ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 
๖ วันจากการสัมมนา "การพัฒนาภาวะผู้นำเพื่อชุมชนและสังคม" (BCL รุ่น ๑๖)

Entrepreneur ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกตอนที่เรียนปี ๑ ในหลักสูตรปริญญาตรี พออาจารย์ที่สอนเขาขยายความหมายให้ฟังว่าคำนี้หมายความว่าอะไร..ยิ่งชื่นชอบมากๆ มีคนพยายามแปลความหมายคำนี้เป็นภาษาไทยเชิงวิชาการได้คำไทยๆว่า "ผู้ประกอบการ" แต่ถ้าแปลแบบภาษาจีนแต้จิ๋วหรือเฉาโจว ก็จะได้ความหมายที่คุ้นเคยกันดีว่า "เถ้าแก่"


จังหวะชีวิตของคนเรา...บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมตอนที่เราโหยหาโอกาสอะไรบางอย่าง มันกลับไม่มา แต่ตอนที่เราอยู่เฉยๆมันกลับแวะเข้ามาเคาะประตูแล้วก็หยิบยื่นประสบการณ์ดีๆมอบให้กับตัวเรา แต่ว่าตอนนั้นเราพร้อมที่จะเปิดประตูรับมันไหม? เพราะหลายๆคนไม่อดทนที่จะรอโอกาสนั้นหรือว่า...ตอนที่มันแวะเข้ามาทักทายเรา...เราเองต่างหากที่ไม่พร้อมจะเปิดประตูรับโอกาสดีๆแบบนั้น


ผมแวะไปเจอเพื่อนเก่าตอนกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด เขารับทราบว่าผมกำลังจะลาออกจากธนาคารแล้วกลับไปช่วยกิจการของครอบครัวในต่างจังหวัด เขาพูดถึงโครงการดีๆที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ในท้องถิ่นร่วมกันทำกิจกรรมดีๆเพื่อพัฒนาท้องถิ่น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ส่งอีเมลเรื่องการสัมมนา "การพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน" มาให้ผมแล้วก็ถามว่าสนใจไหม? หลังจากอ่านรายละเอียดแล้วก็คิดว่ามันน่าสนใจ...แล้วคิดว่าจากการเข้าสัมมนาคราวนี้เราคงได้อะไรเป็นแนวคิดใหม่ๆ ก่อนจะไปเริ่มสานต่อกิจการของครอบครัวต่อไป


ส่งใบสมัครเข้าร่วมสัมมนาโครงการนี้ไปที่มูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชน (The Foundation for Business and Community Leadership Development) ดูเหมือนเขามีการคัดเลือกผู้สัมมนาก่อนจะตอบรับ แต่สุดท้ายผมก็ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการก่อนวันทำงานวันสุดท้ายที่ธนาคาร


พออ่านรายละเอียดกำหนดการของการสัมมนาคราวนี้.......


อบรมตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งถึง ๔ ทุ่มครึ่งตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม จนถึงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม สัมมนาเสร็จสิ้นลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคมตอนเที่ยง


คิดในใจว่ามันจะหนักอะไรขนาดนี้ เพราะยังไม่เคยเข้าอบรมหรือเข้าร่วมสัมมนาครั้งไหนที่เลิกดึกขนาดนี้ มันคงมีอะไรน่าสนใจในการสัมมนาคราวนี้..เขาถึงได้อบรมเลิกดึกขนาดนี้


สถานที่จัดสัมมนาทางผู้จัดเขาเลือกศูนย์ฝึกอบรมบ้านผู้หว่าน ในเขตอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นสถานที่ในการจัดสัมมนา


ค่าใช้จ่ายในการสัมมนาคราวนี้ผู้เข้าอบรมจ่ายเพียงค่าที่พักและอาหารเท่านั้น ผู้เข้าร่วมสัมมนามาจากหลายจังหวัด มีทั้งผู้ประกอบการและข้าราชการ


การสัมมนา "การพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน รุ่นที่ ๑๖" เริ่มต้นที่ห้องประชุมนี้






กฎเกณฑ์ถูกกำหนดเอาไว้สำหรับคนเข้าสัมมนาว่า...

ใครเข้าห้องประชุมแล้วลืมเซ็นต์ชื่อเสียค่าปรับ ใครลืมคล้องป้ายชื่อก็โดนปรับ ใครเข้าห้องประชุมเกินกว่าเวลาเริ่มสัมมนาก็โดนปรับ ใครเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังออกมาในห้องสัมมนาโดนปรับแพงทีเดียวถึง ๑๐๐๐ บาท

กฎระเบียบแบบนี้...ผมไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน แต่กฎเกณฑ์แบบนี้ทำให้การสัมมนา ๖ วันผ่านไปอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วลองเดาดูว่าผมโดนปรับหรือไม่?





ชั้นเรียนตอนบ่ายของวันแรก...ผมลืมเซ็นต์ชื่อ แล้ววันที่มีการซื้อเสื้อของชมรม...มัวแต่มองดูเสื้อ...ลองเสื้อ...จนลืมเซ็นต์ชื่อไปเลย ผมเลยบริจาคเงินเข้ากองกลางไปตามกฎกติกาและมารยาทของการสัมมนาครั้งนี้ถึงสองครั้ง


เงินที่มีผู้บริจาคก็จะถูกหย่อนลงในกล่องลูกอมแบบนี้แหละ แต่ว่าคนบริจาคคนนี้เขาไม่มีแบงก์ย่อย เขาเลยบริจาคด้วยแบงก์พันแต่ไปขอแลกทีหลัง







หลายๆคนไม่อยากให้มีเสียงโทรศัพท์รบกวนคนอื่นและเคารพกฎของการสัมมนา...เลยเอาโทรศัพท์มือถือฝากไว้หน้าห้องแบบนี้ โดยเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าห้องช่วยรับโทรศัพท์แทนและจดข้อความสำคัญไว้ให้ พอเสร็จการประชุมหรือว่าช่วงเบรก...เจ้าของโทรศัพท์มือถือก็มารับโทรศัพท์มือถือไปโทรติดต่อธุระของตนเอง






ตอนทำงานกับหลายองค์กรที่ผ่านมา....ดูเหมือนบรรดาผู้บริหารบางคนให้ความสำคัญกับโทรศัพท์มือถือมากจนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประชุม


ความจริงเรื่องของการรักษาเวลาในการประชุมมันเป็นมารยาทที่ทุกคนควรให้ความสำคัญแต่...หลายคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของเวลาในการประชุมเอาเสียเลย บางครั้งผมมีคำถามในใจว่า...เวลาของคนบางคนสำคัญมากขนาดที่ให้ทุกคนมารออย่างนั้นหรือ?...ทั้งๆที่เวลาของทุกคนสำคัญเท่ากัน คนมาก่อนเวลาแต่ต้องเสียเวลารอคนมาสาย และกว่าการประชุมจะเริ่มต้นก็กินเวลาไปอย่างน้อย ๒๐ นาทีแล้ว ในญี่ปุ่นเป็นที่รู้กันว่าถ้ารอกันถึง ๓๐ นาทีแล้วยังไม่มา...การประชุมเป็นอันยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ แต่ในเมืองไทยผมเคยเจอประสบการณ์ที่ต้องมารอคนๆเดียวเพื่อเข้าประชุม เราเสียเวลารอคนๆนั้นกว่า ๔๐ นาทีเพียงเพราะคนๆนั้นมัวแต่คุยโทรศัพท์


คนเราไม่ได้มีประชุมเพียงประชุมเดียว...บางครั้งเราก็มีนัดอื่นที่ต้องทำต่อจากประชุมนั้น เมื่อประชุมเลิกล่าช้ากว่ากำหนด มันย่อมส่งผลกระทบต่อตารางนัดหมายที่ตามมา... จะมีกี่คนที่ตระหนักว่าสิ่งที่เราทำมีผลกระทบต่อคนอื่น?


เพื่อนใหม่คนแรกที่รู้จักจากการอบรมคราวนี้คือพี่หมอไก่ พี่หมอไก่จบทันตแพทย์ จุฬาฯ แต่ด้วยเหตุผลที่เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว ก็ต้องกลับไปช่วยกิจการของครอบครัว การที่พี่หมอไก่เคยเป็นเด็กกิจกรรมสมัยเป็นนิสิตมาก่อน...แกเลยมาทำกิจกรรมของ BCL (Business Community Leadership) ให้กับจังหวัดนครสวรรค์ เหตุผลของพี่หมอไก่ใกล้เคียงกับผมในการกลับไปช่วยกิจการครอบครัวถึงผมจะไม่ใช่ลูกชายคนโตก็ตาม แล้วก็สมัยเรียนผมก็เป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่ง จบออกมาแล้วก็ยังทำกิจกรรมโน่นกิจกรรมนี่มาตลอด...ราวกับว่าชีวิตมันไม่เคยหยุดนิ่ง อยู่เฉยๆไม่ค่อยเป็น การได้มารู้จักพี่หมอไก่ในการสัมมนาคราวนี้...มันทำให้การกลับไปทำกิจกรรมที่นครสวรรค์ง่ายขึ้นเพราะมีคนที่เรารู้จักแล้ว คุ้นเคยกันแล้ว









พอดูรายชื่อคนที่เข้ามาร่วมสัมมนาคราวนี้มีคนที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกถึง ๔ คน ทั้งหมดเป็นอดีตนักเรียนทุน


ดร.ป้อม เป็นอดีตนักเรียนทุนอานันทมหิดล แม่พูดถึงดร.ป้อมให้ฟังอยู่บ่อยๆว่าจบด็อกเตอร์มา...แต่ก็กลับมาทำกิจการครอบครัวที่นครสวรรค์ เหตุผลที่ดร.ป้อมต้องกลับมาทำกิจการครอบครัวเพราะว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ช่วงนั้นคุณพ่อเขาเสียชีวิตลงไม่มีคนสานกิจการต่อ ดร.ป้อมตัดสินใจยุติบทบาทอาจารย์ Finance ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาเป็นเถ้าแก่บริหารกิจการพลาสติกรีไซเคิลของครอบครัว ที่ร้านผมก็เป็นลูกค้ารายหนึ่งของโรงงานของดร.ป้อม





ดร.ยูจบด็อกเตอร์ด้านฟิสิกส์จาก Hannover ในเยอรมนี ได้ฟังดร.ยูอธิบายความหมายของทฤษฎีสัมพันธภาพและทฤษฎีควอนตัมทำให้ผมเชื่อว่า "กรรมจัดสรร" ให้เราพบผู้คนในช่วงเวลาที่เหมาะสมเอง


