“เกาะพระทอง” ทะเลงามสุดขอบฟ้า-ตระการตาป่าเสม็ด-ทีเด็ดทุ่งสะวันนาสีทอง

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

อันซีนไทยแลนด์แห่งเกาะพระทองกับทุ่งหญ้าสวันนาสีทองอร่าม
       ปี พ.ศ. 2543 “ณรงค์” เพื่อนผมมันชวนไปเที่ยวบ้านมันที่ “หมู่บ้านปากจก” บน “เกาะพระทอง” นั่นเป็นการรู้จักและสัมผัสกับเกาะพระทองครั้งแรก ด้วยความงดงามจากธรรมชาติอันพิสุทธิ์ผสานกับวิถีชีวิตอันเรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ ถือเป็นความทรงจำชั้นดีที่ผมยังประทับใจไม่รู้ลืม

       ปี 2546 เกาะพระทองได้รับการคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ให้เป็น “อันซีนไทยแลนด์” ส่งผลให้เกาะแห่งนี้โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะกับทุ่งหญ้าสีทองอันงดงามบนเกาะที่ได้รับฉายาว่า “สะวันนาเมืองไทย” นั้นถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างดีให้เดินทางมาสัมผัสกับธรรมชาติอันพิสุทธิ์บนหมู่เกาะแห่งนี้ จนหลายคนอดหวั่นไม่ได้ว่าชื่อเสียง ความโด่งดังที่มาเร็วเกินไป อาจจะทำให้เกาะพระทองต้องเสียศูนย์ในอนาคตอันไม่ไกล

บ้านชาวบ้านดั้งเดิมบนเกาะพระทอง
       แต่...ปลายปี 2547 เกิดเหตุการณ์ธรรมชาติวิปโยค คลื่นยักษ์สึนามิที่คนไทยไม่เคยพบพาน ได้ถั่งโถมโหมกระหน่ำเกาะพระทองจนย่อยยับ หมู่บ้านปากจกที่ผมเคยไปนอน ถูกคลื่นยักษ์พัดราบพนาสูร บ้านเรือนเสียหาย ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก รวมถึงครอบครัวของณรงค์ซึ่งถูกคลื่นยักษ์พัดทำลายเสียชีวิตเกือบหมด(ส่วนณรงค์รอดเพราะวันนั้นเขาทำธุระอยู่บนฝั่ง)

       หลังเหตุการณ์สึนามิถล่มปี 47 เกาะพระทองที่กำลังมาแรงทางการท่องเที่ยว สะดุดล้มโครม มาจนถึงวันนี้สภาพการณ์ทางการท่องเที่ยวบนเกาะพระทอง(ในสายตาของคนทำธุรกิจท่องเที่ยวและหน่วยงายที่ดูแลด้านการท่องเที่ยว) ยังไม่ฟื้น แต่ธรรมชาติบนเกาะพระทองนั้นฟื้นนานแล้ว ซึ่งนี่ถือเป็นเสน่ห์สำคัญให้ผมเดินทางกลับมาเยือนเกาะพระทองอีกครั้ง

กาหยี 1 ใน 2 พืชเศรษฐกิจบนเกาะพระทอง
เกาะอันดับ 5...แปลกตาธรรมชาติ

เกาะพระทอง ตั้งอยู่ใน อ.คุระบุรี จ.พังงา มีพื้นที่ 102 ตารางกิโลเมตร(ข้อมูลจาก อบต.เกาะพระทอง) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในพังงาและใหญ่เป็นอันดับ 5 ของเมืองไทย

       เกาะพระทองเกิดจากซากปะการังทับถมกันมายาวนานนับล้านๆปี จนเกิดเป็นเกาะที่มีสภาพภูมิประเทศที่แปลกตา คือมีลักษณะค่อนข้างแบนราบ กลายเป็นลักษณะเฉพาะตัวอันโดดเด่นของเกาะแห่งนี้

       แม้พื้นดินบนเกาะพระทองส่วนใหญ่จะเป็นดินปนทรายไม่เหมาะต่อการเพาะปลูก อันเนื่องมาจากสภาพธรรมชาติและเคยผ่านการทำเหมืองแร่มาก่อน ทำให้ที่นี่มีพืชเศรษฐกิจหลักเพียงมะม่วงหิมพานต์(กาหยี) กับมะพร้าว แต่เกาะพระทองกลับเป็นเกาะที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก บนเกาะมีทั้งชายหาด ป่าชายหาด ป่าชายเลน ป่าพรุ ป่าเสม็ด ทุ่งหญ้า ไม้พุ่ม พืชสังคมทดแทน กล้วยไม้หายาก

ทิวสนกับแนวปาชายหาดทางฝั่งตต.ของเกาะ
       ทางฝั่งตะวันออกของเกาะที่อยู่ห่างจากคุระบุรีแค่ราว 2 กม.นั้น เป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ถือเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ คลังอาหารตามธรรมชาติชั้นเลิศของชาวเกาะ เพราะมีทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา โดยเฉพาะกับ “ปูดำ” ที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจเด่นของที่นี่ ส่วนทางด้านฝั่งตะวันตกจะเป็นแนวชายหาดอันสวยงามทอดยาวมีทิวสนขึ้นประดับในบางช่วง ขณะที่ถัดลึกเข้ามาจะเป็นไฮไลท์ของที่นี่กับป่าเสม็ด กับทุ่งหญ้าที่มีความสวยงามโดดเด่นจนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “อันซีนไทยแลนด์”

