากงานพิเศษมาเที่ยวยุโรป อีกคนเป็นพนักงานธนาคารชาวรัสเซียชื่อ นิกิต้า คุณนิกิต้าพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว เราสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

ในมุมมองของนิกิต้า...เขาอยากให้รัสเซียกลับไปเป็นระบบกษัตริย์มากกว่าระบบทุนนิยมแบบนี้ รัสเซียกำลังจะโดนจีนแซงหน้าไปหลายเรื่อง รัสเซียมีก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน แต่ไม่มีเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะออกมาแข่งขันกับประเทศอื่น ตรงนี้เป็นข้อจำกัดที่น่าเป็นห่วง

( I got on train bound for Moscow. One of my companion was a Russian banker namely Nikita. I talked with him and exchanged ideas about economy and politics.

Nikita expressed his idea that many Russian want Russia to go back to monarchy system not capitalism system as it is now. China will move forward and outpace Russia in the future. Russia has plenty of oil, natural gas but she does not have new advanced technology. This is limitation.)


ผมสนทนากับนิกิต้ายาวนานก่อนที่จะขอตัวเข้านอนเพราะมันเกือบตีหนึ่งแล้ว

(I stopped conversation which Nikita when it was nearly 1 am.)

до свидания Санкт-Петербург (ดัสวี ดานียา เซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก)

(Goodbye St. Peterburg)




 

Create Date : 01 กันยายน 2552    
Last Update : 6 กันยายน 2552 13:53:55 น.
Counter : 1390 Pageviews.  

Peterhof

ตอนเช้ามารอขึ้นเรือไฮโดรฟอยด์ที่ท่าซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ The Hermitage Museum เพื่อเดินทางไป Peterhof วังเก่าของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก

(On following day, I got on a Hydrofoil to go to Peterhof at a pier opposite to the Hermitage Museum. Peterhof is the former Palace of Peter the Great. It is located on the Northwest of St.Peterburg City.)


มีคำถามจากเพื่อนภายหลังจากกลับมาถึงเมืองไทยว่าผู้หญิงรัสเซียหน้าตาดีไหม? คำตอบคือ...ตลอดระยะเวลาหลายวันที่เดินทางไปยังที่ต่างๆทั้งในมอสโคว์และเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กผมเจอผู้หญิงหน้าตาดีหลายๆคนทุกวัน

(My friend asked me after I returned to Thailand about how Russian women look like? Are they beautiful? Answer is....It is easy for me to find beautiful Russian women everyday in Moscow and St.Peterburg during my trip)



มีคำถามจากน้องรายหนึ่งว่า

"ถ้ามีผู้หญิงรัสเซียเดินมา ๑๐ คนจะเจอคนสวยกี่คน?"

ผมตอบไปว่าในบรรดาผู้หญิงรัสเซียที่เดินผ่านมา ๑๐ คนมีโอกาสเจอคนสวย ๗ คนได้

(My friend continue to ask me that if 10 Russian women walk to me how many beautiful women I find? Answer is 7 out of 10 are regarded as beautiful women!!!)


แล้วมีคำถามเชิงเปรียบเทียบว่า

"แล้วในเมืองไทยหละ ถ้ามีสาวไทยเดินผ่านมา ๑๐ คนจะเจอคนสวยกี่คน?"

ถ้าตอบจากความรู้สึกของผม

"ในบรรดาสาวไทยที่เดินผ่าน ๑๐ คนเรามีโอกาสเจอสาวสวย ๗ คนได้"


(My friend, she continued to ask me further...

In Thailand, if 10 Thai girls walk to you, how many girls are regarded as beautiful women? My answer is 7 out of 10 women who walk to me are regarded as beautiful women!!!)


มีคำถามต่อมาว่าสาวไทยกับสาวรัสเซีย...ใครสวยกว่ากัน?

อันนี้ต้องตอบตามเนื้อผ้าว่า....สวยคนละแบบ สวยแบบรัสเซียจะตาคม ผิวขาวแบบฝรั่งตอนเหนือของยุโรป แต่สวยแบบผู้หญิงไทยจะสวยแบบคนเอเชีย ใบหน้าสาวไทยบางคนมีเสน่ห์ชวนมองได้นานๆ


(Thai girls or Russian girls which one do you think more beautiful? I replied to my friend that beauty in Russian context is different from beauty in Thai context.)


คนรอขึ้นเรือไฮโดรฟอยล์เยอะมาก เราได้ที่นั่งด้านท้ายเรือซึ่งอยู่ใกล้เครื่องยนต์ เวลาเรือแล่นทีเสียงดังมาก ถ้าเวลาคนเปิดประตูทิ้งไว้จะได้ยินเสียงเครื่องดังหนวกหู ต้องคอยปิดประตู

เรือไฮโดรฟอยด์แล่นเหนือผิวน้ำเลาะเลี้ยวไปตามแม่น้ำ Neva จนออกไปสู่อ่าวฟินแลนด์ (Gulf of Findland) หมายความว่าถ้าแล่นไปเรื่อยๆก็จะลัดเลาะไปถึงประเทศฟินแลนด์ได้เลย

(Hydrofoil brought me from Neva River to Gulf of Findland. If hydrofoil run directly, it is possible for us to go to Findland)



เห็นบริเวณที่แม่น้ำกับทะเลมาบรรจบกัน น้ำสีต่างกันระหว่างน้ำจากแม่น้ำกับน้ำทะเล เห็นโรงงานไฟฟ้าที่เขาตั้งกลางทะเล โรงงานผลิตสินค้าริมฝั่ง...