พี่โด่ง ไปจบด็อกเตอร์ด้านกฎหมายจากเยอรมนี ตอนเล่นเกมส์วันแรก ไปคว้าป้ายชื่อพี่โด่งมา...ตามหาตัวเจ้าของป้ายชื่อจนเจอ แต่ระหว่างอบรมไม่ค่อยได้ทำ Workshop กลุ่มเดียวกับพี่โด่ง พี่โด่งให้ผมยืมจักรยานไปขี่ออกกำลังกายเล่นตอนเช้ารอบๆศูนย์อบรมบ้านผู้หว่าน...ถึงได้รู้ว่าสถานที่มันกว้างและมีธรรมชาติที่สวยงามขนาดไหน







ทุนอานันทมหิดลไม่ผูกมัดผู้ได้รับทุน ทุนของเยอรมันที่ดร.ยูและพี่โด่งได้รับก็ไม่มีการผูกมัดผู้ได้รับทุน เช่นเดียวกันทุนรัฐบาลญี่ปุ่นที่ผมได้รับก็ไม่มีสัญญาผูกมัดอะไรกับผู้ได้รับทุน



มีความรู้สึกว่าด็อกเตอร์ทั้งสี่คนมีลักษณะนิสัยร่วมกันที่พอสัมผัสได้...ในเรื่องของความเชื่อมั่นในตัวเอง, การคิดอะไรแบบมีระบบและหลักการ อาจจะเป็นเพราะว่าระบบการเรียนในหลักสูตรปริญญาเอกสอนให้คิดแบบนั้น กว่าวิทยานิพนธ์จะผ่านพ้นการอนุมัติจากอาจารย์ที่ปรึกษา....เราต้องโต้แย้งด้วยเหตุผลและน้ำหนักที่เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้อาจารย์ที่ปรึกษาคล้อยตามได้ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างเราทั้งสี่คนคือยังเป็นโสดอยู่




วิทยากรที่มาให้ความรู้มาจากนิด้าเป็นส่วนใหญ่ ที่มาที่ไปของ BCL ก็มาจากนิด้าไอเม็ทซึ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์ดร.นิกร วัฒนพนมมาก่อน เหล่าศิษย์พวกนั้นตอนนี้ก็อยู่ในวัยเกษียณแล้วมีรุ่นลูกที่มารับช่วงกิจการต่อ หลังจากนิด้าไอเม็ทเงียบหายไปแล้ว ก็มีการฟื้นการจัดอบรม BCL (Business Community Leadership) ขึ้นมาให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่เพื่อให้นักธุรกิจผู้ประกอบการเหล่านั้นไปเป็นผู้นำของชุมชนพัฒนาสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นโดยอยู่บนพื้นฐานของความมีคุณธรรม ทุนสนับสนุนของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชนได้มาจากจิตศรัทธาด้วยความสมัครใจของเหล่าศิษย์เก่า BCL ไม่มีการเรี่ยไรจากบรรดาศิษย์เก่า

วัตถุประสงค์จริงๆของ BCL ก็เพื่อสร้างผู้นำธุรกิจและชุมชน เครือข่ายของผู้นำธุรกิจและชุมชนเหล่านั้นมาร่วมมือกันพัฒนาท้องถิ่นที่ตนเองอยู่ และเครือข่ายทั่วประเทศถ้ามาร่วมมือกันมันก็จะมีพลังผลักดันสร้างสิ่งดีๆให้แก่สังคม ประเทศชาติต่อไป

ทางคณะกรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิธิเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าความตั้งใจที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมในลักษณะนี้จะต้องเกิดภายในระยะเวลาอันสั้น แต่การจะขับเคลื่อนให้สังคมไปในทิศทางที่ถูกต้องต้องใช้เวลา...ผ่านการล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจจนกว่าเครือข่ายผู้นำธุรกิจและชุมชนทั่วประเทศจะช่วยกันผลักดันขับเคลื่อนสังคมไทยไปในครรลองที่ถูกต้อง วันนึงมันคงไปถึง


เคยได้ยินชื่ออาจารย์นิกร วัฒนพนม ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี แต่ไม่มีโอกาสได้เจอ ผมยังไม่มีโอกาสได้ฟังอาจารย์นิกรบรรยายที่ไหนมาก่อน...

การมาร่วมสัมมนาคราวนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ได้สัมผัสกับอาจารย์ดร.นิกร วัฒนพนมตัวจริง แนวคิดที่อาจารย์นิกรถ่ายทอดปลูกฝังให้แก่พวกเรา มันทำให้พวกเราหัดมองย้อนสะท้อนตัวเราเอง ค้นหาตัวเราเอง ซึ่งหลายครั้งที่พวกเราเองก็มองข้ามเรื่องพวกนี้ วันแรกอาจารย์ตั้งคำถามให้พวกเราตอบกับตัวเองว่า


เราคือใคร?, เราทำงานไปทำไม?, ความฝันที่เราอยากจะให้มันเกิดขึ้นในชีวิตคืออะไร?, แล้วตอนนี้เราไปถึงไหนแล้ว จุดหมายที่เราจะไปให้ถึงกับความจริงณ.ปัจจุบันมันมีความห่างกันแค่ไหน?, แล้วรู้ไหมว่าจะไปถึงจุดหมายนั้นควรและต้องทำอย่างไร?


อาจารย์นิกรยังไม่ได้ให้เราตอบคำถามเหล่านี้วันแรก ให้เก็บเอาไว้ในใจก่อน


อาจารย์นิกรมักจะมีรูปมาให้เราดู แล้วถามพวกเราว่าเรามองรูปเหล่านั้นแล้วนึกถึงอะไร?


คำตอบของเพื่อนๆร่วมรุ่นสะท้อนว่าหลายคนในที่นี้เป็นคนสนใจธรรมะ เพราะคนที่ไม่สนใจธรรมะจะไม่คิดแบบนั้นแล้วจะไม่ตอบแบบนั้น การที่คนสนใจอะไรเหมือนๆกันมันก็เลยเกิดแรงดึงดูดให้คนเหล่านี้มาเจอกัน รู้จักกัน ได้ทำกรรมร่วมกัน เสริมกันสร้างกรรมดีร่วมกัน


อาจารย์นิกรปูพื้นความหมายของคำว่า "ผู้นำ" และผู้นำที่ดีควรจะเป็นอย่างไร? ตัวอย่างผู้นำที่ประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือ

"คนเหล่านั้นทำอะไรอยู่บนพื้นฐานของการมีหลักการ มีคุณธรรม และมโนธรรมเป็นตัวคุมคนเหล่านั้นไม่ไปทำในสิ่งที่ผิดหลักคุณธรรม ไม่ว่าสิ่งที่ไร้คุณธรรมนั้นสังคมส่วนใหญ่จะยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ใครก็ทำกันได้ทั้งนั้น แต่ผู้นำที่ดีจะไม่ทำสิ่งไร้คุณธรรมนั้น"


"อุดมการณ์ต้องไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างอื่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา"


อาจารย์นิกรหยิบยกตัวอย่างขึ้นมาให้เราเห็นก่อนจะสรุปแนวคิดของอาจารย์เอาไว้ว่า

"ความสวย ชัยชนะ และความสำเร็จ เป็นของชั่วคราว

แต่

ความงาม ความดี และความถูกต้องเป็นของถาวร"









ตอนค่ำของวันแรก อาจารย์สุภัท ตันสถิติกร อดีตนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เป็นคนนำพวกเราทำ Worskshop ฝึกการฟังและการพูดโน้มน้าวคนอื่น โดยหยิบหัวข้อที่เราสนใจมาถกปัญหากัน กลุ่มเราหยิบหัวข้อ "รัฐบาลควรเปิดบ่อนเสรีไหม?" และ "อยู่เป็นโสดหรือว่าแต่งงานดีกว่ากัน?" มาถกกัน บังเอิญมาเจอลักษณะของผู้เห็นด้วย ๓ คนแต่ผู้ไม่เห็นด้วย ๑ คนต่อหัวข้อดังกล่าว แม้ว่าหัวข้ออยู่เป็นโสดหรือชีวิตแต่งงานจะถูกเขียนไว้เยอะแล้วในบล็อกนี้ แต่การที่คนไม่เห็นด้วยต้องพยายามโน้มน้าวให้คนเห็นด้วยคล้อยตามมาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว...ไม่ง่ายนัก มีคนในกลุ่มเป็นคนคอยสังเกตการณ์แล้วสรุปให้ฟังเพื่อคนพูดจะได้พัฒนาตนเองและหาทางปรับปรุงในการพูดให้ดีขึ้น


วันที่สองของการสัมมนา อาจารย์นิกรพูดถึงนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง อาจารย์ชี้ให้เห็นของสิ่งที่เรียกว่า "กระแส" และตัวนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมากและรุนแรง ตัวนี้ถูกมองข้ามไปเวลามีการสอนในชั้นเรียนในมหาวิทยาลัย

ตัวอย่างของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในโลกหลายคนออกจากการเรียนกลางคันอย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์, บิล เกตต์, หรือสองหนุ่มคนก่อตั้ง Google ขึ้นมาแต่ลาออกกลางคันในระหว่างเรียนหลักสูตรปริญญาเอก

ตอนที่ฟังเรื่องราวคนดังเหล่านั้นที่ทิ้งการเรียนกลางคัน...ในใจเถียงเล็กๆว่า...สำหรับเรา...ปริญญาเอกไม่ใช่เพื่อตัวเราคนเดียว..จะให้เลิกล้มกลางคันเป็นไปไม่ได้...เพราะว่ามันมีความหมายต่อครอบครัวเรา เพื่อนเรา คนที่คอยให้กำลังใจเรามาตลอด พวกเขาคอยรอความสำเร็จของเรา หรือถ้าวันนึงเราตัดสินใจแต่งงานแล้วก็มีลูกต่อไป ตัวอย่างของความพยายามกว่าจะได้ปริญญาเอกมันเอาไปสอนลูกได้ว่า "ความพยายามของผู้คนไม่จบลงด้วยความสูญเปล่า" ถ้าไม่มีตัวอย่างนี้จะกล้าสอนลูกไหม?