       บนเกาะพระทองยังมากไปด้วยสัตว์นานาพันธุ์ โดยที่ถือเป็นไฮไลท์ก็คือ “กวางม้า” หรือ กวางป่าตัวโต ที่ปัจจุบันต้องช่วยกันอนุรักษ์ดูแลให้ดี เพราะกวางป่าที่นี่ถูกหมาเลี้ยง หมาบ้าน ที่เริ่มเปลี่ยนวิถีกลายเป็นหมาป่าไล่ล่า เนื่องจากเจ้าของหมาพวกนี้ส่วนหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิ อีกส่วนหนึ่งอพยพไปอยู่บนฝั่ง ปล่อยทิ้งพวกมันให้หากินตามยถากรรม ส่วนอีกหนึ่งผู้ล่ากวางที่สำคัญนั้นย่อมหนีไม่พ้น “คน” ที่มีทั้งคนนอกคนใน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่กลุ่มหนึ่งได้ตั้งกลุ่มอนุรักษ์กวางขึ้นมา คอยดูแลไม่ให้ทั้งหมาทั้งคนไล่ล่า และร่วมอยู่กับกวางอย่างเป็นมิตร

เกาะพระทองเป็นอีกหนึ่งแหล่งดูนกชั้นดีของพังงา
       นอกจากนี้บนเกาะพระทองยังเป็นแหล่งวางไข่เต่าทะเลที่สำคัญของเมืองไทย ซึ่งชาวบ้านได้ตั้งกลุ่มอนุรักษ์ดูแลเต่าทะเลขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นแหล่งดูนกที่สำคัญ เพราะบนเกาะมีนกเกือบ 140 ชนิด ทั้งนกป่า นกน้ำ มีนกที่เด่นๆอย่าง กาน้ำ เหยี่ยวแดง กระสานวล ปากซ่อม รวมถึงนกหายากอย่าง “นกแก๊ก” และ“นกตะกรุม” ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์อันโดดเด่นที่ตอกย้ำถึงลักษณะเฉพาะและความหลากหลายทางธรรมชาติของเกาะพระทอง

บ้านเรือนริมน้ำที่บ้านแป๊ะโย้ย
นั่งอีแต๊ก ท่องเกาะพระทอง

       แม้จะเป็นเกาะขนาดใหญ่ แต่บนเกาะพระทองมีแค่ 3 หมู่บ้าน คือบ้านปากจก บ้านทุ่งดาบ และบ้านแป๊ะโย้ย เดิมที่เกาะเคยมีประชากรอาศัยอยู่ในหลักหลายร้อย แต่หลังเหตุการณ์สึนามิประชากรหายไปกว่าครึ่ง นั่นจึงทำให้เกาะพระทองวันนี้มีสภาพเงียบเหงาไม่น้อย

กล้วยไม้ดอนมาลี
       จากบนฝั่งที่ท่าบางแดด เรือโดยสารใช้เวลาประมาณ 40 นาที พาผมและคณะมาส่งบนเกาะพระทองที่ท่าบ้านแป๊ะโย้ย

       ครั้นเมื่อเดินขึ้นฝั่งเข้าสู่หมู่บ้าน สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดใจให้ผมต้องยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ไปเสียหลายแชะ นั่นก็คือดอกกล้วยไม้ 5 แฉกสีขาวนวล ใจกลางเป็นส้มสดผมเหลืองที่ปลูกไว้หน้าบ้านลุงคนหนึ่ง

“นี่คือกล้วยไม้ดอนมาลี เป็นกล้วยไม้เฉพาะถิ่นของที่นี่”

น้องเจี๊ยบ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของอบต.เกาะพระทอง เจ้าถิ่นผู้มาเป็นคนต้อนรับขับสู้บอกกับผม ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า ดอนมาลี เป็นกล้วยไม้สกุลหวาย เกิดจากการผสมสายพันธุ์ระหว่างเอื้องเงินหลวง(หรือโกมาซุม ไม้ประจำจังหวัดระรอง)กับเอื้องปากนกแก้ว

ผู้ใหญ่ยอดพานักท่องเที่ยวนั่งอีแต๊กทัวร์เกาะพระทอง
       พวกเราเดินไปบนถนนคอนกรีตเล็กๆที่เป็นเส้นทางสัญจรหลักของที่นี่ ผ่านสวนกาหยีที่กำลังออกลูกแดง ไปยืนคอยท่ารอ “ผู้ใหญ่ยอด” หรือ “สายชล เอี๋ยวสกุล” ผู้ใหญ่บ้านปากจก ที่นัดกันไว้ให้มาพานำเที่ยวเกาะพระทอง

       สักพักเพียงชั่วไม่กี่นาทีผู้ใหญ่ยอดก็มาตามนัดพร้อมกับรถ “อีแต๊ก” คู่ใจ พาเราวิ่งลัดเลาะไปบนเส้นทาง ที่อย่าว่าแต่รถจะสวนกันไม่ได้เคย แค่บังคับรถอีแต๊กคันนี้ไม่ให้ล้อตกถนนนี่ก็ยากลำบากแล้ว

ป่าเสม็ดขาวกับต้นไม้รูปทรงเฉพาะตัว
       เส้นทางหลังผ่านสวนกาหยีไป เปลี่ยนป่าบกผสมป่าพรุ แล้วเข้าสู่ดงเสม็ดที่ยังคงมีร่องน้ำอันเกิดจากการทำเหมืองในอดีตปรากฏให้เห็น