เรือแล่นช้าลงเมื่อเข้าใกล้บริเวณ Peterhof...

ตอนที่ซื้อบัตรผ่านประตูได้ยินเสียงสนทนาภาษาสเปนของกลุ่มนักท่องเที่ยว เดินจากท่าเรือเข้าไปก็เห็นทางเดินไปสู่ The Great Palace และ The Grand Cascade เห็นนักท่องเที่ยวยืนบริเวณ The Great Palace จำนวนมาก

เดินเข้าไปใกล้จนได้ตำแหน่งที่สวยพอจะถ่ายภาพได้ ก็เลือกมุม แต่มีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มที่เลือกมุมนี้ถ่ายรูปตัวเองกับสถานที่ท่องเที่ยว...เราต้องรอจนพวกเขาออกไป แล้วก็กดชัตเตอร์ได้ภาพนี้ออกมา

(There are many visitors who come to Peterhof. I had to wait until they took their pictures and left this place then I took picture of the Great Palace and the Cascade.)





รูปปั้นสีทองที่เขานำมาประดับน้ำพุดูสง่างาม เขาปั้นรูปปั้นที่เน้นสรีระ ความแข็งแกร่ง

ตรงกลางของน้ำพูเป็นรูปปั้น Samson กำลังแหกปากสิงโต

(In the middle of fountain, we can see the sculpture of Samson tearing open the jaws of the lion)




รูปนี้ดูโหดเหี้ยมมาก เป็นรูป Perseus ตัดศีรษะข้าศึก




รูปนี้เน้นโครงสร้างสรีระของผู้ชาย ตอนที่จะถ่ายภาพรูปนี้...ผมเห็นรูปปั้นนี้มีสาวๆมองกันนานมาก ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านใช้เวลาดูรูปนี้นานกี่วินาที?


(There were many females spent their time looking at this sculpture. I waited until they left and then took this snapshot. What about you? How many second do you spend looking at this picture?)






อากาศร้อนจนถอดเสื้อสเว็ตเตอร์ออกเหลือแต่เสื้อโปโล แดดแรงจนเลนส์ Transition ของ Essilor ทำงานอัตโนมัติช่วยกรองแสงแดด





ในขณะที่เดินรอบๆได้ยินเสียงคนไทยคุยกัน เลยเข้าไปทักทาย ปรากฏว่าเป็นน้องๆนักศึกษาไทยที่ได้ทุนรัฐบาลรัสเซียมาศึกษาที่รัสเซีย พอเขารู้ว่าเรามาเที่ยวกันตามลำพัง เขาพูดว่า

"เก่งมากค่ะ กล้ามากๆเลยนะคะที่มาเที่ยวรัสเซียเองตามลำพัง"

ผมฟังแล้วงง แล้วพยายามตีความหมายจากไทยเป็นไทยอีกที เขากำลังหมายความว่า

รัสเซียเป็นดินแดนอันตราย ไม่เหมาะแก่การเดินทางมาเที่ยวตามลำพังอย่างนั้นหรอ?

น้องๆเขาพูดถึงความยากลำบากในการสื่อสารกับคนรัสเซียด้วยภาษาอังกฤษ ป้ายทุกอย่างเขียนด้วยภาษารัสเซีย แล้วก็เขาก็เตือนให้ระมัดระวังตัวในระหว่างเดินทางท่องเที่ยว....ซึ่งบอกเขาว่าเราโดนขโมยกล้องไปแล้ว น้องๆเขาถามว่าโดนที่ไหน พอบอกว่าย่าน Nevsky Prospekt เขาพูดว่าย่านนี้นักท่องเที่ยวโดนกันเยอะ แม้แต่ตัวเขาที่สามารถสื่อสารด้วยภาษารัสเซียได้...ใช้ชีวิตนักเรียนที่นี่หลายปี เขาเองยังโดนเหมือนกัน!!!!

น้องเขาเล่าว่า...ในขณะที่พวกเขาไปนั่งทานข้าวกัน 8 คน มีคนรัสเซียแกล้งมาถามเวลา พอทุกคนหันไปแค่แป๊บเดียวก็มีมือดีแอบหยิบของมีค่าเดินออกจากร้านหน้าตาเฉย เขาเข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดพบว่าขโมยทำการหยิบฉวยของจากเขาไปโดยใช้เวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น

น้องๆเขามาเที่ยวที่นี่กันก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทยเพราะใกล้สำเร็จการศึกษากันแล้ว


(I met some Thai students who studied in Russia by chance. They were surprised to know that we visit Russia alone without any tour guide. It is difficult to communicate with Russian in English and signboards are written in Russia. Moreover, pickpocket incidents are likely to happen in attractions. Even if they study in Russia and can speak Russia, some of their belongings were stolen in Nevsky Prospect area.)


