|
First day in Istanbul
ระหว่างที่นั่งเครื่องบินมีอดีตรองผู้กำกับการตำรวจที่เมือง Izmir นั่งข้างๆเรา เขาอยากสนทนากับเรา เขาออกตัวว่าภาษาอังกฤษของเขาไม่ดีนัก ดังนั้นเวลาสนทนาด้วยต้องพยายามใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่ยากเกินไปในการสนทนา..
อยู่ดีๆแอร์โฮสเตสก็มาถามว่าคุณช่วยไปพูดให้ผู้โดยสารญี่ปุ่นให้หน่อยได้ไหม? ก็ลุกไปเจอผู้โดยสารที่เขาพูดถึง...พอเจอหน้าก็รู้เลยว่าเป็นคนจีน สองคนนี้คงไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ เขากรอกฟอร์มต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ บางทีในสายตาของแอรโฮสเตสตุรกีคงคิดว่าคนเอเชียที่เดินทางมาเที่ยวต่างประเทศคงมีแต่คนญี่ปุ่นกระมัง? อาจจะโชคดีที่พอจะสนทนาด้วยภาษาจีนกลางอย่างง่ายๆได้บ้าง ผมเลยสอบถามสองหนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่เรื่องรายละเอียดที่จะกรอกในฟอร์มแล้วช่วยเขากรอกฟอร์มของสายการบิน
พอเครื่องบินบินใกล้ถึงสนามบินอาร์ตาเติร์ก แอร์โฮสเตสพยายามบังคับให้ผู้โดยสารรายหนึ่งกรอกแบบฟอร์ม เรื่องนี้สอนให้รู้ว่ายังมีคนยุโรปอีกจำนวนมากก็ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเพราะประเทศเขาไม่เคยใช้ภาษาอังกฤษ แอร์โฮสเตสไม่ยอมแพ้รบกวนผู้โดยสารที่นั่งข้างๆให้ช่วยอธิบายให้ผู้โดยสารรายนั้นกรอกฟอร์มก่อนถึงสนามบิน
เพราะเครื่องบินออกจากมอสโคว์ล่าช้าผลตามมาก็คือมาถึงสนามบินอาร์ตาเติร์กล่าช้าไป ๑ ชั่วโมงกว่า คนจะไปต่อเครื่องบินภายในประเทศก็เลยรีบร้อนกัน
ที่สนามบิน...เขามีเครื่องมือเทอร์โมสแกนวัดอุณหภูมิว่าผู้โดยสารที่เข้ามาตุรกี...ใครบ้างมีโอกาสแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ๋ ๒๐๐๙ ผิดกับที่รัสเซียไม่เห็นเขาจะเข้มงวดเรื่องแบบนี้เลย
มีรถแท็กซี่ที่โรงแรมที่พักส่งมารับที่สนามบิน...คนขับพอพูดภาษาอังกฤษได้แต่เขาก็ติดปัญหาที่จะอธิบายคำถามบางเรื่องเป็นภาษาอังกฤษได้
มาถึงโรงแรมเปิดทีวีดูข่าว...พึ่งทราบว่า ไมเคิล แจ๊คสัน เสียชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกันวันที่เราเดินทางมาถึง...สหรัฐเตรียมถอนทหารออกจากอิรัก
เช้าแรกที่อิสตันบูล...ทานอาหารเช้าบนเทอเรสของโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้ชายทะเล มีนกนางนวลบินไปมาหรือมาเกาะใกล้ๆกับโรงแรม มองออกไปทะเลที่อิสตันบูลดูสวยงาม อีกด้านสามารถมองเห็น Blue Mosque และธงชาติตุรกีโบกสะบัด