       จากนั้นเมื่อสิ้นสุดเส้นทางถนน ก็เป็นเส้นทางลำลองในผืนป่าเสม็ดอันกว้างใหญ่ กับต้นเสม็ดขาวรูปทรงหยึกหยัก แปลกตา สวยงาม ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์อันโดดเด่นของเกาะพระทองกับป่าเสม็ดนับเกือบหมื่นไร่ มีหญ้าต้นเตี้ยๆขึ้นแซมเต็มไปทั่วบริเวณ ขณะที่ตามลำต้นเสม็ดหลายๆต้นมีกล้วยไม้ พืชอิงแอบอาศัยต่างๆขึ้นอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน บนถนนสายนี้หลักๆจะเป็นถนนทรายสีขาวนวล เนื้อละเอียดยิบ แซมด้วยถนนดินบ้างในบางจุด ขณะที่บางช่วงของเส้นทางมีลำคลองทอดยาว

ช่วงหน้าฝนในลำคลองบนเกาะจะมีปลามากมายให้ชาวบ้านจับ
       “ช่วงหน้าฝนในคลองที่นี่มีปลาเยอะมาก ทั้งปลาช่อน ปลาดุก ชาวบ้านจะมาจับปลากันเป็นเต็มไปหมด” ผู้ใหญ่ยอดบอกกับผม

       เมื่อปลาเยอะ นกก็เยอะตาม แต่ในหน้าแล้วอย่างนี้ แม้สายน้ำยังคงเย็นใสไม่แห้งเหือด แต่ปลาแทบไม่ปรากฏให้เห็น ทำให้นกพลอยหายไปด้วย

นักท่องเที่ยวเริงร่าในท้องทุ่งสะวันนาสีทอง
       ผู้ใหญ่ยอดยังคงบังคับเจ้าอีแต๊กคู่ใจไปบนเส้นทางอย่างชำนาญ ท่ามกลางเส้นทางที่ทำให้พวกเราต้องกระเด้งกระดอนกันในหลายๆครั้ง แต่นี่นับเป็นเสน่ห์แห่งเกาะพระทองที่ใครไม่ลองย่อมไม่รู้

พ้นเลยจากป่าเสม็ดไปเป็นทุ่งหญ้ากว้างที่ได้รับการยกย่องให้เป็นอันซีนไทยแลนด์ ที่คนรู้จักกันดีในนาม“ทุ่งสะวันนาเกาะพระทอง” หรือบางคนก็เรียกว่า “ทุ่งหญ้าซาฟารี”

แนวชายหาดบริเวณสุดขอบฟ้า
       ทุ่งหญ้าแห่งนี้หากมาถูกช่วงฤดู ถูกช่วงจังหวะเวลา จะน่าดูมาก โดยนองเจี๊ยบแนะนำว่าให้มาช่วงฤดูแล้งเมื่อหญ้าเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลืองไปจนถึงน้ำตาลอ่อนๆ ซึ่งในยามเช้าหรือยามเย็นเมื่อแสงแดดอ่อนๆส่องอาบไล้ ทุ่งหญ้าเหล่านี้จะกลายเป็นทุ่งหญ้าสีทองเหลืองอร่าม ยังความตื่นตาตื่นใจชวนหลงใหลแก่ผู้พบเห็นไม่น้อย

       หลังสัมผัสความงามของทุ่งหญ้าแห่งนี้จนหนำใจ ผู้ใหญ่ยอดพานั่งรถอีแต๊กต่อไปสู่ฝั่งตะวันตก และจอดส่งเราให้เดินเท้าต่อไปบนหาดทรายอันกว้างไกลสวยงามในบริเวณที่เรียกว่า “สุดขอบฟ้า” ที่ตั้งชื่อตามรีสอร์ทดั้งเดิมของที่นี่

ตะวันลับฟ้าเหนือพ่อตาหินกอง
       ที่สุดขอบฟ้ามีจุดชมวิวเป็นเนินน้อยๆให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของแนวเวิ้งอ่าว นับเป็นพื้นที่ธรรมชาติที่สูงสุดบนเกาะแห่งนี้ ขณะที่ตามแนวชายหาดมีหาดตาสุขในบริเวณรีสอร์ทเป็นจุดพักผ่อนสำคัญของชาวต่างชาติ ส่วนจุดชมพระอาทิตย์ตกอันสวยงามในบริเวณนี้ ผมขอยกให้“อ่าวตาแดง” หรือ ที่หลายคนเรียกว่า“อ่าวตาฉุย”เพราะเรียกชื่อตามรีสอร์ท “ทับตาฉุย” รีสอร์ท สงบน่ารัก ที่ตั้งอยู่หลังแนวหาดนี้

ตะวันลับฟ้าเหนือเกาะปลิง
       บริเวณอ่าวตาแดงเมื่อมองออกไปในทะเลจะเห็นเกาะปลิงใหญ่ ปลิงเล็ก ทอดตัวอยู่คู่กันในท้องทะเล นอกจากนี้ยังมีแนวโขดหิน “พ่อตาหินกอง” ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ โดยมีการตั้งศาลไว้คู่กับต้นสนหนึ่งเดียวอันโดดเด่นตระหง่าน

       พ่อตาหินกองนับเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่หาไม่ได้ง่ายๆในเมืองไทย เพราะมีทั้งความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว

ชาวบ้านปากจกกับวิถีทำใบจาก
       หลังดวงตะวันลาลับ ผู้ใหญ่ยอดพาเรามุ่งสู่หมู่บ้านปากจกหรือหมู่บ้านไลอ้อนที่เป็นบ้านเรือนสร้างใหม่หลังสึนามิ ที่เป็นจุดพักค้างสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการท่องเที่ยวชุมชนสัมผัสวิถีชีวิตโฮมสเตย์ที่เกาะพระทองที่มีเรื่องราวของวิถีชาวบ้านอันน่าสนใจให้สัมผัสกัน ไม่ว่าจะเป็น การทำประมงพื้นบ้าน จับเคย แมงกะพรุน(ตามฤดูกาล) เรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์เต่าทะเล ชมแหล่งกล้วยไม้ดอนมาลี ชมการทำผ้ามัดย้อมธรรมชาติ การคั่วกาหยี ทำใบจาก การทำกะปิปากจกที่ได้ชื่อว่าเป็นกะปิดีที่สุดในเมืองไทย ฯลฯ

