ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 

When I flied with balloon in Cappadocia

เรานั่งแท็กซี่จากที่พักไปสนามบินอาร์ตาเติร์กเพื่อเดินทางไป Nevsehir ใช้เวลาเดินทางราวๆ ๑ ชั่วโมงกว่าก็มาถึง อากาศที่นี่ร้อนแห้งๆมากกว่าที่อีสตันบูล มองออกไปไม่ค่อยเห็นต้นไม้เขียวๆนัก ที่สนามบิน Bakir เจ้าของโรงแรมที่เราจองไว้เดินทางมาพร้อมกับพนักงานของโรงแรมที่ชื่อ Ali เขาถือป้ายชื่อพี่ชายผมไว้ เราเดินไปขึ้นรถตู้ Mercedez ที่เขาขับรถพาเราไปยังโรงแรมที่อยู่ในเขต Goreme ใช้เวลาเดินทางราวๆ ๔๐ นาทีก็มาถึง The Cave Traveller Hotel

โรงแรมแห่งนี้ได้รับคำแนะนำไว้ในหนังสือ Lonely Planet บรรยากาศของโรงแรมเขาจัดไว้ได้สวยงามลงตัว พนักงานของโรงแรมมีไม่กี่คนแต่อัธยาศัยดี ทักทายกับแขกที่มาพักอย่างเป็นกันเอง





ห้องที่เราพักอยู่ชั้นล่าง เขาตบแต่งบรรยากาศของที่พักเหมือนถ้ำเพื่อเข้ากับบรรยากาศของ Cappadocia ที่มีลักษณะเหมือนเป็นถ้ำที่คนสมัยโบราณอาศัยอยู่





สภาพภายในห้องพัก....น่านอนเล่น หลับพักผ่อนใช่ไหม?





อาหารมื้อแรกที่ได้ทานที่นี่ ผมสั่ง Kofte มาลองทานดู เพราะ Inflight magazine ที่อ่านในระหว่างนั่งเครื่องบินมา เขาพูดถึงอาหารพื้นเมืองชนิดนี้ รสชาติเป็นอย่างไรก็เลยลองสั่งมาทานดู






ทานแล้วรสชาติเหมือนหมูยอบ้านเราเพียงแต่เขาใช้เนื้อวัวผสมในเนื้อที่ใช้ทำ Kofte


ได้คุยกับพนักงานในโรงแรมถึงโปรแกรมทัวร์ในเขต Cappadocia ซึ่งเราจะไปทัวร์ร่วมกับลูกทัวร์คนอื่นที่พักโรงแรมอื่น เราถามเขาเรื่องการขึ้นบอลลูนชมความงามของตัวเมือง Cappadocia เขาเสนอราคาบอลลูนที่ถูกกว่าที่อื่น บริษัท Ballon Voyage ที่เราจะไปขึ้นเป็นของบริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เท่าที่ทราบเจ้าของบริษัทเป็นคนกรีซ อัตราค่าขึ้นบอลลูนต่อคนอยู่ที่ 110 Euro แต่ว่าบอลลูนจะถูกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าตอนเช้า โดยรถตู้จะมารับเราที่หน้าโรงแรมตอนตี ๕!!!!!

นั่นหมายความว่า....เราต้องตื่นกันตั้งแต่ตี ๔ กว่าๆ


แต่เพื่อได้ชมความงามของเมืองคัปปาโดเกียจากบอลลูน ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต....เราก็จำเป็นต้องตื่นนอนตั้งแต่เช้า


จากโรงแรมสามารถมองเห็นตัวเมือง Cappadocia และแนวเขา Rose Valley ที่ทอดตัวออกเป็นแนวเห็นได้ไกลๆ





วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้า จัดการเรื่องต่างๆเรียบร้อยแล้วก็สวมแจ๊คเก็ตเพราะอากาศตอนเช้า โดยเฉพาะข้างบนตอนขึ้นบอลลูนน่าจะเย็น มารอรถตู้ซึ่งมารับเรา แล้วไปรับลูกทัวร์รายอื่นที่พักอยู่โรงแรมต่างๆเพื่อไปขึ้นบอลลูนลูกเดียวกัน มีนักท่องเที่ยวชาวอิตาเลียนชายหญิงที่พักที่เดียวกันออกมาขึ้นบอลลูนพร้อมเรา ผมลืมคำทักทายภาษาอิตาเลียนไปแล้ว

ลองถามเขาเพื่อทบทวนความจำ...

buongiorno!


buongiorno!

อ้อ..คำนี้เอง ติดอยู่นาน คราวนี้ก็พอคุ้นๆคำทักทายอื่นตามมา

Come stai?

bene


น่าเสียดายที่ไม่ได้เรียนแบบจริงจัง...แต่เรียนแบบครูพักลักจำ ก็เลยได้แค่กล้อมแกล้มติดหัวกลับมาเมืองไทย นี่เป็นข้อดีของการไปเรียนหนังสือในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเป็นประเทศซึ่งการเรียนภาษาต่างประเทศเป็นงานอดิเรกที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะเขามีโปรแกรมทีวีและโปรแกรมวิทยุที่สอนภาษาต่างประเทศหลายๆภาษาซึ่งผู้ชมหรือผู้ฟังสามารถเลือกเรียนรู้ได้จากที่บ้าน เพราะมีตำราที่ใช้ประกอบการฟังรายการดังกล่าวขายตามร้านหนังสือทั่วไป


มารอจังหวะที่เขาจะเริ่มปล่อยบอลลูน บอลลูนลูกหนึ่งจะบรรทุกผู้โดยสารได้สูงสุด 15 คน เขาเริ่มปล่อยแก๊สร้อนเข้าไปภายในตัวบอลลูน ในระหว่างที่เขาอัดแก๊สร้อนเข้าไป....เขาก็มีอาหารว่าง น้ำชา กาแฟให้ผู้โดยสารทานที่โต๊ะใกล้ๆกับจุดปล่อยบอลลูน


พอแก๊สร้อนเข้าไปในบอลลูนได้ที่....เขาก็เรียกพวกเราที่ขึ้นบอลลูนลูกเดียวกันทะยอยปีนเข้าไปในตะกร้า

กัปตัน Akin ให้คำแนะนำในการเดินทางไปกับบอลลูน หรือในกรณีลงฉุกเฉิน ผู้โดยสารจะต้องทำอะไรบ้าง

แล้วบอลลูนก็ถูกปล่อยขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ...

เริ่มเห็นภาพที่อยู่ข้างล่างจากมุมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็มีบอลลูนหลายลูกถูกปล่อยในเวลาใกล้เคียงกัน

กัปตันอธิบายให้เห็นว่าสถานที่ต่างๆที่บอลลูนกำลังลอยผ่านชื่ออะไรบ้าง ได้ยินเสียงแก๊สร้อนที่กัปตันอัดเข้าไปในบอลลูนลูกที่เรายืนอยู่ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงบอลลูนลูกอื่นอัดแก๊สร้อนเข้าไปเช่นกัน เขาอัดแก๊สร้อนเข้าไปเพื่อทำให้บอลลูนลอยตัวสูงขึ้น

ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากบอลลูนลูกอื่นที่ลอยมาใกล้ๆ..