เส้นทางในชีวิตของผู้คนมีทางเลือกที่แตกต่างกัน สำหรับผมขอเลือกที่จะไล่ล่าฝันที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่เด็ก การมีคำว่า "ดร." นำหน้า ทำสำเร็จแล้วก็เกิดความภูมิใจแล้ว แล้วคิดว่ามันเป็นแบบอย่างให้คนอื่นเห็นว่าผลลัพธ์ของความเพียรมันตอบแทนกับผู้คนเสมอถ้าไม่เลิกล้มความตั้งใจไปเสียก่อน


อาจารย์ดร.นิกร หยิบยกเรื่องราวของ สตีฟ จ็อบส์ คนที่ปั้นแม็คอินทอชขึ้นมาในโลกใบนี้มาให้พวกเราฟัง คนมักจะชื่นชมกับความสำเร็จของคนดังแต่ไม่รู้หรอกว่ากว่าเขาจะมาถึงวันนี้เขาผ่านเรื่องเลวร้ายมานับไม่ถ้วน ชีวิตที่ลำบากของสตีฟ จ็อบส์ มันทำให้ชีวิตเขามาถึงวันนี้ ถ้าสตีฟ จ็อบส์ไม่เข้าไปนั่งเรียนด้านการออกแบบตัวอักษรในชั้นเรียนภายหลังจากเขาลาออกจากมหาวิทยาลัย....เขาคงไม่สามารถสร้างแม็คอินทอชขึ้นมาในโลกใบนี้ มองย้อนกลับไปเขาถึงได้รู้ว่า...ไอ้จุดที่เขาเคยนั่งจุดไปเรื่อยๆในระหว่างชั้นเรียน...มันโยงมาถึงอนาคต

บางทีชีวิตก็เป็นแบบนี้ สิ่งที่เราทำวันนี้ เราไม่รู้หรอกว่ามันนำทางให้เราไปเจออะไรหลายๆอย่างในอนาคต


อาจารย์นิกรหยิบเรื่อง แจ๊ค มาร์ อดีตครูสอนภาษาอังกฤษชาวจีนที่ไม่เคยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มาก่อน...แต่ใครจะรู้ว่าจากการที่ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย...เขาหันมาสนใจคอมพิวเตอร์จากการได้สัมผัสแป้นคีย์บอร์ดตอนไปอเมริกาและคิดค้นการค้นหาคำในภาษาจีนจนมาก่อตั้งเว็บไซต์ค้นหาคำที่ชื่อ Alibaba.com เขาเป็นคนนึงที่นิตยสาร Times ลงว่าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลต่อโลกใบนี้

แจ็ค มาร์ บอกว่า

"เขาไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อเงิน แต่เขาทำธุรกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ต่างหาก"


อาจารย์นิกร สรุปตอนท้ายว่า

"ถ้าโลกใบนี้ยังมีฝัน
มีจินตนาการ
มีแรงบันดาลใจ
สามารถทำสิ่งต่างๆในโลกใบนี้ได้"



การอบรมวันที่สองพวกเราถูกให้ฝึกคิดเป็นระบบ คิดหาสาเหตุของปัญหา อาการของปัญหาไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาจริงๆ มีการทำ Workshop แต่ละกลุ่มพยายามคิดว่ามีปัญหาอะไรในการทำงาน ปัญหานั้นต้นเหตุมาจากอะไร ปัญหานั้นโยงไปสู่ปัญหาอื่นอย่างไร มีการโยงมาถึงปัญหาคอร์รัปชั่นในเมืองไทย ค้นหาต้นตอรากเหง้าของปัญหาว่ามันเกิดจากอะไร ผลกระทบตามมาจะเป็นอย่างไร ไปเกี่ยวโยงกับอะไรบ้าง เราสมควรวางเฉยต่อปัญหานี้ต่อไปหรือว่าพยายามหาทางขจัดค่านิยมที่ผิดๆตรงนี้ออกไปจากสังคมไทย


วันที่สามของการอบรม...อาจารย์นิกรให้พวกเราค้นหาตนเอง การทำ Workshop อาจารย์ให้เวลาพวกเรานั่งเขียนสรุปสะท้อนตัวเราออกมาว่า เราเป็นใคร เราทำงานไปเพื่ออะไร เรามีความฝันว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร แล้วก็ตอนนี้เราอยู่ห่างจากเป้าหมายนั้นมากน้อยแค่ไหน ทำอย่างไรจะไปถึงจุดนั้น คุณค่าที่ตัวเราให้ความสำคัญคืออะไร? และคุณค่านั้นมันมีความหมายต่อตัวเราอย่างไร อาจารย์ให้เรานั่งเขียนแบบสบายๆตลอดภาคเช้าของการสัมมนา...จะไปน้่งเขียนที่ไหนก็ได้ ใช้เวลาเขียนกัน ๓ ชั่วโมงเพื่อค้นหาตัวเอง

เป็นเรื่องยากนะ...หลายคนไม่เคยหยุดคิดและถามตัวเองเลยว่า เราเป็นใคร? เราชอบและสนใจอะไรกันแน่ในชีวิต? อะไรคือเป้าหมายแท้จริงในชีวิต?









ตอนบ่ายอาจารย์นิกรให้โอกาสพูดว่าพวกเราค้นหาตัวเองแล้วรู้ไหมว่าเป้าหมายในชีวิตเราต้องการเป็นอะไร

มีลูกยุจากเพื่อนในกลุ่มที่นั่งทำงานด้วยให้ผมพูด.....อาจจะเป็นเพราะปกติผมมักจะแสดงความคิดเห็นเสมอเวลาอาจารย์ถามความคิดเห็นของคนที่มาสัมมนา


ไมโครโฟนถูกวางที่โต๊ะ....คนอื่นกำลังรอฟังว่าผมจะพูดว่าอะไร?

ความจริง....ผมใช้เวลาค้นหาตัวเองมานาน นานมากพอที่จะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร แต่ว่าไม่มีโอกาสได้พูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เคยพูดกับเพื่อนสนิท บางคนได้ยินสิ่งที่เราพูดเรื่องเป้าหมายในชีวิตก็หัวเราะทันทีแล้วก็พูดออกมาว่ามันยากที่จะไปถึง

วันนี้เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้พูดถึงเป้าหมายในชีวิตที่เรามีความชัดเจนมานานแล้วต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้...


"ผมรู้ว่าผมเป็นผู้ชายที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบในชีวิต แล้วก็ไม่เคยยอมแพ้แม้ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าความล้มเหลวคือบันไดก้าวแรกของความสำเร็จที่จะตามมา ถ้าเราอดทนต่อความพ่ายแพ้ แต่ยังคงเพียรพยายามต่อไป วันนึงเราจะสัมผัสความหอมหวลของความสำเร็จในที่สุด

ผมมีชีวิตดำรงอยู่เพื่อพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและโลกใบนี้ให้เกิดการพัฒนาไปในทางที่ถูกต้อง

แล้วทำไมชีวิตต้องพัฒนาด้วย?

ก็เพราะว่าถ้าเราไม่มีการพัฒนาแต่ปล่อยให้เวลาแต่ละวันสูญเปล่าไปเรื่อยๆ ชีวิตเหมือนไม่มีคุณค่า ไม่มีสีสัน คุณค่าในตัวเราลดไปเรื่อยๆเหมือนรอให้วินาทีสุดท้ายของชีวิตมาถึง

แล้วทำไมต้องมีการสร้างคุณค่าด้วย?

ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่า และคุณค่าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อตัวเขาตระหนักในสิ่งที่เขาทำว่ามีคุณค่า มีความภูมิใจในสิ่งที่เขาทำ และเมื่อเขาทำในสิ่งที่มีคุณค่า เขาก็จะมีความสุขในการใช้ชีวิตในโลกใบนี้และคุณค่าที่เขาได้ทำมันยังสามารถถ่ายทอดไปสู่บุคคลอื่นได้ด้วย

พื้นฐานของมนุษย์ทุกคนมีเรื่องราวของความภาคภูมิใจ แต่เรื่องราวความภาคภูมิใจจะมีไม่กี่เรื่องในชีวิตถ้าเขาไม่คิดที่จะสร้างเรื่องราวในชีวิตด้วยการทำสิ่งที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นให้กับตนเอง ให้แก่ผู้อื่น ความภาคภูมิใจช่วยหล่อเลี้ยงให้จิตใจเบิกบานและรู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าที่จะดำเนินต่อไป

ผมประกอบอาชีพไปเพื่ออะไร?

การที่ผมมีอาชีพทำให้ผมมีรายได้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รายได้ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายสามารถนำไปบริจาคช่วยเหลือบุคคลที่สมควรช่วยในสังคม มีเงินสำรองเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เจ็บป่วย ในยามชรา โดยไม่เป็นภาระแก่ใคร



ความฝันในอนาคตของผม...

ผมอยากมีผลงานที่เป็นแนวคิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนบนโลกใบนี้ให้เกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่เจริญขึ้น ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ ผลงานตรงนี้เกิดการยอมรับของคนทั่วโลก ผลงานดีพอที่สมควรกับการได้รับรางวัลโนเบล

คุณอาจจะหัวเราะเยาะที่ได้ยินว่าผมมีความฝันว่าจะไปให้ถึงรางวัลโนเบล

แต่ไม่เป็นไรหรอก...

วันที่ผมได้รับรางวัลโนเบลเมื่อไหร่...วันนั้นผมขอเปลี่ยนเสียงหัวเราะเยาะในวันนี้..เป็นเสียงชื่นชม เสียงของการแสดงความยินดี แล้วก็เสียงปรบมือ


ถ้าสมมติว่าผมได้รับรางวัลโนเบลแล้วณ.ตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร?

ผมจะมีความภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตนเองและสังคม ช่วยพัฒนาโลกใบนี้ให้น่าอยู่ขึ้น แต่ก็จะพยายามสร้างสรรค์ผลงาน แนวคิดดีๆออกมาให้แก่ผู้คนบนโลกใบนี้ต่อไป โดยไม่มุ่งหวังรางวัลอื่นตอบแทนอีก ขอเพียงแนวคิดที่เราถ่ายทอดให้แก่ผู้คนบนโลกใบนี้ช่วยพัฒนาโลกใบนี้ให้ดีขึ้น ไม่ว่าผมจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ตาม ผู้คนบนโลกใบนี้กล่าวขวัญถึงผลงานที่ผมสร้างและทิ้งเอาไว้กับโลกใบนี้ด้วยความชื่นชม


ตอนนี้เป้าหมายที่จะไปถึงรางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลโนเบลกับปัจจุบันมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหน?


ตอนนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น...แต่เห็นการพัฒนาคืบไปข้างหน้าเรื่อยๆ"



พอพูดจบลงมีเพื่อนบางคนเข้ามาชื่นชมในสิ่งที่ผมพูดแล้วก็จะคอยรอความฝันที่ผมจะทำให้มันเป็นจริงในอนาคต..โดยไม่หัวเราะเยาะความฝันของผม

ข้อความจากหนังสือ "ความฝันโง่ๆ" ของ คุณ วินทร์ เลียววาริณ พูดถึงความฝันของคนตาบอดคนหนึ่งที่ชื่อ แอริค วิลีนไมเยอร์ ที่ต้องการปีนยอดเขาเอเวอร์เรสท์ แค่ฟังหลายคนอาจจะบอกว่านี่ช่างเป็นความฝันที่โง่มากๆที่ตาบอดแล้วยังไม่เจียมตัวคิดจะปีนยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกที่คนตาดีหลายคนไม่เคยทำได้ แต่ว่า แอริค วิลีนไมเยอร์ก็พิสูจน์ว่ากำลังใจมนุษย์อยู่เหนือความทุพพลภาพ เขาพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๑

บ่อยครั้งที่มนุษย์เรามีความฝันแต่ความฝันนั้นกลับถูกมองว่าเป็น "ความฝันโง่ๆ" แล้วเราก็ทิ้งฝันนั้นไป แต่ถ้าเราไม่สนใจว่าใครจะว่าเป็นความฝันอันโง่เง่าขนาดไหน...แต่เรายังคงไล่ล่าฝันของเราต่อไปโดยไม่ท้อต่อเสียงเย้ยหยันเหล่านั้น....ใครจะรู้ว่าฝันที่ใครๆก็บอกว่าเป็นความฝันโง่ๆมันกลายเป็นจริงขึ้นมา



พูดถึงความฝันแล้วมีเรื่องที่ขอโยงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย....ในรุ่นนี้มีญาติคนดังมาร่วมสัมมนาด้วยหลายคน

คนแรกที่จะขอแนะนำคือน้องเม่ย(妹)เม่ยเป็นญาติกับคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ผมมักจะอ่านบทความของคุณบัณฑิตอยู่บ่อยๆ ในบล็อกนี้ก็ยกข้อความของคุณบัณฑิตมาลงบ่อยๆ ระหว่างอบรมมักเจอเม่ยตาปรืออยู่บ่อยๆระหว่างที่ฟังการบรรยาย แต่ก็มีจรรยาบรรณของช่างภาพที่จะไม่เก็บภาพแบบนั้นไว้เป็นที่ระลึกให้คนในรุ่นรู้
 
เม่ยมีความฝันอยากเป็นอึ้งย้ง...แต่ไม่ต้องการก๊วยเจ๋งเพราะก๊วยเจ๋งที่บรรยายเอาไว้ในมังกรหยกเป็นผู้ชายที่ซื่อบื้อไปหน่อย







ตอนบ่ายวันนั้นวิทยากรเป็นรุ่นพี่ที่เป็น BCL รุ่นที่ ๑ ชื่อ เกรียงศักดิ์ วิริยะอาชา พี่เกรียงศักดิ์(หลี)เป็นนายกเทศมนตรีตำบลหนองแก อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น เทศบาลตำบลหนองแกได้รับรางวัลเทศบาลดีเด่น พี่หลีเล่าให้เราฟังว่าเขาสร้างระบบเทศบาลที่ปลอดจากระบบคอร์รัปชันได้อย่างไร บริหารเทศบาลอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ บทบาทของเทศบาลต่อการให้บริการประชาชน ความจริงถ้ามีคนคิดอย่างพี่หลีเราคงไม่หงุดหงิดกับการให้บริการประชาชนของระบบราชการ ตราบเท่าที่หัวหน้าไม่คิดเรื่องการโกง....ลูกน้องไม่กล้าที่จะโกง....การคอร์รัปชันจะไม่เกิดขึ้น





ค่ำคืนนั้น...เราทำ Workshop ที่เป็นกระจกส่องให้กัน ว่าเรามองตัวเราอย่างไร แล้วคนอื่นมองเราอย่างไร เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าวันนั้นจะเลิก ๕ ทุ่มกว่า


วันนั้นมีเสียงสะท้อนออกมาจากรุ่นพี่เก่าว่าผมใช้เวลากับการบันทึกภาพมากไปหน่อย ความจริงก็มองว่าทุกคนคงอยากมีอะไรเป็นที่ระลึกเก็บเอาไว้จากการสัมมนาคราวนี้ แต่ไม่เห็นใครจะมาทำหน้าที่บันทึกภาพบรรยากาศในการอบรมเท่าไหร่ เราเลยทำหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ระหว่างสัมมนาตามประสาคนชอบถ่ายภาพ พอมีเสียงเตือนเราเลยเพลามือลง






วันที่สี่ของการอบรม อาจารย์ดร.มณีวรรณ ฉัตรอุทัย มาสอนให้ความรู้โดยหยิบยกเรื่องของการคิดและการบริหารคน หยิบเอาแนวคิดของโนนะกะ กูรูด้านนวัตกรรมของญี่ปุ่น เรื่อง SECI มาอธิบาย อาจารย์มณีวรรณมีวิธีการดำเนินการสอนได้สนุกสนานมาก มีการหยิบเอาตัวอย่างบ้านขนมนันทวัน ร้านขนมชื่อดังในเพชรบุรีของพี่นันทวันมาสอนโดยอธิบายกับโมเดล SECI ของ Nonaka ได้อย่างลงตัว







ตอนบ่ายมีการเลือกประธานรุ่น เงื่อนไขในการเลือกประธานได้รับการแนะนำจากรุ่นพี่ว่าปัญหาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ถ้าจะให้การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพประธานรุ่นควรจะมีความสมัครใจและพร้อมที่จะมาทำงานตรงนี้ ตรงนี้เลยได้ข้อสรุปว่าประธาน BCL รุ่น ๑๖ ควรมาจากความสมัครใจ มีเพื่อนๆในรุ่นที่ออกมาเป็นตัวแทนของรุ่นทั้งหมด ๖ คน เป็นประธานรุ่น ๑ คน รองประธานรุ่นที่ดูแลประสานงานกับเพื่อนในแต่ละภาคจำนวน ๓ คน มีเลขานุการ ๑ คนและเหรัญญิก ๑ คน ส่วนเพื่อนในรุ่นที่เหลือทุกคนก็ถือว่าเป็นกรรมการของรุ่นไปด้วย พี่วันดี(ลี่)เป็นประธานรุ่น ๑๖ ผมเป็นรองประธานภาคกลาง พี่แหม่มเป็นรองประธานภาคใต้ เชอร์รี่เป็นรองประธานภาคอีสาน หนูเป็นเหรัญญิก และยอดเป็นเลขานุการของรุ่น






อาจารย์สุภัท มาสอนเรื่อง Presentation ปกติอาจารย์ก็มีเรื่องตลกที่ต้องฟังดีๆถึงจะเข้าใจมาเล่าให้พวกเราฟังอยู่แล้ว

คราวนี้พอมาหยิบประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่อง Presentation มาพูด เรียกเสียงฮาจากชั้นเรียนได้ไม่ยาก














ตอนค่ำมีกิจกรรมที่ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่า "ทีม" คืออะไร โดยอาจารย์วิวรรธน์ มิ่งเมือง การจะสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพมันผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง...จะเอาชนะความขัดแย้งอย่างไรจึงจะมาสู่ขั้นตอนของการสร้างสรรค์ได้เร็วที่สุด


วันที่ห้าของการอบรม อาจารย์ดร.ชัยรัช หิรัญยะวิสิต มาพูดถึงธุรกิจขนาดย่อม โมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมันมีหน้าตาอย่างไร ทั้งในไทย ในอเมริกา ความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ไม่สร้างเงื่อนไขวุ่นวายให้ลูกค้า แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ตัวอย่างแฟรนไชส์ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว...เป็นคำตอบที่มองเห็นภาพได้ เจ้าของก็เริ่มจากธุรกิจง่ายๆไม่ซับซ้อนแล้วก็ขยายไปเรื่อยๆจนตอนนี้ธุรกิจมียอดขายหลายร้อยล้านบาท


ตอนที่ทำ Workshop พี่น้อยได้พรีเซ็นต์ว่าจะเติมช่องว่างที่ไม่ลงตัวทางธุรกิจสำหรับธุรกิจรีสอร์ทอย่างไร?






ฟังในสิ่งที่พี่น้อยนำเสนอแล้วทำให้นึกถึงเหตุการณ์กรณีคุณคาชิโอะเจ้าของธุรกิจนาฬิกา CASIO เข้าไปพบกับคุณฮัตโตริเจ้าของธุรกิจนาฬิกา SEIKO ตอนนั้นคาสิโอยังเป็นนักมวยใหม่ที่มีแบรนด์ใหญ่อย่างไซโก้เป็นแชมป์อยู่

คุณคาชิโอะเข้าไปพูดกับคุณฮัตโตริว่า

คาชิโอะ: "ผมขอเข้ามาแข่งขันในตลาดนาฬิกา"

ฮัตโตริ: "ยินดี..แต่สู้กันอย่างสุภาพบุรุษในตลาดนี้นะ ช่วยกันขยายตลาดนี้ให้ใหญ่ออกไป"


การไม่หวงความรู้ แต่การแข่งขันกันอย่างมีสปิริตของนักกีฬาและแฟร์เกมส์ สุดท้ายมันทำให้มูลค่าตลาดขยายออกไปเอง แทนที่จะไปห้ำหั่นฆ่าฟันอีกฝ่ายให้หายไปจากตลาดนี้ แต่เข้ามาแข่งขันกันเพื่อขยายตลาดออกไป ถ้าเพียงคอนเซ็ปต์ในการทำธุรกิจแบบนี้เกิดขึ้่นจะไม่มีใครต้องเป็นฝ่ายเดินออกไปจากตลาด ทุกคนยังคงอยู่ในตลาดและเค้กของตลาดที่ทุกคนต้องการก็จะขยายออกไปเรื่อยๆ ผู้บริโภคเองก็จะได้รับสินค้าและบริการที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ


วันที่ห้าเป็นชั้นเรียนที่สอนแบบ Combination ระหว่างอาจารย์ชัยรัช กับอาจารย์สุภัท โดยที่ตอนบ่ายมีการพูดถึง Social Entrepreneur





มีการขยายความ Grameen Bank ของ โมฮัมหมัด ยูนูส นักเศรษฐศาสตร์ชาวบังคลาเทศที่ได้รางวัลโนเบลในปี ๒๕๕๐ โดยส่วนตัวผมคิดว่าโมเดลนี้อาจจะใช้ไม่ได้ในเมืองไทยเพราะคนกู้จำนวนไม่น้อยชักดาบ


ในระหว่างสัมมนามีเพื่อนอีกสองสามคนที่อยากจะขอกล่าวถึง...


