ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 

วันลอยกระทงที่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา (Loy Krathong Day at the birth of Chaophraya River)

เวลาคนถามว่านครสวรรค์มีอะไรน่าสนใจไปท่องเที่ยวบ้าง? เป็นคำถามที่ทำให้คนนครสวรรค์คิดอยู่นาน เพราะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมีมากมายแต่ถูกปล่อยในสภาพแบบนั้นจนไม่น่าสนใจ หรือที่น่าสนใจก็ไม่มีใครพูดถึงกันนัก ไม่มีใครคิดจะโปรโมทเพื่อประโยชน์ของจังหวัดนครสวรรค์

(When there is anyone ask about Tourist places in Nakhon Sawan, this question makes Nakhon Sawan born people take long time to think about it. In fact, there are many interesting places in Nakhon Sawan but they are left without paying attention to. None have keen intrest to promote those places for the sake of Nakhon Sawan province.)

คนไทยส่วนมากทราบว่าต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มต้นที่จังหวัดนครสวรรค์ แต่จะมีกี่คนเคยรับรู้รับทราบว่าต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยามีความน่าสนใจอย่างไร มีกลุ่มรักต้นน้ำเจ้าพระยาพยายามผลักดันให้ต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและเป็นความภูมิใจของคนนครสวรรค์ เคยเห็นแม่น้ำสองสีที่อุบลราชธานี...เขาเอามาเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยวได้ แต่ทำไมต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีแม่น้ำสองสีเช่นกัน (แม่น้ำน่านสีขุ่น-แม่น้ำปิงสีเขียว) ไม่ค่อยจะมีใครพูดถึงกัน ไม่มีใครคิดจะเอามาเป็นจุดขายการท่องเที่ยวกัน มันน่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง ได้ยินว่าโปรเจ็คส์ทำต้นแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นจุดขายเพื่อการท่องเที่ยวมีการนำร่องแล้ว ตอนนี้รอการประมูลแบบเพื่อพัฒนาต้นแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดต่อไป

วันนี้เป็นวันลอยกระทง...(Today is Loy Krathong Day)

นับตั้งแต่ผมไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯผมไม่เคยกลับมาลอยกระทงที่นครสวรรค์อีกเลย บรรยากาศลอยกระทงในเมืองไทยเท่าที่เคยไปร่วมงานมาคิดว่าที่สุโขทัยน่าสนใจและสวยงามที่สุด

(I never came back to celebrate Loy Krathong Festival in may hometown (Nakhon Sawan) again since I went to study in Bangkok. I found that Loy Krathong Festival at Sukhothai is the most interesting and beautiful in Thailand.)

ผมเคยลอยกระทงครั้งสุดท้ายที่โตเกียวตอนเรียนหนังสือที่นั่น หลังจากนั้นไม่เคยคิดหรือสนใจจะไปลอยกระทงที่ไหนอีก บรรยากาศงานลอยกระทงในญี่ปุ่น บรรยากาศเหมือนงานกาชาดออกบูธขายของ ขายอาหารไทยรสชาติญี่ปุ่นมากกว่าสนใจจะเอากระทงมาลอยในน้ำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

(I floated Krathong last time in Tokyo when I studied at there. Since then I have not had any interest in floating Krathong in Loy Krathong Festival. Atmosphere of Loy Krathong Festival in Japan is similar to Thai Red Cross Fair in Thailand which people concentrate to sell their products, Thai foods more than paying attention to float Krathong on water as the objective of this Thai traditional festival.)

ปีนี้ได้กลับมาทำงานที่บ้านในวันลอยกระทง สิ่งที่ตั้งใจสำหรับคืนนี้ก็คือเก็บบรรยากาศของวันลอยกระทงเอาไว้ ถ่ายทอดให้คนที่ไม่มีโอกาสได้มาเห็นบรรยากาศของวันลอยกระทงที่ตำบลปากน้ำโพในปีนี้ได้ชมกัน

(Now I come back to work at my hometown. For Loy Krathong Day this year, I intend to take pictures of atmosphere on Loy Krathong Day to share with anyone who does not have a chance to experience Loy Krathong Festival in Paknampho District, Nakhon Sawan to see through my pictures.)

เริ่มจากบรรยากาศยามโพล้เพล้....บริเวณต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยามีการทดสอบไฟฟ้าบนกระทงที่ทำจำลองขึ้นมาริมน้ำฝั่งเกาะยม




มาดูกันใกล้ขึ้นว่ามีข้อความอะไรหรือกระทงมีหน้าตาอย่างไร




สะดุดตากระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติหลากหลายชนิด (Floatings are made of many kinds of nature which are friendly to environment.)


แบบแรกทำจากเปลือกข้าวโพด ถามน้องคนขายว่าแล้วฝักข้าวโพดไปทำอะไร? เธอตอบอมยิ้มว่าก็ทานจนหมดแล้ว!!!







แบบที่สองทำจากขนมปังและโคนไอศครีม อันนี้น่าทานมากกว่าน่าลอยในน้ำ คุณว่าจริงไหม?




แบบที่สามไม่ค่อยเห็นใครคิดแบบนี้ แต่แม่ค้าเธอไอเดียบรรเจิดนำกะหล่ำปลีมาเฉือนตัดแต่งเป็นกระทงลอยน้ำ ไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม





มีคนพยายามลอยโคมขึ้นสู่ท้องฟ้าแต่ส่วนมากทำไม่ค่อยเป็น จำได้ว่าตอนกลับมาเมืองไทยปีแรก ไปดูบรรยากาศงานลอยกระทงที่สะพานปิ่นเกล้า เห็นหมวยสองคนพยายามปล่อยโคม แต่สุดท้ายแทนที่จะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ามันกลับตกลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเบื้องล่าง


วันนี้ตอนค่ำกลุ่มน้องมัธยมต้นโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนมาปล่อยโคมลอยกัน แต่น่าตำหนิหน่อยก็ตรงที่พวกนี้เขาไปซื้อโคมที่ทำจากถุงพลาสติกราคาถูกอันละ ๑๐ บาทมาปล่อย ในเมื่อเราพยายามไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเราก็ไม่น่าสนับสนุนการเอาพลาสติกมาใช้กับประเพณีลอยกระทงอีก

...ผู้หญิงไทยรุ่นใหม่หลายคนใช้สรรพนามว่า "กู-มึง" เป็นเรื่องปกติ แม้ว่าจะได้ยินอยู่บ่อยๆในหนังและในสังคมแต่ต้องบอกว่าเวลาได้ยินผู้หญิงไทยใช้สรรพนามแบบนี้ไม่รู้สึกว่าเท่เลยแต่เสียความรู้สึกมากกว่าว่าทำไมคนรุ่นใหม่เห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมแบบนี้ ไม่ใช่หน้าที่เราที่จะไปเปลี่ยนแปลงพวกเขาแต่เป็นเสียงสะท้อนจากผู้ชายไทยคนหนึ่ง และก็คิดว่าผู้ชายไทยรุ่นผมก็คงรู้สึกไม่แตกต่างกัน

น้องๆมัธยมพวกนั้นเขาพยายามปล่อยโคมลอยพลาสติกแต่ว่า...ไปไม่รอด มันลอยตกลงสู่พื้นและลอยไปกับสายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาแทน




มีครอบครัวคนในตลาดรายหนึ่งพยายามปล่อยโคมลอยที่เป็นกระดาษสา อันนี้ราคาแพงกว่าพลาสติก ตกอันละ ๖๐ บาท ผมไปช่วยเขาจับโคมเพื่อให้ความร้อนจากเทียนเข้าไปภายในโคมเพื่อพองออกและลอยตัวในที่สุด แนะนำเขาว่าควรทำอย่างไรจนเฮียเขาเชื่อว่า..ผมนี้มือโปรในการปล่อยโคมลอย ความจริงผมคิดตามหลักการปล่อยบอลลูนแต่ยังไม่เคยซื้อโคมมาปล่อย




พอเฮียและซ้อเขาปล่อยโคมปุ๊บ มันเริ่มลอย คราวนี้แกยิ้มออก แต่ลอยได้ไม่นานมันดันลอยต่ำลง ลอยเลียดลงไปจากตลิ่ง ทิศทางจะลงแม่น้ำ




ซ้อใจไม่ดีเพราะแกคงอธิษฐานอะไรเอาไว้ก่อนปล่อย เลยไม่อยากให้โคมตกลงสู่แม่น้ำ อยากให้ลอยสู่ท้องฟ้ามากกว่า


แล้วลมก็พาไป....พัดโคมลอยขึ้นไปเหนือตลิ่งอีกที






แล้วโคมก็ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสำเร็จ





นี่แหละคือความไม่แน่นอน


น้องๆที่มากับคุณแม่จุดธูปเทียนแล้วก็อธิษฐานขอขมาพระแม่คงคาแล้วก็ขอให้สมหวัง มีสุขภาพแข็งแรง ฯลฯ

(Children came with their parents. They made wishes before they float their floatings on water.)