ผมบันทึกภาพบอลลูนจากมุมต่างๆจนลืมไปเลย กัปตันขยับตำแหน่งบอลลูนลอยต่ำลงเวลาเข้าใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ แล้วก็อัดแก๊สเข้าไปในบอลลูนเวลาต้องการลอยบอลลูนให้สูงขึ้น การที่บอลลูนลอยสูงขึ้น-ลอยต่ำลงทำให้ผู้โดยสารสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมือง Cappadocia ในมุมต่างๆชัดเจนขึ้น


กัปตันรายงานให้ฟังว่าตอนนี้เขาลอยบอลลูนขึ้นมาถึงระดับ 1,000 Metres ตอนนั้นกัปตันถามผู้โดยสารว่า

Now we are at 1000 metres level, enough?

None replied to captain that he/she wanted to go up

มีแต่เสียงเงียบกริบจากผู้โดยสาร เดาว่าแค่นี้ก็เสียวจะแย่อยู่แล้ว ยอมรับว่าพออยู่สูงมากๆขนาด 1000 เมตร...อาการเสียวเกิดขึ้นมาเหมือนกันครับ ถึงจะไม่เป็นโรคกลัวความสูงก็ตามที


หลังจากลอยอยู่บนท้องฟ้าราวๆ ๕๐ นาที กัปตันก็วิทยุติดต่อกับเจ้าหน้าที่ข้างล่างหาตำแหน่งนำบอลลูนลง เจ้าหน้าที่ที่อยู่พื้นดินจะขับรถบรรทุกตามบอลลูนแล้วหาทุ่งหญ้ากว้างๆเป็นตำแหน่งให้บอลลูนลง เขาเช็กสภาพลมด้วยโดยการโรยเศษหญ้าลง ดูทิศทางลม


พอบอลลูนลอยต่ำลง...เขาก็ค่อยๆดึงเชือกแล้วปล่อยแก๊สออก หลังจากบอลลูนนิ่งถูกยึดเอาไว้กับรถบรรทุกแล้ว เขาก็ค่อยๆให้ผู้โดยสารลงจากบอลลูน


กัปตันเปิดแชมเปญและน้ำองุ่นให้กับผู้โดยสารเป็นการดื่มฉลองประสบการณ์เดินทางโดยบอลลูน แล้วกัปตันก็เขียนชื่อผู้โดยสารแต่ละคนแล้วเขียนชื่อกัปตันลงในใบประกาศนียบัตรประสบการณ์เดินทางโดยสารไปกับบอลลูน หลังจากนั้นก็เป็นการแจกประกาศนียบัตรให้แก่ผู้โดยสารทีละคนเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยขึ้นบอลลูนมาแล้ว


ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับการเดินทางมาตุรกีครั้งแรก อยากแนะนำว่าถ้าใครมีโอกาสแวะมาเมืองคัปปาโดเกีย...น่าจะลองหาโอกาสขึ้นบอลลูนดู...แม้จะต้องถ่างตาขึ้นมาแต่เช้ามากๆก็ตาม


มีสุภาษิตว่า รูปภาพแทนคำพูดนับล้านคำพูด จริงไหมลองดูสไลด์ข้างล่างนี้ดูสิ เป็นอย่างนั้นจริงไหมครับ? (อาจจะต้องรอสักแป๊บในระหว่างที่สไลด์เลื่อนแต่ละภาพ บางทีอาจจะพบว่าสไลด์กลับมาเริ่มภาพแรกใหม่ ให้อดทนรอสไลด์ทำงานรอบใหม่เพื่อจะได้เห็นบรรยากาศความสวยงามของการเดินทางบอลลูนที่บันทึกภาพเอาไว้และนำเอามาลงสไลด์บางส่วนราวๆ ๑๐๐ รูป)




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2552    
Last Update : 7 ตุลาคม 2552 20:03:33 น.
Counter : 1399 Pageviews.  

Topkapi Palace

ตอนเช้ามีโอกาสเดินผ่านบริเวณ Blue Mosque ที่ถ่ายภาพเมื่อคืนก่อน จุดเดียวกันแต่ให้ความรู้สึกต่างกันระหว่างมีแสงแดดกับมีไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน





(เร็วๆนี้มีข่าวรายงานน้ำท่วมในอีสตันบูล บอกกับตัวเองว่าโชคดีที่มาอีสตันบูลตอนปลายเดือนมิถุนายน ไม่อย่างนั้นถ้าน้ำท่วมในขณะที่ท่องเที่ยว..คงทุลักทุเลน่าดู)


เดินจากบริเวณ Sultanahmet ไปยังพระราชวังท็อปกาปือ (Topkapi Palace) ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก (คำว่าไม่ไกลนักมีความหมายว่าระยะทางราวๆ ๗๐๐ เมตรได้ สำหรับคนไม่ชอบเดินอาจจะบ่นว่า...ไม่ไกลอะไร ไกลสุดๆเลย แต่ผมเดินระยะทางไกลๆจนเคยชินแล้วตั้งแต่เด็ก ยิ่งตอนไปอยู่ในญี่ปุ่น อากาศดี เย็นสบายๆ จะไปไหนมาไหนก็เดินเป็นส่วนใหญ่ กลับมาไทยแดดร้อนๆก็ยังชอบเดินแต่รู้จักพักบ่อยกว่าตอนเดินในญี่ปุ่น)

ปากทางเข้ามีป้ายนี้ตั้งอยู่....คิดได้หลายๆอย่างจากภาพในป้าย ที่นี่เขาเอาใจใส่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาก มีหูฟังที่มีคำอธิบายความสำคัญและความหมายของสถานที่แต่ละแห่งเป็นภาษาต่างประเทศร่วม ๑๐ ภาษา เขาพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นประทับใจและอยากกลับมาเยือนใหม่ ขณะเดียวกันเบิ่งตาดูภาษาต่างประเทศไม่ยักกะมีภาษาไทยเลยแฮะ ฤาภาษาไทยหาคนพูดไม่ได้ หรือว่านักท่องเที่ยวไทยมาเที่ยวตุรกีน้อยจนไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนทำเสียงในหูฟังเป็นภาษาไทย





บริเวณทางเข้าเขามีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด




เลือกที่จะเข้าชมภายในฮาเร็มก่อนเข้าชมภายในพระราชวังต่างๆ พอผ่านประตูทางเข้าไปภายในฮาเร็ม ก็เจอลวดลายประดับฝาผนังที่แปลกตา








ภายในมีรูปปั้นจำลองผู้หญิงที่อยู่ในฮาเร็มในอดีต ผู้หญิงชุดเหลืองเป็นผู้หญิงที่อยู่ในฮาเร็ม มีหน้าที่ต้องคอยดูแลแม่ของสุลต่าน เป้าหมายของผู้หญิงที่อยู่ภายในฮาเร็มคือพยายามมีลูกชายเป็นรัชทายาทให้สุลต่าน ถ้าพวกเธอสามารถให้ลูกชายให้แก่สุลต่านก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้านายชั้นสูงในฮาเร็ม