สถานที่ภายใน Peterhof กว้างมาก แต่เขาปลูกต้นไม้ร่มรื่นมาก เดินแล้วมีแต่สีเขียวๆ เบิกบานใจ เดินไปบริเวณที่เป็นสวนองุ่นซึ่งตอนนั้นไม่มีผลองุ่น ผมเดินเล่นขึ้นไปบนเนินที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณข้างๆเนินมีต้น Rape blossom สีเหลืองๆออกดอกมา ดูแล้วสวยไปอีกแบบ แต่ว่าถ่ายภาพออกมาก็คงไม่สวย เก็บเอาไว้ในความทรงจำดีกว่า


(I appreciated beautiful scenery around Peterhof. Some places are beautiful but it might not be beautiful if taking picture then I selected to memorize scenery in my mind instead.)


เข้าไปภายในอาคาร The Great Palace เราต้องรอเวลาที่จะเข้าไป เขามีไกด์บรรยายเป็นรอบๆ แต่โชคไม่ดีก็ตรงที่เขาบรรยายเป็นภาษารัสเซีย เราตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาบรรยายแต่ก็ไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าขอถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อห้องต่างๆภายใน The Great Palace ดีกว่า เพราะเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายใน ห้องต่างๆประดับด้วยภาพวาดและเครื่องประดับที่ดูงดงามมาก มีภาพสงครามหลายๆสมรภูมิที่รัสเซียมีชัย ห้องต่างๆประดับไปด้วยทองเหลืองอร่าม ภายในพระราชวังมีห้องญี่ปุ่นด้วย ซึ่งภายในห้องญี่ปุ่นมีของนำเข้ามาจากญี่ปุ่นทั้งภาพวาด โซฟา เครื่องประดับ

(In the Great Palace, taking photography is prohibited. I memorize how luxury each room is in my mind.)


ด้านหลังของพระราชวังมีสระใหญ่และสวนร่มรื่น มีรูปปั้นต่างๆประดับสวน

(Behind the Great Palace, there are big pond, fountain and many sculptures in upper garden.)


















ความร่มรื่นภายใน Peterhof ทำให้ผมมีคำถามว่าทำไมเมืองไทยไม่ค่อยมีสวนร่มรื่นแบบนี้ เป็นที่เบิกบานใจ เรามีช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์มากขึ้น...แต่ปริมาณสวนสาธารณะที่มีภูมิทัศน์สวยๆกลับมีน้อยมาก ชีวิตที่ยิ่งเข้าใกล้ธรรมชาติมากเท่าไหร่....ชีวิตย่อมมีความสงบร่มเย็นมากขึ้นเท่านั้น เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ





เห็นคู่บ่าวสาวรัสเซียมาถ่ายภาพที่นี่หลายคู่ ทำให้นึกขึ้นมาได้มีคนเคยบอกว่าว่าเดือนมิถุนายน...เป็นเดือนที่ฝรั่งเชื่อกันว่าเป็นเดือนของเทพธิดาที่เชื่อกันว่านำความโชคดีมาสู่หญิงสาว..หลายคนเลยนิยมเป็นเจ้าสาวในเดือนมิถุนายน ในญี่ปุ่นก็เริ่มมีคนเชื่อตามฝรั่ง หันมาแต่งงานกันเดือนมิถุนายนมากขึ้น บางครั้งคนเอเชียไม่สมควรตามก้นฝรั่งไปทุกเรื่อง ลองคิดดูสิ...เดือนมิถุนายนเป็นเดือนของฤดูฝน จะเดินจะเหิรในระหว่างฝนตกมันน่าอภิรมย์ไหม แล้วพิธีและงานเลี้ยงแต่งงานกระทำอยู่ดีๆฝนก็ตกลงมา มันสนุกไหม?

เดินออกจาก Peterhof ก็เห็นวิหารที่อยู่ใกล้ๆชื่อ Peterhof St.Peter and Paul Cathedral วิหารเขาใกล้ปิดแล้ว เขาให้เราขึ้นไปถึงยอด โดยขอรับบริจาคคนละ 30 เรียท (รูเบิล) ผมลองเดินขึ้นบันได 138 ขั้นไปจนถึงยอด ได้เห็นวิวของสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆและ Peterhof เดินออกมาแล้วก็ถ่ายภาพจากด้านหน้าเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก ต้นโซบะที่ขึ้นเป็นแนวสีขาวๆให้บรรยากาศสวยๆสบายๆไปอีกแบบ







 

Create Date : 23 สิงหาคม 2552    
Last Update : 28 สิงหาคม 2552 21:10:51 น.
Counter : 2498 Pageviews.  

Peter and Paul Fortress

จาก St.Isaac Cathedral เดินเลียบแม่น้ำ Neva เดินข้ามสะพาน Dvortsovyy ไปยังอีกฝั่งที่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตววิทยา รถติดบนสะพานมาก...เราเดินผ่านรถบัส รถเก๋งที่ติดอยู่บนสะพาน

วันนี้พิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมฟรี มีเด็กและเยาวชนเข้ามาชมกันมาก เขามีสัตว์หลากหลายชนิดสต๊าฟเอาไว้ ทั้งปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื่อยคลาย สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พี่ชายผมอยากเห็นซากแมมมอส ตัวผมเคยเห็นมาแล้วในงาน Aichi Expo 2005 เราเดินหากันว่าเขาเอาซากแมมมอสไปเก็บไว้ที่ไหนของพิพิธภัณฑ์ สอบถามยาม...เขาอธิบายเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่มีเด็กชั้นประถมคนหนึ่งพอได้ยินว่าเราพูดถึงแมมมอส เขาพยายามอธิบายให้เราฟังเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆว่า Up...left...left ขอบคุณเด็กคนนั้น แล้วก็ชื่นชมที่เขากล้าพูดอธิบายให้คนต่างชาติฟังด้วยภาษาอังกฤษ ยามยิ้มที่เห็นเด็กคนนั้นสามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับคนต่างชาติได้