น้ำในแม่น้ำปีนี้ลดลงกว่าทุกปี เห็นเด็กๆที่รับกระทงไปช่วยลอยในแม่น้ำเดินลงไปในแม่น้ำในระดับน้ำที่สูงถึงตาตุ่ม เดินลงแม่น้ำสบายๆ ระดับที่เอากระทงไปลอยอยู่ในระดับอก ทุกปีน้ำในแม่น่้ำจะสูงขึ้นมาเพียบๆตลิ่ง เห็นเด็กๆในชุดว่ายน้ำ...ตัวสั่นเพราะตอนขึ้นมาบนฝั่ง...อากาศบนตลิ่งมีลมเย็นๆพัด ทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ช่วงเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงที่มีอากาศเย็น บางครั้งใส่เสื้อกันหนาว แล้วตอนไปเล่นน้ำ พอเลิกเล่นตอนขี่จักรยานกลับบ้านหนาวทีเดียวเวลาลมพัดที
แต่ตอนนี้...ช่วงนี้รู้สึกว่ามีลมเย็นๆพัดผ่าน....ท้องฟ้าใสๆตอนเช้าๆหลายวัน แต่ยังหนาวไม่เท่ากับเดือนพฤศจิกายนสมัยเราเป็นเด็ก





ขอตัดมาบรรยากาศงานลอยกระทงภายในวัดบ้าง.....

มีโอกาสแวะไปดูบรรยากาศงานลอยกระทงภายในวัดนครสวรรค์ ภายในวัดดูคึกคัก มีนิสิตจากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยมาช่วยเป็นพิธีกรและขายกระทงให้วัด

บรรยากาศงานวัดในคืนเดือนเพ็ญ โชคดีที่พระจันทร์โผล่พ้นเมฆตอนก่อนสองทุ่ม ทำให้บรรยากาศคืนนี้สมเป็นคืนวันลอยกระทง




ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปพี่น้อง มีลักษณะที่แตกต่างไปจากวัดอื่นทั่วไป

มีหลายตำนานเกี่ยวกับพระพุทธรูปพี่น้อง บ้างเล่าว่า "เมียหลวงสร้างพระพุทธรูปให้วัดก่อนแล้วเมียน้อยสร้างพระพุทธรูปตาม แต่เพราะทั้งเมียน้อยและเมียหลวงเกลียดกัน อาฆาตกัน ต่างคนจึงต่างสร้างพระพุทธรูปให้วัดสององค์ที่นั่งหันหลังให้กัน" บางตำนานเล่าว่า "พี่และน้องต่างสร้างพระพุทธรูป แต่เพราะผิดใจกัน เกลียดชังกัน อาฆาตกัน ต่างฝ่ายจึงต่างสร้างพระพุทธรูปแต่หันหลังให้กัน"

ตำนานไหนถูกกันแน่บอกไม่ได้ แต่ที่แน่ๆผมเห็นพระพุทธรูปสององค์นี้นั่งหันหลังให้กันตั้งแต่ผมยังเด็กๆแล้ว จนถึงตอนนี้พระพุทธรูปสององค์นี้ท่านก็ยังหันหลังให้กันอยู่




หลวงพ่อศรีสวรรค์พระประธานในโบสถ์วัดนครสวรรค์เป็นพระพุทธรูปที่ชาวนครสวรรค์ให้ความศรัทธา หลายคนเชื่อมั่นในความศักสิทธิ์ขององค์หลวงพ่อศรีสวรรค์ (ผมไม่ได้ถ่ายภาพเอามาประกอบเว็บเรื่องนี้ ท่านที่สนใจเมื่อมีโอกาสมาเยือนนครสวรรค์ลองแวะมาสักการะหลวงพ่อศรีสวรรค์ดูครับ)

บรรยากาศการลอยกระทงในวัดแตกต่างจากบรรยากาศการลอยกระทงในแม่น้ำ สีสันและความคึกคักภายในวัดมีมากกว่า แต่บรรยากาศของคืนลอยกระทงปีนี้ที่วัดนครสวรรค์ก็ไม่เบียดเสียดยัดเยียดเหมือนงานประจำปีภูเขาทองของวัดสระเกศในกรุงเทพฯ




ตอนดึกมีโอกาสไปดูบรรยากาศการลอยกระทงในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้ง มีกลุ่มวัยรุ่นออกมาเดินเล่น ลอยกระทงกันเป็นกลุ่มๆ ที่มาเป็นคู่ๆก็มี ฝั่งที่เป็นศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์เห็นผู้คนลอยกระทงจากท่าเรือเป็นระยะๆ แสงเทียนที่ส่องจากกระทงที่ไหลไปตามลำน้ำเจ้าพระยาเห็นเป็นแนวจากริมแพที่เป็นจุดปล่อยกระทงไปจนถึงสะพานเดชาติวงศ์ที่เป็นสัญลักษณ์ให้ผู้เดินทางสัญจรมาถึงนครสวรรค์โดยเส้นทางรถยนต์สายเอเชียรับทราบว่าถึงนครสวรรค์แล้ว

แสงสว่างจากเทียนในกระทงถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก ไม่สามารถกระจายไปจนทั่วแม่น้ำเจ้าพระยาก็ตาม แต่แสงเทียนที่อยู่ในกระทงที่ลอยจากต้นแม่น้ำเจ้าพระยาไปตามลำน้ำเจ้าพระยาเป็นสัญลักษณ์ว่า....คนในนครสวรรค์ยังคงอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมดีๆของคนไทยเอาไว้สืบไป

(Even if candle lights in floatings from the birth of Chaophraya River could not spread over Chaophraya River, candle lights in floatings from the birth of Chaophraya River are symbolic to reflect that Nakhon Sawan people still preserve and continue to keep splendid Thai culture.)




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2552 0:37:51 น.
Counter : 3703 Pageviews.  

Avanos Pottery Demonstration and Hiking in Rose Valley

เราเลือกซื้อทัวร์ไปกับบริษัท Yama Tour เพื่อชมความงามร่วมกับกรุ๊ปทัวร์อื่นในเส้นทาง Cappadocia Tour Route

สมาชิกทัวร์ที่ออกเดินทางพร้อมเราวันนี้จึงเป็นคนละกลุ่มกับเมื่อวานนี้ วันนี้มีครอบครัวคนสิงคโปร์ที่พึ่งเดินทางมาถึงคัปปาโดเกียเมื่อคืนนี้ ครอบครัวนี้นามสกุลว่า "เติ้ง" มีคนญี่ปุ่นที่เป็นนักกฎหมายในเขตจังหวัดเฮียวโก (ที่เดียวกับโกเบ) 兵庫県 ชื่อคุณไซโต้ 斉藤 มีไกด์ชื่อ Adil ที่จบทางด้านมนุษยวิทยามา

เอดิล(Adil) เล่าประวัติคร่าวๆของตุรกีให้ฟัง ดินแดนของคัปปาโดเกียอยู่ในเขตอนาโตเลียกลางของตุรกี ทำไมเมืองนี้ถึงได้ชื่อว่า "คัปปาโดเกีย"

(Adil told us about Turkish history. Cappadocia is located in Central Anatolia region of Turkey. Why this city's name is Cappadocia?)

ในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยถูกคนเปอร์เซียนมาปกครอง แล้วเมื่อคนเปอร์เซียนเดินทางมาถึงพบฝูงม้าจำนวนมาก เลยตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ในภาษาเปอร์เซียว่า Katpatukya ซึ่งมีความหมายว่า Land of beautiful horses แล้วชื่อในภาษาเปอร์เซียก็แผลงมาเป็น Cappadocia

(In the ancient times, Persians ruled this area. When Persians came to this area, they found many horses. They gave the name of this city as Katpatukya which meant "Land of beautiful horses". From Persian language, the name was gradually changed into "Cappadocia")

ดินแดนตุรกีถูกชนชาติต่างๆผลัดกันเข้ามายึดครอง เมื่อชนชาติหนึ่งเข้ามาปกครองก็ทำลายวัฒนธรรมและสิ่งก่อสร้างของชนชาติที่อยู่ก่อนหน้า เช่น สมัยหนึ่งมองโกลบุกเข้ามาเอาชนะเปอร์เซียนก็ทำลาย เผา บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง หญ้า ฯลฯ ที่คนเปอร์เซียนก่อสร้างไว้ พอกรีกเข้ามามีอิทธิพล ก็สร้างโบสถ์เกี่ยวกับคริสต์ศาสนาเอาไว้ แต่พอพวกมุสลิมมีอิทธิพล มุสลิมก็สร้างศิลปะอิสลามทับลงไปบนสิ่งก่อสร้าง ศาสนาสถานของพวกกรีกที่เคยสร้างเอาไว้ จักรวรรดิเตอร์กออตโตมันในอดีตยิ่งใหญ่มากและสามารถรวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นเอาไว้ได้ ดินแดนกินเข้าไปถึงบริเวณตอนใต้ยุโรป เหนือทวีปแอฟฟริกา แต่ภายหลังการตัดสินใจไปร่วมรบกับเยอรมัน-ออสเตรีย ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทำให้อาณาจักรเตอร์กออตโตมันต้องเฉือนดินแดนให้ประเทศชนะสงครามอย่างฝรั่งเศส อังกฤษ แล้วมีการสร้างชาติขึ้นมาใหม่โดยให้คนมุสลิมย้ายจากตอนใต้ของกรีกมาสู่ดินแดนตุรกีและอพยพคนคริสต์กลับไปอยู่ยังประเทศกรีก นี่เป็นบทคัดย่อจากสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมา


เอดิลเขามีพื้นฐานทางด้านมนุษยวิทยามาทำให้เขาสามารถอธิบายให้เราเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของดินแดนตรงนี้ได้ง่ายและชัดเจน ตำหนิตัวเราเองที่อาจจะร่ำเรียนประวัติศาสตร์โลกไม่ละเอียดพอ ดูเหมือนหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ที่นักเรียนไทยเรียนกันในอดีตทำให้คนไทยไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับประเทศอื่น นอกจากมีความภูมิใจว่าไทยเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิในอดีต





เขาพาพวกเราแวะโรงงานเครื่องปั้นดินเผา Avanos ที่มีชื่อเสียง ที่นี่มีการสืบสานตำนานการเผาและปั้นเครื่องปั้นดินเผาในเมืองคัปปาโดเกียมาหลายรุ่น รุ่นปัจจุบันยังคงคิดสืบสานศิลปะอันมีชื่อนี้ไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

(Guide brought us to visit Avanos Pottery which is famous in Cappadocia. Legend of Avanos Pottery has been succeeded from one generation to another generation.)

เขาสาธิตการปั้นเครื่องปั้นดินเผาให้พวกเราดู ตัวแกนหมุนเครื่องปั้นดินเผาไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสลับซับซ้อนอะไร เขาเพียงใช้เท้าถีบแกนหมุนด้านล่างแล้วดินเผาที่วางอยู่บนแกนก็จะหมุนตาม หลังจากนั้นก็จะใช้มือค่อยๆประคองดินเหนียว...แล้วค่อยๆขึ้นรูปเครื่องปั้นดินเผาอย่างที่ต้องการ เขาเชิญสุจีที่เป็นว่าที่บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยในอังกฤษมาลองปั้นเครื่องปั้นดินเผาดู...สุจีลองทำดูแล้วไม่ง่ายเลย พ่อแม่ของสุจีเขาถ่ายภาพลูกสาวเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก สุจีสนใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตุรกีเลยชวนพ่อแม่ของเธอจากสิงคโปร์มาเที่ยวที่นี่

(Staff at Avanos Pottery demonstrated how to make a jar. Technology is not complicated, he used his leg to move the pole and shape clay into any utensil which he wanted. Sugii tried to shape her pot but it's difficult for her then a man helped her to shape her pot in the right shape. Sugii graduated from UK under Singaporean scholarship. She is interested in History and culture then she invited her parents from Singapore to visit Turkey.)









ดินเหนียวมีอยู่สองประเภท ประเภทที่มีแร่เกาลินผสมอยู่จะมีสีขาว ซึ่งสามารถนำมาปั้นและขึ้นลวดลายได้งดงามเช่นกัน ในขณะที่ดินเหนียวสีคล้ำก็จะมาทำเครื่องปั้นดินเผาอีกชนิดที่มีสีออกส้มๆ

ภายหลังเขาปั้นดินเหนียวจนออกมาได้รูปร่างที่ต้องการแล้ว เขาก็ทำการวาดลวดลายลงบนจานแล้วเข้าเตาเผาที่อุณหภูมิสูงมาก ภายหลังจากเข้าเตาเผาแล้วก็จะได้จานที่มีลวดลายต่างๆออกมา






งานเพ้นท์ลวดลายเป็นงานที่ประณีตชดช้อยมากๆ ช่างเพ้นท์ต้องมีความอดทนสูงและมีหัวศิลป์ในการออกแบบลวดลายต่างๆให้ลงตัวบนภาชนะดินเผาแต่ละอย่าง





เดินชมความงามของศิลปะลวดลายตุรกีที่เขาเพ้นท์ลงบนภาชนะต่างๆ




พนักงานในโรงปั้นดินเผาอธิบายให้พวกเราฟังว่าภาชนะที่เห็น เอาไว้บรรจุน้ำตาของผู้หญิงในยามทีที่เธอเสียใจ... แล้วเมื่อน้ำตาเต็มภาชนะนี้เมื่อไหร่ก็จะเอาไปให้สามีดูว่า...สามีเธอทำให้เธอเสียน้ำตามากน้อยแค่ไหน?

(Employee in pottery explained to us that Turkish women filled up this utensil with their tears. When the utensil is full, they will show to their husbands how much their husbands made them tearful!)







เซรามิกของที่นี่ลวดลวยสวยงามมาก...อยากจะซื้อกลับมาแต่กลัวว่าจะแตกระหว่างเดินทางกลับ เลยทำใจว่าเก็บความสวยงามเอาไว้เป็นรูปที่ระลึกดีกว่า





ในระหว่างที่เดินดูเซรามิก มีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยอัลการ่าสวมเสื้อยืด アン大文化祭 (อ่านว่า "อันไดบุงกะไซ" แปลว่า งานศิลปะวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยอัลการ่า) เข้ามาดูแลนักท่องเที่ยว พอผมอ่านตัวอักษรบนเสื้อยืด....พนักงานของโรงงานเซรามิกอีกคนก็เลยเข้ามาถามว่า "คุณเป็นคนญี่ปุ่นหรอ?" ผมตอบไปว่าเปล่าหรอก คุณไซโตต่างห่างที่เป็นคนญี่ปุ่น ได้พูดคุยกับนักศึกษารายนั้นเขาเรียนวิชาเอกด้านภาษาญี่ปุ่น เรียนมาสามปีแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับภาษาญี่ปุ่นของสาวรัสเซียจากเมืองวลาดิวอสต็อกที่เจอที่สนามบินแล้วสาวรัสเซียรายนั้นพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีกว่ามาก ดังนั้นระยะเวลาที่เรียนภาษาต่างประเทศเท่ากัน....คนจะพูดและใช้งานได้ดีแค่ไหนคงอยู่ที่การหาโอกาสฝึกฝนและพัฒนาตนเอง

(There is a man wearing T-shirt with wording アン大文化祭. When I read wording on his T-shirt, employee at this Pottery factory thought that I might be Japanese. I replied to him that I am not. Saito is Japanese not me. The man has studied at Ankolar University, majoring Japanese. He is Junior student. However, I found that a Russian woman who I met at Shermitoyev Airport who came from Vladiviostock speaking Japanese better than this student even if both of them spent 3 years studying for Japanese course. Therefore, I may draw a conclusion that one will improve his langugae skill depending on his attempt to practice and improve his skill.)











ออกจากโรงงานเครื่องปั้นดินเผาเราก็ไปยัง Pasabaglari บริเวณนี้มีหินรูปร่างแปลกๆเหมือนเห็ด แดดตอนบ่ายร้อนมาก...

(We went to Pasabaglari where there are different shapes of rock look like mushroom. It's very hot in the afternoon.)







ถ่ายรูปกับไซโตซัง(斉藤さん)ไว้เป็นที่ระลึก ตอนแรกที่ทุกคนเห็นผมสวมเสื้อยืดตัวนี้เขาเข้าใจว่าผมทำงานธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด แต่ถ้าอ่านดีๆจะพบว่ามันเป็นเสื้อยืดที่ระลึกแก่นักวิ่งมาราธอนรายการสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดกรุงเทพฯมาราธอนปีที่แล้วต่างหาก เลยต้องอธิบายให้พวกเขาฟัง กรุงเทพมาราธอนเป็นรายการมาราธอนที่ใหญ่ที่สุดในไทยแต่การประสานงานระหว่างหน่วยงาน...ดูไม่ราบรื่นนักทำให้บรรยากาศการแข่งขันมาราธอนไม่ประทับใจนัก


( I took picture with Saito san. Many people looked at my T-Shirt, they thought that I might work at Standard Chartered Bank. In fact, I got this T-Shirt when I participated 2008 Standard Chartered Bank Bangkok Marathon. I found that bad cooperation caused Bangkok Marathon was not interesting even though it is the biggest Marathon in Thailand.)