พออ่านคำอธิบายเรื่องราวในฮาเร็มแบบนี้...แล้วรู้สึกหดหู่แทนหญิงสาวในฮาเร็มในอดีต ผู้หญิงถูกตีค่าแค่ให้กำเนิดบุตรเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์





ในห้องหนึ่งภายในฮาเร็ม บนเพดานเขาประดับด้วยกระเบื้องลายสวยงาม มีโคมไฟย้อยระย้าลงมา





ภายในห้องบรรทม






ก๊อกน้ำและอ่างล้างชำระ





เดินออกมาจากกลุ่มอาคารฮาเร็ม เห็นแนวปีกอาคารลวดลายงดงาม





มองจากวังท็อปกาปือออกไปสามารถมองเห็นเมืองอีสตันบูลและท้องทะเลบริเวณช่องแคบ Bosphorus พยายามจะถ่ายภาพนกนางนวลที่กำลังโผบิน พบว่าภาพนี้เป็นเฟรมเดียวที่จับจังหวะนกนางนวลบินในท่าที่ดูดี





เห็นนกนางนวลแล้วพลอยนึกถึงหนังสือ Johnathan Livingston's seagull ของ Richard Bach หลายคนคงเคยอ่านแล้ว เรื่องของนกนางนวลโจนาธานที่ไม่ยอมบินเหมือนอย่างนกนางนวลตัวอื่นๆ

การคิดแตกต่างไม่ใช่เรื่องผิดพลาดเพียงแต่อาจจะดูเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนอื่น มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าผู้คนอยากทำอะไรอย่างมีอิสระ โดยไม่สนใจสายตาของผู้อื่น ตราบเท่าที่สิ่งที่ทำไม่ได้ไปรบกวนใครให้เดือดร้อน แต่บางครั้งผู้คนก็ไม่กล้าคิดและทำในสิ่งที่แตกต่างเพียงเพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมแม้ว่าสิ่งที่คนส่วนมากทำดูไม่เข้าท่าก็ตาม!!!!!

บริเวณภายในพิพิธภัณฑ์ที่เขามีของมีค่าของสุลต่านโชว์เอาไว้เขาห้ามถ่ายภาพ แต่ก็มีคนฝ่าฝืนแอบถ่ายวิดีโอ แต่ยามก็หูตาไวพอ...เขาประกบนักท่องเที่ยวรายนั้น...และสั่งให้เปิดภาพและลบทิ้งเดี๋ยวนี้ เครื่องประดับภายในพิพิธภัณฑ์ดูหรูหรามาก เพชร พลอย ดาบที่ประดับด้วยพลอย ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก

ผมมองเห็นเครื่องประดับมีค่าเหล่านั้น....กลับบอกตัวเองว่าของทุกอย่างเป็นอนัตตา...สุดท้ายมันก็มาตกอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ได้ติดตามสุลต่านไปด้วยเมื่อสุลต่านสิ้นพระชนม์ไปแล้ว

เดินผ่านอาคารหลังหนึ่งลวดลายหลังคาดูสวยงามมากเลยถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก









เดินทางออกจากพระราชวังท็อปกาปือก็นั่งรถรางไปท่าเรือ Eminonu รอเวลาเรือออก อาหารกลางวันฝากท้องเอาไว้กับ Toner ที่ขายหน้าท่าเรือ เห็นร้านขายอาหารตุรกีบนรถตู้ในญี่ปุ่นหลายครั้งแต่ไม่เคยลองทาน Toner เขาใช้มีดเฉือนเนื้อไก่แผ่นบางๆโรยเกลือลงไปแล้วใช้แผ่นแป้งห่ออีกที

นั่งเรือชมความงามของช่องแคบ Bosphorus ใช้เวลาราวๆ ๑ ชั่วโมง เรือแล่นช้าๆกินลม เห็นวิวสองข้างทาง

เรือแล่นผ่านพระราชวัง Dolmabahçe ทำให้เห็นวิวเต็มๆของพระราชวัง





มัสยิดที่อยู่ใกล้ๆกับสะพานแขวน




สะพานแขวนเชื่อมระหว่างแผ่นดินของตุรกีที่อยู่ฝั่งเอเชียและฝั่งยุโรป




The Fortress of Europe




หลังจากล่องเรือชมความงามของช่องแคบ Bosphorus ก็หาสถานที่ทานอาหารเย็น เจอร้านอาหารที่อยู่ใกล้เอเจนซี่ที่เราจองที่พัก เขามีรายการอาหารที่น่าทานเลยสั่งมาทาน เขาใช้เวลาในการปรุงอาหารนานอยู่สักหน่อยแต่รสชาติอร่อยสมกับการรอคอย



Gute Appetite!








 

Create Date : 02 ตุลาคม 2552    
Last Update : 4 ตุลาคม 2552 20:51:18 น.
Counter : 1550 Pageviews.  

First day in Istanbul

ระหว่างที่นั่งเครื่องบินมีอดีตรองผู้กำกับการตำรวจที่เมือง Izmir นั่งข้างๆเรา เขาอยากสนทนากับเรา เขาออกตัวว่าภาษาอังกฤษของเขาไม่ดีนัก ดังนั้นเวลาสนทนาด้วยต้องพยายามใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่ยากเกินไปในการสนทนา..

อยู่ดีๆแอร์โฮสเตสก็มาถามว่าคุณช่วยไปพูดให้ผู้โดยสารญี่ปุ่นให้หน่อยได้ไหม? ก็ลุกไปเจอผู้โดยสารที่เขาพูดถึง...พอเจอหน้าก็รู้เลยว่าเป็นคนจีน สองคนนี้คงไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ เขากรอกฟอร์มต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ บางทีในสายตาของแอรโฮสเตสตุรกีคงคิดว่าคนเอเชียที่เดินทางมาเที่ยวต่างประเทศคงมีแต่คนญี่ปุ่นกระมัง? อาจจะโชคดีที่พอจะสนทนาด้วยภาษาจีนกลางอย่างง่ายๆได้บ้าง ผมเลยสอบถามสองหนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่เรื่องรายละเอียดที่จะกรอกในฟอร์มแล้วช่วยเขากรอกฟอร์มของสายการบิน

พอเครื่องบินบินใกล้ถึงสนามบินอาร์ตาเติร์ก แอร์โฮสเตสพยายามบังคับให้ผู้โดยสารรายหนึ่งกรอกแบบฟอร์ม เรื่องนี้สอนให้รู้ว่ายังมีคนยุโรปอีกจำนวนมากก็ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเพราะประเทศเขาไม่เคยใช้ภาษาอังกฤษ แอร์โฮสเตสไม่ยอมแพ้รบกวนผู้โดยสารที่นั่งข้างๆให้ช่วยอธิบายให้ผู้โดยสารรายนั้นกรอกฟอร์มก่อนถึงสนามบิน