ในบรรดาญาติของคนดังที่มาสัมมนาในรุ่นเดียวกันมีเอ๋รวมอยู่ด้วย เห็นนามสกุลเอ๋ครั้งแรกก็ว่าถ้าสะกดว่า "ศิริพงษ์ปรีชา" ก็จะกลายเป็นญาติกับอดีตนางงามจักรวาลปุ๋ย(ภรณ์ทิพย์) บังเอิญนามสกุลเธอสะกดว่า "ศิริพงษ์ปรีดา" ดังนั้นเธอจึงเป็นญาติกับ นางเอกคนโปรด "กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา" (นิ้ง) ผมว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ปลื้มคุณ กุลสตรี ศิริพงษ์ปรีดา เพราะเพื่อนในรุ่นที่เป็นผู้ชายหลายคนก็ชื่นชมดาราคนนี้





เชอร์รี่ได้ฉายาว่า "คุณนาย" ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งให้ กิจการที่อุบลของเชอร์รี่ทำธุรกิจปั้นน้ำเป็นตัว(น้ำแข็ง) ทำ Worskshop กลุ่มเดียวกับเชอร์รี่หลายครั้ง เลยสนิทกันพอสมควร ทุกครั้งที่ทำงานกลุ่มเดียวกันพบว่า...........เชอร์รี่มักจะขีดๆเขียนๆตัวอักษรหรือรูปภาพลงบนกระดาษมากกว่าจดอะไรที่วิทยากรพูด เห็นแล้วพลอยนึกถึงรุ่นน้องที่ธนาคารคนนึงที่ไปอบรมด้วยกัน รายนั้นก็ชอบเอาสีเทียนมาระบายเล่นในระหว่างฟังวิทยากรบรรยาย





พี่ชิตจากสงขลาเก็บภาพเหตุการณ์หลายๆอย่างในระหว่างสัมมนา ทำให้มีภาพประกอบบล็อก เพราะหลายๆช่วงเหตุการณ์ผมก็ไม่ได้บันทึกภาพ แต่พอมีเสียงติงๆเรื่องถ่ายภาพ ผมและพี่ชิตเลยลดการถ่ายภาพลงไป





อาจารย์วิวรรธน์มีธุระไม่สามารถอยู่ต่อวันสุดท้ายของการอบรมได้ เลยมีการมอบของที่ระลึกให้อาจารย์และถ่ายภาพร่วมกัน





กิจกรรมสันทนาการของคืนสุดท้ายของการอบรม...เริ่มจากท่านประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชน คุณอารีย์ ภู่สมบุญ กล่าวเปิดงาน





หลังจากนั้นก็มีกิจกรรต่อเนื่องไปจนถึงดึก......





กิจกรรมสัมมนาตลอด ๖ วันมีความหลากหลาย พวกเราได้เรียนรู้ ได้สะท้อนตัวเอง ค้นหาตัวเอง ได้หัวเราะ...ฯลฯ






เพื่อนๆที่เข้าร่วมสัมมนาคราวนี้มีทั้งที่เป็น BCL รุ่นเก่าและ BCL รุ่น ๑๖ นอกจากนี้ยังมีผู้สังเกตการณ์ด้วย ทุกๆคนต่างมีส่วนเติมให้การสัมมนาคราวนี้สมบูรณ์ ถ้าไม่ใช่เพื่อนๆเหล่านี้ที่มาร่วมสัมมนาด้วยกันคราวนี้บรรยากาศในการสัมมนาก็คงออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง







ตอนเช้าๆเจอพี่มอญออกกำลังกายเสมอ และมักจะสนทนาระหว่างทานอาหารเช้าในห้องอาหารกับพี่มอญอยู่บ่อยๆ พี่มอญเป็นอดีตคนเดือนตุลา พี่มอญบอกว่าตอนที่อาจารย์นิกรให้พูดถึงความฝันของตนเอง พี่มอญเห็นผมกล้าที่จะพูดความฝันที่ผมไม่กลัวใครจะหัวเราะเยาะ เลยมีแรงจูงใจให้พี่มอญขอพูดถึงความฝันของพี่มอญบ้างที่อยากเห็นคนไทยรักและสามัคคีกัน น่าเสียดายที่บรรดาพวกพี่ๆคนเดือนตุลาที่เคยลำบากต่อสู้มาด้วยกันในอดีต แต่วันนี้...กลับมาแตกแยกกันแบ่งเป็นกลุ่มสีต่างๆ






มีโอกาสได้คุยกับพี่โอมาร์ตอนเบรกครั้งแรกของการสัมมนาวันแรก คุยกันถึงเรื่องผมจะไปแข่งภูเก็ตลากูน่ามาราธอน วันสุดท้ายของการอบรม...พี่โอมาร์ก็เป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยด้วยในห้องอาหารก่อนจะแยกย้ายกัน ถึงจะคุยกันได้ไม่นานเขาสามารถสรุปได้ถูกต้องพร้อมให้ฉายาผมว่า "คุณชายละเอียด"







มีสุภาษิตญี่ปุ่นกล่าวว่า


"พบกันเพื่อพลัดพราก แล้วก็พลัดพรากเพื่อจะกลับมาพบกันใหม่"


คงมีโอกาสได้กลับมาเจอกับเพื่อนๆที่มาอบรมคราวนี้อีกในเวลาที่กรรมจัดสรรให้






อย่างที่เกริ่นเอาไว้ตอนเริ่มต้น.....จังหวะชีวิตของคนเรามันบอกไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน อย่างไร

ถ้าผมไม่ตัดสินใจลาออกจากธนาคาร ผมก็คงไม่ได้เริ่มต้นก้าวเข้าไปสู่เส้นทาง Entrepreneur เสียที ยังคงอยู่ในวงจรของหนูถีบจักร (โรเบิร์ต คิโยซากิ คนเขียนหนังสือยอดฮิต "Rich Dad, Poor Dad" เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้นว่า มนุษย์กินเงินเดือนกว่าจะหลุดออกมาเป็นผู้ประกอบการใช้เวลานานมากๆเหมือนกับหนูถีบจักร) ทันทีที่ตัดสินใจลาออกจากธนาคาร การก้าวเข้ามาสู่การเป็นผู้ประกอบการทำให้มีโอกาสได้เข้าร่วมสัมมนาคราวนี้ การร่วมสัมมนาคราวนี้ทำให้ผมรู้จักเพื่อน รู้จักวิทยากร ถ้าไม่สมัครเข้าสัมมนา BCL รุ่น ๑๖ ก็จะไม่มีโอกาสจะได้รู้จักเพื่อน BCL รุ่น ๑๖ และพี่ๆ BCL รุ่นก่อนหน้าที่มาร่วมฟังสัมมนาร่วมกันกับรุ่นเรา


นี่อาจจะอธิบายได้ว่าเป็นเหตุผลของกรรมจัดสรร ให้ได้มารู้จักผู้คนมากมายในช่วงเวลาของการสัมมนา ๖ วันที่ศูนย์การอบรมบ้านผู้หว่าน ขอบคุณทุกคนสำหรับช่วงเวลาดีๆที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน

...แล้วก็ไม่ลืมขอบคุณเพื่อนเก่าที่ชื่อ ไช้ (財)ที่แนะนำโครงการดีๆแบบนี้ให้ผมได้มีโอกาสเข้าร่วม


Create Date : 28 พฤษภาคม 2552
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 9:13:52 น. 40 comments
Counter : 5386 Pageviews.

 
โห พี่ สุดยอดเลย เร็วทันใจวัยรุ่นจิงจิ๊ง


โดย: หนู IP: 118.175.129.125 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:45:48 น.  

 
Thanks ao much for making memory able to be read again and again...


โดย: Nok IP: 117.47.137.9 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:16:14 น.  

 
ยอดเยี่ยมจริงๆ ขอชื่นชม วันนี้มาเปิดอ่านดึกไปหน่อยแต่ก็ต้องรีบตอบมาให้ทราบก่อนว่าได้อ่านแล้วนะครับ วันหน้าจะcomment มาอีกที สวัสดีครับ
พี่ชิต


โดย: ชิต สง่ากุลพงศ์ IP: 58.147.54.38 วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:47:07 น.  

 
ดีมากค่ะ สรุปได้เยี่ยมมาก ฝันของเราทุกคนจะเป็นจริง


โดย: ยิน IP: 222.123.180.251 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:25:52 น.  

 
เออ นายมีเพื่อนที่ดี ก็อย่างนี้แหละ
(ได้ทีชมตัวเองซะเลย)


โดย: ใช้ IP: 117.47.140.8 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:31:36 น.  

 
ความฝันต้องเป็นจริงสักวันค่ะ สำหรับรางวัล " โนเบิล " เชื่อเเน่ว่าคุณชีวประภาต้องทำได้

ยังเหมือนเดิมนะคะ เป็นผู้ที่พัฒนาให้ประโยชน์เเก่สังคมเสมอ
โสดเพราะเลือกมากเกินไป ..ที่เห็นๆมีมากมายเเต่ไม่หยิบฉวยไว้ในครอบครองค่ะ



โดย: ยูกะ (YUCCA ) วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:2:35:27 น.  

 
ขอชืนชม กับภาพสวยๆและการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ คราวหน้ารู้แล้วว่าจะหาภาพสวยๆได้ที่ไหน วันนี้นัดกับพี่เหน่ง แล้วจะเล่าให้พี่ๆเค้าฟัง อีกหนึ่งเรื่องราวจากนครสวรรรค์ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อาริกาโดะ โกไซมัส


โดย: หมิง ชุมพร IP: 58.9.138.117 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:45:58 น.  