       และนั่นก็คือบางส่วนของวิถีชีวิตและธรรมชาติอันโดดเด่นบนเกาะพระทอง ซึ่งเดิมนั้นเกาะพระทองมีความพยายามจากภาครัฐจะประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ(ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว) แต่ถูกต่อต้านจากชาวบ้าน เพราะพวกเขา(ที่อยู่อาศัยมาแต่ดั้งเดิม) กลัวถูกไล่ที่ สูญเสียที่ทำกิน กลัวรัฐนำเอาที่ของชาวบ้านที่ยังไม่มีเอกสารชัดเจนไปขายให้นายทุน สร้างรีสอร์ท ทำธุรกิจ ซึ่งชาวบ้านหลายๆคนต่างพูดในทำนองเดียวกันว่า ด้วยขั้นตอนและกระบวนการที่ไม่โปร่งใสชัดเจน ทำให้พวกเขาไม่ไว้ใจต่อภาครัฐ นั่นจึงทำให้ในวันนี้ทางภาครัฐได้ปรับสถานะใหม่ของเกาะพระทองเป็น “เขตห้ามล่าสัตว์ป่า”(เพิ่งประกาศเมื่อไม่นานมานี้) ซึ่งคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป
* manager.co.th  *




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2556 16:16:15 น.
Counter : 1490 Pageviews.  

“ปูทับทิม” เมนูเด็ดแห่งท้องทะเล เนื้อแน่นสดใหม่ อร่อยได้ใจ

“ปูทับทิม” เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา เหล่านักกินอาจจะงง!! ว่าคือชื่อของปูชนิดใหม่หรือย่างไร??
       แท้ที่จริงแล้ว “ปูทับทิม” ก็คือ “ปูนิ่ม” นั่นเอง ซึ่งทางโรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง ได้เรียกปูนิ่มว่า “ปูทับทิม” เพราะว่าเป็นปูนิ่มชนิดพิเศษที่ทางโรงแรมฯ คัดสรรมาโดยเฉพาะ จะใช้ปูม้านิ่ม ทั้งนี้ปูม้านิ่มสำหรับคนไทยจึงเป็นของหายาก และเป็นของแปลกใหม่ ในขณะที่ปูม้านิ่มของฝรั่ง (soft shell blue crab) ซึ่งมีลักษณะคล้ายปูม้าของไทยมากกลับเป็นสินค้าที่ฝรั่งนิยมกินมานานกว่า 100 ปี เพราะมีสีสันสวยงาม มีรูปลักษณ์น่ารับประทาน ไม่ต้องแกะกระดองปูออกก่อน และมีจำหน่ายเฉพาะบางช่วงฤดูกาลเท่านั้น

       สำหรับสีสันของปูม้านิ่มนั้นจะมีสีน้ำตาลอมส้มค่อนไปทางแดง สีจะออกคล้ายทับทิม เพื่อสรรค์สร้างเมนูระดับจักพรรดินี ทางโรงแรมฯ จึงเรียกปูนิ่มชนิดพิเศษที่ขายในห้องอาหารจีน ดิ เอมเพรสว่า “ปูทับทิม” อันเนื่องมาจากความใสของสีน้ำตาลอมส้มค่อนไปทางแดงคล้ายอัญมณี ประเภททับทิมนั้นเอง

       และในช่วงเดือนเม.ย. - มิ.ย. นี้ ทางห้องอาหารจีน ดิ เอมเพรส โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง ได้จัด “เทศกาลปูทับทิม” (ปูนิ่ม) ขึ้นมา โดยเชฟสมจิตร เลิศฤทธิ์ ซึ่งเป็นเชฟใหญ่ของทางห้องอาหารจีนได้ให้ความรู้ไว้ว่า ช่วงระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่มีปูม้านิ่มค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นช่วงครบรอบของระยะการผสมพันธุ์จากฟาร์มเลี้ยงที่ทางโรงแรมได้รับซื้อมาอีกทอดหนึ่ง ทำให้มีปูนิ่มในปริมาณมาก จึงได้จัดโปรโมชั่น “เทศกาลปูทับทิม” ขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้กินปูนิ่มที่สด อร่อย และปลอดภัยจากสารเคมี

       ซึ่งทางโรงแรมฯ มีวิธีการเลือกปูนิ่มและแหล่งที่มาดังนี้ คือ ปูนิ่มเกิดจากปูทะเลลอกคราบใหม่ กระดองใหม่จะนิ่ม ผิวเปลือกย่น เรียกว่า "ปูนิ่ม" ซึ่งต่อมาจะค่อย ๆ ตึงและแข็งตัวขึ้น ในระยะที่เป็นปูนิ่มจะเป็นระยะที่ปูมีความอ่อนแอมากที่สุด แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ จึงต้องหาที่หลบซ่อนตัวให้พ้นจากศัตรู ระยะเวลาตั้งแต่ลอกคราบหลบซ่อนจนกระทั้งกระดองใหม่แข็งแรงสมบูรณ์เต็มที่แล้ว สามารถออกมาจากที่ซ่อนได้ กินเวลาประมาณ 7 วัน ปูทะเลในเขตร้อนจะใช้ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจนถึงขั้นสมบูรณ์เพศ ประมาณ 1.5 ปี

