ถ้าจะหาการลงทุนสักประเภทที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้น หรือทำกิจการเอง ก็เห็นจะมีอสังหาฯ นี่แหละ ที่เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ไม่แพ้ จำได้ว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่สถานฑูตอังกฤษได้ขายที่ดินส่วนติดถนนให้กับห้างเซ็นทรัลในราคาที่เรียกว่าอภิมหาแพงในสมัยนั้น แต่มาถึงตอนนี้ต้องเรียกว่าที่ดินแถวนั้นประเมินค่าไม่ได้

สาเหตุที่ที่ดินแพงขึ้นเรื่อยก็ต้องย้อนกลับไปอธิบายในเรื่อง Demand Supply ที่เค้าว่า เมื่อมี Demand เพิ่ม Supply ยังน้อย ราคาของก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับที่ดินที่มีเท่าเดิม แต่คนมากขึ้นเรื่อยต้องการที่อยู่เพิ่มขึ้นยิ่งความเจริญเพิ่มขึ้น ที่ในเมืองก็จะแพงมากขึ้นๆเท่านั้น หรือแม้ความเจริญจะเติบโตไปที่หัวเมือง ที่ดินตามหัวเมืองอีกนั่นแหละที่จะมี Demand เพิ่มขึ้นราคาก็จะเพิ่มเข้าไปอีก โดยที่ราคาที่ในเมืองก็มิได้ลดลงแต่ประการใดเพราะมีจำกัด

แต่เหรียญมักมีสองด้านเสมอ เมื่อมีอะไรที่ดีขึ้นก็ต้องมีอะไรที่แย่ลงเรื่อยๆ อันนี้เห็นได้มากมาย เท่าที่ผ่านมาในชีวิตที่เห็นชัด คือ เจ้า USB 2 G 4 G หรือหลายๆกิ้ก นั่นแหละจำได้ว่าสมัยมาแรกๆแค่ 128MB 256 MB ราคาก็แพงหลัก 2 พันกว่าเข้าไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้..ราคาถูกชนิดวางขายในตลาดจตุจักรกันไปได้แล้ว นี่คือตัวอย่างของกรณีที่ Supply มากกว่า Demand และเราเองเชื่อว่าราคาก็จะถูกลงๆเรื่อยๆ ธุรกิจที่เป็นแบบนี้ต้องแข่งขันที่ความแตกต่าง ดูง่ายๆ คือ เอาหัวการ์ตูนมาใส่ เพิ่มจำนวนหน่วยความจำ หรืออื่นๆอีกมากมายซึ่งล้วนเป็นต้นทุนในขณะที่ก็ขายได้ราคาไม่สูงเท่าเดิมแล้ว

ถามว่าแล้วมีแบบกลางๆมั้ยคือจุดสมดุลที่มี Supply และ Demand เท่ากันเสมอ อืมเท่าที่เรานึกออกไม่มีนะ แต่ จะมีแบบครึ่งๆกลางๆแทน คือมันสลับไปสลับมา ผลัดกันแซงไปแซงมา ซึ่งเรามักได้ยินคำว่า หุ้นวัฏจักรนั่นแหละ ถ้าเอาให้ใกล้ตัวก็พวกผลไม้บางอย่างไงครับ ที่พอฤดูกาลขายราคาถูก แต่พอนอกฤดูกาลเข้าไปแพงเชียว มาถึงตรงนี้นึกถึงขนมจากญี่ปุ่นที่คนเห่อนิยมกันเป็นพักๆก็คล้ายวัฏจักรเช่นกันนะ

กลับมาที่เรื่องของเราคือการลงทุน ดังนั้นก่อนการที่เราจะลงทุนอะไรเราต้องมองให้ออกก่อนว่ากิจการ สินค้า ของเรามี Demand Supply แบบไหน เพื่อจะช่วยให้เรารู้ว่าควรเข้าลงทุนในเวลาที่ Supply น้อยกว่า Demand จะได้ราคาที่ดี และรู้จักออกเมื่อ Supply มากกว่า Demand และจะเจ๋งยิ่งกว่าถ้าเราหากิจการที่ Supply น้อยกว่า Demand เสมอเจอv