เดินออกจากพิพิธภัณฑ์ข้ามมาอีกฝั่งบริเวณ Birzhbvaya บริเวณนั้นมีสวนหย่อม แล้วก็มองมาอีกฝั่งของแม่น้ำ Neva เห็น The State Hermitage Museum จากรูปที่ถ่ายออกมาบ่งบอกว่าอาคารพิพิธภัณฑ์ The Hermitage ใหญ่โตขนาดไหน





วันนั้นที่ไปถึงมีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปบริเวณนั้นถึง ๓ คู่ เพื่อนๆช่วยกันเชียร์ให้คู่บ่าวสาวจูบกัน ฟังแล้วเหมือนเขาตะโกนกันว่า "กั๊กโกๆๆๆๆๆ"




เจ้าบ่าวบางคนที่เจอยังดูเด็กมาก...แต่ถ้าเขารู้ว่าเราอายุขนาดนี้ยังเป็นโสด เขาคงสงสัยว่าทำไมยังไม่แต่งงานอีก

คนเราแต่งงานเพื่ออะไร? ควรเป็นคำถามซึ่งคนที่คิดจะแต่งงานน่าจะถามตัวเองจนได้คำตอบชัดเจนก่อนตัดสินใจแต่งงาน เพราะการแต่งงานไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตด้วยกันมีลูกแล้วก็จบ

ถ้าแต่งงานเพราะเหงากลัวอยู่คนเดียว...แล้วถ้าแต่งงานไปแล้วกลับยิ่งเหงากว่าเดิมเพราะคู่สมรสไม่สนใจใยดี แต่งงานแล้วถูกทิ้งๆขว้างๆ แบบนี้แต่งงานก็ไม่ใช่คำตอบที่ต้องการสินะ

ถ้าแต่งงานเพราะอยากมีลูก แต่งงานแล้วไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็ไม่สามารถมีลูกได้...แล้วชีวิตแต่งงานอยู่เพื่ออะไร?

ถ้าแต่งงานเพราะอยากมีลูก พอมีลูก ลูกเกิดมาแล้วไม่ได้ดั่งใจ สุขภาพไม่แข็งแรง ร่างกายไม่สมประกอบ หรือสมประกอบแต่ไม่เป็นอย่างที่พ่อแม่ต้องการ แบบนี้การมีลูกได้ตอบสนองความต้องการของการแต่งงานไหม?

ถ้าแต่งงานเพราะอยากร่ำรวย ได้เงินมากมายแต่ไม่มีความสุข ไม่มีอิสระ แบบนี้ก็ได้แต่งงานแล้วเช่นกันแต่ถามจริงๆว่าคนเราต้องการแบบนี้จริงหรือ?

ถ้าแต่งงานเพราะเห็นคนอื่นที่แต่งงานไปแล้วมีความสุข เลยคาดหวังจะมีความสุขแบบคนอื่นบ้าง แต่พอแต่งงานแล้วคู่สมรสอาจจะเป็นคนดีแต่ไม่ได้ดั่งใจ หรือไม่ดีและไม่ได้เรื่องอย่างที่เราอยากให้เป็น แล้วอย่างไงดี? เพราะเราคาดหวังเกินไปไม่ใช่หรือ สามีหรือภรรยาเราไม่ใช่สามีหรือภรรยาชาวบ้านที่จะต้องเป็น หรือว่าเหมือนสามี/ภรรยาชาวบ้าน แล้วมันจำเป็นด้วยหรือที่ต้องพยายามทำตัวให้เป็น/เหมือนสามีหรือภรรยาชาวบ้าน?

ถ้ามีใครบอกว่า "การแต่งงานคือการซื้อล็อตเตอรี่" ผมว่าถ้าเขาคิดแบบนั้นก็เท่ากับว่าเขาก็ยอมรับว่าชีวิตสมรสโอกาสจะมีความสุขมีน้อยกว่ามีความทุกข์ เพราะว่าโอกาสที่จะถูกล็อตเตอรี่มีน้อยกว่า ๑ ใน ๑๐๐ ถ้าเป็นเลขท้ายสองตัว แต่ถ้าอยากจะถูกรางวัลที่ ๑ โอกาสที่จะถูกก็น้อยกว่า ๑ ในล้านเลย ดังนั้นถ้าเขาเชื่อแบบนั้นจริง....เขาน่าจะเลือกที่อยู่เป็นโสดมากกว่าแต่งงานเพราะโอกาสที่จะมีความสุขจากการแต่งงานจริงๆมีน้อยมาก แต่ทำไมคนชอบเสี่ยงทั้งๆที่รู้ว่าโอกาสจะถูกรางวัลมีน้อยมาก?