จากที่พักเดินไปไม่ไกลก็ถึง Blue Mosque พอเดินเข้าไปภายในมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังถ่ายภาพลวดลายต่างๆภายใน Blue Mosque
เดินออกมาด้านข้างแล้วเก็บภาพอีกมุมนึง
ยืนถ่ายภาพด้านหน้า Blue Mosque ในช่วงที่ทัวร์ต่างๆกำลังพาลูกทัวร์มาชมความงามของสถานที่ท่องเที่ยวย่านนี้ คนคราคร่ำทีเดียว...หยุดรอให้คนซาแล้วก็ถ่ายภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึก อากาศที่นี่ร้อนกว่ารัสเซีย..แจ๊คเก็ตเลยไม่จำเป็นแต่ว่าผิวเราก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแทนเรื่อยๆ
ฝั่งตรงข้ามกับ Blue Mosque เป็น Haghia Sophia แดดกำลังจัดจับยอดโดมเลย
เดินไปไม่ไกลก็มาถึงสระใต้ดิน Byzantie Basilica Cistern อากาศภายในเย็นยะเยือก
ภายในมีรูปปั้นเมดูซ่าด้วย มีตำนานเล่าว่าเธอเคยเป็นหญิงสวยแต่ถูกสาปให้มีผมเป็นงู พอมีคนมาเห็นเธอ...เธอก็เกิดอาการอับอาย ดังนั้นเธอจึงสาปให้คนที่มาเห็นเธอกลายเป็นหิน แต่ตอนนี้ผมมาเห็นเมดูซ่ากลายเป็นหินแล้ว...รอดตัวไป
เดินเข้าไปชมภายใน Haghia Sophia ภายในมีภาพวาดตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๓ เป็นภาพโมเสกเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา แต่เสาต่างๆกลับมีสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม ตุรกีเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ในอดีตซึ่งชนเผ่าที่เข้ามารุกรานก็ทำลายอารยธรรมของกลุ่มชนที่อยู่ก่อนแล้วเอาอารยธรรมของตัวเองเข้ามาเผยแพร่แทน สร้างสิ่งปลูกสร้าง ภาพวาด ทับของเดิม
ภาพวาดโมเสกนี้ลอกจนเหลือเท่าที่เห็นเป็นภาพวาดที่ย้อนไปถึงศตวรรษที่ ๑๓ ผมพยายามรอนักท่องเที่ยวรายนี้เมื่อไหร่เขาจะออกจากเฟรมรูปที่ผมจะถ่ายเสียที รอแล้วรออีก...เฮียแกก็ไม่เลิกถ่ายเสียที สุดท้ายก็คิดว่าถ้ามีรูปเฮียแกติดด้วยในภาพที่เราถ่ายออกมาก็เป็นรูปเก๋ๆอีกแบบที่อธิบายได้ด้วยตนเองด้วยภาพ
ภาพนี้เป็นภาพที่สมบูรณ์ของรูปวาดโมเสกข้างบน
เสาและลวดลายบนหัวเสาดูลวดลายแปลกตาและสวยงามดี
ทางเดินชั้นสองภายในวิหารฮาเกียโซเฟีย
โถหินใส่น้ำโบราณที่เขาตั้งเอาไว้ชั้นล่าง
ใช้เวลาที่นี่จนถึงเวลาที่ควรจะทานข้าวกลางวันแล้ว...เดินไปหาอาหารกินย่านใกล้ๆ ดูเหมือนคนตุรกีเป็นคนช่างพูด ช่างคุย เขาต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างดี เรานั่งสั่งอาหารอยู่...บ๋อยก็เข้ามาชวนพูดชวนคุยด้วย ประโยคคำถามยอดนิยมคือ
Where are you from?
Japan?
No
Korea?
No
China?
No
Where are you from?...
THAILAND
Oh! Thailand!!!!