       สำหรับแหล่งกำเนิดของปูนิ่มสายพันธุ์ที่ทางโรงแรมฯ ได้คัดเลือกมาให้ลูกค้าบริโภคนั้นได้รับซื้อจากฟาร์มเลี้ยงในจ. ชลบุรี ซึ่งเป็นบริเวณฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ทางโรงแรมฯ เลือกปูนิ่ม (ประเภทปูม้า) ซึ่งมีคุณค่าทางอาหาร ปูม้านิ่มมีการดูดซับและสะสมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ผลการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า ปูม้านิ่ม 100 กรัมให้สารอาหารแตกต่างจากปูม้ากระดองแข็งและแหล่งอาหารอื่น ๆ โดยให้คุณค่าทางอาหารที่เหมาะกับยุคสมัยของคนรักสุขภาพ เช่น ให้พลังงานต่ำ (56 กิโลแคลอรี) ไขมันต่ำ (1.1 ก.) คอเลสเตอรอลต่ำ (73 มก.) แคลเซียมสูง (257 มก.) ใยอาหารสูง (0.72 ก.) กินแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องอ้วน เรื่องโรคหัวใจ ให้ปวดศีรษะ ทั้งนี้วิธีการเลือกปูของทางโรงแรมฯ นั้น จะเริ่มเลือกตั้งแต่ร้านค้าที่ส่งปูให้กับทางโรงแรมฯ จะต้องเป็นร้านค้าที่ไว้ใจได้และมีความสะอาดความสดในผลิตภัณฑ์ของอาหาร

       ดังนั้นการเลือกปูนิ่มของทางโรงแรมฯ นั้น จะเลือกปูที่มีขนาดปานกลาง เนื้อตัวไม่เหี่ยวเละ ถึงแม้จะนิ่มก็ตาม และต้องมีน้ำหนักตัวพอประมาณ จุดสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทางโรงแรมฯ จะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ คือบริเวณตรงกลางลำตัวของปูนิ่มจะต้องไม่บุ๋มลงไป หากลองสังเกตหรือกดไปบริเวณตรงกลางลำตัวปูนิ่มแล้วพบรอยบุ๋มดังกล่าว ทางโรงแรมฯ จะตีกลับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทันที เนื่องจากปูนิ่มลักษณะนี้จะได้รับปฏิกิริยาทางเคมีให้เร่งการลอกคราบภายใน 1 สัปดาห์ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

       สำหรับรายการอาหารใน “เทศกาลเมนูปูทับทิม” ของห้องอาหารจีน ดิ เอมเพรส ที่ชวนกินมีดังนี้ ปูทับทิมผัดซอสจักรพรรดิ, ปูทับทิมผัดซอสฮ่องเต้, ปูทับทิมผัดซอสฮ่องกง, ปูทับทิมผัดซอสพริกฮ่องกง, ปูทับทิมผัดซอสพริกเซี่ยงไฮ้, ปูทับทิมผัดซอสโปรตุเกส พร้อมให้ได้ลองลิ้มทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำ โดย แบ่งเสิร์ฟเป็น 3 ขนาด คือ เล็ก (สำหรับ 2-3 คน) กลาง (สำหรับ 4-7 คน) และใหญ่ (ขนาด 8-12 คน) โดยที่ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 400 บาท++ / 800 บาท++ / 1,200 บาท++ เป็นต้น แวะเวียนมาชิมเมนูเด็ดแห่งท้องทะเลได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิ.ย. นี้ โทร. 0-2281-30

* manager.co.th  *




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2556 16:15:03 น.
Counter : 792 Pageviews.  

“เล่าซา” ต้นตำรับลูกชิ้นปลา อร่อยอย่าบอกใคร

บรรยากาศที่นั่งภายในร้าน
       ใครๆ ก็มักจะบอกว่า การที่จะหาร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่รสเด็ด อร่อยถูกใจ และไม่มีกลิ่นคาวนั้น ช่างยากเย็นเสียนี่กระไร แต่ถ้าหากว่าตามติดมากับ “ผ่านมาแวะกิน” แล้วละก็ รับรองว่าไม่มีผิดหวัง เพราะที่จะพาไปชิมในมื้อนี้ ต้องยกให้ว่าเป็นร้านที่ถูกจริตเสียจริงเชียว

       ร้านนี้เขามีชื่อว่า “เล่าซา” ขายกันเฉพาะก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ที่เป็นสูตรเดียวกับก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาลิ้มเล่าซา ร้านดังแห่งถนนทรงวาด ซึ่งต้องบอกว่าของเด็ดของร้านนี้ก็อยู่ที่ลูกชิ้นปลาหลากหลายชนิด อันเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านที่ทำเองทั้งหมด จากวัตถุดิบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว

เส้นปลาน้ำ
       เริ่มจาก ลูกชิ้นปลา จะเลือกใช้เนื้อปลาดาบยาวมาตีผสมกับเครื่องปรุงต่างๆ ก่อนจะปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วต้มให้สุก ไม่มีการใส่สารบอแรกซ์ หรือผสมแป้งลงไปในลูกชิ้น ที่เคี้ยวแล้วลูกชิ้นเด้งดึ๋งอยู่ในปากนั้นก็เพราะกรรมวิธีการตีผสมเนื้อปลาของทางร้าน