เพราะเครื่องบินออกจากมอสโคว์ล่าช้าผลตามมาก็คือมาถึงสนามบินอาร์ตาเติร์กล่าช้าไป ๑ ชั่วโมงกว่า คนจะไปต่อเครื่องบินภายในประเทศก็เลยรีบร้อนกัน

ที่สนามบิน...เขามีเครื่องมือเทอร์โมสแกนวัดอุณหภูมิว่าผู้โดยสารที่เข้ามาตุรกี...ใครบ้างมีโอกาสแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ๋ ๒๐๐๙ ผิดกับที่รัสเซียไม่เห็นเขาจะเข้มงวดเรื่องแบบนี้เลย


มีรถแท็กซี่ที่โรงแรมที่พักส่งมารับที่สนามบิน...คนขับพอพูดภาษาอังกฤษได้แต่เขาก็ติดปัญหาที่จะอธิบายคำถามบางเรื่องเป็นภาษาอังกฤษได้


มาถึงโรงแรมเปิดทีวีดูข่าว...พึ่งทราบว่า ไมเคิล แจ๊คสัน เสียชีวิตไปแล้ว
ขณะเดียวกันวันที่เราเดินทางมาถึง...สหรัฐเตรียมถอนทหารออกจากอิรัก


เช้าแรกที่อิสตันบูล...ทานอาหารเช้าบนเทอเรสของโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้ชายทะเล มีนกนางนวลบินไปมาหรือมาเกาะใกล้ๆกับโรงแรม มองออกไปทะเลที่อิสตันบูลดูสวยงาม อีกด้านสามารถมองเห็น Blue Mosque และธงชาติตุรกีโบกสะบัด





จากที่พักเดินไปไม่ไกลก็ถึง Blue Mosque พอเดินเข้าไปภายในมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังถ่ายภาพลวดลายต่างๆภายใน Blue Mosque















เดินออกมาด้านข้างแล้วเก็บภาพอีกมุมนึง




ยืนถ่ายภาพด้านหน้า Blue Mosque ในช่วงที่ทัวร์ต่างๆกำลังพาลูกทัวร์มาชมความงามของสถานที่ท่องเที่ยวย่านนี้ คนคราคร่ำทีเดียว...หยุดรอให้คนซาแล้วก็ถ่ายภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึก อากาศที่นี่ร้อนกว่ารัสเซีย..แจ๊คเก็ตเลยไม่จำเป็นแต่ว่าผิวเราก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแทนเรื่อยๆ





ฝั่งตรงข้ามกับ Blue Mosque เป็น Haghia Sophia แดดกำลังจัดจับยอดโดมเลย




เดินไปไม่ไกลก็มาถึงสระใต้ดิน Byzantie Basilica Cistern อากาศภายในเย็นยะเยือก





ภายในมีรูปปั้นเมดูซ่าด้วย มีตำนานเล่าว่าเธอเคยเป็นหญิงสวยแต่ถูกสาปให้มีผมเป็นงู พอมีคนมาเห็นเธอ...เธอก็เกิดอาการอับอาย ดังนั้นเธอจึงสาปให้คนที่มาเห็นเธอกลายเป็นหิน แต่ตอนนี้ผมมาเห็นเมดูซ่ากลายเป็นหินแล้ว...รอดตัวไป






เดินเข้าไปชมภายใน Haghia Sophia ภายในมีภาพวาดตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๓ เป็นภาพโมเสกเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา แต่เสาต่างๆกลับมีสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม ตุรกีเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ในอดีตซึ่งชนเผ่าที่เข้ามารุกรานก็ทำลายอารยธรรมของกลุ่มชนที่อยู่ก่อนแล้วเอาอารยธรรมของตัวเองเข้ามาเผยแพร่แทน สร้างสิ่งปลูกสร้าง ภาพวาด ทับของเดิม










ภาพวาดโมเสกนี้ลอกจนเหลือเท่าที่เห็นเป็นภาพวาดที่ย้อนไปถึงศตวรรษที่ ๑๓ ผมพยายามรอนักท่องเที่ยวรายนี้เมื่อไหร่เขาจะออกจากเฟรมรูปที่ผมจะถ่ายเสียที รอแล้วรออีก...เฮียแกก็ไม่เลิกถ่ายเสียที สุดท้ายก็คิดว่าถ้ามีรูปเฮียแกติดด้วยในภาพที่เราถ่ายออกมาก็เป็นรูปเก๋ๆอีกแบบที่อธิบายได้ด้วยตนเองด้วยภาพ





ภาพนี้เป็นภาพที่สมบูรณ์ของรูปวาดโมเสกข้างบน





เสาและลวดลายบนหัวเสาดูลวดลายแปลกตาและสวยงามดี








ทางเดินชั้นสองภายในวิหารฮาเกียโซเฟีย





โถหินใส่น้ำโบราณที่เขาตั้งเอาไว้ชั้นล่าง




ใช้เวลาที่นี่จนถึงเวลาที่ควรจะทานข้าวกลางวันแล้ว...เดินไปหาอาหารกินย่านใกล้ๆ ดูเหมือนคนตุรกีเป็นคนช่างพูด ช่างคุย เขาต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างดี เรานั่งสั่งอาหารอยู่...บ๋อยก็เข้ามาชวนพูดชวนคุยด้วย ประโยคคำถามยอดนิยมคือ

Where are you from?

Japan?

No

Korea?

No

China?

No

Where are you from?...

THAILAND

Oh! Thailand!!!!


บางทีนานๆจะมีคนไทยมาเที่ยวที่นี่กระมัง???? เวลาเจอหน้าคนเอเชียตะวันออกพลอยจะนึกถึงญี่ปุ่น ไม่งั้นก็เกาหลี หรือว่า จีน มากกว่าจะคิดว่าเป็นคนไทย

บรรยากาศที่นี่ต่างจากรัสเซีย คนส่วนใหญ่ที่เจอที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เขายิ้มแย้มทักทายเชื้อเชิญนักท่องเที่ยว และรู้จักขายของเป็น

อาหารกลางวันมื้อแรกเป็นสปาร์เก็ตตี้นโปลี...มีขนมปังเหมือน nan ที่ใช้ทานกับแกงอินเดียมาให้ทานเล่นๆด้วย กว่าเขาจะทำเสร็จใช้เวลานานทีเดียวแต่รสชาติอร่อยสมกับการรอคอย

เดินทางต่อไปด้วยรถรางไป Dolmabahçe Palace ประตูทางเข้าวังมีทหารยืนตัวตรงตากแดดแบบนี้ผลัดละชั่วโมง ทหารที่มายืนที่นี่เขายืนนิ่งไม่มีอาการหยุกหยิกไปไหน ถ้าเขาไม่กะพริบตาก็อาจจะคิดว่าเป็นหุ่นยนต์ มีนักท่องเที่ยวมายืนถ่ายรูปด้วยจำนวนหลายๆคน บางคนก็แกล้งทำมือทำไม้ต่อเขาหรือโชว์ท่าแปลกๆแต่ทหารก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่านี้