อาจจะเป็นเพราะว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทั้งด้านดีและด้านร้าย ดังนั้น...คนๆหนึ่งอาจจะเป็นคนไม่ดีได้ถ้ามีเหตุและปัจจัยเปลี่ยน ความคาดหวังก่อนแต่งงานของคู่บ่าวสาวที่คาดว่าคู่สมรสของตนเองจะดีเหมือนก่อนแต่งงาน....แต่หลายๆคนเปลี่ยนไปภายหลังแต่งงานหรือว่าโปรโมชั่นก่อนแต่งมักหมดภายหลังแต่งงานไปแล้ว


งานเลี้ยงฟุ่มเฟือยที่จัดขึ้นเพื่อฉลองงานแต่งงาน...
ภาพหวานซึ้งของคู่บ่าวสาวที่อุตส่าห์ถ่ายในสตูดิโอแสนแพง
แต่พอเลิกรากัน...ภาพหวานซึ้งคงไม่ใช่สิ่งที่คนสองคนอยากจะดูอีกต่อไป งานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานกลายเป็นความสูญเปล่า

ตกลงแล้วคนเราแต่งงานเพื่ออะไร?

ขอโทษที..ผมตั้งคำถามชวนคนอ่านเครียดขึ้นมาเล่นๆ เล่าเรื่องการเดินทางต่อดีกว่า...


ฟ้าเริ่มครึ้มตั้งเค้าฝนจะตก...เห็นฝนเริ่มตกบริเวณที่ไกลออกไป จากมุมนี้มองเห็นวิหาร St. Isaac และแนวอาคาร The State Hermitage Museum




อยู่ๆก็มีลมพัดแรง พัดเอาฝุ่นและเศษผงปลิวมา ก่อนที่ฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมา


เดินมาถึงบริเวณทางเข้า Peter and Paul Fortress ฝนตกหนักขึ้น จนต้องหยุดหลบฝนใต้หลังคาร้านขายของ....รอจนฝนซาจึงกางร่มเข้าไปภายใน


บริเวณวิหาร Peter and Paul ตัวหอระฆังสูงมาก...ถ้าไม่ใช่กล้องมุมกว้าง คงเก็บภาพนี้ไม่หมด ตอนนั้นได้ยินเสียงระฆังที่ถูกตีขึ้นเสียงดังกังวาล เสียงระฆังทำให้นึกถึงรายการสารคดี 世界遺産 (The World Heritage) ที่เคยดูในญี่ปุ่น รายการนี้บริษัทโซนี่เป็นสปอนเซอร์ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีโตเกียว ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ ผมนึกขึ้นมาได้ว่า....เคยได้ยินเสียงระฆังแบบนี้ในรายการตอนที่เขานำเสนอเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งที่เราเห็นผ่านจอทีวี...วันนี้จะมาสัมผัสด้วยตาตนเอง






ฝนตกปรอยๆ มือเปื้อนอะไรบางอย่าง ผมลองเอามือล้างด้วยน้ำฝนที่รองจากหลังคา ได้อีกบรรยากาศ ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้นานมากแล้ว


เดินสำรวจรอบๆภายใน Peter and Paul Fortress มีรูปปั้นพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ออกจะตกใจที่เห็นผู้คนขึ้นไปนั่งบนรูปปั้นและถ่ายรูปด้วยท่าทางขบขัน ตำแหน่งที่ผู้คนเอาร่างกายไปถู ไปลูบ บริเวณนั้นสังเกตเห็นว่ามันแผล็บเลย ไม่คิดว่าผู้คนที่มาเที่ยวที่นี่จะทำอะไรแบบนี้ ตอนผมไปวัดพระแก้วเห็นฝรั่งเอามือลูบรูปปั้นผมเตือนว่าคุณไม่ควรทำแบบนี้ (เพราะการทำแบบนั้นมีส่วนทำลายโบราณวัตถุ)


เดินออกจาก Peter and Paul Fortress แล้วเดินข้ามสะพาน Troitskiy รถตอน ๑ ทุ่มบนสะพานติดเอาเรื่องเหมือนกัน (ลองสังเกตดูว่าเวลาตอน ๑ ทุ่มในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก ท้องฟ้าเป็นอย่างไร) พอรถแล่นได้...คนรัสเซียบีบแตรดังๆนานๆ อาจจะเป็นการแสดงถึงการได้ปลดปล่อยความอดทนที่รอมานานกว่ารถจะเคลื่อนได้ ตัวสะพาน Troitskiy เขาออกแบบมามีลวดลายงดงาม






เดินผ่านด้านหลัง The Church on the spilled blood ได้อีกบรรยากาศ บรรยากาศตอนเย็นต่างจากตอนบ่าย




เดินเลียบลำคลอง Moyka มีเรื่อพานักท่องเที่ยวชมความงามของสถาปัตยกรรมที่สวยงามสองฝั่งคลอง





เดินทะลุอาคาร General Staff จนมาเจอ Palace Square ตอนที่มาถึงเป็นเวลา ๑ ทุ่มกว่าซึ่งไม่มีแสงจ้าเหมือนทุกที ทำให้สามารถถ่ายภาพบรรยากาศอย่างที่ต้องการได้

บางทีการถ่ายภาพ...ก็ขึ้นกับความโชคดีด้วยเหมือนกัน เพราะว่าตอนที่เราไปถึงสถานที่ซึ่งอยากถ่ายภาพ...อากาศอาจจะไม่เป็นใจก็ได้ ก็จะไม่ได้ภาพอย่างที่ใจปรารถนา แต่ตอนที่อากาศเป็นใจ....เราจะสามารถถ่ายภาพออกมาได้ภาพสวยงามถูกใจ