       ส่วน ฮือก้วยทอด ก็จะใช้เนื้อปลาดาบยาวมาตีผสมกับเครื่องปรุงเช่นกัน แต่จะปั้นให้เป็นเส้นยาว นำไปต้มให้สุก แล้วทอดให้ผิวเหลืองสวยอีกครั้ง เส้นปลา จะใช้เนื้อปลาหางเหลืองมาตีผสมกับเครื่องปรุงรสแล้วค่อยนำมารีดเป็นเส้นๆ สุดท้าย เกี๊ยวปลา ใช้เนื้อปลาหางเหลืองมีตีให้เนียนด้วยมือ แล้วนำมารีดเป็นแผ่นบางๆ ไส้ในใช้เนื้อหมูปรุงรส ห่อเสร็จแล้วก็นำไปต้มให้สุก

บะหมี่แห้ง
       เห็นลูกชิ้นปลามากหน้าหลายตามานอนเรียงกันอยู่ในตู้หน้าร้าน ก็ถึงคราวที่ต้องมาลองชิมกันเสียที ชามแรกยกให้ เส้นปลาน้ำ (60 บาท พิเศษ 80 บาท) ชามนี้จะใช้เส้นปลาแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว ใส่ลูกชิ้นปลา ฮือก้วยทอด และเกี๊ยวปลา ส่วนน้ำซุปนั้นได้มาจากการต้มปลาผสมกับกระดูกหมู ลองชิมน้ำซุปหวานหอม รสชาติกลมกล่อมกำลังดี

       ตามมาด้วย บะหมี่แห้ง (40 บาท พิเศษ 50 บาท) ที่เส้นบะหมี่ทางร้านก็ทำเองเช่นกัน เป็นบะหมี่ไข่ที่เหนียวนุ่มอร่อย ลวกให้สุกแล้วคลุกเคล้ากับซอสเปรี้ยวผสมเครื่องยาจีน ใส่ลูกชิ้นปลา ฮือก้วย และเกี๊ยวปลา มาพร้อมกับผักกาดหอมให้กินแกล้ม ชิมแค่เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม ได้ความหอมและรสชาติอร่อยจากซอสที่ปรุงมาให้แล้ว ส่วนลูกชิ้นปลาก็เคี้ยวเด้งอร่อย ไม่คาว

เส้นใหญ่โฟ
       ส่วน เส้นใหญ่โฟ (40 บาท พิเศษ 50 บาท) ชามนี้ก็หน้าตาชวนกิน สีแดงโดนใจได้จากซอสเย็นตาโฟที่ทางร้านปรุงเองแบบได้รสชาติมาแล้ว ทั้งเปรี้ยวหวานเค็มกลมกล่อม เข้ากันกับเส้นใหญ่ และลูกชิ้นปลาหลากหลายชนิด

       แถมท้ายให้คนชอบลูกชิ้นปลากับเมนู ลูกชิ้นลวกจิ้ม (80 บาท พิเศษ 120 บาท) ที่ใส่มาทั้งลูกชิ้นปลา ฮือก้วย และเกี๊ยวปลา กินคู่กับน้ำจิ้มสูตรเด็ดของทางร้าน ที่มีส่วนผสมของน้ำตาล น้ำส้มพริกตำ น้ำปลา พริกป่น และถั่วลิสงป่น ได้เคี้ยวลูกชิ้นเด้งๆ เข้ากันดีกับน้ำจิ้มที่เปรี้ยวเค็มเผ็ดจัดจ้าน

ลูกชิ้นลวกจิ้ม
       หรือถ้าใครอยากชิมเมนูอื่นๆ บ้าง ก็ขอแนะนำ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (40 บาท พิเศษ 50 บาท) เกาเหลาสาหร่าย (50 บาท พิเศษ 60 บาท) หนังปลาแซลมอน (16 บาท) หรือจะปิดท้ายมื้ออร่อยด้วย ขนมถ้วย (คู่ละ 10 บาท) ก็ยังได้

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ร้าน “เล่าซา” ตั้งอยู่ที่ 1111/16 ม.เดอะฮาบิเทท ถ.ศรีวรา ซ.ลาดพร้าว 94 แขวง-เขตวังทองหลาง กทม. การเดินทางถ้ามาจาก ถ.พระราม 9 ให้วิ่งเข้าถ.เลียบทางด่วนรามอินทรา ขับตรงมาผ่าน 4 แยกประดิษฐ์มนูญธรรม แล้ววิ่งตรงมาไปกลับรถใต้สะพาน และให้ชิดซ้ายไว้เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถ.ศรีวรา (ซ.บ้านต้นซุง) ตรงเข้ามาแล้วเจอสามแยกให้เลี้ยวขวา วิ่งตรงมาเรื่อยๆ สังเกตซ้ายมือ จะเห็นหมู่บ้านเดอะฮาบิเทท ร้านตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้าน สามารถจอดรถได้บริเวณหน้าร้าน ทางร้านรับจัดงานนอกสถานที่ ร้านเปิดทุกวัน เวลา 09.00-20.00 น. โทร. 08-9174-5958 ส่วนอีกสาขาตั้งอยู่ในซอยจันทน์ 18/7 แยก 3 เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00-15.00 น. โทร. 08-5816-6056
* manager.co.th  *




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2556 16:14:10 น.
Counter : 895 Pageviews.  

