ทะเลจีนใต้ ข้อพิพาทอาเซียน สนามเดินเกมมหาอำนาจโลก
ปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้ที่ยืดเยื้อยาวนานกลับคุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง ทั้งมหาอำนาจจีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บรูไน และไต้หวัน 6 ชาติเอเชียเข้ามาพัวพันในการอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ ต่างต้องการครอบครองอาณาเขตที่อุดมด้วยผลประโยชน์ ทั้งแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
เชื้อความขัดแย้งปะทุ
กรณี ข้อพิพาททะเลจีนใต้ระหว่างจีน-เวียดนาม และจีน-ฟิลิปปินส์-สหรัฐเกิดตึงเครียดขึ้นอย่างมากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยสาเหตุที่ทำให้ปัญหาระหว่างจีน-เวียดนามปะทุขึ้นเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ ผ่านมา เมื่อบริษัทน้ำมันนอกชายฝั่งแห่งชาติจีน หรือ CNOOC ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีนอ้างสิทธิเปิดให้นักลงทุนที่สนใจเข้าประมูลการสำรวจขุด เจาะพลังงานจำนวน 9 แปลงในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเวียดนาม ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี 1982 (United Nations Convention on the Law Of the Sea : UNCLOS) รวมเป็นเนื้อที่ราว 160,000 ตารางกิโลเมตร
หลังจากนั้น นายเหลือง ตัน งี โฆษกกระทรวงต่างประเทศเวียดนาม ออกมาระบุว่า แหล่งน้ำมัน 9 แปลงที่จีนเปิดประมูลทั้งหมดนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่พิพาท และเห็นว่า การกระทำของ CNOOC ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ละเมิดอำนาจอธิปไตยของเวียดนามอย่างร้ายแรง ฝ่าย ประชาชนเวียดนามก็มีการเคลื่อนไหวรวมตัวกันประท้วงการกระทำของจีนในประเด็น ข้อพิพาททะเลจีนใต้กว่า 200 คน บริเวณหน้าสถานทูตจีนในกรุงฮานอย ทั้งนี้ การรวมตัวกันประท้วงในเวียดนามถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก เนื่องจากรัฐบาลไม่อนุญาตให้ชุมนุมประท้วง
ปัญหาทะเลจีนใต้เกิดขึ้น มาตั้งแต่ช่วงปี 1990 แต่ไม่ได้เป็นประเด็นร้อน กระทั่งปี 2011 เวียดนามพยายามให้ประเด็นนี้มีการแก้ไขในระดับภูมิภาค ซึ่งทำให้มหาอำนาจจีนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากจีนต้องการแก้ปัญหานี้ในระดับทวิภาคีเท่านั้น ขณะเดียวกัน ด้านฟิลิปปินส์ก็ดึงสหรัฐเข้ามาช่วยจัดการปัญหาเพื่อถ่วงดุลอำนาจจีน
ข้อพิพาททะเลจีนใต้ จึงไม่เพียงปะทุขึ้น แต่ได้กลายเป็นสนามเดินเกมของมหาอำนาจของโลก
อำนาจทางเดินทะเลโลก
ไม่ เพียงแต่ขุมทรัพย์น้ำมันและก๊าซที่มากับทะเลจีนใต้ แต่การครอบครองน่านน้ำแห่งนี้มาพร้อมกับอำนาจของการส่งสินค้าโลก ทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางการเดินเรือที่เชื่อมต่อกับช่องแคบมะละกา ประเทศมาเลเซีย ดังนั้น พื้นที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่งของภูมิภาค
ดร.ปิ ติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ที่มีผลต่อ ประเทศมหาอำนาจในแถบนี้ไว้ 3 ประการดังนี้ 1) เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันดิบเข้าญี่ปุ่นสูง 80% 2) เป็นเส้นทางการค้าทางทะเลของจีน 80% 3) เป็นทางออกทะเลตลอดทั้งปีเพียงทางเดียวของรัสเซียที่เมือง Vladivostok
ดร.ปิ ติตั้งข้อสังเกตว่า หากปัญหาทะเลจีนใต้เกิดลุกลามจะส่งผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจการค้าของเอเชีย อย่างแน่นอน เพราะน้ำมันที่ส่งไปญี่ปุ่น สินค้าเข้าจีน และสินค้าสู่รัสเซียจะเกิดการชะงักงัน แต่ข้อพิพาทนี้จะลุกลามหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลสำรวจว่าใต้ทะเลแห่งนี้มี ทรัพยากรน้ำมันและก๊าซอยู่มูลค่ามหาศาลเพียงไร เพราะสาเหตุความขัดแย้งที่เป็นอยู่นี้มีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง
เสถียรภาพของภูมิภาค
ข้อ พิพาททะเลจีนใต้อาจลุกลามมากขึ้นอีก เนื่องจากมีชาติอาเซียนเข้าไปเกี่ยวพันถึง 4 ประเทศคือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบรูไน โดย รศ.ดร.
ประภัสสร์ เทพชาตรี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า การที่สหรัฐก้าวเข้ามาจัดการปัญหาในอาเซียนนั้นอาจมองได้ 2 ทาง คือ 1) สามารถเข้ามาถ่วงดุลอำนาจจีน ให้จีนระมัดระวังต่อการจัดการปัญหามากขึ้น หรือ 2) ทำให้ปัญหายิ่งลุกลาม เพราะสหรัฐสามารถเล่นตามเกมที่ตนต้องการ คือสกัดกั้นอำนาจจีนในอาเซียน เพื่อผลของตนในอาเซียน
และหาก สถานการณ์การขัดแย้งรุนแรงขึ้นก็จะกระทบเสถียรภาพความมั่นคงในภูมิภาค เป็นอุปสรรคต่อการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนที่กำลังจะมาถึง
ประภัส สร์ชี้ว่า ทางออกของปัญหานี้คือ ชาติอาเซียนต้องผนึกกำลังกัน เพื่อยืนยันที่จะเจรจาและหาทางออกกับจีน แต่อาเซียนยังไม่มีทีท่าว่าจะแก้ปัญหาได้ เนื่องจากชาติในอาเซียนไม่เป็นเอกภาพ เพราะในขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์ต้องการจะแข็งกร้าวต่อจีน แต่กัมพูชาน่าจะยืนอยู่ข้างจีน ส่วนไทยที่ไม่มีผลได้-เสียต่อกรณีก็คงไม่อยากยื่นขาเข้าไปพัวพันกับปัญหานี้ * ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ *
Create Date : 09 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 14:01:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2298 Pageviews. |
|
|