เริ่มหิวข้าวเลยไปหาอะไรทาน มื้อนั้นฝากท้องไว้กับร้านอาหารญี่ปุ่น ปกติตอนอยู่เมืองไทยผมไม่ค่อยอยากทานอาหารญี่ปุ่นเท่าไหร่เพราะร้านที่ขายๆกันโดยมากดัดแปลงรสชาติจนหาความอร่อยแบบญี่ปุ่นไม่ได้ จะมีก็ไม่กี่ร้านที่ยังคงรสชาติอร่อยแบบญี่ปุ่นเอาไว้ อย่างเช่น โอโทย่า อันนี้อาจจะเป็นเพราะเป็นแฟรนไชส์เขารักษารสชาติได้อร่อยใกล้เคียงกับที่ทานที่ร้านโอโทย่าในญี่ปุ่น

แต่ในรัสเซียอาหารญี่ปุ่นราคาไม่แพง แม้จะดัดแปลงรสชาติจนรู้สึกว่าอาหารญี่ปุ่นแบบรัสเซียมากกว่าอาหารญี่ปุ่นแท้ๆก็ตาม แต่ก็ทานได้ถูกปากมากกว่าอาหารฝรั่งที่เต็มไปด้วยครีม ทานแล้วเอียน

เท่าที่สังเกต...อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมมาก พบร้านอาหารญี่ปุ่นเกือบทุกที่ในย่านสถานที่ท่องเที่ยว ร้าน Planet Sushi เปิดสาขาหลายที่ ไปที่ไหนก็เจอ เขาเปิดให้บริการ ๒๔ ชั่วโมง แต่ทำช้ามาก กว่าจะได้กินบางทีนั่งหลับไปเลย


ทานเสร็จก็ถ่ายภาพบริเวณย่าน Nevsky Prospekt ก่อนกลับ 





Kazan Cathedral เวลาตอน ๒ ทุ่ม










 

Create Date : 19 สิงหาคม 2552    
Last Update : 19 สิงหาคม 2552 21:23:06 น.
Counter : 1093 Pageviews.  

Service Mind in St. Peterburg

หลังจากทิ้งช่วงเขียนเล่าเรื่องทริปยุโรปไปหลายอาทิตย์ วันนี้ขอกลับมาเล่าบันทึกการเดินทางยุโรปครั้งแรกภาคต่อไป


เนื่องจากแบตเตอรี่ที่ใช้กลับกล้องคอมแพ็คท์มีเพียงก้อนเดียว ดังนั้นเพื่อให้สามารถบันทึกภาพได้อย่างต่อเนื่อง การมีแบตเตอรี่สำรองน่าจะดีกว่า จึงตัดสินใจจะไปหาซื้อแบตเตอรี่ที่ศูนย์บริการของเพ็นแท็กซ์ในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก เนื่องจากพยายามหาแบตเตอรี่รุ่นที่ใช้กับกล้องของเพ็นแท็กซ์แต่ปรากฏว่าร้านขายกล้องส่วนมากจะบอกว่าร้านเขาไม่มีแบตเตอรี่รุ่นที่ใช้ได้กับกล้องรุ่นของเรา


เห็นภาพของ Chesme Church of the Nativity of St. John the Baptist ตามสถานีรถไฟใต้ดินในเมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์กและหนังสือไกด์บุ๊คก็ลงภาพโบสถ์นี้ แต่เขาไม่มีรายละเอียดว่าจากสถานี Park Pobedy จะไปที่นี่ได้อย่างไร? เนื่องจากโบสถ์นี้อยู่ใกล้สถานี Park Pobedy และศูนย์บริการของเพ็นแท็กซ์ก็อยู่ใกล้สถานี Moskovskaya ซึ่งอยู่ถัดไปอีกสถานี เลยตัดสินใจลองแวะไปโบสถ์นี้ดูก่อนจะแวะไปศูนย์บริการของเพ็นแท็กซ์


พอออกจากสถานี Park Podeby ลองสอบถามคนแถวสถานีว่ารู้จักไหมว่าโบสถ์ในรูปอยู่ที่ไหน? คนส่วนมากส่ายหัว...เขาไม่รู้ว่าโบสถ์นี้อยู่ที่ไหน? เอ้า..เป็นงั้นไป! มีคนรัสเซียที่ขายของใกล้สถานีรถไฟใต้ดินเขาชี้มือว่าอยู่ที่โน่นแต่ไม่บอกรายละเอียด...


เดินทะลุสวน ภายในสวนมีดอกไอริชสีม่วงกำลังออกดอกพอดี เดินผ่านร้านดอกไม้แล้วลองถามคุณลุงรายหนึ่ง แกรู้จักโบสถ์นี้แต่แกอธิบายเป็นภาษารัสเซีย วิธีที่ง่ายต่อการสื่อสารคือให้แกลองวาดรูปด้วยเส้นว่าจากจุดนี้จะไปโบสถ์นี้ได้อย่างไร เลี้ยวที่ไหนบ้าง กี่สี่แยก? แล้วยืนยันกันอีกทีว่าเราไม่เข้าใจผิด ขอบคุณคุณลุงเป็นภาษารัสเซีย "สปาซซีบ้า" แล้วลองเดินดูบ้าง เดินจนถึงบริเวณปลายทางรถรางก็เจอโบสถ์เหมือนในรูปในหนังสือไกด์บุ๊คตั้งอยู่ วันนั้นมีคนเข้ามาสวดกันพอสมควร มีโอกาสได้แวะเข้าไปในโบสถ์...ฟังเสียงนักร้องประสานเสียงที่อยู่ชั้นบนร้องบทสวดมนต์ดังกังวานจับใจดี