 
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนและลงความเห็นเอาไว้ในบล็อกนี้

หนู...กว่าผมจะเขียนบล็อกนี้เสร็จกินเวลานานทีเดียว มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะ แต่พอเสร็จออกมาแล้วมาอ่านในสิ่งที่เขียนเอาไว้มันเกิดความสุข เนื้อเรื่องและภาพประกอบเรื่องมันทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์ดีๆในระหว่างสัมมนา

นกและเพื่อนคนอื่นๆสามารถเข้ามาเยี่ยมชมบล็อกได้บ่อยครั้งอย่างที่ต้องการ ยินดีครับ จะสมัครเป็นแฟนคลับก็ได้นะ..ไม่มีค่าสมาชิกแฟนคลับ

ถ่ายรูปกับพี่ชิตเพียงรูปเดียว...เลยเอารูปนั้นขึ้นบล็อกครับ ถ้าพี่ชิตไม่ถ่ายภาพหลายๆรูปเก็บเอาไว้ก็คงไม่มีภาพเบื้องหลังการสัมมนาคราวนี้เหมือนกัน ขอบคุณครับ

ความฝันของยินคืออะไร...ผมไม่เคยได้ยินคุณบอกให้ฟัง แต่ถ้าความฝันเป็นจริงเมื่อไหร่อย่าลืมมาบอกให้ทราบด้วยครับ

คุณไช้ (ขอโทษที่สะกดแบบนี้...เพราะคิดว่าคำว่าสมบัติ 財 น่าจะสะกดเป็นภาษาไทยด้วยไม้มาลัยมากกว่าไม้ม้วน) ให้โอกาสชมตัวเองเต็มที่เพราะว่าคุณจริงๆผมถึงได้เข้ามาร่วมสัมมนาคราวนี้

ขอบคุณแฟนคลับพันธุ์แท้ยูกะจัง เรื่องครองโสดมายาวนาน...เหตุผลอาจจะไม่ใช่เพราะไม่รู้จักคว้าทั้งๆที่มีตัวเลือกออกเยอะแยะ...แต่เป็นเรื่องของความลงตัวในชีวิตมากกว่า แล้ววันนึงก็จะตัดสินใจสละโสดเมื่อมีคนที่ทำให้เชื่อมั่นว่าคนๆนั้นอยู่เคียงข้างเราตลอดไปแล้วมีความสุขมากกว่าลุยชีิวิตแบบคนเดียว ดูเหมือนมีคนเป็นห่วงกับเรื่องเมื่อไหร่จะแต่งงานมากกว่าตัวเราห่วงตัวเราเองเสียอีกsrc=https://www.bloggang.com/emo/emo22.gif>


เซี่ย เซี่ย หมิงเสียวเจี่ย


โดย: ชีวประภา วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:40:33 น.  

 
ผมคิดว่าอาจารย์ และกรรมการมูลนิธิฯ ชื่นชมรุ่น ๑๖นี้มาก ผมว่าน่าจะเป็นรุ่นที่ลงตัวมากที่สุดเท่าที่จัดมา คงเพราะจำนวนไม่มาก วัยวุฒิ คุณวุฒิไม่ต่างกันมาก และอาจารย์ก็ปรับหลักสูตร ใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อเติมเต็มให้ทั้งศิษย์เก่า และศิษย์ใหม่
ส่วนตัวขออภัย ดร.ชาตรีด้วยเรื่องภาพล้อเลียนคืนนั้น เพราะผมวาดเล่นๆตามประสา "คนมือซน" ไม่คิดว่าอ.วิวรรจธ์จะเอาไปประกอบการอบรม....อิ อิ
เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสอยู่จนวันปิดสัมมนา(เหมือนที่เคย) จึงไม่ได้อยู่แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับรุ่นนี้มากนัก
ปล.อาจารย์ และมูลนิธิฯใช่ว่าชื่นชมมากอย่างเดียว แต่ก้ "คาดหวัง"มากด้วยเป็นเงาตามตัว นะ สิ บอกไห่


โดย: ประสาท ตงศิริ IP: 113.53.162.143 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:57:02 น.  

 
ไม่ถือสาครับพี่ประสาทที่วาดภาพช่างภาพในชุดแจ๊คเก็ตลายสก็อตท์ ยอมรับว่าถ้ามัวแต่เล็งหามุมและจังหวะที่จะจับภาพบรรยากาศการอบรม...ผมจะเสียสมาธิในระหว่างอบรมไป ประเด็นสำคัญที่วิทยากรกำลังพูดเราอาจจะหลุดไป การถ่ายภาพเพื่อจะได้รูปที่ดีต้องใช้สมาธิเหมือนกัน

เพราะว่าการถ่ายภาพคือการสื่อสารกับคนดูว่าเราต้องการนำเสนออะไร


พอจะทราบอยู่เหมือนกันว่าอาจารย์ท่านคาดหวังกับรุ่นเราพอสมควร ระหว่างที่อบรมอาจารย์นิกรก็พูดอยู่หลายครั้งว่าลองให้รุ่นเก่ากับรุ่น ๑๖ มาอบรมพร้อมกันแล้วอยากเห็นผลลัพธ์ที่ออกมาว่าจะมีความแตกต่างจากการสัมมนาที่ผ่านมาอย่างไร?

แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการสัมมนาคราวนี้ออกมาจะบรรลุตามความคาดหวังของอาจารย์หรือไม่....นับจากนี้ไปเวลาจะพิสูจน์กันครับ


โดย: ชีวประภา วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:42:16 น.  

 
very very good no word can explain ......done a good job excellent!!!!!!น่ะ เฮียนะ สมเป็นdr.จังเลยi hope that one day u will reach u goal to achieve noble prize จะเป็นกำลังใจให้นะคะ


โดย: cherry IP: 222.123.53.242 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:13:47 น.  

 
ขอบคุณเชอร์รี่ที่แวะเข้ามาเขียนคอมเม้นท์

Nobel prize เป็นรางวัลอันทรงเกียรติมากๆ ถ้าได้แต่ฝันมันก็คงเป็นได้แค่ความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง ถ้าไม่ล้มเลิกความตั้งใจแต่พยายามไปเรื่อยๆ...วันนึงมันคงจะใกล้เข้าไปถึงความฝันนี้เรื่อยๆ ความฝันนี้จะเป็นจริงได้ไหม?...มันขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่สร้างขึ้นมา เวลาจะให้คำตอบสำหรับเรื่องนี้เอง


โดย: ชีวประภา วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:9:22:11 น.  

 
ขอขอบคุณคุณเฮี๊ยบที่ถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆให้พวกเรา ส่วนตัวพี่ก็รู้สึกดีใจที่ได้กลับไปเรียนทบทวน ทำให้เข้าใจในสิ่งที่อ.นิกรและท่านอื่นๆถ่ยทอดถึงเรา อ.นิกรบอกพี่ว่าทุกอย่างที่ท่านสอนเราต้องใช่เวลาย่อยเป็นปี ซึ่งพี่ก็เป็นเช่นนั้น ขอบคุณที่พวกเราได้แบ่งปันสิ่งดีๆร่วกันค่ะ


โดย: นันทวัน IP: 118.175.74.6 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:9:50:24 น.  

 
มือเอาไว้ทำอารัยครับ ต้องปรบมือให้พี่เงี้ยบดังๆ again again and again หวังอย่างยิ่งว่าจะได้อ่าน ข้อความของพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน



โดย: พัฒน์ IP: 203.146.3.105 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:11:55:12 น.  

 
ฝากข้อความถึงหมอไก่(ท.พ.สมยศ) ผมอยากจะให้ทำเนียบบีซีแอลรุ่น16 ที่มีภาพถ่าย มีอยู่ในบล็อกนี้ด้วยจะได้ไหมครับ เพราะว่ามีหลายคนที่จำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ได้ ขอบคุณล่วงหน้าครับ


โดย: ชิต สง่ากุลพงศ์ IP: 58.147.54.104 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:14:13:27 น.  

 
ดีใจด้วยกับก้าวใหม่ของชีวิตค่ะ
ทุกอย่างที่คุณทำ คุณทำสุดกำลัง
สายเชื่อว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณตั้งใจทำ
จะต้องประสพความสำเร็จในสักวันหนึ่งข้างหน้าค่ะ


โดย: สายศีล IP: 216.235.36.141 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:15:49:42 น.  

 
ขอบคุณพี่นันที่แวะมาคอมเม้นท์ เมื่อคืนยังเขียนเมลตอบจอยไปเลย จอยก็แวะเข้ามาอ่านบล็อกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

พัฒน์และสหายแวะมาบล็อกนี้ได้บ่อยๆถ้าสนใจเนื้อหาที่ขีดๆเขียนๆในบล็อกแห่งนี้

พี่ชิต...ขอเรียนเสนอว่าไม่น่าเอารายละเอียดของเพื่อนในรุ่นมาแปะไว้ในบล็อกนี้ เพราะที่นี่มีความเป็นสาธารณะมาก...เราน่าจะเก็บความเป็นส่วนตัวหลายๆเรื่องที่ให้รู้เฉพาะรุ่นเรามากกว่า

ข่าวดีก็คือตอนนี้เราได้รายชื่ออีเมลของเพื่อนในรุ่นครบทุกท่านแล้ว....ขอตะโกนดังๆหน่อย

ไชโย ไชโย ไชโย

จากนี้ไปเวลาส่งข่าวอะไรคงไม่มีใครตกหล่นอีกแล้ว


โดย: ชีวประภา วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:15:55:22 น.  

 
เขียนลงความเห็นแล้ว...ส่งแล้ว ถึงได้รู้ว่าคุณสายเข้ามาเขียนแสดงความคิดเห็นก่อนหน้าที่ผมจะส่งไม่กี่นาที

ขอบคุณมากครับคุณสายที่ตามมาคอมเม้นท์และคำอวยพรดีๆ

จะพยายามครับจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้


โดย: ชีวประภา วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:15:59:33 น.  

 
1. เออ....
ผมต้องคิด เกี่ยวกับ คุณ ใหม่แล้วล่ะ
คุณ เจ๋ง กว่า ที่ผมคิดจริงๆ
คุณ เป็น ดร. คนแรก ที่ผมรู้สึกว่า ดร. มันก็เหมือนเราๆ นี่แหละ แต่ไม่ใช่
ดร. เป็นอะไรมากกว่า เราๆ จริงๆ

2. ท่านเขียน ได้อารมณื จนทำให้ผม อยากกระโดด ออกไป เป็น Entropraniur แต่ช้าก่อน
ผมมีลูก สี่คน แล้ว พลาดไม่ได้
หากพลาด เดี๋ยว ลูกอดด้วย

คงต้องยอมเป็นหนูถีบจักร์ ที่ ธนาคาร ที่พี่ท่าน เคยอยู่ต่อไป

สรุป

ขอชื่นชม และ คารวะ ด้วย ใจ


โดย: ลูกจีน IP: 203.148.162.195 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:17:39:52 น.  