ภายในวังเขาจัดไกด์ภาษาแต่ละภาษาเป็นรอบๆอธิบายความหมายของห้องภายในแต่ละห้อง เขาห้ามถ่ายภาพภายใน ถ้าจะบรรยายแทนรูปภาพก็จะบอกว่าภายในห้องต่างๆดูงดงามมาก หรูหรา สง่างาม คุ้มค่ากับการเข้าชม พี่ชายผมบอกว่าวังที่นี่ดูแล้วสวยกว่าบรรดาวังต่างๆที่เคยไปชมมาในยุโรปหลายๆประเทศ ดังนั้นบรรดาคนที่เคยไปยุโรปหรือว่าตอนนี้อยู่ในเขตยุโรปลองหาโอกาสเข้ามาชม Dolmabahçe Palace แล้วลองเปรียบเทียบดูครับ

ห้องต่างๆดูโอ่โถง อาร์ตาเติร์กนอนตายที่ห้องนอนภายในวังนี้ด้วย (Atatürk เป็นใคร เอาไว้อธิบายในเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาร์ตาเติร์กในตอนต่อๆไปครับ)

ภายในวังจะมีส่วนที่เป็นฮาเร็มด้วย เรารอรอบที่เขาเปิดให้ชมภายในฮาเร็มด้วย ระหว่างนั้นเห็นดอก อากังปัสสึ ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาเดียวกันในญี่ปุ่นซึ่งจะเห็นดอกสีม่วงๆเป็นช่อขึ้นมาให้เห็นแบบนี้




โชคไม่ดีตรงที่รอบสุดท้ายที่เขาให้ชมฮาเร็มเขาบรรยายเป็นภาษาตุรกี เราก็ฟังไกด์เขาอธิบายเป็นภาษาตุรกีแต่ไม่เข้าใจเลย ได้เห็นบรรยากาศภายในฮาเร็มที่มีห้องต่างๆของบรรดาผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ในอดีตและแม่ของสุลต่านก็อยู่ที่นี่ด้วย

ออกจากฮาเร็มก็มีหนุ่มสาวตุรกีคู่หนึ่งขอให้ถ่ายภาพให้เขาหน่อย เราเล็งมุมที่ไม่มีแสงแดดมาส่องให้เงาเกิดขึ้นบนใบหน้าและเลือกมุมที่องค์ประกอบลงตัว เขาพอใจภาพที่เราถ่ายให้ เขาเชื้อเชิญให้แฟนเขาถ่ายกับเราและตัวเขาถ่ายกับเราด้วย รู้สึกประหลาดใจ...แต่ก็เป็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในการเดินทางในต่างแดน



Dolmabahçe Palace อยู่ติดริมทะเล เดินออกมาจนมาเจอมุมด้านหน้าของวัง...เป็นมุมที่น่าสนใจ




ผมมาเจอดอกอาจิไซที่มันบานเต็มที่ในอิสตันบูลทำให้นึกถึงว่าตอนนี้เป็นช่วงเดือนมิถุนายนพอดี เพราะดอกอาจิไซจะบานทั่วเกาะญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนในญี่ปุ่น

อาจิไซมีต้นกำเนิดในญี่ปุ่น มีตำนานรักระหว่างดร.Philips Von Siebolds กับโอทากิที่เกี่ยวข้องกับดอกอาจิไซ ภายหลังจากถูกเนรเทศออกจากญี่ปุ่น...ดร.ซีโบลด์ได้นำดอกอาจิไซติดมือกลับฮอลแลนด์ ทุกครั้งที่ดูดอกอาจิไซก็จะนึกถึงโอทากิภรรยาของตัวเอง ดร.ซีโบลด์ได้เพาะพันธุ์ดอกอาจิไซพันธุ์โอตั๊กกุสะเพื่อระลึกถึงโอทากิ แล้วอาจิไซก็ได้รับการแพร่พันธุ์กระจายไปทั่วยุโรปแต่ฝรั่งก็ไปเปลี่ยนชื่อเป็น "ไฮดรานเยีย" แทน





ทานอาหารเย็นเป็นข้าวราดแกงสไตล์ตุรกี มีความรู้สึกว่าอาหารตุรกีทานง่ายกว่าอาหารยุโรปเยอะเลย ไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเท่าไหร่นัก...เพราะอุดมไปด้วยคลอเรสเตอรอลซึ่งไม่ดีต่อร่างกาย


ตอนค่ำมีโอกาสได้ไปชมระบำหมุนตัวของตุรกีที่ชื่อว่า Dervish ที่ Press Museum จับจองพื้นที่ด้านหน้าเพื่อเก็บภาพสวยๆตอนที่เขาหมุนตัว






เขาฝึกมาดี ดังนั้นหมุนตัวไปกี่รอบก็ไม่มีอาการเซ เดินงงไปงงมาให้เห็น





การแสดงเลิกตอน ๒ ทุ่ม เดินกลับมาที่ Sultanahmet ได้ภาพ Haghia Sophia ตอนพลบค่ำเป็นของที่ระลึก





ภาพ Blue Mosque ตอนพลบค่ำ





เลยสามทุ่มแล้วถึงจะได้ภาพ Blue Mosque แบบนี้






ราตรีสวัสดิ์ อีสตันบูล!!!!




 

Create Date : 25 กันยายน 2552    
Last Update : 26 กันยายน 2552 20:53:53 น.
Counter : 1653 Pageviews.  

Last two days in Moscow

ขบวนรถไฟตู้นอนได้พาเรามาถึงสถานี Leningradskiy ในกรุงมอสโคว์เช้าวันอาทิตย์




ขยับกล้องขึ้นมาถ่ายภาพภายในสถานีรถไฟ Leningradskiy ได้ภาพนี้ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาจับที่บ่าผมและพูดภาษารัสเซียทำนองว่าห้ามถ่ายรูปในนี้นะ





นั่งรถไฟใต้ดินกลับไปที่โรงแรม Rham สิ่งหนึ่งที่อยากหยิบยกขึ้นมาพูดก็คือ สถานีรถไฟใต้ดินในมอสโคว์สวยงามมาก เขาใช้หินอ่อนประดับเสา ประวัติความเป็นมาของสถานีรถไฟใต้ดินในมอสโคว์มีการก่อสร้างกันในสมัยสตาลินในยุคปีทศวรรษที่ ๓๐ เพื่อให้มีระบบขนส่งมวลชนที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน สะท้อนถึงความสำเร็จของระบบสังคมนิยม แรงงานที่ใช้ในการก่อสร้างระบบรถไฟใต้ดินเป็นทหารจากกองทัพแดงและบรรดากลุ่มสันนิบาตยุวชนคอมมิวนิสต์ (Komsomol) แรงงานยุวชนเหล่านี้เสียสละเวลาว่างมาทุ่มเทช่วยกันสร้างระบบรถไฟใต้ดินให้กับกรุงมอสโคว์ ในนามกลุ่มที่ชื่อว่า Komsomolskaya