เดินทางไปศูนย์บริการของ Pentax ซึ่งอยู่ถัดไปอีกสถานี ศูนย์บริการที่ว่าชื่อบริษัท Zooma เขามีอุปกรณ์ถ่ายภาพของเพ็นแท็กซ์ แต่พอสอบถามพนักงานในร้านด้วยภาษาอังกฤษเรื่องแบตเตอรี่ เธอพอตอบได้ว่าในร้านของเธอไม่มีแต่เธอช่วยเช็กให้เราได้ว่าร้านไหนที่ยังพอจะมีแบตเตอรี่ที่เราต้องการบ้าง?

เนื่องจากคู่มือการใช้กล้องพิมพ์ด้วยภาษารัสเซีย ดูรูปแล้วก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่คู่มืออธิบายว่าหมายความถึงอะไร ภาพในคู่มือบ่งบอกว่ามีแท่นชาร์จซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริม เข้าใจว่าเป็นแท่นชาร์จแบตเตอรี่ เลยสอบถามกับเธอว่ามีอุปกรณ์ดังกล่าวไหม? เธอบอกว่าในร้านของเธอมีอุปกรณ์ดังกล่าว ขอแท่นชาร์จมาดู ตัดสินใจซื้อและชำระด้วยบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย....เคยมีคนแอบบ่นว่าบัตรเครดิตแบรนด์ไทยมารูดต่างประเทศบางครั้งหน้าแตกเพราะรูดไม่ผ่าน พนักงานในร้านสอดบัตรเครดิตแล้วให้เรากดรหัสลับก่อนสลิปจะพิมพ์ออกมาให้เซ็นต์ ปรากฏว่ารูดผ่านไม่มีปัญหาอะไร

แต่ก่อนออกจากร้านสอบถามเพื่อให้แน่ใจอีกทีว่าแท่นชาร์จนี้ใช้ได้กับแบตเตอรี่ที่หมดเพื่อรีชาร์จใช่หรือไม่? ปรากฏว่าไม่ใช่ แท่นนี้ไม่ได้มีเอาไว้ใช้รีชาร์จแบตเตอรี่แต่ว่าเอาไว้ใช้สำหรับถ่ายภาพภายในกันแบตเตอรี่หมดระหว่างถ่ายภาพต่อเนื่อง เอ้า...ซื้อผิด เวรกรรมแล้วทำอย่างไรดี จะขอเขาคืนสินค้าก็กระทำได้ลำบากเพราะว่าจ่ายด้วยบัตรเครดิตไปแล้ว ถ้าเป็นเงินสดยังพอจะคืนได้เพราะสินค้าอยู่ในสภาพที่ดี

เวลามีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น มันอธิบายให้คนรัสเซียเข้าใจได้ค่อนข้างลำบาก ภาษาอังกฤษที่คุยกับพนักงานคนก่อนหน้านี้...เธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจประโยคบางประโยค พยายามเรียบเรียงประโยคภาษาอังกฤษที่เข้าใจง่ายๆสำหรับเธอ...เธอก็ไม่เข้าใจ มีพนักงานอีกคนที่ภาษาอังกฤษของเธอดีพอที่จะสื่อสารได้ พนักงานคนนั้นเธอเข้ามาสอบถามปัญหาและพยายามหาทางช่วย

ผมขอโทษเธอที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา แต่อยากให้เธอเข้าใจว่าเรื่องเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด ชี้คำอธิบายในเฟสบุ๊คคำว่า "เข้าใจผิด" ในภาษารัสเซียให้เธอดู เธอขอให้ผมมาที่นี่ใหม่วันจันทร์หน้าเพื่อทำเรื่องคืนเงินที่ชำระด้วยบัตรเครดิตไปแล้ว แต่อธิบายให้เธอฟังว่าเราจะเดินทางกลับมอสโคว์วันเสาร์นี้ เลยเสนอทางออกให้เธอว่าเป็นไปได้ไหมที่เธอไม่ต้องคืนเงินให้ แต่ผมจะขอซื้ออุปกรณ์ถ่ายภาพในร้านตัวอื่นแทนในมูลค่าที่ใกล้เคียงกับแท่นชาร์จตัวนั้น

เธอหาทางออกที่สวยให้ผมด้วยการไปหยิบเอาแบตเตอรี่ก้อนใหม่จากกล่องใส่กล้องคอมแพ็กท์ตัวใหม่สองตัวที่อยู่ในร้านออกมาให้ เนื่องจากร้านของเธอไม่มีแบตเตอรี่ก้อนใหม่ไว้ขายให้ลูกค้าเลย ซึ่งมันเป็นการพยายามช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและเรื่องวุ่นวายจบลงด้วยทุกฝ่ายพอใจ ถือเป็นไหวพริบของพนักงานขายและนับถือการมีจิตใจในการให้บริการของพนักงานขายรายนี้