 
3. ลืม ไป อยากถามว่า " ชีวประภา " นี่ใคร

เกี่วกับท่าน เงี๊ยบ อย่างไร คนเดียวกันหรือ
หากใช่ ทำไม ใช้ชื่อ นี้

แล้ว ชื่อเดิม มัน เป็นอย่างไร หรือ
โอย สงสัย สงสัย เยอะแยะไปหมด

มีอะไร อยากเขียน เล่าให้ทราบ ถึง ชีวิต ที่ทำงาน ท่าน ให้ทราบเหมือนกัน
แต่ไม่สามารถ งาน เพียบ
ต้องถีบจักร ครับ


โดย: ลูกจีน IP: 203.148.162.195 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:17:49:16 น.  

 
3. ลืม ไป อยากถามว่า " ชีวประภา " นี่ใคร

เกี่วกับท่าน เงี๊ยบ อย่างไร คนเดียวกันหรือ
หากใช่ ทำไม ใช้ชื่อ นี้

แล้ว ชื่อเดิม มัน เป็นอย่างไร หรือ
โอย สงสัย สงสัย เยอะแยะไปหมด

มีอะไร อยากเขียน เล่าให้ทราบ ถึง ชีวิต ที่ทำงาน ท่าน ให้ทราบเหมือนกัน
แต่ไม่สามารถ งาน เพียบ
ต้องถีบจักร ครับ


โดย: ลูกจีน IP: 203.148.162.195 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:17:49:24 น.  

 
So great ka. We should name u as "Dr.Niab" instead of "Dr.Ngiab" na. This will be our good memory for BCL16 ka.
Wish u succeed in the business and your dream ka. Wth your efforts and strong belief, I trust that you can do it. Go for Nobel na, we will always cheer u ka.......


โดย: เอ๋ IP: 10.1.1.208, 58.137.125.180 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:18:21:23 น.  

 
ขอบคุณที่แจ้งข่าวและมีเรื่องดีๆแบ่งปันเป็นระยะๆ ชอบนะที่ได้อ่าน Personal Acheivement Statement ของเงี๊ยบเต็มๆ เพราะเราไม่มีโอกาสเขียนจริงๆแชร์กันเต็มๆตอนแชร์เรื่อง 7 Habits of Highly Effective Peoople ดูแล้วโปรแกรมนี้ดีจังเลย กรรมจัดสรร จริงๆอย่างที่เงี๊ยบว่านั้นแหล่ะ ดูดะไรๆมันลงตัวไปหมด เหมือนได้ติวเข้มประมวลภาพที่จริงๆพี่คิดว่าเงี๊ยบผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่คุ้มเพื่อค้นหาความต้องการของตัวเอง มีจุดเริ่มต้นที่ได้เครือข่ายที่มีจิตวิญญาณ ของผู้มุ่งไปสู่การใช้ชีวิตเต็มๆเพื่อหาหนทางหลุดจากสนามแข่งหนู แล้วมีเวลาเต็มๆเพื่อแบ่งปันสู่สังคมเพิ่มขึ้น เมืองไทยจะได้มีเครือข่ายช่วยพัฒนาคนแบบ Train the Developer จริงๆ วันก่อนไปช่วย President of AIESEC Thailand ที่พี่ไป International Internship Exchange ที่ Natherland (Holland) เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ยังพูดให้น้องๆฟังเลยว่า คนเราต้องออกไปพบโลกกว้างให้เพียงพอ เพราะประสบการณ์ จะทำให้เรามีโอกาสสะท้อนหาตัวตนและความต้องการของเราจริงๆ คิดว่าเงี๊ยบอยู่ระหว่างทางที่ มีแผนที่พร้อมเข็มทิศและเวลาที่เหมาะสมแล้วจริงๆ โครงการนี้น่าสนใจมาก มีเว็บไซต์มั๊ย และเขาโปรโมทเรื่องการสัมมนาอย่างไร รบกวนแจ้งด้วยนะ และสุดท้ายขอชมอย่างที่เคยชมต่อหน้าว่า นายแน่มากผลงานการเขียน (ทุกเรื่องในบล็อกขอ่านมาตลอดแต่ไม่เคยเขียนมาคุยผ่านบล๊อกเลย คราวนี้ต้องสักหน่อย) และรูปภาพทำให้เราจินตนาการและประกอบเห็นภาพทั้งหมดได้จริงๆ สำนวนเหมาะกับการเล่าเรื่องให้น่าติดตาม เก็บรวบรวมเขียนเป็นหนังสือได้สบายๆเลยครับ ลงตีพิมพ์เมือ่ไหร่จะอุดหนุนและช่วยประชาสัมพันธ์ครับ จากพี่อิทธิภัทร์


โดย: พี่ภัทร์ พี่เรือเยาวชนรุ่น 13th IP: 124.122.161.221 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:18:26:38 น.  

 
ขอขอบคุณพี่เงี๊ยบเช่นกันครับที่ทำให้การอบรมครั้งนี้ สมบูรณ์และมีสิ่งที่เอาไว้ให้เราชื่นใจนาน ๆ ขอบคุณอีกครั้งครับ
ปล. คืนวันงาน ผมนั่งคุยกับ อ.นิกร แกยังชมว่า พี่เงี๊ยบถ่ายภาพได้ดี เพราะภาพที่ถ่ายสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ณ เวลานั้น ๆ ได้อย่างดี อ.นิกรไม่ได้ชมใครง่าย ๆ นะครับ ผมขอรับประกัน


โดย: ป้อม IP: 117.47.5.131 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:18:35:22 น.  

 
แวะเข้ามาอ่านแล้ว
และอ่านมาจนถึงตรงที่พี่เงี้ยบ เขียนถึงเป้าหมายในชีวิต ก็ขอให้พี่สมดังหวังตั้งใจในเร็ววันนะคะ

จะค่อย ๆ อ่านต่อค่ะ


โดย: แมวยักษ์ IP: 58.9.170.89 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:22:47:33 น.  

 
เจ้าของบล็อกออกมายามดึกเพื่อขอบคุณแขกที่แวะเข้ามาคอมเม้นท์ครับ


เฮีย(ลูกจีน)....ดูเหมือนเราคุยกันในรถตอนที่ไปงานสัมมนาเกี่ยวกับเวียดนามปีที่แล้วเรื่อง Entrepreneur ผมว่าจริงๆแล้วไม่มีใครบังคับให้เราเป็น "เถ้าแก่" ได้ถ้าใจเราไม่อยากเป็น เพราะเราจะมีข้ออ้างให้กับตัวเราเองตลอดว่า "เราเป็นไม่ได้ เป็นแล้วโอกาสเจ๊งสูง เป็นลูกจ้างเขาสบายกว่ามั่นคงดี ฯลฯ" สุดท้ายเราก็อยู่ในวงจรหนูถีบจักรจนถึงวันที่เราเกษียณพร้อมกับรับเงินบำนาญ ไม่มีโอกาสไปสร้างงานให้ผู้คนที่ไหน

นี่อาจจะเป็นข้อดีของการไม่รีบร้อนแต่งงาน ผมเลยเดินหน้าถอยหลัง เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตได้โดยไม่ต้องพะวงเรื่องอะไร

ถ้ารีบแต่งงานก่อนไปเรียนปริญญาเอกผมเชื่อว่าวันนี้ผมคงฝันค้างและทิ้งความฝันเอาไว้ที่ญี่ปุ่นเพราะว่าค่าใช้จ่ายที่สูงและภาระเรื่องครอบครัวจะบีบให้ผมกลับเมืองไทยมือเปล่า

ถ้าแต่งงาน...ตอนนี้คงคิดจนหัวแตกเรื่องจะใช้ชีวิตคู่อย่างไรให้ลงตัว ภรรยาทำงานที่นึง..ตัวเองทำงานที่นึง ลูกเรียนที่นึง ปัญหาปวดหัวเพราะชีวิตครอบครัวมันไม่ใช่ชีวิตของคนใดคนหนึ่ง ช่างมันเถอะยังไม่ใช่เวลาต้องมานั่งคิดเรื่องหนักๆแบบนี้

เฮียอ่านมาจนถึงตอนนี้คงรู้แล้วว่าเจ้าของบล็อกนี้ชื่ออะไร

"ชีวประภา" มีที่มาจากตอนไปเรียนหนังสือในญี่ปุ่น

วันนึงอยากเขียนอะไรให้กำลังใจตนเอง...พอเขียนเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ถึงคำว่า "ประภา" ที่แปลว่า "สว่างไสว" เมื่อมารวมกับคำว่า "ชีวา" ที่แปลว่า "ชีวิต" เมื่อจับคำสองคำมาผสมกันก็จะได้คำใหม่ว่า "ชีวประภา" ที่แปลว่า "ชีวิตที่สว่างไสว" มันมีความหมายที่ดี แล้วชีวิตผู้คนก็ควรที่จะสว่างไสวและเติมความสว่างไสวให้แก่คนอื่นด้วย เลยใช้ชื่อนี้เป็นนามปากกามาตลอด

น้องเอ๋....อ่านบล็อกแล้วคงเข้าใจว่าทำไมพี่โอมาร์แกตั้งฉายาผมว่า "คุณชายละเอียด"
"ดร.เนี้ยบ" นี่ความหมายต่างจาก "ดร.เงี้ยบ" นะ แต่เรียกชื่อผมอย่างหลังดีกว่า

ขอบคุณพี่ภัทร์ที่แวะเข้ามาคอมเม้นท์ ตอนไปสัมมนา 7 Habits of Highly Effective Peoople ตอนนั้นพี่จิมมี่ให้พวกเราเขียนว่า

"ในงานศพของเรา...อยากให้คนรอบข้างเราเขียนเกี่ยวกับเราว่าอย่างไร? อยากให้พ่อแม่เขียนเกี่ยวกับเราว่าอะไร อยากให้คู่สมรสเราเขียนเกี่ยวกับเราว่าอะไร อยากให้เพื่อนเขียนเกี่ยวกับเราว่าอะไร"

แล้วก็แผนที่ในชีวิตของเรา...เราตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างไรบ้าง

ดูเหมือนการบ้านนี้พี่จิมมี่ให้พวกเราเขียนแต่ไม่มีการส่งการบ้านให้พี่จิมมี่

ตอนนั้นที่ผมเขียน...มันมีความชัดเจนจนรู้ว่าตัวเราต้องการอะไรแน่ๆในชีวิต เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้พูดต่อหน้าผู้คนเท่านั้นเอง