เดินตระเวณรอบๆบริเวณนี้ เจอกลุ่มหินรูปร่างเหมือนดอกเห็ดเป็นหย่อมๆ ปีนป่ายเข้าไปชมภายในห้องที่คนในอดีตเจาะไว้เป็นโบสถ์ตามหินเหล่านั้น





นั่งรถต่อไปยังบริเวณที่หินรูปร่างเหมือนอูฐ บริเวณ Devrent Valley





แล้วเดินทางต่อไปบริเวณ ÜRGÜP ซึ่งมีหินรูปเห็ดพ่อแม่ลูก





เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทางทัวร์วันนี้ รถบัสพาเรามาส่งที่บริษัทยามาทัวร์ หลังจากนั้นก็รอรถบัสอีกคันมารับเพื่อไป Hiking ต่อตอนเย็นๆเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินจาก Rose Valley

เพื่อนร่วมทางคราวนี้มีผู้หญิงฮ่องกงกับแฟนหนุ่มชาวอังกฤษ หนุ่มจากสเปน คนอเมริกัน สองหมวยจากจีนแผ่นดินใหญ่ คู่หนุ่มสาวจากรัสเซีย และหนุ่มญี่ปุ่นจากโยโกฮาม่า

ไกด์ที่นำทางคราวนี้เป็นคนที่ไม่ใช่คนช่างพูด ไม่ใช่คนที่ช่างเล่ามากนัก เขาถนัดในการเดินป่า ขึ้นภูเขา มีเด็กๆตามมาด้วยอีกสองคน น้องสองคนนี้คอยเก็บแอปปริคอตแจกให้แขกได้ทานแก้เหนื่อยระหว่างที่เดิน รสชาติแอปปริคอตที่ทานสดๆรสชาติอร่อยดี


( I participated Hiking for seeing sunset at Rose Valley with another group. There are participants from many nations e.g. China, Spain, USA, Russia, Japan. Tour Guide is not talkative. There are two boys accompanied with us, they helped to pick some apricots for us as snacks. Taste of apricot is good. )




มีโอกาสได้ทาน Mulberry รสชาติหวานอร่อยมาก ลักษณะผลตอนแรกที่เห็นชวนให้นึกถึงลูกยอที่เคยเห็นสมัยเด็กๆจากต้นข้างบ้าน แต่รสชาติพอได้ทานมันอร่อยคนละเรื่องกับที่จินตนาการเอาไว้ตอนแรก




ช่วงแรกๆเดินทางผ่านแนวหินที่มนุษย์ในยุคศตวรรษที่ ๑๓ เขาเจาะหน้าผาเป็นโบสถ์และที่พัก ที่หุงหาอาหาร



ภายในถ้ำที่เข้าไปมืดมาก...อีกอย่างตอนที่เดินทางไปมันเป็นช่วงเย็นที่แสงอาทิตย์เปลี่ยนทิศทาง แสงแดดไม่ส่องเข้ามาในถ้ำ มีภาพวาดในอดีตเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ที่พอจะมองเห็นแต่ไม่สมควรถ่ายภาพเพราะมันมืด ลองถ่ายภาพออกมาก็ไม่สวย

เส้นทางที่เดิน hiking บางช่วงชันและลื่น ลูกทัวร์หกล้มกันหลายครั้ง หมวยจากฮ่องกงหกล้มเอามือยันพื้นจนเป็นรอยถลอก...แฟนหนุ่มชาวอังกฤษมองโดยไม่สนใจเข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับยืนสูบบุหรี่อยู่เฉยๆ

มองออกไปเห็น Rose Valley อยู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หุบเขาที่มีสินแร่สีแดงเหมือนสีของกุหลาบแดงเลยเป็นที่มาของ Rose Valley





เดินหน้าต่อไปอีกราวๆ ๒๐ นาทีก็เข้ามาใกล้ Rose Valley โชคไม่ดีก็ตรงที่แดดวันนี้ไม่แรง แถมบางครั้งก็มีเมฆครึ้ม ฝนตกปรอยๆลงมาเป็นระยะๆ ลมพัดแรงบางครั้งทำให้ไม่สามารถกางร่มได้ มีโอกาสแวะดื่มน้ำชาแอปเปิ้ลรสชาติหวานอมเปรี้ยวที่เป็นสินค้าขึ้นชื่อของตุรกีระหว่างพัก ไกด์เป็นคนปรุงชาแอปเปิ้ลมาเสิร์ฟลูกทัวร์เมื่อเรามาถึงจุดพักก่อนจะเดินทางต่อไป











มีโอกาสได้สนทนากับลูกทัวร์คนอื่น ทาเกชิเคยทำงานในองค์กรแต่เกิดความเบื่อหน่าย จึงลาออกจากงาน เดินทางท่องเที่ยวเพื่อค้นหาตนเอง...

ตอนสมัยก่อนผมไปเรียนหนังสือในญี่ปุ่น...มีเพื่อนญี่ปุ่นบางคน ภายหลังจากทำงานไปสักระยะและพบว่างานที่ทำไม่เหมาะกับตัวเขา หลังจากที่เขาอดทนทำมาเป็นเวลานาน...ในที่สุดเขาก็ทำตามสิ่งที่ใจเรียกร้อง เขาลาออกจากงาน แล้วเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศ ค้นหาตนเอง ทำไมพวกเขาจึงนำเงินเก็บสะสมมาใช้จ่ายท่องเที่ยวต่างแดน ทั้งที่พวกเขายังไม่มีงานทำใหม่ ทำไมเขาไม่นำเงินสะสมเก็บไว้ใช้จนกว่าได้งานใหม่แล้วจึงค่อยเดินทางท่องเที่ยวต่างแดน?

แต่พอไปเรียนหนังสือในญี่ปุ่น ได้เห็นประสบการณ์ชีวิตของผู้คนหลากหลาย สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้ก็คือ....หลายคนค้นหาตัวเองไม่เจอหรือบางคนตลอดชีวิตไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร อยากเป็นอะไร การได้อยู่กับตัวเองตามลำพัง ได้เดินทาง ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ในต่างแดน บางทีทำให้หลายคนค้นพบตัวเองเจอและสามารถกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง ด้วยความรู้สึกดีๆ


( I talked with other members who participated with hiking activity. Takeshi resigned from job and travelled to discover himself.

Before I went to study in Japan, I wonder why Japanese friends who resigned their jobs and travel abroad even if they have not found new job yet. Why did not they wait until they found new job and then travel abroad? Because they have to spend a lot of money. I had better to save their money during unemployment.

However, when I studied in Japan, I learnt from various expereince of Japanese life. Many people could not discover themselves. They did not know what they really like, what they want to be. Many people discover themselves when they visit abroad....keep themselves alone and reflect themselves. Many people can discover themselves during their trip abroad. After they experienced abroad, they discovered themselves and restart their lives with confidence and move forward for better life.)


ไม่คิดว่าเดินทางในตุรกีจะมีโอกาสได้ใช้ภาษารัสเซียอีก หนุ่มสาวรัสเซียคู่นี้เขาเดินทางท่องเที่ยวจากรัสเซียไปประเทศต่างๆก่อนจะมาจบทริปที่ตุรกีและเดินทางกลับรัสเซีย คำว่า "да да (ดะ ดะ)" ที่แปลว่า "ใช่ ๆ" ได้ยินเป็นระยะๆในระหว่างที่เดินไฮกิ้ง ผมมีโอกาสได้สนทนากับพวกเขาด้วยบทสนทนาภาษารัสเซียง่ายๆในระหว่างที่เดินไฮกิ้งกัน

Рад вас видеть

ตอนออกเสียงว่า

хорошо!

เขาช่วยแก้การออกเสียงให้ถูกต้อง ว่า "ฮาราชโช" ไม่ใช่ "คาราชโช"

ผู้ชายรัสเซียคนนี้เวลาเขาถามไกด์เป็นภาษาอังกฤษ....เขาสร้างประโยคด้วยถ้อยคำภาษาอังกฤษที่ฟังแล้วเข้าใจยาก ถ้าจะให้เดาคิดว่าคงเป็นเหมือนตอนคนไทยไปอยู่ญี่ปุ่นแล้วเวลาสร้างประโยค...บางครั้งเราเอารูปโครงสร้างประโยคแบบไวยกรณ์ไทยเป็นตัวกำหนด....แล้วเอาคำศัพท์ในภาษาญี่ปุ่นมาวาง ผลลัพธ์คือทำให้คนญี่ปุ่นฟังแล้วไม่เข้าใจ

โดยบังเอิญที่หนุ่มสาวคู่นี้เขาไม่ได้เตรียมเมโมรี่การ์ดมาเผื่อ เขาถ่ายภาพจนเต็ม แนะนำว่าเขาสามารถเก็บภาพบรรยากาศสำคัญที่นี่ได้อีกหลายภาพด้วยการลบรูปที่ถ่ายมาก่อนหน้านั้นซึ่งถ่ายเสียหรือว่ารูปที่ไม่สำคัญ ภายหลังจากเขาลบภาพบางภาพทิ้งไปแล้ว ผมช่วยเขาถ่ายรูปคู่ที่ระลึกให้...แต่ก็มีการลบทิ้งหลายช็อตเพราะได้ภาพที่ออกมายังไม่ดีที่สุด เรื่องของแสง ใบหน้าที่ออกมา ตำแหน่งวัตถุในภาพ จนสุดท้ายก็ถ่ายภาพได้รูปที่ระลึกของคนสองคนซึ่งเขาพอใจ

спасибо!