อยากให้เรื่องอย่างเดียวกัน...เกิดขึ้นกับการให้บริการในเมืองไทยบ้าง ดูเหมือนเราอาจจะอบรมพนักงานเรื่องการให้บริการ แต่จิตใจของการให้บริการ...มันออกมาจากใจของคนที่ทำงานตรงนั้น คนๆนั้นต้องมองจากมุมมองของลูกค้า หาทางแก้ปัญหาให้ลูกค้า ทำอย่างไรให้ลูกค้าประทับใจมากกว่าคิดแค่ให้บริการ ถ้าเขาไม่มีความคิดแบบนี้...ลูกค้าจะไม่มีทางได้รับบริการที่ดีและประทับใจจนอยากจะกลับมาใช้บริการใหม่

ผมสรรหาคำที่มีความหมายกินใจในภาษารัสเซียกล่าวขอบคุณพนักงานขายคนนั้นที่ช่วยเหลือ เธอยิ้มกลับมาด้วยความดีใจ พร้อมกล่าวคำว่า

"ปัสชาล สไตล์" ที่มีความหมายว่า "ไม่เป็นไรค่ะ"

กล่าวอำลาเธอเป็นภาษารัสเซียก่อนออกจากร้าน

"ดัสวี ดานียา"

เธออวยพรให้ผมโชคดีและเดินทางโดยสวัสดิภาพ

ขึ้นรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Sennaya Plauchad แล้วเดินเลียบคลองเก็บภาพบรรยากาศของสถาปัตยกรรมในรัสเซีย อาคารต่างๆริมคลองดูแล้วชวนให้นึกถึงอาคารเก่าๆแถวริมคลองหลอดในกรุงเทพฯที่ยังเหลืออยู่



แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันก็คือ...ไม่เจอเสาไฟฟ้าที่นี่ เพราะที่นี่เขาใช้สายไฟฟ้าขึงระหว่างอาคารแทนเสาไฟฟ้า! มันทำให้ทัศนียภาพดูสวยงามกว่า

ระหว่างที่เดินผ่านเห็นผู้คนยืนวาดรูปสถาปัตยกรรมด้วยสีน้ำบนผืนผ้าใบริมคลอง...ชวนให้นึกถึงญี่ปุ่นเวลาที่เราไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ มักเจอผู้คนเอาพู่กันและสีน้ำมาระบายทิวทัศน์ที่ได้พบเห็นลงบนผืนผ้าใบ มันเป็นความสุขและสุนทรีย์ในชีวิตอย่างหนึ่ง






เดินเลาะคลองขึ้นมาจนเจอโดมของวิหาร St. Isaac





เลยไปนิดนึงมองเห็นวังยูซูป๊อบ อาคารสีเหลืองๆที่เขาใช้เป็นที่ลวงรัสปูตินมาฆ่าที่นี่ แต่ก็มีเรื่องเล่าว่าพ่อมดรัสปูตินรายนี้ที่ไปกล่อมมเหสีของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองจนเชื่อหัวปักหัวปำไม่ได้ตายเพราะถูกยิงหรือว่ายาพิษแต่ตายเพราะตกเลือด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรผู้สนใจลองค้นคว้าเพิ่มเติม แต่ที่แน่ๆรัสปูตินก็ตายในที่สุด




มีโอกาสได้แวะไปที่ทำการไปรษณีย์กลางส่งโปสการ์ดไปให้ที่บ้านและเพื่อนบางคน (ซึ่งผู้รับได้รับโปสการ์ดภายหลังจากผมถึงเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว) แล้วซื้อแสตมป์ที่ระลึกกลับมาเป็นของฝากสำหรับตัวผมสำหรับการเดินทางมารัสเซีย

แย่จังที่เดี๋ยวนี้คนให้ความสำคัญกับการเขียนจดหมายลดลงและคนที่สนใจสะสมแสตมป์ก็น้อยลง คุณค่าของจดหมายอยู่ที่ลายมือของผู้เขียนที่เขียนถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกลงบนกระดาษเขียนจดหมาย...ซึ่งเมื่อเอาจดหมายกลับมาอ่านใหม่กี่ทีก็ยังได้ความรู้สึกเหมือนตอนที่ได้รับ ลายมือบ่งบอกว่าขณะที่เขียนผู้เขียนอยู่ในอารมณ์ไหน? ต่างจากอีเมลถึงแม้จะรวดเร็วแต่ไม่มีลายมือของผู้เขียนสะท้อนความรู้สึกในขณะที่เขียนอีเมลฉบับนั้นและน้อยคนนักคิดจะเก็บรักษาอีเมลของผู้ส่งเอาไว้ทุกฉบับโดยไม่คิดจะลบเลย...เห็นด้วยไหม?

เดินทะลุ St. Isaac Cathedral Square ได้ภาพที่ดีที่สุดภาพนี้เป็นของที่ระลึก ที่บอกว่าดีที่สุดเพราะวันนั้นทัวร์ลงกันหลายกรุ๊ปมากดังนั้นหาทำเลที่ดีกว่านี้ลำบาก เพราะจะถ่ายภาพออกมาแล้วยากที่จะเลี่ยงภาพรถทัวร์เป็นส่วนหนึ่งของภาพ




ไม่รู้ว่าถ้าเอารูปนี้มาทำโปสการ์ดขาย...จะมีคนซื้อมากกว่ารูปวิหาร St. Isaac ที่เขาทำเป็นโปสการ์ดขายกันอยู่ในเมือง St. Peterburg รึเปล่า?





 

Create Date : 15 สิงหาคม 2552    
Last Update : 16 สิงหาคม 2552 17:45:30 น.
Counter : 1275 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.