เขาเจาะลงไปใต้ดินลึกมากและชันมาก เมื่อเทียบกับสถานีรถไฟใต้ดินในโตเกียวที่ว่าชันและลึกอย่างสถานีรถไฟใต้ดินโอเทะมะจิในย่านสถานีรถไฟโตเกียวแล้ว....สถานีรถไฟใต้ดินของมอสโคว์ชันกว่ามาก ความสวยงามภายในสถานีรถไฟในกรุงมอสโคว์เป็นอย่างไรลองดูจากรูปกันเอาเองครับ




สถานีรถไฟใต้ดิน Arbatskaya





สถานีรถไฟใต้ดิน Chekhovskaya


โปรแกรมวันอาทิตย์เราตั้งใจจะไปชมสุสานของเลนินที่จตุรัสแดง (Red Square) ซึ่งเขาทำการเก็บรักษาร่างของเลนินเอาไว้ในโลงแก้วและเปิดให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมหรือคารวะในวันอาทิตย์

พอเราโผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน Ploshchad Revolyutsii ก็ปรากฏฝูงชนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อจะเข้าไปชมสุสานเลนิน พี่ชายผมขี้เกียจรอเลยไปชมพิพิธภัณฑ์ของปุสกินแทน แต่ผมคิดว่าไหนๆก็มาทั้งทีก็ขอเข้าคิวรอเข้าชมสุสานเลนิน





มารัสเซียแล้วพลอยให้นึกถึงตอนไปโตเกียวดิสนีย์แลนด์/โตเกียวดีสนีย์ซี เพราะว่ากว่าจะได้เข้าไปชมแต่ละจุดรออย่างน้อย ๒๐ นาที

ยืนรอด้านหน้าของทางเข้า เขามีการตรวจเช็กความปลอดภัยของคนที่จะเข้าไปภายใน เวลาผ่านไป ๑ ชั่วโมงแถวขยับไปราวๆ ๑๕ เมตรได้ แถวค่อยๆขยับขึ้นไปเรื่อยๆ แต่พอมาถึงปากทางเข้า ตำรวจที่อยู่หน้าประตูก็บอกว่าหมดเวลาอนุญาตให้เข้าชม งานนี้นักท่องเที่ยวที่อยากจะเข้าชม...รอเก้อ..เสียเวลาคอยฟรี


ผมเดินถ่ายภาพบริเวณจตุรัสแดงถือเป็นการถ่ายภาพซ่อม เนื่องจากภาพที่ถ่ายก่อนหน้านั้นโดยกล้อง Canon Powershot ตัวเก่า ภาพเหล่านั้นมันหายไปพร้อมกับกล้องที่ถูกขโมยไปที่เมืองเซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก

อีกอย่างแดดวันนี้ดีกว่าวันที่มาถึงมอสโคว์วันแรก ได้ภาพของห้างสรรพสินค้ากุ๊มพ์ในมุมที่สวยกว่าไม่มีสิ่งก่อสร้างในงานแข่งกีฬามาบังเหมือนตอนที่มาอาทิตย์ที่แล้ว





จตุรัสแดง (Red Square) และกำแพงรอบๆวังเครมลิน




อีกมุมหนึ่งที่เล็ดลอดสายตาไปตอนที่แวะมาคราวที่แล้ว ไม่ยักกะรู้ว่ามุมนี้ให้มุมมองภาพสวยมาก ถือเป็นของที่ระลึกสวยๆติดมือกลับมาจากการแวะมาจตุรัสแดงคราวนี้







เดินลงมาตามเนินแล้วได้ภาพวังเครมลินกับวิหาร St. Basil มุมนี้ที่ดูแล้วสง่างามดี แต่บางคนอาจจะติงว่าภาพนี้จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีสายไฟติดในรูป อยากบอกว่าจงใจให้รูปนี้มีสายไฟครับ คนอ่านก็อย่าไปเสียเวลาจ้องค้นหาความไม่สวยงามในรูปภาพเลยครับ บางครั้งผมก็อยากเอารูปที่ไม่สมบูรณ์แบบมาลงบล็อกมาก เพราะอะไรในโลกนี้แท้จริงแล้วมันไม่สมบูรณ์แบบหรอกครับ





ตัดสินใจเข้าไปชมภายในวิหาร St. Basil ภายในมีภาพวาดโบราณอายุ ๑๐๐ กว่าปี แล้วมองจากภายในวิหารออกมาก็ได้ภาพที่แปลกตางดงามเช่นกัน






แต่ที่ประทับใจมากก็คือในระหว่างที่มัวเพลินถ่ายภาพภายในวิหารอยู๋ ก็มีกลุ่มนักร้องประสานเสียงของวิหารมาร้องเพลงให้ฟัง เสียงเขาไพเราะมาก ยิ่งเขามายืนณ.จุดที่คลื่นเสียงดังชัดที่สุด ยิ่งทำให้เสียงที่ออกมากังวานไพเราะจับใจ นักร้องเสียงโซปราโน่เธอร้องได้มีพลังมาก นักร้องกลุ่มนี้รับบริจาคจากนักท่องเที่ยว




คุ้มค่าไหมกับค่าผ่านประตูที่รวมค่าถ่ายภาพภายในวิหารด้วย? ดูจากรูปในสไลด์นี้แล้วผมคิดว่าคุณตอบได้





ผมนัดกับพี่ชายไปดูละครสัตว์ตอน ๑ ทุ่ม คณะละครสัตว์ชุดนี้คงมีคนต่างชาติเข้ามาชมกันมาก เพราะป้ายบอกทางมีภาษาอังกฤษด้วย





ด้านนอกของโรงละครสัตว์ มีรูปปั้นตัวตลกที่เด็กๆพากันมาถ่ายรูปด้วย ดูเหมือนคนที่เข้ามาดูละครสัตว์ส่วนมากเป็นเด็กๆที่พ่อแม่พามา





ด้านในโรงละครสัตว์มีของเด็กเล่นยั่วเด็กๆให้อ้อนพ่อแม่ขอเงินซื้อของพวกนี้ติดมือกลับบ้าน





บรรยากาศภายในโรงละครสัตว์เขาห้ามถ่ายภาพ เลยขอเล่าเป็นตัวอักษรแทน....

มีการอธิบายสิ่งต่างๆในระหว่างการแสดงเป็นภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษ มีการแสดงกายกรรม การแสดงของสัตว์ในรูปแบบต่างๆ แล้วก็ตัวตลก มายากล

ในระหว่างที่ดูการแสดงผมได้ความคิดว่า...จริงๆแล้วมนุษย์เหมือนกันทั่วโลก ถึงแม้เราจะสื่อสารกันด้วยภาษาที่แตกต่างกันแต่เรื่องของความสนุกสนาน ความตลก มันไม่จำเป็นต้องสื่อสารออกมาเป็นภาษาเดียวกัน แค่ตัวแสดงรู้จักใช้การแสดงออกทางสีหน้า การกระทำ ก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ไม่ยาก เวลาตัวตลกออกมาทีไรจะได้ยินทั้งเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็ก



วันรุ่งขึ้นเราไปพระราชวังเครมลิน ก่อนจะเข้าไปก็เข้าคิวยาวๆแบบนี้ และมีการตรวจเช็กความปลอดภัยของผู้เข้าชมก่อนจะเข้าไปภายในวังเครมลิน