Не за что


วันนั้นใกล้คืนเดือนเพ็ญ (วันอาสาฬหบูชา) ผู้ชายรัสเซียคนนี้ตื่นตาตื่นใจที่เห็นดวงจันทร์ขึ้นบนขอบฟ้า เขาเล็งกล้องถ่ายภาพดวงจันทร์





ฝนตกปรอยๆเป็นระยะๆ....มองเห็นฝนตกลงในเขต Görëmë





Rose Valley ที่ผมเฝ้ามองจากที่พักจากมุมไกลๆหลายวันที่ผ่านมา วันนี้ได้เดินเข้ามาอยู่ใกล้ๆแล้ว เป็นอีกมุมนึง เป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง ระหว่างระยะทางที่แตกต่างกัน...กับความสวยงามของธรรมชาติในสิ่งเดียวกัน

( I often looked Rose Valley from the Cape's Traveller Hotel for many days. Today I came here and look at it. Another emotion and perspective from different distance for the same natural object.)







มองลงมาข้างล่าง...บรรยากาศชวนให้นึกถึงตอนเดินบนภูกระดึงเมื่อหลายสิบปีก่อน นักเดินทางเดินเป็นแถวเดียวค่อยๆลงจากภูผ่านสองข้างทางที่มีต้นหญ้าที่โอนไปมาตามกระแสลม




หลังจากที่ไกด์ปล่อยให้พวกเราบันทึกภาพจนพอใจและแสงแดดค่อยๆลับขอบฟ้า ก็ได้เวลาเดินลงจากภูเขา.... เส้นทางเดินลงเป็นคนละเส้นกับทางขึ้นซึ่งทางลงเดินง่ายกว่าตอนขึ้นเยอะเลย ลงมาถึงตีนภูก็มีรถตู้มารับพวกเรากลับที่พัก ระหว่างทางกลับที่พักมีฝนตกลงมาถือเป็นการร่ำลาสำหรับการเดินทาง Hiking วันนี้


เรื่องเล่าบรรยากาศการเดินทางในเมืองคัปปาโดเกียตอนนี้....ปิดฉากลงด้วยเพลงบรรเลงที่ได้กลิ่นอายของความเป็นตุรกีที่ชื่อว่า "Waltz of the Butterfly" ลีลาการโบยบินของผีเสื้อในจังหวะวอลซ์สองเวอร์ชั่นเป็นอย่างไร....ลองฟังเปรียบเทียบกันดูครับ (เพลงชื่อเดียวกันแต่คนละทำนองครับ)

(Trip in Cappadocia for this chapter is ended with Instrumental Turkish songs namely "Waltz of the Butterfly". Even if both songs have the same title, rhythm of both songs are different. Please enjoy listening and comparing different versions of butterflies flying in Waltz.)




MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com






 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2552 14:47:59 น.
Counter : 1854 Pageviews.  

ความรักที่เกิดขึ้นในรถไฟฟ้า BTS

ขอคั่นรายการเล่าเรื่องเดินทางท่องเที่ยวในตุรกีด้วยการเขียนเล่าเรื่องและวิจารณ์หนังเรื่อง "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" ที่พึ่งไปชมกลับมา

นานมากแล้วที่ไม่ได้มาชมหนังในโรงหนังที่นครสวรรค์..ผมจำไม่ได้ว่าหนังเรื่องสุดท้ายที่ดูภายในโรงหนังที่นครสวรรค์เรื่องอะไร ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นหนังจีนเรื่อง "จำไว้เธอเจ็บไม่ได้" ยังจำบรรยากาศได้ว่าสมัยก่อนโรงหนังในต่างจังหวัดมีคนสูบบุหรี่ที่ไม่เกรงใจคนอื่นจำนวนหนึ่งและพวกนี้ไม่สนใจประกาศเตือนห้ามสูบบุหรี่ภายในโรงภาพยนตร์ ทุกครั้งที่ไปชมภาพยนตร์ต้องหายใจเอาควันบุหรี่แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้เข้าไปทุกที สภาพร้านอาหารฟาสท์ฟู๊ดในญี่ปุ่่นตอนที่ไปเรียนหนังสือที่นั่นชวนให้นึกถึงบรรยากาศแบบโรงหนังในต่างจังหวัดในเมืองไทย เพราะคนญี่ปุ่นสูบบุหรี่กันจัดมาก ถ้าร้านอาหารไม่มีที่นั่งไม่สูบบุหรี่ต้องทนหายใจเอาควันบุหรี่เข้าไป มันเป็นเรื่องอัปลักษณ์ที่คนต่างชาติรู้สึกกัน

ภาพลักษณ์โรงหนังที่ไปชมคืนนี้ต่างจากเมื่อก่อนมาก...โรงหนังอย่างเมเจอร์ซีนิเพล็กซ์คงไม่ยอมให้คนมักง่ายมาสูบบุหรี่ภายในโรงหนัง และคนมีการศึกษามากขึ้นคงละอายแก่ใจที่จะมาใช้โทรศัพท์มือถือส่งเสียงดังในระหว่างชมภาพยนตร์

วันนี้พาหลานชายสองคนไปทานข้าวนอกบ้านแล้วไปดูหนังด้วยกันหลังทานอาหารเสร็จ

หนังเรื่อง "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" เป็นหนังที่ได้รับการโปรโมทเป็นอย่างดี สร้างกระแสตอบรับจากคนดูจนใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียวก็สามารถทำรายได้ถึง ๑๐๐ ล้านบาท สิ่งที่อยากรู้คือหนังเรื่องนี้มีอะไรดี....ทำไมมันถึงโดนใจคนดูทั่วประเทศมากขนาดนี้

ถ้าตามลำพังเนื้อเรื่องของหนังเดินเรื่องเพียงแค่ สาวโสดออกไล่ล่าหาชายหนุ่มเพื่อสละโสดเสียที ผมเชื่อว่ามุขแบบนี้คงไม่เสียดแทงจิตใจของคนดูเท่าไหร่นัก

หนังเข้าใจผูกเรื่องและดำเนินเรื่องออกมาให้คนดูเพลินตาม จนมาขมวดปมแล้วถามคนดูให้คิดตามว่า...

"ถ้าชายหนุ่มหญิงสาวไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แล้วจะเรียกว่าเป็นแฟนอย่างนั้นหรือ?"


พอฟังแก๊กหนังนี้แล้วรู้เลยว่า...มันขับออกมาจากความคิดในโลกของผู้หญิงที่ผู้หญิงส่วนใหญ่หลายคนนิยามแบบนั้น


เธอเป็นแฟนฉันแล้ว..เธอต้องมีเวลาให้ฉัน...เธอต้องโทรมาหาฉันวันละหลายๆเวลา....เธอต้องไปไหนมาไหนกับฉัน...ฯลฯ

ราวกับว่าการเป็นแฟนคือการที่คนสองคนต้องอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา คนอีกคนต้องเป็น ต้องเชื่อฟัง ต้องทำตามใจเพื่อความสุขและความพึงพอใจของอีกฝ่าย

แบบนี้เป็นนิยามความรักที่หลายคนอาจจะตอบในใจว่า...นี่แหละโหมดของนิยามการเป็นแฟนกัน


เหมยลี่ก็เหมือนกับสาวๆอีกหลายคน....เธอเชื่ออย่างนั้น แล้ววันที่เธอเคว้งเพราะรู้ว่า...คนที่เธอแอบรักเขาซึ่งเขาก็มีใจให้เธอจริงๆ แต่เขาจะไม่อยู่เคียงข้างเธออย่างที่แฟนคนอื่นเขาทำกัน แบบนี้จะเรียกว่า "เป็นแฟน" กันได้อย่างไร? เธอเหงาและคนซึ่งเป็นที่ให้เธอไปซบในเวลาที่เธอเหงาไม่มีใครอีกแล้วนอกจาก "เป็ด" เพื่อนที่เข้าใจเธอ

ถึงเป็ดจะแต่งงานแล้ว...แต่เป็ดก็ยังเป็นเพื่อนที่ไม่เคยทิ้งเพื่อนในยามที่เพื่อนขอร้อง เป็ดบอกกับเหมยลี่ว่า

"แฟนไม่ได้มีเอาไว้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา

แต่...แฟนมีเอาไว้เพื่อให้เรารู้สึกว่าในใจเรายังมีคนที่รักเรา"



ประโยคง่ายๆแบบนี้....จะมีกี่คนที่คิดออกบ้าง?


นิยามของแฟนคือการต้องอยู่ด้วยกัน....ถ้ามันจริงเรื่องรักของคนที่อยู่ห่างไกลกันคงไม่เกิดขึ้น ถ้ามันจริงหลายคู่คงไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า "รักแท้เอาชนะระยะทางได้"

มีคำแก้ตัวแสนเลวร้ายของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวบางคนอ้างว่า....เพราะระยะทางที่ไกลกันทำให้ความรักของผู้คนเปลี่ยน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง...มนุษย์คนนั้นสมควรที่จะละทิ้งไปเลยอย่าเสียดาย เพราะถึงแม้มนุษย์รายนั้นได้ครองชีวิตคู่ด้วยแต่ด้วยเหตุผลเรื่องของงานทำให้ห่างไกลกัน....เขาก็คงไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ครองโดยอ้างเรื่องของระยะทางได้ไม่ยาก


หนังเดินเรื่องให้ตัวเอกของเรื่องอย่าง "ลุง" เป็นผู้ชายแสนโรแมนติกที่เก็บความทรงจำต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเหม่ยลี่ผ่านของที่เหม่ยลี่ทำลายของเหล่านั้นโดยไม่ตั้งใจ โดยที่เขาไม่เคยตำหนิเหม่ยลี่แม้แต่ครั้งเดียว


ชีวิตจริงไม่เหมือนละครหรือหนังที่ตัวเอกต้องสมหวังเสมอไป...

ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ก็ฉลาดพอที่จะทำให้ตัวเอกอย่างเหมยลี่ไม่สมหวังบ้าง....อย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับชีวิตจริง


ฉากซึ้งๆที่เหมยลี่หยิบของที่ลุงฝากเอาไว้ให้ขึ้นมาดูก่อนจะห่างไกลกัน...เป็นฉากที่เรียกอารมณ์คนดูได้ดีที่สุด เป็นฉากที่เรียกน้ำตาผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหวได้ไม่ยาก (เพราะได้ยินผู้หญิงคนที่เธอนั่งถัดไปไม่ไกลร้องไห้ตอนนั้น)


ถ้าเพียงหนังจะเดินเรื่องให้จบลงโดยที่ทั้งสองคนพลัดพรากกัน....คนไทยคงไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะคนไทยชอบให้หนังจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมตัวเลขสถิติปีที่แล้วมีคนไทยจดทะเบียนสมรส ๓ แสนคู่และปีเดียวกันมีคนไปจดทะเบียนหย่าร้างถึง ๑ แสนคู่


ในชีวิตจริงไม่กี่คู่ที่ชีวิตสมรสจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ในชีวิตสมรสของผู้คน....เขาใช้คำว่า "สมรส" แปลว่า เสมอกันในทุกรสชาติของชีวิต ดังนั้นเป็นไปได้ยากที่ชีวิตสมรสจะมีแต่เพียงความสุขด้านเดียว ไม่เหมือนหนังเพราะมันสั่งได้...ถ้าจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง...คนทำหนังมีสิทธิ์โกยเงินมากกว่าสำหรับหนังที่ฉายในเมืองไทย เพราะคนไทยชอบหนังแบบนี้

มีคนวิจัยแล้วพบว่า คนที่ชอบหนังโรแมนติกแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งมีแนวโน้มจะผิดหวังกับชีวิตสมรส เพราะว่าชีวิตถูกแบบจากหนังตีกรอบเอาไว้พวกเธอจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังว่า....ชีวิตสมรสของพวกเธอควรและต้องเป็นเหมือนเนื้อเรื่องในหนังที่เธอเสพอยู่บ่อยๆ


ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไม่โหดร้ายพอที่จะทำร้ายความรู้สึกของคนดูที่ชอบให้หนังไทยจบแบบแฮปปี้ เขามีมุขที่ทำให้คนดูภายหลังดูจบยิ้มออกจากโรงภาพยนตร์ได้


กับเวลาราวๆ ๒ ชั่วโมงที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้...ผมว่าจิตใจของคนดูได้ผ่อนคลายและได้มุมมองบางอย่างกลับบ้านไปภายหลังได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบลง

แต่ถ้าหนังเรื่องนี้ปลุกกระแสให้คนดูหันมาใช้การขนส่งสาธารณะมากขึ้น....คงเป็นเรื่องที่ดี จะได้เลิกบ่นกันว่ากรุงเทพฯรถติดมากๆๆๆๆๆ




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2552    
Last Update : 26 ตุลาคม 2552 0:05:51 น.
Counter : 876 Pageviews.  

Green Zone Trip in Cappadocia, Turkey

ในห้องพักมีทีวีที่รับสัญญาณดาวเทียม เปิดช่องต่างๆเพื่อดูรายการทีวี มีโอกาสได้เปรียบเทียบการนำเสนอข่าวระหว่างค่ายต่างๆ

ตอนอยู่อีสตันบูล...รายการข่าวที่ดูมีช่อง CNN ที่เขาเน้นแต่นำเสนอเรื่องราวของ ไมเคิล แจ๊คสัน เสียชีวิต ในขณะที่ช่อง BBC นำเสนอข่าวเน้นยุโรปและสะท้อนมุมมองจากอังกฤษ

แต่ที่คัปปาโดเกีย ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอีสตันบูลแต่สามารถรับสัญญาณทีวีผ่านจานดาวเทียมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึง 2 ฟุต กลับดูรายการข่าวจากทุกมุมโลก

ได้เปรียบเทียบหัวข้อข่าวที่นำเสนอระหว่างช่อง NHK ของญี่ปุ่น Aljazeera ของการ์ตา และกระบอกข่าว CNN ของอเมริกา, BBC ของอังกฤษ, CCTV ของจีน

พบว่าเอ็นเฮชเคของญี่ปุ่นนำเสนอหัวข้อข่าวเน้นในเอเชียและนำเสนอแบบเป็นกลางๆ ในขณะที่อัลจาซีร่านำเสนอข่าวต่างประเทศและนำเสนอข่าวในเขตตะวันออกกลางได้ลึกซึ้งและกว้างกว่า CNN และ BBC ส่วน CCTV นำเสนอเน้นข่าวในประเทศจีนและเอเชีย

อาหารเช้าของ The Cave Traveller Hotel เป็นพวกขนมปังต่างๆ มีผลไม้ที่ผมชอบให้แขกได้ตักจากในจานด้วย





เราซื้อทัวร์ไปแชร์ทัวร์กับกรุ๊ปอื่น บริษัททัวร์ที่นี่เขาจัดระบบแชร์กรุ๊ปทัวร์ได้ดีมาก แขกจากที่ต่างๆที่สนใจจะไปเที่ยวยังสถานที่เดียวกัน แทนที่จะเป็นบริษัทต่างๆมาแข่งขันกัน เขากลับแชร์ลูกทัวร์กันโดยจัดรถตู้คันนึงไปรับแขกจากที่ต่างๆที่สนใจจะไปเที่ยวยังที่เดียวกัน เมื่อจัดระบบแบบนี้....เขาสามารถจัดทัวร์ได้ทุกวัน ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ

ได้เห็นแผ่นพับโฆษณาโปรแกรมขึ้นบอลลูนในบริษัท Hiro Tour ถึงได้ทราบว่า...มีบริษัทที่ให้บริการพาลูกทัวร์ขึ้นบอลลูนหลายแห่งมาก ราคามีตั้งแต่ 110-165 ยูโร/คน




ผมขึ้นรถตู้กับกรุ๊ปทัวร์อื่นเพื่อไปทริปในย่าน Green Zone ลูกทัวร์ที่เดินทางไปด้วยกันวันนั้นมีนักท่องเที่ยวมาจากเกาหลีหลายคน มีครอบครัวช่างเสริมสวยตุรกี มีพยาบาลชาวญี่ปุ่นที่เกิดอาการท้องเสียแต่ก็มากับกลุ่มเราด้วย (น่าสงสารเธอมาก เพราะโดยมากเธอจะนั่งในรถมากกว่าลงไปเดินดูอะไรข้างล่าง เนื่องจากอาการปวดท้องของเธอยังไม่ทุเลาลงมา) มีสามีภรรยาชาวไทยคู่หนึ่งที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน สามีทำงานบริษัทสำรวจขุดเจาะน้ำมันในต่างประเทศ ภรรยาอยู่เมืองไทยดูแลลูกอยู่ ช่วงเวลาวันหยุดเขาบินมาเที่ยวต่างประเทศกับสามี


เรื่องสามีภรรยาที่ต้องอยู่กันคนละที่ด้วยเหตุผลเรื่องของงาน...มีตัวอย่างของคนรอบข้างให้เห็นหลายคู่ พวกเขาสามารถมีชีวิตสมรสที่มีความสุขแม้จะมีรูปแบบที่ไม่เหมือนคู่สมรสอื่นก็ตามที การมีชีวิตสมรสคือการเสียสละเพื่อความสุขของคนสองคน ไม่ใช่การแสวงหาความสุขของใครคนใดคนหนึ่งตามลำพัง ถ้าคนๆหนึ่งยังนึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง....มีโลกส่วนตัวสูง...ดีแต่เรียกร้องเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง....ชีวิตสมรสอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมนัก


กรุ๊ปทัวร์ที่เราไปด้วยมีไกด์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เธอชื่อ Mensure ออกเสียงว่า "เมน-ซู-เร" (นกเขียนคอมเม้นท์เอาไว้ในหัวข้อก่อนหน้านั้นว่าไม่ถ่ายภาพสาวตุรกีไว้บ้างหรืออย่างไร? ผมขอตอบคำถามภายในพื้นที่วงเล็บนี้ว่า "สาวตุรกีที่เจอ...พวกเธอมีนัยน์ตาที่คมแต่ออกจะเจ้าเนื้อไปหน่อย อาจจะเป็นเพราะอาหารตุรกีมีส่วนผสมของแป้งมากไปหน่อย ถ้าเปรียบกับสาวรัสเซียที่ไปเจอมา ผมว่าสาวรัสเซียดูสวยกว่า นัยน์ตาคม รูปร่างดูดีกว่า)