ความจริงชีวิตมนุษย์นี่อยู่บนเส้นด้ายของความไม่แน่นอน อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ ผ่านความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเราเป็นเหยื่อของความหวังที่เราตั้งล่อมันเอาไว้เอง

การที่เราไม่มีเป้าหมายชัดเจนมันทำให้เราเขวได้ง่ายๆเพราะเพียงแต่มีอะไรน่าสนใจที่นอกเหนือเป้าหมายแท้จริงในชีวิตผ่านเข้ามา บวกกับแรงยุของคนรอบข้าง...เรามีสิทธิ์จะเต้นตามแรงเชียร์ สุดท้ายเราก็ห่างจากเป้าหมายแท้จริงในชีวิต

ดังนั้นเราจึงควรค้นหาตัวเองให้เจอ กำหนดเป้าหมายแท้จริงในชีวิตที่เราอยากจะไปให้ถึงจริงๆ ไม่อย่างนั้นในชีวิตของเรา...เราอาจจะเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่มีทางไปถึงเป้าหมายที่แท้จริงเสียที เพราะเรามีแต่เปลี่ยนเป้าหมายไปเรื่อยๆตามกระแส ตามคำสั่งและเสียงเชียร์ของคนรอบข้าง

เรื่องสัมมนาของมูลนิธิฯถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติมอะไรจะแจ้งให้พี่ภัทร์ทราบครับ

ขอบคุณครับดร.ป้อมสำหรับคำชม ผมอาจจะว่างอยู่ตอนนี้เลยมาทำอะไรเป็นที่ระลึกของทุกคนได้ แต่ผมคิดว่าถึงเวลาผ่านไปนานๆ เรากลับมาดูบล็อกหน้านี้อีกที....มันก็ยังได้ความรู้สึกดีๆที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันในช่วงเวลาหนึ่ง

กล้องตัวที่ถ่ายโฟกัสลำบาก ให้คนอื่นถ่ายมักจะได้ภาพไหวเสมอ แต่ว่ากล้องแคนนอนตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของรางวัลที่ผมให้กับตัวเองตอนที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จอย่างที่ผมสัญญากับตัวเองเอาไว้

เห็นผลงานของพี่เอ็ดดี้ที่ธนาคารกสิกรไทยที่กรุณาถ่ายภาพให้ผมก่อนผมลาออกจากธนาคาร....เกิดกิเลสเพราะเห็นความแตกต่างระหว่างกล้องกึ่งโปรแฟสชั่นแนลกับกล้องดิจิตัลSLR Professional เลยตั้งรางวัลล่อตัวเองว่าถ้ามีผลงานการบริหารกิจการของครอบครัวปลายปีนี้บรรลุอย่างที่ต้้งใจไว้...จะให้รางวัลตัวเองเป็นกล้อง Digital SLR Professional

ถ้าได้กล้องตัวใหม่เมื่อไหร่....คงมีผลงานถ่ายภาพที่ได้อารมณ์และความรู้สึกที่ละเมียดมากกว่านี้

อาจารย์นิกรคงอาจจะแวะเข้ามาอ่านบล็อกนี้เหมือนกัน ก็ต้องขอบคุณสำหรับคำชมเรื่องผลงานภาพถ่ายครับ


โดย: ชีวประภา วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:23:00:58 น.  

 
สุดยอดไปเลยครับพี่!!! สำหรับ เรื่องราวดีๆและประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจ... ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่สั่งสอน ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ได้รู้จักกัน... 6 วันในวันนั้นจะคงอยู่ในใจตลอดไป
" จะนำความรู้ที่ได้ มาพัฒนาตัวเอง พัฒนาองค์กรและพัฒนาโลกไปนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น"


โดย: ยอด IP: 117.47.183.122 วันที่: 2 มิถุนายน 2552 เวลา:10:12:35 น.  

 
เขียนเก่ง น่าจะไปเป็นคอลัมนิสต์ (หรือเป็นอยู่แล้ว?)


โดย: ป้าน้อย (4+4=Dd ) วันที่: 3 มิถุนายน 2552 เวลา:0:11:29 น.  

 
อ่านจบแล้วคับป๋ม

ได้รางวัลอะไรไหมเนี่ย อ่านของพี่เงี้ยบจบแล้วอ่ะ


โดย: แมวยักษ์ IP: 58.9.173.142 วันที่: 3 มิถุนายน 2552 เวลา:22:35:07 น.  

 
ขอแสดงความนับถือ และขอขอบคุณ


โดย: yai mahachai IP: 125.27.234.84 วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:17:18:31 น.  

 
ขอบคุณที่แวะมาทักทายและทิ้งความเห็นเอาไว้ครับ

๑ อาทิตย์ผ่านไป...นับจากสัมมนาเสร็จสิ้นลง


เมื่อวันพุธที่ผ่านมาผมกลับไปนครสวรรค์ พอไปถึงได้ไม่นานก็ไปร่วมประชุม BCL นครสวรรค์ต่อ

แต่...ไม่คาดว่าการประชุมจะลากกันยาวต่อเนื่อง ราวๆ ๔ ทุ่มเราพึ่งเข้าประเด็นสำคัญ แต่ว่า...ทำให้เห็นความตั้งใจของสมาชิก BCL นครสวรรค์ที่อยากผลักดันกิจกรรมดีๆเพื่อให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่น

บรรยากาศการประชุท BCL นครสวรรค์เป็นอย่างไร...เราบรรยายด้วยภาพข้างล่างครับ







บังเอิญพี่วาสนาแกไปแอบนั่งหลบมุมสบายๆ...เลยหลุดไปจากเฟรมรูปนี้


โดย: ชีวประภา วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:19:29:05 น.  

 
อ.เคยบอกว่า วันแรกที่สัมมนาเราจะจำได้80 เปอร์เซนต์ วันต่อๆมาเรื่องที่จำนั้นก็จะค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา พี่ว่าต่อไปคงไม่ใช่ เพราะมีคนคอยบันทึกให้เราได้จดจำอยู่เสมอ(เมื่อเราอ่านมันบ่อยๆ) ขอบคุณที่บันทึกสิ่งดีๆให้เราได้จดจำไว้ คงได้อ่านเรื่องดีๆอีกนะค่ะ


โดย: คนตรัง IP: 118.175.94.14 วันที่: 6 มิถุนายน 2552 เวลา:18:32:32 น.  

 
ขยันจัง อยากมีความมุ่งมั่นได้ซักครึ่งนึงของพี่เงี้ยบ


โดย: กุล IP: 58.9.51.209 วันที่: 7 มิถุนายน 2552 เวลา:16:34:07 น.  

 
ขอโทษ ที่เพิ่งมา Post ใน Blog
เพราะเพิ่งได้รับ Mail นะครับ

สรุปและเรียบเรียงได้น่าอ่านและสนุกมากครับ
เนื้อหาแน่นและครบถ้วนดีจัง
หวังว่า จะได้อ่านและติดตามบทความต่อๆไป

หวังว่าจะได้ร่วมเดินทางบนการทำงานให้สังคม
ตลอดไปนะครับ


โดย: หมอไก่/สมยศ IP: 125.24.118.98 วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:0:14:45 น.  

 
ขอโทษทีเพิ่งมีโอกาสได้อ่าน คุณชายสามารถขยายความและจัดเรียบเรียงใหม่ได้ดีมากๆ สมชื่อดีจริงๆอ่านสนุกและเห็นภาพดีจัง...ทำให้คิดถึงวันวาน....แล้วเจอกันที่ภูเก็ตน๊ะ..ไม่ได้ร่วมวิ่งแต่จะช่วยเชียรจ้ะพี่กับพี่ปุ้มขอเลี้ยงข้าวน๊ะ


โดย: โอมาร์ IP: 117.47.204.21 วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:14:52:11 น.  

 
เก็บตกตอบข้อความแขกเหรื่อที่มาเยือนกระทู้นี้

ขอบคุณคนตรัง (เดาว่าน่าจะเป็นอาจารย์วันดี) ที่ทิ้งความคิดเห็นเอาไว้ ผมลงรายละเอียดไปมาก...จนพี่โอมาร์เขาให้ฉายาว่า "คุณชายละเอียด" แต่เขียนสไตล์นี้แวะกลับมาอ่านที่บล็อกเมื่อไหร่ก็จะยังคงยังได้ภาพบรรยากาศ ๖ วันที่ไปสัมมนากัน...เหมือนเวลาแห่งความประทับใจหยุดไว้ที่เดิม

ขอบคุณน้องกุลที่แวะมาเยี่ยมและทิ้งความเห็นเอาไว้ทั้งกระทู้นี้และกระทู้ก่อนหน้านี้จ้ะ

ยินดีครับพี่หมอไก่ คงได้ทำกิจกรรมดีๆร่วมกันอีก

พึ่งคุยกับเจ๊โอมาร์เสร็จหมาดๆ...แล้วไว้เจอกันวันอาทิตย์ครับ จะพยายามวิ่งให้ครบระยะ ๔๒.๑๙๕ กิโลเมตรสำเร็จให้ได้


โดย: ชีวประภา วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:16:17:58 น.  

 
เพิ่งได้เข้ามา..น่าจะเพราะเบอร์เมล์ผิดข้อมูลจึงไม่ถึงเราขอแก้เมล์เป็นat-home_design@hotmail.comนะ
อ่านแล้วกินใจ...เห็นภาพเลย แล้วคิดถึงเพื่อนๆนะถ้าใครแวะมาภูเก็ตอย่าลืมโทรหากันนะ..ว่างสำหรับอาจารย์พี่ๆเพื่อนๆและน้องๆเสมอก๊า!!!!!


โดย: ปุ้ม IP: 202.71.124.213 วันที่: 19 มิถุนายน 2552 เวลา:11:28:57 น.  

 
ขออนุญาติ เอาไปโพสต่อนะครับ


โดย: สุรชาติ IP: 118.173.170.212 วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:51:05 น.  

 
คุณชาติจะเอาไปโพสต์ต่อก็ได้ครับ แต่กรุณาอ้างที่มาของข้อมูลและลิงก์ที่ลากมาด้วยครับถือเป็นการให้เกียรติกับคนเขียนครับ แค่นั้นก็พอใจแล้วครับ


โดย: ชีวประภา วันที่: 20 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:34:55 น.  

 
fake longines watches fake watches natural look than many other wigs [url=//www.suchwatches.com/]replica watches[/url] with reasonable price.1 Ellington fake watches selecting a gold ladies watch you have to look at.


โดย: sunny IP: 123.153.71.131 วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:14:06:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.