ภายใน State Armoury เขาห้ามถ่ายภาพแต่...ก็เห็นแหม่มคนนึงแกแอบเอากล้องบันทึกภาพเพื่อนแก คนก็คือคนมั้ง...ไม่ว่าจะมีกฎอะไรก็ย่อมมีคนแหกกฏเสมอ

เดินชมภายในร่วมชั่วโมง ภายในมีของประดับสวยงาม ทั้งเสื้อผ้า ราชรถ เตียง ดาบแกะสลักอย่างดีฝีมือของช่างจากเปอร์เซียและตุรกี ปืนที่พานท้ายปืนแกะสลักด้วยมุกทำในอังกฤษ งานฝีมือของรัสเซียโดยเฉพาะงานพวกเครื่องใช้ที่ทำด้วยทอง...ผลงานเขาละเอียดมากทีเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานเครื่องบรรณาการจากประเทศต่างๆในยุโรปทีทำด้วยทองคำ

มีข้อสงสัยว่าทำไมตามพระราชวังต่างๆเขาถึงทำรูปอินทรีย์มีสองหัว เลยถามไกด์รัสเซียรายหนึ่ง เธออธิบายความหมายว่า

"รัสเซียมีอาณาเขตกว้างใหญ่กินทั้งเอเชีย(ตะวันออก)และยุโรป(ตะวันตก) ดังนั้นจึงต้องควบคุมให้ดีทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก นกอินทรีย์สองหัวจึงเป็นสัญลักษณ์ของการตรวจตราและควบคุมทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก"





ตอนที่เดินออกจาก State Armoury เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่กำลังเดินเข้าชม ฟ้าเริ่มครึ้ม






อีกมุมของพระราชวังเครมลิน




พอเดินเลยมาหน่อยก็เป็นกลุ่มวิหารทางประวัติศาสตร์ในเขตพระราชวังเครมลิน เห็นเป็นหอคอยตระหง่านนี้คือ Ivan the Great Bell Tower







Cathedral of the Assumption





The Tsar Bell เป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่ขนาดไหนลองดูสเกลของระฆังเมื่อเทียบกับคนในรูป จะเห็นว่าระฆังมันร้าวแหว่งออกมาในสภาพที่เห็นในรูปโดยเขาไม่คิดจะบูรณะให้อยู่ในรูประฆังที่สมบูรณ์มาตั้งแต่แรก




แล้วนี่ก็คือ The Tsar's Canon




อีกมุมสวยๆของสวนและดอกไม้ภายในบริเวณพระราชวังเครมลิน








Trinity Tower ที่เคยเห็นจากทางด้าน Cathedral of St. Basil ที่มองจากภายในพระราชวังเครมลินหน้าตาแบบนี้เอง




ตอนนั้นมีลมพัดแรงๆ...เล่นเอาหนาวสั่นเลย แม้ว่านี่จะเป็นฤดูร้อนในรัสเซียก็ตามที


เดินออกจากพระราชวังเครมลิน...มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินสวนมาจะเข้าไปในพระราชวังเครมลิน เลยรบกวนขอให้ช่วยถ่ายภาพให้หน่อยได้ไหม? ทางเขาเองก็อยากมีรูป เลยต่างคนต่างผลัดถ่ายรูปให้กัน รูปที่เห็นข้างล่างนี้เป็นรูปเดียวที่ผมถ่ายในมอสโคว์เพราะรูปที่ถ่ายก่อนหน้านี้ในกล้องตัวเก่าหายไปพร้อมกับกล้องตัวนั้น หลังจากเดินเจ็บเท้ามาหลายวันก็ตัดสินใจใส่รองเท้าแตะเดินเที่ยวแทน!!!!! มันสบายเท้าดี..ไม่มีอาการเจ็บส้นเท้าเลย




ในระหว่างที่เดินออกจากห้องน้ำเห็น Trinity Tower ในมุมที่แปลกตาเลยเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก





จากพระราชวังเครมลินเราเดินทางกลับโรงแรมเพื่อเก็บสัมภาระเดินทางไปขึ้นเครื่องบินไปอิสตันบูลที่สนามบิน Sheremetevo 2 ใช้บริการวิทยุเรียกรถแท๊กซี่ไปส่งที่สนามบินในอัตรา 1,100 เรียท (รูเบิล) คนขับแท๊กซี่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย สื่อสารกันลำบากพอสมควร โชเฟอร์ห่วงคุยโทรศัพท์มือถือมากไปหน่อย....

ในที่สุดก็มาถึงสนามบิน Sheremetovo 2 เจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองหน้าตาไม่รับแขกรายหนึ่งพูดอะไรกับผมเป็นภาษารัสเซียซึ่งฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่พอเขาเห็นหนังสือเดินทางไทย....เขาพยักหน้าแล้วสีหน้าเขาเปลี่ยนไปดีขึ้นกว่าตอนแรก ขั้นตอนการตรวจเช็กเอกสารที่สนามบินดูใช้เวลาไปหน่อย

ในระหว่างที่เที่ยวในรัสเซียไม่มีเวลาเดินดูซีดีเพลงบรรเลงของรัสเซีย เนื่องจากเครื่องบินของ Turkish Airlines ล่าช้า ทำให้มีเวลาเดินดูของที่ระลึกในร้านขายของในสนามบิน บางทีของมันจะเป็นของเรามั้ง...ใช้เวลาไม่นานก็ได้ซีดีแนวเพลงที่ต้องการ เป็นซีดีเพลงบรรเลงโดยนักเปียโนชาวรัสเซียที่ชื่อ Igor Kroutoi ดนตรีที่บรรเลงโดย Igor Kroutoi เป็นเพลงแนวแจ๊สที่ฟังสบายๆ เขาทำแนวดนตรีได้ไพเราะทีเดียว (ในขณะที่พิมพ์บล็อกอยู่ก็เปิดซีดีเพลง A Lullaby for Sashen'ka ของเขาฟังอยู่)

ในระหว่างที่รอเครื่องบิน ผมนั่งข้างผู้หญิงคนนึงที่อุ้มลูกอยู่ ที่ต้นแขนของเธอสักคำว่า 愛 อ่านว่า "ไอ" แปลว่า "ความรัก" ด้วยความสงสัยเลยถามเธอว่าเธอไปสักที่ญี่ปุ่นใช่ไหม? เธอพูดขึ้นมาว่า...เธอพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีแต่ถ้าภาษาญี่ปุ่นละก้อไม่มีปัญหา!!!!! แล้วบทสนทนาภาษาญี่ปุ่นระหว่างผมกับเธอก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความบังเอิญ

ไม่คิดว่ามาเที่ยวรัสเซียแต่กลับกลายเป็นว่าจะได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นกับคนรัสเซียแทน...