เมนซูเรเป็นผู้หญิงอารมณ์ดี ออกจะเจ้าเนื้ออยู่สักหน่อย เธอผูกเรื่องธรรมดาๆกลายเป็นเรื่องตลกให้เราขำได้ระหว่างที่เธอบรรยายสถานที่ต่างๆ


ที่เขาเรียกเส้นทางที่เราไปว่า Green Zone เพราะว่าในเขต Cappadocia ส่วนใหญ่จะอากาศแห้งๆ มีภูเขาที่เป็นหิน แต่ย่านที่เราเดินทางไปเที่ยววันนั้นมีต้นไม้สีเขียวๆ เป็นช่วงหุบเขา ข้างทางมีการปลูกผักหลายอย่าง เมนซูเรบอกว่ามันฝรั่งที่เราทานกันเป็นผลผลิตจากตุรกี

สถานที่แรกซึ่งเราไปถึงคือ Derinkuyu เมืองบาดาลที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลก อากาศข้างล่างหนาวเย็น ทางเดินแคบและเพดานเตี้ยมาก






เมนซูเรบอกกับพวกเราว่า...ยิ่งเดินลงไปเพดานก็จะเตี้ยลงมาเรื่อยๆ ทางเดินแคบๆแบบนั้น...ทำให้พวกเราต้องหยุดรอให้กรุ๊ปทัวร์อื่นเดินนำหน้าไปก่อนหรือเดินสวนกลับมา เพราะจุดพักเป็นที่พอจะหลบเบี่ยงกันได้...ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้




ภายในเมืองบาดาลแห่งนี้...นอกเหนือจากจะมีห้องครัว ห้องเก็บไวน์ โบสถ์แล้ว ยังเป็นที่ฝังศพของมนุษย์สมัยโบราณ รูปนี้ถ่ายออกมาแล้วก็งงๆว่ามันมีจุดขาวๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในขณะที่ถ่ายภาพนี้ (เคยเห็นภาพที่มีจุดขาวๆแบบนี้ในภาพของคนที่รู้จัก เขาบอกว่าเป็นดวงวิญญาณที่ปรากฏในรูป มีเรื่องเล่ากันว่าภายหลังปรากฏการณ์สึนามิที่ภูเก็ต มีคนถ่ายภาพบริเวณหาดป่าตองแล้วเจอจุดขาวๆในรูปเยอะแยะเลย---อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองครับ---)




เราต้องคอยหยุดรอให้อีกกรุ๊ปเดินขึ้นลงบันไดแล้วพวกเราจึงเดินออกจากจุดนั้น





ภายในห้องเก็บไวน์





ออกจากเมืองบาดาล...เราก็เดินทางไป Ilhara Valley ช่วงรถบัสขับผ่านเส้นทางโค้งมองเห็นแนวต้นไม้สีเขียวๆบนภูเขา เป็นความเบิกบานใจอย่างยิ่ง เราเดิน hiking ระยะประมาณ 4 กิโลเมตรเลียบแนวหุบเขา บริเวณ Ilhara Valley ทำให้เราเห็นแนวหุบเขาที่เกิดจากการกัดเซาะของลมและสายน้ำ





สองข้างทางที่เดินไปมีต้น Poplar ต้นมะกอก เห็นเป็นระยะๆ เราเดินไปตามแนวลำธาร











ในระหว่างที่เดินไฮกิ้งได้มีโอกาสสนทนากับครอบครัวญี่ปุ่นครอบครัวหนึ่ง คุณป้ารายหนึ่งเป็นคนที่ชิซูโอกะแต่ย้ายมาอยู่โตเกียวแล้ว แต่น้องสาวเขายังอยู่ที่จังหวัดชิซูโอกะ ลูกสาวเขาแต่งงานกับคนตุรกี หลานชายมาเดินไฮกิ้งด้วย หลานชายเกิดในตุรกีสามารถพูดได้ทั้งภาษาตุรกีและภาษาญี่ปุ่น ได้สนทนากันเรื่องการเดินชมความงามธรรมชาติในญี่ปุ่น

ผมออกจะอิจฉาคนญี่ปุ่นที่มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ผู้คนในวัยต่างๆเดินไฮกิ้งกัน แม้แต่โตเกียวก็ยังมีเขตธรรมชาติที่อยู่นอกเมืองให้ผู้คนไปเดินชมความงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ผิดกับกรุงเทพฯที่ไม่ค่อยมีใครสนใจจัดสร้างธรรมชาติแบบนี้ให้ผู้คนได้ไปสัมผัสธรรมชาติใกล้ตัว....มีแต่ป่าคอนกรีตและห้างสรรพสินค้าหลอกล่อให้คนไปเสียเงิน สัมผัสอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศแทนที่จะเป็นธรรมชาติที่ช่วยขัดเกลาอารมณ์ผู้คนให้สงบเย็น


อาหารกลางวันเราทานกันที่ร้านอาหารที่เป็นจุดพัก ระบบการให้บริการของร้านอาหารของที่นี่แปลกดี อาหารรวมอยู่ในค่าทัวร์แล้วแต่ค่าเครื่องดื่มแยกต่างหาก ใครดื่มอะไรก็จ่ายตามนั้น


ตอนบ่ายเราไปยังบริเวณ Pigeon Valley ที่เขาเรียกว่าเป็นหุบเขานกพิราบก็เพราะว่านกพิราบชอบมาทำรังกันที่นี่ มีนกพิราบบินเข้ามาในเฟรมรูปนี้เป็นเครื่องหมายว่า...ที่นี่เป็นดินแดนหุบเขาของเหล่านกพิราบจริงๆ






บริเวณต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆจุดชมวิวมีคนเอา Lucky eye มาผูกเอาไว้กับต้นไม้ ผู้คนที่เอาดวงตาโชคดีมาผูกไว้กับต้นไม้นี้เพราะเชื่อว่า...ดวงตาสีฟ้านี้ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายและนำสิ่งดีๆมาสู่ชีวิตของพวกเขา





มีคนทำของที่ระลึกจากปูนปาสเตอร์เป็นรูปภูเขาหินรูปร่างเหมือนเห็ดสัญลักษณ์ของคัปปาโดเกียออกมาขายแก่นักท่องเที่ยว





เห็นดอก hollyhock นึกถึงบรรยากาศฤดูร้อนในญี่ปุ่น...ซึ่งจะเห็นดอกชนิดนี้ชูดอกสีบานเย็น สีขาว ให้เห็น







ไปปีนป่ายเขาตอนบ่ายเพื่อไปชมบรรยากาศถ้ำและแนวภูเขาไฟที่อยู่ไกลออกไป วันนั้นอากาศดีพอจะเห็นยอดภูเขาไฟที่โผล่ออกมาจากยอดเขาที่เราเห็น






ก่อนจะกลับที่พัก...รถแวะเติมน้ำมัน ได้แวะเข้าไปในปั๊มน้ำมัน เห็นเครื่องดื่มให้พลังงานยี่ห้อ "กระทิงแดง" ขายในร้านสะดวกซื้อ ออกจะภูมิใจที่แบรนด์ไทยสามารถมาผงาดในต่างประเทศ


ตอนเย็นเฝ้ามองดวงอาทิตย์ตกดิน...จากที่พัก





ทุกครั้งที่มอง Rose Valley จากโรงแรมก็มักจะได้มุมเดิมๆ ......


มองขึ้นไปบนเนินที่อยู่เหนือโรงแรมที่พัก...ตัดสินใจลองปีนเนินเขานั้นขึ้นไปเพื่อได้ภาพมุมใหม่ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกก็คือ...มันไม่ง่ายเลยเพราะแนวหินปูนนั้นทั้งชันแล้วก็ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวนัก แถมลื่นอีกต่างหาก

บอกกับตัวเองว่า "อย่าหาเรื่องเสี่ยงเลย ถ้าตกลงมาแล้วกลิ้ง...คงได้แผลแน่ๆ"

เลือกตำแหน่งที่พอจะปีนขึ้นไปได้ ไม่หวาดเสียวจนเกินไป สุดท้ายก็มายืนบนเนินสำเร็จ แล้วภาพที่มองลงมาก็ได้มุมที่แตกต่างจากทุกวัน สามารถมองเห็นดาดฟ้าของโรงแรมที่พัก มุมกว้างของ Rose Valley ที่ไม่มีอะไรบังอีกต่อไป


ได้คำตอบกับตัวเราเองว่า...

ถ้าเราเลือกที่จะมองอะไรด้วยมุมมองใหม่ๆ...เราก็จะหลุดจากกรอบเดิม...แล้วเห็นอะไรที่แปลกใหม่ออกไป





 

Create Date : 18 ตุลาคม 2552    
Last Update : 18 ตุลาคม 2552 23:06:19 น.
Counter : 1726 Pageviews.  