Lamborghini Veneno:ต้นแบบความแรงผลิตจริง3คัน

ในโอกาสครบรอบ 50 ปี “ลัมโบร์กินี” เปิดตัวสุดยอดซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ ลัมโบร์กินี เวเนโน่ (Lamborghini Veneno) ในงาน Geneva Motor Show 2013 โดยผลิตเพียง 3 คันเท่านั้น และแต่ละคันจะมีลักษณะรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเป็นรถที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่แรงและคล่องตัวตามแบบฉบับของรถแข่งต้นแบบอย่างแท้จริง ทั้งยังได้รับอนุญาตให้ใช้ขับขี่บนท้องถนนเช่นเดียวกับรถยนต์ทั่วไปอีกด้วย สนนราคาขายอยู่ที่ 3 ล้านยูโร ซึ่งขณะนี้มีลูกค้าซื้อรถทั้งสามคันนี้ไปแล้ว

ลัมโบร์กินี เวเนโน่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 12 สูบ 6.5 ลิตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัจฉริยะแบบ 7-speed ISR ให้กำลังสูงสุด 750 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 355 กม./ชม. โดยมีโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบให้เลือก พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (all-wheel drive) รวมถึงแชสซีส์ของรถแข่งที่มาพร้อมระบบช่วงล่าง pushrod suspension และ horizontal spring/damper

เหนือสิ่งอื่นใดได้อานิสงส์จากความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษของลัมโบร์กินีในด้านการพัฒนาและการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ โดยเฉพาะตัวถังสำเร็จรูปที่ผลิตจากโครงสร้างโมโนค๊อก (Monocoque) คาร์บอนไฟเบอร์โพลิเมอร์ หรือ CFRP (carbon fibre reinforced plastic) ที่เป็นผิวชั้นนอกของรถสปอร์ตรุ่นนี้ ส่วนภายในก็เช่นกัน มีการใช้วัสดุเชิงนวัตกรรมที่จดสิทธิบัตรของลัมโบร์กินี เช่น Forged Composite และ CarbonSkin

ด้วยการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา ไม่เพียงสะท้อนผ่านรูปลักษณ์ภายนอกที่สามารถมองเห็นได้ แต่ยังสัมผัสได้ชัดเจนในส่วนของขนาด จากน้ำหนักรถเปล่าไม่รวมของเหลวเพียง 1,450 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่ารุ่น อเวนทาดอร์ (Aventador) ที่ถือว่าเบามากแล้วถึง 125 กิโลกรัม และมีอัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักอยู่ที่ 1.93 กิโลกรัม/แรงม้า



รวมถึงได้นำประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ (aerodynamics) ของรถแข่งต้นแบบมาใช้บนท้องถนน โดยทุกรายละเอียดมาพร้อมฟังก์ชั่นที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหลักแอร์โรไดนามิค ที่ออกแบบมาให้รถยนต์มีแรงกด (downforce) สูงสุด ในขณะเดียวกัน ยังทำให้รถยนต์มีแรงต้าน(Drag) ต่ำสุดอีกด้วย โดยส่วนหน้าสุดของรถจะทำหน้าที่เสมือนปีกอากาศพลศาสตร์ขนาดใหญ่ ช่องอากาศขนาดใหญ่จะลำเลียงอากาศไปยังห้องว่างภายในฝากระโปรงหน้าและด้านหน้าของกระจกหน้ารถ รวมถึงไปที่ล้อหน้า ตามลักษณะเด่นเฉพาะของรถลัมโบร์กินี คือ ไฟหน้าทำมุมเป็นรูปตัว Y ที่ยื่นไปจนถึงกันชน และประตูรถที่เปิดแบบปีกนก (scissor doors)

สำหรับการดีไซน์ด้านรูปลักษณ์มาพร้อมโทนสีใหม่ทั้งหมด ด้วยสีเทาแบบเมทัลลิค พร้อมแถบสีดำของโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ที่มองเห็นได้ชัด ทั้งนี้ มีรถเพียงคันเดียวที่มีลวดลายของสีธงชาติอิตาลี 3 สีถูกนำไปจัดแสดงที่เจนีวา ซึ่งจะยังคงเป็นทรัพย์สินของของลัมโบร์กินี ส่วนรถทั้ง 3 คันที่ขายให้แก่ลูกค้าไปแล้วนั้น แต่ละคันมีสีเดียวกับสีธงชาติอิตาลีสีใดสีหนึ่ง โดยคาดเขียว ขาว และแดง เพื่อให้แต่ละคันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ขณะเดียวกันรถรุ่นนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินีไว้อย่างครบถ้วน นั่นคือ ชื่อ “เวเนโน่” มีที่มาจากการสู้วัวกระทิงที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน โดยเป็นชื่อของหนึ่งในวัวที่แข็งแรงและดุร้ายที่สุด ทั้งยังมีชื่อเสียงในฐานะวัวที่ว่องไวที่สุดในประวัติศาสตร์การสู้วัวกระทิง โดยวัวตัวดังกล่าวเริ่มมีชื่อเสียงในปี 1914 เมื่อมันทำให้นักสู้วัวกระทิงชื่อดังอย่าง José Sánchez Rodríguez บาดเจ็บปางตายในระหว่างการแข่งขัน Sanlúcar de Barrameda’s ณ Andalusia ประเทศสเปน

“ลัมโบร์กินี เวเนโน่” ฉลองการเปิดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show 2013 โดยรถคันที่นำไปจัดแสดงใช้หมายเลข 0 ซึ่งเป็นรถทดสอบของลัมโบร์กินี โดยยังไม่ได้สรุปอนาคต แต่รถรุ่นดังกล่าวจะช่วยให้ลัมโบร์กินีเดินหน้าการทดสอบและสร้างสรรค์นวัตกรรม ทั้งในส่วนยานยนต์สำหรับขับขี่บนท้องถนนและบนสนามแข่ง ส่วนรถที่มีเพียง 3 คันไม่ซ้ำแบบกันรุ่นนี้จะผลิตในช่วงปี 2013 จากนั้นจะส่งมอบให้ผู้เป็นเจ้าของ ด้วยสนนราคาขายอยู่ที่ 3 ล้านยูโร

* manager.co.th *




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2556 16:13:16 น.
Counter : 908 Pageviews.  