บางทีนานๆจะมีคนไทยมาเที่ยวที่นี่กระมัง???? เวลาเจอหน้าคนเอเชียตะวันออกพลอยจะนึกถึงญี่ปุ่น ไม่งั้นก็เกาหลี หรือว่า จีน มากกว่าจะคิดว่าเป็นคนไทย
บรรยากาศที่นี่ต่างจากรัสเซีย คนส่วนใหญ่ที่เจอที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เขายิ้มแย้มทักทายเชื้อเชิญนักท่องเที่ยว และรู้จักขายของเป็น
อาหารกลางวันมื้อแรกเป็นสปาร์เก็ตตี้นโปลี...มีขนมปังเหมือน nan ที่ใช้ทานกับแกงอินเดียมาให้ทานเล่นๆด้วย กว่าเขาจะทำเสร็จใช้เวลานานทีเดียวแต่รสชาติอร่อยสมกับการรอคอย
เดินทางต่อไปด้วยรถรางไป Dolmabahçe Palace ประตูทางเข้าวังมีทหารยืนตัวตรงตากแดดแบบนี้ผลัดละชั่วโมง ทหารที่มายืนที่นี่เขายืนนิ่งไม่มีอาการหยุกหยิกไปไหน ถ้าเขาไม่กะพริบตาก็อาจจะคิดว่าเป็นหุ่นยนต์ มีนักท่องเที่ยวมายืนถ่ายรูปด้วยจำนวนหลายๆคน บางคนก็แกล้งทำมือทำไม้ต่อเขาหรือโชว์ท่าแปลกๆแต่ทหารก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่านี้
ภายในวังเขาจัดไกด์ภาษาแต่ละภาษาเป็นรอบๆอธิบายความหมายของห้องภายในแต่ละห้อง เขาห้ามถ่ายภาพภายใน ถ้าจะบรรยายแทนรูปภาพก็จะบอกว่าภายในห้องต่างๆดูงดงามมาก หรูหรา สง่างาม คุ้มค่ากับการเข้าชม พี่ชายผมบอกว่าวังที่นี่ดูแล้วสวยกว่าบรรดาวังต่างๆที่เคยไปชมมาในยุโรปหลายๆประเทศ ดังนั้นบรรดาคนที่เคยไปยุโรปหรือว่าตอนนี้อยู่ในเขตยุโรปลองหาโอกาสเข้ามาชม Dolmabahçe Palace แล้วลองเปรียบเทียบดูครับ
ห้องต่างๆดูโอ่โถง อาร์ตาเติร์กนอนตายที่ห้องนอนภายในวังนี้ด้วย (Atatürk เป็นใคร เอาไว้อธิบายในเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาร์ตาเติร์กในตอนต่อๆไปครับ)
ภายในวังจะมีส่วนที่เป็นฮาเร็มด้วย เรารอรอบที่เขาเปิดให้ชมภายในฮาเร็มด้วย ระหว่างนั้นเห็นดอก อากังปัสสึ ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาเดียวกันในญี่ปุ่นซึ่งจะเห็นดอกสีม่วงๆเป็นช่อขึ้นมาให้เห็นแบบนี้
โชคไม่ดีตรงที่รอบสุดท้ายที่เขาให้ชมฮาเร็มเขาบรรยายเป็นภาษาตุรกี เราก็ฟังไกด์เขาอธิบายเป็นภาษาตุรกีแต่ไม่เข้าใจเลย ได้เห็นบรรยากาศภายในฮาเร็มที่มีห้องต่างๆของบรรดาผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ในอดีตและแม่ของสุลต่านก็อยู่ที่นี่ด้วย
ออกจากฮาเร็มก็มีหนุ่มสาวตุรกีคู่หนึ่งขอให้ถ่ายภาพให้เขาหน่อย เราเล็งมุมที่ไม่มีแสงแดดมาส่องให้เงาเกิดขึ้นบนใบหน้าและเลือกมุมที่องค์ประกอบลงตัว เขาพอใจภาพที่เราถ่ายให้ เขาเชื้อเชิญให้แฟนเขาถ่ายกับเราและตัวเขาถ่ายกับเราด้วย รู้สึกประหลาดใจ...แต่ก็เป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในการเดินทางในต่างแดน
Dolmabahçe Palace อยู่ติดริมทะเล เดินออกมาจนมาเจอมุมด้านหน้าของวัง...เป็นมุมที่น่าสนใจ
ผมมาเจอดอกอาจิไซที่มันบานเต็มที่ในอิสตันบูลทำให้นึกถึงว่าตอนนี้เป็นช่วงเดือนมิถุนายนพอดี เพราะดอกอาจิไซจะบานทั่วเกาะญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนในญี่ปุ่น