Göreme Open Air Museum, Cappadocia

จากที่พักเดินออกไปหลายกิโลเมตรเป็นที่ตั้งของ Göreme Air Museum สถานที่แห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งในตุรกีได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก เป็นความภูมิใจที่น่าหวงแหนและรักษาเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้ชื่นชมสิ่งที่เป็นมรดกโลกของมวลมนุษยชาติ

อากาศตอนที่เราไปเที่ยวที่ Göreme Air Museum ร้อนมาก แดดแรงแต่มันไม่ร้อนชื้นอย่างในญี่ปุ่น ก็ยังพอเดินได้แต่หิวน้ำมาก แล้วพลอยทำให้เกิดแผลร้อนในภายในช่องปากได้ง่าย เพราะพอรู้สึกร้อนมากๆเอาน้ำลูบตัว...เพราะไม่อยากเกิดอาการ Overheat สุดท้ายได้แผลร้อนในภายในช่องปากเป็นของแถม


ซื้อบัตรผ่านประตูเข้าไป ซึ่งเขาทำเป็นเครื่องสอดบัตรคอยครวจบัตรที่นักท่องเที่ยวเสียบเข้าไปในช่อง ตอนที่เดินเข้าไปเห็นกรุ๊ปทัวร์หน้าตาเหมือนคนในเขตอาเซียนเดินเข้ามาในเวลาใกล้เคียงกัน พูดคุยกันเลยรู้ว่าพวกเขาเดินทางมาจากอินโดนีเซีย

Apa ka ba? (How are you?)

Baik (I am fine.)



บริเวณทางเข้ามีเขาที่เจาะเป็นช่องๆแบบนี้ให้เห็น





ค่อยๆเดินขึ้นเนินเพื่อชมภายใน








บริเวณภูเขาข้างๆที่เขาเจาะเป็นช่องๆไว้เป็นรังของนกพิราบ แล้วนกพิราบก็ถ่ายมูลลงไปเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้แถวนี้ต่อไป มองจากโบสถ์สมัยโบราณของมนุษย์ที่สร้างขึ้นมามองเห็นแนวภูเขาที่อยู่ไกลออกไป มีกลุ่มต้นมะกอก ต้น Poplar ที่มีใบสีเขียวๆสลับกับแนวหินและภูเขาที่ถูกสายลมกัดเซาะ






เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ดังนั้นจึงมีกรุ๊ปทัวร์ที่มีลูกทัวร์จากหลายๆประเทศเดินทางมาชมความงามภายในถ้ำที่ครั้งหนึ่งในอดีตเป็นโบสถ์เผยแพร่ศาสนาคริสต์ เป็นห้องครัวที่ใช้ทำอาหารซึ่งมีคราบเขม่าจับอยู่บนเพดานให้เห็นจนถึงปัจจุบัน หรือบางแห่งเป็นหลุมฝังศพมนุษย์โบราณในอดีต

ด้านหน้าของแต่ละถ้ำมักจะมีป้ายอธิบายความสำคัญของแต่ละที่เป็นภาษาตุรกี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน





น่าชื่นชมที่ตุรกีเขาให้ความสำคัญแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วยการจัดให้มีแผ่นป้ายอธิบายความสำคัญของแต่ละที่ด้วยภาษาต่างประเทศถึง ๓ ภาษา เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวสถานที่เหล่านี้ด้วยตนเอง สามารถรับรู้ว่าสถานที่แต่ละแห่งมีความสำคัญอย่างไรด้วยการอ่านแผ่นป้ายเหล่านั้นด้วยตนเอง


การที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากันมาก...เพื่อความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ มารยาทของไกด์จะอธิบายให้ลูกทัวร์กรุ๊ปตัวเองฟังสถานที่ละ ๓ นาที แล้วเปิดโอกาสให้กรุ๊ปทัวร์อื่นที่ตามมาเข้าชมภายในถ้ำกันบ้าง

ตอนเรารอจะเข้าไปชมภายในโบสถ์แอปเปิล มีกรุ๊ปทัวร์สเปนที่ไกด์เขาปรารถนาดีกับลูกทัวร์....เขาอธิบายสิ่งต่างๆภายในถ้ำให้ลูกทัวร์ฟังอย่างละเอียด เพื่อลูกทัวร์จะได้เพลินและซาบซึ้ง แต่ว่า...มีกรุ๊ปทัวร์อื่นรอคิวจะเข้าถ้ำอยู่อีกหลายกรุ๊ป หลังจากที่รอนานกว่า ๘ นาทีกรุ๊ปทัวร์อิตาเลียนก็หมดความอดทน...ไกด์กรุ๊ปลูกทัวร์อิตาเลียนเขาเอ็ดตะโรใส่เจ๊ที่เป็นไกด์ให้กรุ๊ปทัวร์สเปนว่าคนอื่นเขารอคิวอยู๋ งานนี้เจ๊ทนเสียงต่อว่าไม่ไหว...เลยพาลูกทัวร์เดินออกจากถ้ำ


ภายในถ้ำมีภาพวาดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เทวดาที่ระบุเอาไว้ในศาสนา





ได้ฟังคำอธิบายจากไกด์ว่าสีสันของภาพวาดในถ้ำต่างๆภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้....ถูกวาดขึ้นในสมัยย้อนหลังไปคริสศตวรรษที่ ๗ โดยคนสมัยโบราณเอาวัสดุจากธรรมชาติ เช่น เมล็ดผลไม้ เปลือกไม้ชนิดต่างๆ มาระบายสีสันและลวดลายต่างๆภายในถ้ำ






เพราะศรัทธาในศาสนา ผู้คนเลยนำความศรัทธามาสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับศาสนา





บริเวณที่เป็น Black Chapel เขาคิดค่าเข้าชมเพิ่มเติมจากค่าบัตรผ่านประตู คนละ ๘ เตอร์กีสลีร่าร์ (อยากรู้ว่าเป็นเงินกี่บาท เอา ๒๒ บาทคูณเข้าไปครับ )





พอเข้าไปภายใน...เราถึงรู้ว่าทำไมเขาขอเก็บเงินเพิ่ม?








ภาพภายในถ้ำยังสมบูรณ์แบบอยู่นั่นไง


เดินเลยจาก Black Chapel ไปนิดนึงก็เห็นมุมสวยๆมุมนึง ภาพที่มองจากตาเปล่ามันดูสวยงามทีเดียวเพราะมันได้แนวลึกที่สวย แต่พอมองจากกล้องซึ่งไม่มีการดัดแปลงสัดส่วนของรูปที่มองผ่านเลนส์ มันให้ความรู้สึกที่ต่างจากมองด้วยตาเปล่า ซึ่งตาของคนเราสามารถดัดแปลงสัดส่วนของภาพตามความพอใจได้




จากมุมนึง....มองออกไปเห็นแนวภูเขาและที่ราบที่อยู่ไกลๆออกไป





สมัยก่อนเวลาถ่ายภาพ...มักจะเอาหน้าตัวเองอยู่ในภาพเสมอ แต่ระยะหลังๆพอเดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ กลับพบว่าบางภาพการไม่มีคนอยู่ในภาพมันทำให้ภาพดูสวยกว่า ธรรมชาติบางครั้งปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นดูดีกว่า สวยกว่า ระยะหลังๆ...จึงถ่ายภาพเน้นธรรมชาติอย่างที่เป็นมากกว่าจะเอารูปคนใส่เข้าไปเพื่อเป็นองค์ประกอบของภาพ


ลองเปรียบเทียบดูว่าระหว่างมีรูปผู้ชายคนนี้กับภาพข้างบนภาพไหนมันน่าสนใจมากกว่ากัน (โพสท์ท่านี้...ผมจำมาจากรายการทีวีสมัยอยู่ญี่ปุ่น ท่านี้ช่วยทำให้คนใบหน้ากลมๆดูเล็กลง...มีคนบอกอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆรูปนี้ข้าพเจ้าผิวดำปี๋เลย )








บริเวณที่เป็นห้องอาหารของมนุษย์สมัยโบราณ หน้าตาแบบนี้ครับ





ตอนนั้น...ลูกแอปปริคอทเริ่มสุกบ้างแล้ว เห็นแล้วพลอยนึกถึง อุเหมะ (梅) ที่ออกดอกต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วพอดอกร่วงหล่นก็จะมีผลแบบนี้ที่คนญี่ปุ่่นเอาไปแช่กับเหล้าสาเกออกมาขายเป็นอุเมชู (梅酒)ถ่ายภาพผลแอปปริคอทในเมืองคัปปาโดเกียเก็บไว้เป็นที่ระลึก ใครเห็นแล้วอยากกินบ้างครับ ยกมือขึ้น







เลยบริเวณทางออกของพิพิธภัณฑ์ก็มีถ้ำที่เราแวะเข้าไปดูก่อนจะเดินทางกลับ มีภาพสวยๆที่ถ่ายภาพเก็บเอาไว้






เดินกลับมาถึงที่พักแล้วชมบรรยากาศเมืองคัปปาโดเกียยามพลบค่ำจากที่พัก มองเห็น Rose Valley ที่อยู่ไกลออกไป







 

Create Date : 14 ตุลาคม 2552    
Last Update : 17 ตุลาคม 2552 20:11:23 น.
Counter : 1493 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.