ซัมซุงรับทุ่มงบดิจิตอลทำตลาด Galaxy S4 เพิ่มหลายเท่า

ซัมซุง รับทุ่มงบทำตลาดดิจิตอลเพิ่มหลายเท่าตัว หลังโหมกระแสของสมาร์ทโฟนเรือธงแห่งปีอย่าง 'Galaxy S4' มั่นใจสินค้าพร้อมกระจายสู่ทั่วประเทศ พร้อมลุยขยายศูนย์บริการให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้น เชื่อปีนี้ตลาดสมาร์ทโฟนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่จากการเปิดให้บริการ 3G 2.1 GHz ของโอเปอเรเตอร์

       นายวิชัย พรพระตั้ง รองประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดของ Galaxy S4 เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มีนาคม 2556 โดยจะเริ่มตั้งแต่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องของผลิตภัณฑ์ ส่วนในวันเปิดตัวก็ได้มีการเชิญกลุ่มบล็อกเกอร์จำนวนหนึ่งไม่ร่วมชมการถ่ายทอดสด รวมถึงทำกิจกรรมเวิร์คช็อปให้ทดลองใช้สินค้าและบอกต่อในโลกออนไลน์

       "ในปีนี้ซัมซุงเน้นการทำตลาดด้านดิจิตอลเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาหลายเท่าตัว ซึ่งจะรวมเข้าไปกับการทำตลาดแบบ 360 องศา ซึ่งจะเน้นเพิ่มเติมในส่วนของการจัดกิจกรรมให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้งานจริงก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าซื้อ Galaxy S4 ไปแล้วจะพอใจกับประสิทธิภาพและการทำงานของผลิตภัณฑ์"

       ในส่วนของเป้าหมายในการวางจำหน่าย Galaxy S4 ทางซัมซุงเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำเข้าสินค้าเข้ามาเพียงพอกับความต้องการของลูกค้า เพียงแต่ไม่สามารถให้ปริมาณของที่จะเข้ามาทำตลาดในช่วงแรกได้ ทำให้ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าเมื่อผ่านพ้น 1 - 2 เดือนจะมีปริมาณสินค้าที่วางจำหน่ายไปเพียงใด

ขณะเดียวกันยังเตรียมความพร้อมในการขยายศูนย์บริการทั่วประเทศ จากปัจจุบันอยู่ที่ 20 แห่ง เพิ่มเป็น 45 แห่งภายในสิ้นปีนี้ รองรับการขยายตลาดไปยังต่างจังหวัด ตอบรับกับการเปิดให้บริการเครือข่าย 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ที่คาดว่าจะส่งผลให้ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนจากฟีเจอร์โฟนมาใช้งานสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้น

       ซึ่งหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันนี้ (3 พ.ค.) ก็จะทยอยปล่อยโฆษณาตามโทรทัศน์ และป้ายสื่อโฆษณากลางแจ้ง ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 10 - 16 พฤษภาคม 2556 ทางซัมซุงจะมีการจัดงานบริเวณลานพาร์คพารากอน เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัส และทดลองใช้งานเครื่องภายในช่วงเวลาดังกล่าว

       ทางด้านฝั่งผู้ให้บริการเครือข่ายก็มีการเตรียมความพร้อมรับการมาของ Galaxy S4 ด้วยการจัดแพกเกจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นทาง AIS 3G ให้ใช้งานเน็ตไม่จำกัด โทรฟรีทุกเครือข่าย 500 นาที ในราคา 499 บาท พร้อมรับสิทธิพิเศษจากแอปพลิเคชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ HD 30 เรื่อง จาก AIS Movie Store, e-books กว่า 30 ฉบับ จาก AIS Bookstore นาน 3 เดือน และยังสามารถยังรับสิทธิ์ผ่อน 0% 10 เดือน พร้อมรับส่วนลดสูงสุดถึง 7,200 บาทกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

       ส่วนดีแทคให้ลูกค้าที่ซื้อ Galaxy S4 รับสิทธิ์สมัครแพกเกจสมาร์ทโฟน เพียง 539 บาทจากราคาปกติ 999 บาท รับส่วนลดรายเดือนสูงสุด 8,280 บาท ใช้งานอินเทอร์เน็ตบน 3G/EDGE ได้ไม่จำกัดด้วยความเร็ว 3G สูงสุด 2GB โทรฟรีทุกเครือข่าย 550 นาที พร้อม dtac Deezer ให้ฟังเพลงได้ไม่จำกัด 20 ล้านเพลงทั่วโลก นาน 18 เดือน

       ส่วนทรูมูฟ เอช มอบส่วนลด 50% ค่าบริการรายเดือนนาน 5 เดือนบนแพกเกจ iSmart 899 พร้อมให้สิทธิ์ผ่อน 0% นาน 10 เดือน โดยลูกค้าทรู การ์ด และลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม พร้อมรับส่วนลดค่าเครื่องเพิ่มอีก 1,000 บาท สำหรับลูกค้าปัจุบันรับส่วนลดค่าบริการ 200 บาท นาน 5 เดือนบนแพกเกจ iSmart 899 โดยราคาเปิดตัว Galaxy S4 อยู่ที่ 21,900 บาท

* manager.co.th  *




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2556 16:12:19 น.
Counter : 464 Pageviews.  

1  2  3  

angelica0819
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add angelica0819's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.