วันที่ 4 ก.ค. นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า วิกฤตทางการเงินในกลุ่มยูโรโซนได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบภาคการส่งออก เนื่องจากกำลังซื้อของยุโรปลดลง และเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลมีการประชุมติดตามสถานการณ์วิกฤตยูโรโซนเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นความตื่นตัวของรัฐบาลในการดูแลเศรษฐกิจ ไม่ให้ได้รับผลกระทบมากนัก และเห็นว่าแนวทางในการแก้ไขปัญหาต้องมีมาตรการระยะสั้น และระยะยาวควบคู่กันไป โดยระยะสั้นผู้ประกอบการต้องดูแลต้นทุนการผลิต และหาตลาดส่งออกใหม่ ขณะที่ในระยะยาว รัฐต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐานเพือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะเป็นเรื่องจำเป็นไม่ว่าไทยจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซีหรือไม่ก็ตาม
ส่วนภาคสถาบันการเงิน ยืนยัน ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ได้เข้าซื้อตราสารในยุโรป และสภาพคล่องในระบบการเงินยังมีเพียงพอในการปล่อยสินเชื่อทั้งโครงการของรัฐและเอกชน และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังรับมือกับปัญหาวิกฤตในยูโรโซนได้ดี โดยจีดีพีปีนี้ยังขยายตัวได้ 5-6 % ตามคาด ขณะที่สินเชื่อของสถาบันการเงินขยายตัวได้ 9-10% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับ 3% ในปัจจุบัน และค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวในระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว เพราะหากสินเชื่อขยายสูงเกินไป ก็จะกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ โดยยืนยันในขณะนี้ ยังไม่มีสัญญาณการเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้น เพราะปัจจุบันมีมาตรการการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อและการเก็งกำไร