อาจิไซมีต้นกำเนิดในญี่ปุ่น มีตำนานรักระหว่างดร.Philips Von Siebolds กับโอทากิที่เกี่ยวข้องกับดอกอาจิไซ ภายหลังจากถูกเนรเทศออกจากญี่ปุ่น...ดร.ซีโบลด์ได้นำดอกอาจิไซติดมือกลับฮอลแลนด์ ทุกครั้งที่ดูดอกอาจิไซก็จะนึกถึงโอทากิภรรยาของตัวเอง ดร.ซีโบลด์ได้เพาะพันธุ์ดอกอาจิไซพันธุ์โอตั๊กกุสะเพื่อระลึกถึงโอทากิ แล้วอาจิไซก็ได้รับการแพร่พันธุ์กระจายไปทั่วยุโรปแต่ฝรั่งก็ไปเปลี่ยนชื่อเป็น "ไฮดรานเยีย" แทน
ทานอาหารเย็นเป็นข้าวราดแกงสไตล์ตุรกี มีความรู้สึกว่าอาหารตุรกีทานง่ายกว่าอาหารยุโรปเยอะเลย ไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเท่าไหร่นัก...เพราะอุดมไปด้วยคลอเรสเตอรอลซึ่งไม่ดีต่อร่างกาย
ตอนค่ำมีโอกาสได้ไปชมระบำหมุนตัวของตุรกีที่ชื่อว่า Dervish ที่ Press Museum จับจองพื้นที่ด้านหน้าเพื่อเก็บภาพสวยๆตอนที่เขาหมุนตัว
เขาฝึกมาดี ดังนั้นหมุนตัวไปกี่รอบก็ไม่มีอาการเซ เดินงงไปงงมาให้เห็น
การแสดงเลิกตอน ๒ ทุ่ม เดินกลับมาที่ Sultanahmet ได้ภาพ Haghia Sophia ตอนพลบค่ำเป็นของที่ระลึก
ภาพ Blue Mosque ตอนพลบค่ำ
เลยสามทุ่มแล้วถึงจะได้ภาพ Blue Mosque แบบนี้
ราตรีสวัสดิ์ อีสตันบูล!!!!
Create Date : 25 กันยายน 2552 |
Last Update : 26 กันยายน 2552 20:53:53 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1646 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กอล์ฟ IP: 82.217.176.191 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:0:07:56 น. |
|
|
|
โดย: chompu IP: 118.172.174.169 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:7:22:13 น. |
|
|
|
โดย: yin IP: 114.128.76.224 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:8:43:50 น. |
|
|
|
โดย: qoomaew IP: 118.172.182.50 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:8:13:56 น. |
|
|
|
โดย: Nok IP: 118.172.184.251 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:15:24:11 น. |
|
|
|
โดย: Nok IP: 118.172.184.251 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:15:31:17 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:18:57:10 น. |
|
|
|
โดย: เอ๋ IP: 10.1.1.21, 58.137.125.180 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:15:13:57 น. |
|
|
|
| |
|
|
นึกภาพตอนกรุงเทพฯฝนตก ติดแหงกบนถนนออกค่ะ ... ที่นี่ใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสี หมอกตอนเช้าเยอะขึ้น เลยนึกถึงเพลงพี่เบิร์ดล่ะค่ะ
อิสตันบูลมีอะไรน่าสนใจเยอะนะคะ เคยดูสารคดี อ่านหนังสือเกี่ยวกับพวกสถาปัตยกรรมก็มีอะไรน่าไปดูเยอะ แต่คนที่นี่ไปตุรกีกันเยอะ จนบางทีทำให้ไม่อยากไป ... แต่ไม่แน่ถ้ามาอ่านที่คุณชีวประภาเขียนอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ค่ะ