ผู้หญิงคนนั้นเธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีมาก สำเนียงชัดทีเดียว เธอเป็นคนเมืองวลาดิวอสต็อกซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะญี่ปุ่นมากๆ เธอเรียนภาษาญี่ปุ่นมาเป็นเวลาสามปี ตอนนี้พูดได้ดีแต่เขียนไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ครูภาษาญี่ปุ่นของเธอเป็นคนญี่ปุ่น ที่เมืองวลาดิวอสต็อกมีคนรัสเซียที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีจำนวนมาก เธอไปญี่ปุ่นหลายครั้งมากเพราะชอบญี่ปุ่น คำว่า "ไอ" ที่เธอสักต้นแขนนั้นเธอไปสักที่ญี่ปุ่น สามีของเธอเป็นคนสโลวาเกียทำกิจการส่วนตัวที่อิสตันบูล...เธอบินมาจากวลาดิวอสต็อก 8 ชั่วโมงเพื่อมาขึ้นเครื่องที่มอสโคว์บินไปอิสตันบูลลำเดียวกับผม สงสารลูกเธอเพราะเด็กคนนี้ต้อง..ตื่นแต่เช้านั่งเครื่องจากวลาดิวอสต็อกแล้วยังต้องนั่งเครื่องจากมอสโคว์ต่อไปอีก 2 ชั่วไมง

หลังจากล่าช้าเกือบสองชั่วโมง เครื่องบินของ Turkish Airlines ก็บินออกจากสนามบิน Sheremetovo 2 ผมมองลงมาข้างล่างเห็นตัวเมืองมอสโคว์ในยามเย็นสวยไปอีกแบบ เวลา 1 ทุ่มกว่าๆของรัสเซีย...ท้องฟ้ายังเหมือนเวลา 4 โมงเย็นในเมืองไทย

จบบันทึกการเดินทางรัสเซีย...บันทึกหน้าใหม่ของการเดินทางท่องตุรกีกำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้า

ดาสวี ดานียา รัสเซีย (Goodbye Russia)




 

Create Date : 15 กันยายน 2552    
Last Update : 15 กันยายน 2552 21:44:20 น.
Counter : 2010 Pageviews.  

ขอแสดงความยินดีกับทีมชาติไทยแชมป์วอลเล่ย์บอลหญิงแห่งเอเชีย

วันนี้ได้ยินข่าวดีตอนเย็นเรื่องทีมวอลเล่ย์บอลหญิงของไทยได้แชมป์วอลเล่ย์บอลหญิงเอเชีย นี่เป็นครั้งแรกที่ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยสามารถได้แชมป์ระดับเอเชีย!!!!!

ย้อนไปเมื่อสามสิบปีก่อน...สมัยเราจัดการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ที่กรุงเทพฯ ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยแข่งกับทีมชาติจีน ทีมไทยทำได้แต้มเดียวกองเชียร์ก็ตบมือกันแล้วเพราะฝีมือห่างชั้นกันมากทีเดียว


เมื่อสี่ปีที่แล้ว...ตอนนั้นผมยังอยู่ในญี่ปุ่น เห็นภาพการแข่งขันวอลเล่ย์บอลหญิงเวิร์ลกรังซ์ปรีย์ที่มีการถ่ายทอดสดคู่ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ทีมหญิงไทยสู้อย่างเต็มความสามารถแต่สู้แรงตบของทีมญี่ปุ่นไม่ได้ พ่ายไป การแข่งขันชิงแชมป์วอลเล่ย์บอลเอเชียทีมหญิงไทยก็พ่ายไปหมดรูปแพ้ทีมญี่ปุ่นและทีมจีน ตอนนั้นผมถามตัวเองว่า...จะมีวันนึงไหมที่ทีมชาติไทยจะได้มาถึงแชมป์บ้าง?


แต่วันนี้...ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยสามารถเอาชนะทีมอย่างอเมริกา, ทีมโปแลนด์ที่เป็นอดีตแชมป์ยุโรป, เอาชนะญี่ปุ่น และวันนี้ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยสามารถเอาชนะทีมจีนอดีตแชมป์เอเชียที่เราไม่เคยเอาชนะมาก่อน และวันนี้ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยคว้าแชมป์วอลเล่ย์บอลหญิงเอเชียมาครอง ได้สิทธิ์เข้าแข่งขันวอลเล่ย์บอลเวิร์ลกรังซ์ปรีย์

คนไทยหลายๆคนชอบดูถูกคนไทยกันเองแล้วชื่นชมคนต่างชาติแทน มีคนชอบบอกว่าคนไทยทำงานเป็นทีมไม่เป็น ดีแต่เก่งคนเดียว โดยหยิบยกเรื่องของกีฬามาเป็นตัวอย่างว่าเรามีแชมป์มวยโลกหลายคน เหรียญทองโอลิมปิกก็มาจากมวย ยกน้ำหนัก

ตัวอย่างของวอลเล่ย์บอลทีมหญิงไทยที่คว้าแชมป์เอเชียคราวนี้คงบอกว่า....อาจจะไม่จริงเสมอไป ถ้าคนไทยรู้จักร่วมมือกัน มุ่งมั่นอย่างจริงจัง ไม่ท้อแม้ว่าจะผิดหวังล้มเหลวมาหลายครั้ง สุดท้ายความพยายามที่พากเพียรหมั่นฝึกฝนมาตลอด ๒๕ ปีที่ผ่านมามันไม่สูญเปล่า...มีผลลัพธ์ความสำเร็จเป็นผลตอบแทนความเหนื่อยยากที่ผ่านมา

รายการของคุณสรยุทธสัมภาษณ์น้องๆนักกีฬาวอลเล่ย์บอลว่าเป้าหมายต่อไปคืออะไร? ตัวแทนของทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยบอกว่าอยากไปให้ถึงโอลิมปิก...ตัวนายกสมาคมฯก็มีความฝันว่าเราอยากได้เหรียญโอลิมปิกกลับมาในกีฬาประเภททีมบ้าง

เบื้องหลังความสำเร็จของทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยคราวนี้มาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ทุ่มเททั้งแรงกาย เม็ดเงิน เพื่อได้ทีมวอลเล่ย์บอลหญิงที่มีฝีมือทัดเทียมชาติอื่นๆในวันนี้

ในฐานะคนไทยคนหนึ่งรู้สึกดีใจและภูมิใจกับความสำเร็จคราวนี้ ผลของความเพียรพยายามของทีมวอลเล่ย์บอลหญิงไทยช่วยจุดประกายให้เชื่อมั่นในความเพียรว่ามีผลลัพธ์ตอบแทนกลับมาเสมอ

ถ้าทีมชาติไทยชุดนี้สามารถไปถึงโอลิมปิก....แม้ทีมชาติไทยอาจจะยังไม่ได้เหรียญรางวัลในการแข่งขันโอลิมปิกปี 2012 แต่ผมเชื่อว่าวันนึงเราคนไทยคงมีโอกาสได้ยินเสียงเพลงชาติไทยในพิธีมอบเหรียญรางวัลแก่ผู้ชนะทีมวอลเล่ย์บอลหญิง

เราจะคอยรอความสำเร็จของทีมไทยวันนั้นกันต่อไป




 

Create Date : 14 กันยายน 2552    
Last Update : 14 กันยายน 2552 22:35:02 น.
Counter : 796 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.